ตอนที่ 20 ฉายแสงครั้งแรก
การทำ CT Simulator (จำลองการยิงแสง) 26/12/13 พักได้ไม่ถึงวัน ก็ต้องมาเข้าเครื่องอีกแล้ว ครั้งนี้หมอนัดบ่าย ได้คิวเแรก ดูคนน้อยด้วยสงสัยเพราะว่าช่วงปีใหม่มั้ง เราคิดในใจ ดีละไม่เจ็บไม่ป่วยอย่ามานั่งรอหมอกันเยอะเลย มันไม่ดีหรอก นั่งรอซักพัก พยาบาลก็เรียกชื่อไปเปลี่ยนชุด แล้วเปิดเส้น แทงเข็ม มีหลอดฉีดยา อันใหญ่เบ้อเริ่ม คามืออยู่ด้วยขอบอกว่าใหญ่มากจริงๆค่อนแขนได้ หรือเราแขนเล็กมั้ง แค่เห็นหลอดก็ใจปิ๋วแล้ว แต่พยาบาลบอกไม่มีอะไรนะคะ ไม่ต้องกลัวแล้วคุณหมอก็เรียกเข้าไป ในห้อง Simulator ให้เปลือย อก ท่อนบนให้หมด นอน หงาย ในนั้นดูยุ่งๆ มีหมอสองสามคน และเจ้าหน้าที่อีก สองคน ห้องข้างๆที่เป็นห้องกระจกก็ติดกับห้องที่เราต้องขึ้นแท่นนอน ซึ่งเหนือแท่นเ มีครื่อง ให้เราลอดคล้ายอุโมงค์ แนว CT อีกแล้วขึ้นตอนการทำ simulator ก็ไม่มีไรมากเพราะว่าเราต้องฉายที่ ลำคอช่วงล่างกับช่องอก ครึ่งบน ทำให้เลยต้องใส่หน้ากากเหล็กสีขาว ซึ่งรอบแรก ที่ลอดอุโมงค์หมอก็จะแสกนร่างกายเราก่อน พอรอบสองพยาบาลบอกว่าจะฉีดสีเข้าที่กระบอกใหญ่ๆที่แขนเรานั่น ซึ่งก็เหมือนกานทำ CT ร้อนๆและแบบ พะอืดพะอมเล็กน้อย รู้สึกว่า เหมือนมีอะไรเข้าร่างกาย ที่สำคัญคือต้องนอนนิ่งๆ นิ่งมาก หายใจก็ต้องช้าๆ เพื่อให้หมอ กำหนดจุด ขีดเส้นได้ถูกก็รู้สึกได้ว่า มีคนเอาปากกามาขีด ตรงกลางระหว่างช่องอก และก็คุยอะไรกันไม่รู้เดินไปเดินมา เหมือนปรึกษากัน แต่ขั้นตอนไม่ได้เสร็จเพียงแค่นั้น จุดเด็ดคือ อยู่ที่ หน้ากากเหล็กสีขาว เหมือนตอนที่เราเล่นกีฬาฟันดาบ มันจะร้อนมากกประมาณ 60-70 องศาเจ้าหน้าที่จะเอามาแนบไว้ที่หน้าเรา ห้ามขยับทำจมูกเบ้ ปากจู๋เด็ดขาดเพราะหน้ากากเหล็กนั้น จะ แนบกับเนื้อเราตอนที่มันยังร้อนๆอยู่ พอเอามาแปะหน้าแปะคอ ปุ๊ป มันก็แนบติดหน้าเป็นรูปทรงหน้าเราทันที ทีนี้เราก็จะมี หน้ากากเหล็กเป็นของตัวเองละนะเท่ห์ป่ะละ แต่ตอนที่ทรมานจริงๆ คือ ตอนที่หน้ากาก มันแนบไปกับลำคอ และฉีดสีไปด้วยห้ามกลืนน้ำลาย ความรู้สึกที่ว่า กลืนไม่เข้า คายไม่ออก มันเป็นแบบนี้จริงๆรู้สึกเหมือนอมสารพิษ แบบอมน้ำสังกะสี ไว้ที่ลำคอ จะอ๊วกก็ไม่ได้ จะกลืนก็ไม่ได้พะอืดพะอม สุดๆไปเลย
