ตุลาคม 2551

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
นอนโรงพยาบาลครั้งแรก ... ภาคจบค่ะ
หายไปหลายวัน หลังจากเล่าเรื่องบนเตียง (คนไข้) ภาค 1 ไปแล้ว
ช่วงนี้ งานหนาแน่นผิดหูผิดตา เลยไม่ค่อยว่างเข้าบล็อค เอ้า.. เล่าต่อเลยแล้วกันนะคะ

วันที่ 3 ... หลังจากเจี๋ยน
28 สิงหาคม… พยาบาลเข้ามาตรวจวัดไข้และความดันแต่เช้า เรายังลุกไม่ขึ้น ได้แต่พลิกตัวไปมา
พอสายๆ หมอก็เข้ามาตรวจ “เป็นไงบ้าง … ดูหน่อยซิ … อืม.. ผายลมบ้างไหม เดี๋ยววันนี้ลุกเดินได้แล้วนะ”
พยาบาล : “เดี๋ยวจะมาถอดสายฉี่ให้นะคะ” สักพักก็กลับมาพร้อมกระโถนสแตนเลส แล้วก็น้ำยาอะไรเยอะแยะ
“ยกก้นขึ้นหน่อยค่ะ… นิดเดียวนะคะ ถอดสายออกแล้วจะได้ลุกเดินสะดวกๆ”
ตอนถอดสาย ก็ เรด R ไม่แพ้ตอนใส่นั่นแหละค่ะ แต่ง่ายกว่า เร็วกว่า ไม่เจ็บ แต่ มันแปร้บบบบบ…..
“จะเอาสายน้ำเกลือออกให้นะคะ ….” พยาบาลค่อยๆ ดึงเข็มออกจากหลังมือ เอาผ้าก๊อซมาปิด

เราค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น อีตอนลุกขึ้นนั่งนี่ มันเจ็บบบบ มาก เพราะตึงที่แผลค่ะ พยาบาลบอกว่า แผลผ่าตัดยิ่งลุกเดินได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหายเร็วเท่านั้น
พยาบาล : “ต้องลุกเดินบ่อยๆนะคะ ถ้านอนมากๆ ท้องจะอืด แล้วไม่ดีกับแผล”
คงจะจริงค่ะ ความที่เมื่อวาน เราลุกไม่ขึ้น ได้แต่พลิกไปพลิกมาบนเตียง รู้สึกว่าท้องเริ่มอืดหลามมาถึงลิ้นปี่เลย ทรมานมาก ถ่ายก็ไม่ถ่าย ผายลมก็ไม่ออก ทั้งที่รู้สึกมีลมครืดคราดอยู่ในท้อง
เวลาไปชิ้งฉ่อง ตอนลุกขึ้นจากเตียง มันเจ้บบบบ พอลงจากเตียงแล้ว ก็ค่อยๆ ประคองท้องตัวเองเดินกะด๊อกกะแด๊กไปห้องน้ำ ถามว่าตอนเดินเจ็บแผลไหม? แปลกค่ะ ไม่เจ็บนะคะ แต่แสบแผลมาก แสบเหมือนเราเอาแอลกอฮอล์ลาดไปที่แผลอยู่ตลอดเวลา แต่จะมารู้สึกเจ็บแผลมากๆอีกที ก็ตอนหย่อนตัวนั่งเก้าอี้นี่แหละค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง กะลังหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ ก้นยังไม่ทันแตะพื้นเลย ก็ต้องเด้งตัวขึ้นยืนตรงทันที “โอ้ยยยย….” มันเจ็บจี๊ดดด เลยค่ะ นั่งไม่ลง แต่ก็ต้องค่อยๆ ฝืนนั่งลงไปใหม่

เที่ยงวันนี้ หมอเริ่มให้เราทานอาหารมื้อแรกหลังจากอดมา 2 วัน
ปกติเมื่อเราถูกวางยาสลบ อวัยวะต่างๆ ในช่องท้องจะหยุดทำงานชั่วคราว โดยเฉพาะระบบย่อยอาหาร ดังนั้น มื้อแรกก็เลยต้องเป็นอาหารอ่อนก่อน อ่อนมากๆค่ะ มีน้ำซุปรสออกเค็มๆ 1 ชาม กะ น้ำขิงว๊าน หวาน 1 แก้ว (ที่บอก ว๊าน หวาน น่ะเพราะเราไม่ชอบทานหวาน)

บ่ายวันนั้น เราก็เริ่มผายลม มันโล่งค่ะ ค่อยคลายอึดอัดไปได้หน่อย
ทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาตรวจ ก็จะถามซ้ำๆ กัน “ฉี่กี่ครั้ง ถ่ายกี่ครั้ง” เราก็เลยต้องคอยจำไว้ว่า วันนี้ฉี่กี่รอบ ฉี่มากฉี่น้อย แต่เรื่องถ่าย เราไม่รู้จะเอาอะไรมาถ่าย เพราะยังไม่มีอาหารตกลงท้องเท่าไหร่

