น้ำตาของครู(เรื่องเศร้าเรืองแรก)
ข่าวร้ายเรื่องแรกมีมา..ในตอนที่เรากลับถึงคอนโด หลังจากไปหาหมอ... พนักงาน รปภ.ที่เป็นคนนำรถไปเก็บเข้าที่ แจ้งว่า..มีคนมารอพบพ่อ...อยู่ที่บริเวณ front ของคอนโด เมื่อเราเข้ามาด้านใน..จึงพบว่าคนที่มารอพบพ่อ คือครู...ซึ่งเป็นครูสอนรำไทยและดนตรีไทยให้ขวัญตั้งแต่เด็ก สภาพของครูดูอิดโรย...เหนื่อยล้า..ตาแดงก่ำ ตัวเปียกและมีกลิ่นโคลน.. พ่อรีบพาครูกับลูกสาว และญาติๆที่มาด้วยขึ้นมาอาบน้ำ โดยให้ครูกับลูกสาวอาบน้ำในห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องที่ ป้าแดงใช้เตรียมอาหาร... ส่วนญาติ ๆ ครูที่เป็นผู้ชาย พ่อให้ไปอาบน้ำในห้องพ่อ
ป้าแดงพาขวัญกลับห้องเพื่ออาบน้ำและทานยา ในระหว่างที่ขวัญกับป้าแดงอยู่กันตามลำพัง เราก็เลยคุยกันว่าสาเหตุที่ครูเป็นแบบนั้นน่าจะมาจากเรื่องอะไร ถ้าเดาว่าเป็นเรื่องน้ำท่วมก็ไม่น่าจะใช่ เพราะครูเตรียมความพร้อมในเรื่องน้ำท่วมเป็นอย่างดี ครูและลูกสาวซ้อมอพยพเมื่อน้ำมา.. ครูแพ็คของที่สำคัญทุกอย่างในบ้าน..รวมถึงชุดไทย เครื่องดนตรีไทย แม้แต่หุ่นพ่อแก่ ครูก็นำขึ้นไปบนที่สูง และแน่ใจได้ว่าน้ำจะขี้นไม่ถึง สีหน้าและท่าทางของขวัญคงบ่งบอกถึงความกังวล จนป้าแดงรู้สึก และบอกให้ขวัญทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เพราะถ้าพ่อจับได้ว่าขวัญกังวล ขวัญอาจจะไม่ได้ฟังเรื่องราวจากปากครูเอง เพราะพ่อคงไม่อนุญาตแน่ๆ
หลังจากทุกคนทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย เราจึงมีโอกาสได้นั่งคุยกันในห้องพ่อ ครูเล่าให้ฟังว่า...ในวันที่น้ำเข้ามา... ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก ๆนั้น ครูคิดอะไรไม่ออก...ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ตอนแรกก็คิดถึงพ่อกับขวัญเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ฉุกละหุกมาก..ทำได้ดีที่สุดคือ หอบเสื้อผ้าคนละ2-3 ชุด แล้วไปอยู่บ้านญาติ ของเพื่อนบ้านที่สระบุรีตามคำชวน โดยคิดว่าที่บ้านไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะทุกอย่างถูกแพ็คเก็บขึ้นที่สูงเรียบร้อยแล้ว ครูอยู่ที่นั่นด้วยความอึดอัดพอสมควร เนื่องจากไม่ใช่ญาติ ประกอบกับครูมีสุนัข 3 ตัว ยิ่งทำให้เกรงใจเจ้าของบ้านมากยิ่งขึ้น ครูเล่าว่าต้องขังสุนัขไว้และนำออกมาทำธุระ ในตอนเช้า...และขังไว้เหมือนเดิม
จนกระทั่งวันนี้ครูได้ทราบข่าวว่าน้ำในพื้นที่ ได้ลดระดับลงบ้างแล้ว ครูจึงโทรศัพท์บอกให้ญาติ ไปรับที่สถานีรถไฟซึ่งครูจะมาถึงในตอนเช้ามืดของวันที่ 16 โดยคิดว่าน้ำลดลงแล้วแบบนี้จะเข้าไปขนสิ่งของสำคัญ ที่สามารถขนออกมาได้...และจะรีบกลับสระบุรี เพราะทิ้งสุนัขไว้ตั้งแต่ตีสามเพื่อมาขึ้นรถไฟ
พอเล่ามาถึงตรงนี้...ครูเริ่มมีน้ำตา.. แล้วเล่าต่อว่า...เมื่อเข้าไปถึงที่บ้าน.. ครูแทบเป็นลม... สิ่งของที่ครูคิดว่าได้ยกไว้สูงบนโต๊ะแล้ว กลับไม่มีเหลือ.. ขาของโต๊ะวางของโดนน้ำทำให้ทรุดตัวลง ทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะไหลลงมาอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นระนาด ฉิ่ง ขิม (รวมถึงของขวัญด้วย) เครื่องประดับที่ใช้ในการแสดง ไม่เว้นแม้แต่หุ่นพ่อแก่ที่พวกเราต้องไหว้ครูทุกปี ขุดไทยที่แขวนไว้บนผนัง น้ำท่วมถึงครื่งเอว... เล่าได้เท่าที่น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลเป็นทางยาว คำเดียวที่ครูพูดได้คือ หมดตัวแล้ว ขวัญนั่งน้ำตาไหลอยู่ข้างพ่อ.. โดยมีป้าแดงกอดครูไว้..