พักรบ ก่อนขึ้นยกสอง ได้มีเวลาพักปีใหม่ 4 วัน (28/12/13 -1/1/14) แล้วเริ่มฉายวันที่2 มกราคม เร็วมากก ยังทำใจไม่ค่อยได้ เพราะไม่รู้ว่า เอฟเฟกของ ฉายแสงจะเป็นอย่างไรถึงแม้บอกว่าสบายๆ ไม่มีอะไรก็ตาม แต่เราก็แอบกังวลไม่ได้เรื่องที่บอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ มันเป็นไปได้สำหรับเราทุกเรื่องเลย ช่วงเวลาปีใหม่ ถือว่าเป็นช่วงเวลาทองของเรามาก หมออนุญาติให้ออกจากบ้านได้ เพราะเม็ดเลือดขาว 7500 ถือว่าปกติ เราก็เลย นัดเพื่อน สองกลุ่มไปกินข้าวอัพเดชชีวิตกัน กินก็ กินแบบติ่มซำบุฟเฟ่ห์ ที่ รร เลยหมอบอกให้กินเต็มที่ ก็จัดเต็มเลยค่ะ แล้วก็มีออกไปห้างไปซื้อเสื้อผ้าบ้างหลังจากไม่ได้ซื้อและออกจากบ้านมาแหล่งชุมชมเป็น 8 เดือน อากาศช่วงนี้ก็ดีสุดๆคนไม่เยอะ ไม่ร้อน ลมพัดเข้าหน้าเย็นๆ ได้สูดอากาศเข้าเต็มปอด ได้ไปถ่ายรูปหน้าต้นคริสต์มาสกับเพื่อน ทั้งที่ก็ถ่ายทุกปี แต่ทำไมไม่รู้ ที่รู้สึกตื่นเต้นกับCentral World. กับต้นคริสต์มาส กับการ ไป เดินเลือกของแล้วจ่ายเงินเองเจอคนเดินไปเดินมา สวนกับเรา ตอนนั้นอยู่คนเดียวระหว่างรอเพื่อน มีความรู้สึกประหลาดกับตัวเอง ที่ชื่นชมกรุงเทพ มองไปเห็นรถไฟฟ้าวิ่งเหมือนเป็นนักท่องเที่ยว ไม่เคยมาซะอย่างงั้น เรียกได้ว่า Appreciated life มาก การมีชีวิตอยู่นี่มันดีจริงๆเนาะ ปกติช่วงเวลาปีใหม่ จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะมานั่งทบทวนตัวเองว่า ปณิธานที่เคยตั้งไว้ ว่าปีนี้เราจะทำอะไรสำเร็จ ไม่สำเร็จบ้างแล้วทำไมถึงไม่สำเร็จ ก็เลยเอาบันทึกที่เคยเขียนไว้ตอนปี 2012 บนเครื่องบิน ตอนบินกลับไปเรียนที่อังกฤษ มาดู
Resolutions 2013 Review 1. Travelled and visited 10 countries - Checked 2. Earned 100K from part times jobs at UK- Checked 3. Cooked 10 new recipes - Checked 4. Read 10 old books - Checked 5. Got 10 new friends - Checked 6. Graduated Master degree - Checked 7. Did jobs hunting - X 8. joined Wedding Ceremony and my friendss big day - X 9. got a boyfriend X 10. Did 10 new things - X (Time's up) แต่ปีนี้บอกเลยว่า มีปณิธาณแค่ข้อเดียว ที่ดูเหมือนง่าย แต่ยากทีเดียวไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ทุกวัน นั่นก็คือ Seize The day (365 days) คือ เชื่อว่า เวลาวันนี้ ตอนนี้สำคัญที่สุด อยากทำอะไรอยากเริ่มอะไร อยากบอกรักใคร ให้ทำวันนี้ ตักตวงวันนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะคนเราไม่รู้จะมีพรุ่งนี้ไปอีกกี่วันเราต้องมีความสุขกับทุกวัน ยอมรับความจริง อยู่กับมันให้ได้ ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม การที่ตื่นมาแล้ว ได้มีโอกาสหายใจ ได้กิน ถ่ายได้ ได้คุยกับเพื่อน ได้ยินเสียงเรียกกินยาของคนรอบข้าง ได้โดนด่าบ้าง ได้โดนเพื่อนโทรมาขอยืมเงินบ้าง มันก็มีความสุขได้ จะสุข จะทุกข์ไม่ว่าอยู่ รพ หรือ อยู่บ้าน