อีกอาการหนึ่งที่เราเป็นตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัด คือเจ็บคอ เคยอ่านในคู่มือการเตรียมตัวในการผ่าตัดที่ทางโรงพยาบาลแจกมาให้อ่าน เขาบอกว่า ถ้ามีอาการเจ็บคอ ให้หาหมอนหรืออะไรมากดที่แผลไว้ กันแผลแยก แล้วหายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง จากนั้นก็ฝืนไออกมา ก็จะหาย แต่เราไม่เอาด้วยหรอก ทนเจ็บแผลไม่ไหว แค่หัวเราะก็น้ำตาเล็ดแล้ว เรื่องไอ เรื่องจามนี่ระวังสุดๆ เลยค่ะ บอกเคล็ดลับให้ เผื่อเพื่อนคนไหน ดวงดีมีโอกาสได้ผ่าตัดกะเขามั่งจะได้เอาไปใช้ พอรู้สึกเริ่มระคายคอจะไอ เราก็กินเม็ดอมสมุนไพรเข้าไป 2-3 เม็ด พอใส่ปาก อมนิดๆ ให้พอออกรสแล้วเคี้ยวเลยค่ะ ค่อยๆ เคี้ยวเบาๆ ช้าๆ ไปเรื่อยๆ ชะงักเลยค่ะ ไม่กระแอม ไม่ไอ ตอนแผลใหม่ๆ ถ้าเราไม่ได้เม็ดอมสมุนไพรนี่สงสัยจะแย่ เม็ดอมพวกนี้หาซื้อง่ายค่ะ ใน 7-eleven ก็มีขาย ขวดละ 12 บาท มีทั้งรสส้ม รสมะนาว รสบ๊วย นี่เห็นในบุญคุณที่เม็ดอมช่วยเราไม่ให้เจ็บแผลนะ ก็เลยช่วย PR ให้

วันที่ 4 ...
29 สิงหาคม…. ตื่นแต่เช้า หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็พยายามนั่งชักโครก เพราะอยากถ่ายเป็นกำลัง มันอึดอั๊ด อึดอัด ไม่ยอมถ่ายมาหลายวันแล้ว (มิน่า เขาถึงเรียกว่า ถ่ายทุกข์ เพราะถ้ามันไม่ถ่าย มันก็ทุกข์จริงๆ) นี่ยังดีนะ ที่ยังผายลมบ้าง ไม่งั้นตายแน่

เช้านี้ เราเริ่มได้ทานอาหารที่เป็นเนื้อเป็นหนังกับเขาแล้ว มีข้าวต้มทะเล ของโปรด เสร็จแล้วก็ลงจากเตียงมาเดินยืดเส้นท้อง จ๊ากกกกก… แสบแผลอีกแล้ว ถ้าใครมาเห็นเราตอนนี้ ต้องคิดว่ามาคลอดลูกแน่เลย เพราะเวลาเดินต้องเอามือประคองท้องไปด้วย โอยไป… โอยมา
“วัดไข้ วัดความดันหน่อยค่ะ” เจ้าประจำค่ะ พยาบาลเข้ามาตรวจวัดไข้รายวันแล้ว “ฉี่กี่ครั้ง ถ่ายกี่ครั้ง… ฉี่ปกติดีไหมคะ แสบไหม… เดินเยอะๆนะคะ เดินรอบๆ เตียงก็ได้ค่ะ จะได้หายเร็วๆ”
เราเป็นเด็กว่าง่ายค่ะ พอพยาบาลกลับออกไป ก็ตะเกียดตะกายลงจากเตียงมาเดินวนไปวนมา ยังกะเดินจงกรมรอบห้องอีก
บ่ายๆ ก็มีญาติพี่น้องมาเยี่ยม หอบหิ้วนมบ้างแบรนด์บ้าง วางไว้เต็มตู้ น่าเปิดร้านขายซะจริงๆ

ค่ำๆ ก็มีเพื่อนที่ทำงานไปเยี่ยมอีกชุดหนึ่ง ที่มาเยี่ยมค่ำๆ เพราะที่ทำงานอยู่ไกลค่ะ แถวๆเพลินจิต กว่างานเลิกก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็น ส่วนเรานอนป่วยอยู่โรงพยาบาลแถวปากน้ำ (สมุทรปราการ) กว่าเพื่อนๆจะขับรถฝ่า Traffic มาได้ก็เล่นเอา แฮ่กเหมือนกัน ตกใจกะซึ้งใจค่ะ ที่เพื่อนมาเยี่ยม ไม่คิดว่าจะมีน้ำใจ + มานะขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะมากันถูกด้วย เพราะแต่ละคนไม่เคยมาย่านนี้เลย แล้วก็มาเฉลยที่ ระบบแผนที่นำทางของรถค่ะ เพื่อนบอกว่า เราจะไปไหน ก็ set ชื่อเข้าไป ระบบมันก็จะบอกให้เรารู้ว่า ตั้งอยู่ตรงไหน ใช้เส้นทางไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปกี่กิโล แหม มันทันสมัย + รวยจริงๆเพื่อนเรา มีกะตังซื้อระบบแผนที่นำทางมาติดในรถด้วย ตั้งใจว่าไปทำงานได้เมื่อไหร่ จาไปขอดูความทันสมัยของมันซะหน่อย