ครูต้องกลับสระบุรีด้วยรอยน้ำตา ขวัญกับพ่อหมดทางจะดึงครูให้อยู่กับเรา เพราะที่นี่ห้ามมีสัตว์เลี้ยงโดยเด็ดขาด พ่อสัญญากับตัวเองว่าจะหาบ้านเช่าให้ได้เร็วที่สุด เพื่อที่ครูจะย้ายกลับมาอยู่ใกล้ ๆ เรา ขวัญกับพ่อและป้าแดงรู้ดีว่าเมื่อไม่มีงานสอน ครูก็ไม่มีรายได้อะไรเพื่อเลี้ยงตัว.. ลูกสาวครูก็กำลังเรียน. สามีครูก็เลิกรากันไปนานมากแล้ว ก่อนครูจะกลับพ่อให้เงินครูติดตัวไว้ หนึ่งหมื่นบาท ครั้งแรกครูจะไม่รับ... พ่อบอกว่าถึงจะไม่ใช่เงินมากมายอะไร แต่ก็ขอให้ครูเก็บไว้จนกว่าจะย้ายมาอยู่ใกล้กัน
คนรอบข้างขวัญหลายคนที่ต้องพลัดบ้าน ต้องหยุดงาน.. แต่ครูอาจจะต้อง..หยุดเลย... เพราะหมดสิ้นเครื่องมือหากินทุกอย่าง ขวัญกับพ่อ...ไม่ลำบากที่จะเลี้ยงดูครู จนกว่าลูกสาวของครูจะเรียนจบ ไม่ลำบากเลย..ที่จะให้ทุนครูในการ ประกอบอาชีพต่อไป...
แต่คนอีกกี่แสนคน.. ที่เมื่อน้ำแห้งแล้ว อย่าว่าแต่อาชีพที่ต้องสูญสิ้นเลย เมื่อหมดสิ้นภาวะน้ำท่วม คนเหล่านั้นยังไม่รู้เลยว่า จะเอาบ้านที่ไหนอยู่.... ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป...กับตัวเอง..และครอบครัว
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2554 |
|
10 comments |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2554 0:48:24 น. |
Counter : 902 Pageviews. |
|
|
|
เราพูดเสมอๆ ว่า คนมีรายได้เรียกว่าทำงานหนัก
ก็ต้องเหนื่อยมาทำงานกันช่วงที่น้ำยังเยอะก็คือต้องเดินทาง
ลำบากลำบนมาทำงาน ใช้เวลามากกว่าปกติ
แต่ยังดีว่าต้องทำงานและยังได้เงินเดือน งานไม่หาย
แต่ว่าคนหาเช้ากินค่ำ และต้องทำการค้าแบบว่า
ต้องอาศัยเงินรายวันแบบเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
นี่ล่ะค่ะที่สาหัสนัก...
เงินที่ รบ.ช่วยเหลือก็เป็นแค่เพียงส่วนนิดหน่อยเท่านั้น
แต่ว่าภาวะจิตใจกับการสูญเสียและอพยพมันคงไม่มีอะไร
มาทดแทนกันได้จริงๆ นะค่ะ ..
ฟังแล้วอ่อนหัวใจตามไปด้วยค่ะ