มันก็ไม่ได้อยู่ที่อะไรเลย อยู่ที่ใจเรานั้นเอง ก็ไม่รู้ว่าปีนึงมี สามร้อยกว่าวัน เราจะทำได้วซักกี่วันกันเนาะ ว่าแต่ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกคนสุขภาพกายและสุขภาพใจแข็งแรง กันนะคะ คิดสิ่งใดก็สมปรารถนา ร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่ใช่หาเงินมาหาหมอนะ มีเวลาให้คนรัก ก่อน ที่ทุกอย่างจะสายไป ชีวิตนี้น้อยนัก กลับบ้านกินข้าวให้ทันอาหารเย็น กับครอบครัว ดีกว่าไปนั่งเฝ้า นั่งป้อนกันที่ รพ นะ ตำแหน่งสูงแค่ไหน รวยแค่ไหน ก็ซื้อเวลา ซื้อสุขภาพไม่ได้ ฉายแสงครั้งแรก 2/1/14 เครื่องที่เราฉาย เป็นแบบ 3 มิติ ห้องที่เราฉายคือ 23 EX เพิ่งรู้เหมือนกานว่า ห้องเนี่ย ถูกออกแบบ ให้ ห่างจากห้องที่คนปกติอยู่ ถึง 2 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีออกมา เวลาสร้างตึกที่ต้องมีเครื่องฉายรังสีจึงต้องออกแบบอย่างดี ก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงเครื่อง ก็เป็นทางยาว 5 เมตร ซึ่งจะเป็นจุดยืนพัก มีจอคอมพิวเตอร์ขึ้นว่าคิวฉายคนต่อไปเป็นใคร สเป็กแบบไหน ต้องใช้เครื่องมือช่วยอะไรบ้าง พอเจ้าหน้าที่เรียก ก็เดินเข้าไปในห้องรอที่จุดยืนรอนั้น รอคนไข้คนที่แล้วออกมาก่อน และเจ้าหน้าที่เก็บเตรียมอุปกรณ์เสร็จก่อน ถึง เข้าต่อไปได้ กระบวนการนี้ทำให้ไม่เสียเวลาเรียกและรอคนไข้ฉายแสงมากนัก น่าชื่นชมทีเดียว เครื่องฉายแสง ก็ลักษณะเหมือน เครื่องทั่วไป หมุนได้ 360 องศา รอบแท่น โดยที่เราจะนอนบนแท่นเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราเปิดช่วงบน ช่วงอกของเรา และก็หยิบหน้ากากเราออกมาแล้วก็ใส่หน้ากากล็อคให้เรา จัดท่าวางมือให้เราเรียบร้อยพร้อมทั้งมีผ้าห่มกันรังสีหนักๆ วางบนตัว ส่วนที่ไม่ได้ฉายด้วย การฉายแสงก็ไม่มีอะไรมาก พอเจ้าหน้าที่จัดท่านอนให้เราเสร็จก็จะเลื่อนเตียงให้เรา แบบ สูงมาก กระโดดลงมามีเจ็บอ่ะ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าห้ามขยับนะ นอนนิ่งๆนะ หลังจากนั้นก็ปิดไฟแล้วออกจากห้องไป เครื่องก็จะอื๊ดๆ ลงมาชิดเราเรื่อยๆ ใกล้มาก เราแอบเปิดตามองลำแสงที่ปล่อยมาจากเครื่อง เป็นเหมือนผ่านกระจก สี่เหลี่ยมใสๆ ออกมา ไม่เห็นแสง แต่ได้ยินเสียง อี๊ดๆอ๊าดๆ เหมือนปรับแสง ซัก ห้านาที ยังไม่ทันคิดฟุ้งซ่านอะไรเครื่องก็เลื่อนมาข้างๆ หรือด้านหลังไม่รู้ เหมือนว่ายิงข้างหลังด้วย ครั้งแรกที่ฉายรู้สึกกลัวแต่พอเสร็จแล้ว ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเสร็จ เพราะไม่เจ็บ แต่รู้สึกร้อนๆนิดๆบริเวณที่โดนฉายเท่านั้น หลังจากเครื่องเงียบไปได้ 1-2 นาที เจ้าหน้าที่ก็เข้ามา แบบคุยเล่นกัน เปิดไฟ ปล็ดล็อกหน้ากากใส่เสื้อผ้า ยกเตียงลง เป็นอันเสร็จพิธี ชอบมาก เพราะแทบไม่รู้สึกอะไร แถมตอนฉายได้ยินเสียงเพลงแว่วๆอีก ชิลมากค่า
จุดนัดพบ ตอนที่เจ้าหน้าที่เรียก เพื่อเป็นฉายรายต่อไป ให้วางข้าวของตรงนี้
ลายผนังรูปบอลลูน มีสีสัน ระหว่างยืนรอตรงทางเข้าไปฉายแสง
บริเวณสีเหลือง คือ บริเวณที่โดนรังสี หมอบอกว่า ถึงแม้ก้อนจะมีอยู่แค่ฝั่งขวาฝั่งเดียว แต่เวลาทำก็ต้องกินบริเวณทั้งสองข้างของปอดไปด้วย ที่โดนแน่ๆตรงๆ คือ หลอดอาหาร ก็ให้กักตุนเสบียงไว้เยอะๆ เผื่อครั้งหลังๆโดนแสงแล้วอาจจะกินไม่ได้ สีแดงๆด้านล่างคือหัวใจ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม รูปนี้หัวใจเราเบี้ยวมาด้านล่าง หมอบอกไม่ต้องกังวล เพราะ เป็นแค่รูป ของจริงไม่ได้เป็นแบบนี้ และรูปนี้หมอตีเสกล รอบก้อนเนื้อ เพิ่ม 1 CM เพราะว่าเผื่อเวลาฉายแสง เจ้าหน้าที่ หรือ เราอาจขยับผิดท่า ทำให้ผิดเสกลไม่โดนก้อนมะเร็ง หมอเลยเผื่อ คลาดเคลื่อน 1 CM. และหมอก็ชม ว่าดีนะ ที่เอา ผล PET SCAN มา ทำให้หมอเห็นหัวใจชัดขึ้น เลี่ยงไปได้เยอะเลย ไม่ให้วางสเกล โดนรังสี เพราะถ้ามาแค่ CT SCAN หมอไม่เห็น อาจโดนหัวใจมากกว่านี้ แต่หมอบอกว่า แค่หัวใจช่องบน ไม่น่าเป็นอะไรมาก ถ้าโดนล่างซ้ายน่าเป็นห่วงกว่า เพราะ เป็นตัวปั๊มเลือดออกจากหัวใจเลย
Tips. 1. ถ้าเส้นที่เจ้าหน้าที่ขีดให้จางก็บอกเขา เดี๋ยวเขาเรียกไปขีดใหม่ แต่ถ้ามีหน้ากากแล้ว บางทีไม่จำเป็นต้องใช้ 2. เส้นที่ขีด สามารถหายไปเองได้ โดยที่เราไม่ถูสบู่ตรงเส้นด้วยซ้ำ เพราะแค่โดนน้ำทุกวันก็จางแล้ว ของเรา ประมาณ อาทิตย์นึง ก็จางแล้วและหมอบอกว่าไม่ต้องขีดเพิ่ม เพราะมีหน้ากากอยู่แล้ว ดีใจจุง อิอิ 3. บางคนมีแผลพองๆ แสบๆ บริเวณเส้น ให้ ลองปรึกษาหมอดู เพราะบางทีคุณอาจแพ้ หมึกเคมี ที่เค้าเขียนให้คุณ บางคนใช้พู่กันเขียน บางคนใช้ปากกาเชียน แนะนำว่าใช้ปากกาเขียนดีกว่า เพราะคนแพ้ไม่เยอะ 4.เวลาไปหาหมอฉายแสง อย่าลืมเอาแผ่น CD CT SCAN หรือ PET ไป เอาฟิมล์ไปไม่มีประโยชน์ โดยหมอบอกว่า แผ่น CD ที่สำคัญ คือ แผ่น CD ที่ทำการแสกน ก่อนเริ่มรักษาตัว และแผ่น CD ที่แสกนล่าสุด
ติดตามเรื่องราวและ Tips สุขภาพดีๆได้ที่ FB Page : เรื่องจริงกะเบลล์ Jingabell
https://www.facebook.com/cancerfreeforever/
Create Date : 24 มกราคม 2557 |
Last Update : 11 เมษายน 2559 12:19:30 น. |
|
6 comments
|
Counter : 7449 Pageviews. |
|
|
|
P.S. ขอชื่นชมว่า เก็บรายละเอียดของเรื่องได้ดี และละเอียดมว๊ากค่า