วันที่ 5 ... กลับบ้านได้แว้ว
30 สิงหาคม…. วันนี้หมอลงตรวจสายหน่อย เพราะเป็นวันเสาร์ (เกี่ยวกันไหมเนี่ย)
หมอ : “อืม… ดีขึ้นแล้วนะ ผายลมบ้างหรือเปล่า… เดี๋ยววันนี้กลับบ้านได้นะ …หมอจะเปลี่ยนพลาสเตอร์ไปให้ เป็นพลาสเตอร์กันน้ำ จะได้อาบน้ำได้ …นี่เป็นไหมละลาย ไม่ต้องตัดไหม”
สักพัก พยาบาลก็มาทำแผล เปลี่ยนพลาสเตอร์ เป็นพลาสเตอร์ใส กันน้ำเข้าแผล ตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัดมา เราไม่เคยเห็นแผลของตัวเองเลยว่ายาวแค่ไหน เพราะมีผ้าก๊อซขนาดใหญ่ปิดทับไว้ ตอนพยาบาลทำแผล ก็เลยถามเขาว่า แผลยาวไหม …เย็บกี่เข็ม
พยาบาล : “…อืม ตอบไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหมอเขาเย็บหลายชั้น ชั้นนอกนี่หมอจะค่อยๆ สะกิดให้ติดกันเท่านั้นค่ะ มองไม่ออกหรอก เป็นรอยกรีดนิดเดียวเอง”

แรกๆ เรามองไม่เห็นแผลหรอกค่ะ เพราะแผลมันตึง ก้มตัวลงไปดูไม่ไหว รู้แต่ว่า หมอผ่าที่ท้องน้อย เป็นแนวยาวขวางลำตัว ไม่เหมือนสมัยก่อน เขาจะผ่าจากสะดือลงไปถึงท้องน้อยเป็นแนวตั้ง (ตอนแม่เราผ่าคลอดน้องชาย ต้องผ่าแบบนี้) ซึ่งเราว่ามันต้องเจ็บมากเลย เพราะเวลาลุกขึ้นนั่ง ลำตัวมันจะพับ แผลผ่าตัดก็จะงอไปตามตัว โอ้ย แค่คิดก็เจ็บแล้ว เดี๋ยวนี้ เขานิยมผ่าแนวขวางตัวใต้เข็มขัด เรียกว่า แผลหายสนิทแล้ว ใส่ทูพรีสเล่นน้ำทะเลได้เลย ก่อนจะเขียนบล็อควันนี้ หยิบเอาสายวัดมาวัดแผลดู ยาวเอาเรื่องเหมือนกัน เกือบ 15 เซ็นแน่ะ ตอนนี้ถึงแผลข้างนอกจะหายแล้ว แต่ก็ยังต้องรักษาข้างในต่อไปอีก หมอห้ามไม่ให้ยกของหนัก หรือมีกิจกรรมทางเพศ 3 เดือน แล้วก็ยังนัดให้ไปตรวจดูอาการเดือนละครั้ง

จำที่เคยเล่าให้ฟังตอนแรกได้ไหม ว่าก่อนผ่าตัด พยาบาลต้องโกนขนหน้าท้องเรื่อยไปจนถึงน้องสาวให้ นั่นแหละๆ ตอนนี้ผมน้องเริ่มยาวแล้ว คุณขา… เคยมีประสบการณ์ตอนตัดผม แล้วเศษผมที่ตัดหลงเข้าไปในคอเสื้อ แล้วมันแทงคอไหม มันหยุกหยิก จิ๊ดจ๊าด แสบๆ คันๆ ชวนเสียอาการแบบนั้นเลยค่ะ ถ้าอยู่ในห้องส่วนตัวก็พอจะหาวิธีบรรเทา แต่ท่ามกลางต่อหน้าฝูงชนนี่มัน ทรมานสุดๆ

จบแล้วค่ะ สำหรับประสบการณ์น้อยนิด จากแพ๊คเกจ 5 วัน 4 คืน ในโรงพยาบาล ขอบคุณสำหรับกำลังใจทุกดวงที่มีให้ ขอบคุณในความห่วงใยของเพื่อนๆ ซึ่งบางคน ก็ส่งไปให้ถึงขอบเตียงเลยค่ะ


คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ





Create Date : 14 ตุลาคม 2551
Last Update : 14 ตุลาคม 2551 11:01:25 น.
Counter : 806 Pageviews.

7 comments
  
แวะมาอ่านประสบการณ์การนอนโรงพยาบาล ภาคต่อ ของคุณน้ำตาลค่ะ

ปล.วันนี้ได้เจิมบล็อกคุณน้ำตาลด้วย

หายไว ๆ นะคะ
โดย: payun-sai วันที่: 14 ตุลาคม 2551 เวลา:11:47:18 น.
  
อธิบายได้เห็นมุมมองแปลกๆมากเลยครับ

ทำให้เห็นในอีกหลายมุมดี

โดย: จอมยุทธเฮง วันที่: 14 ตุลาคม 2551 เวลา:19:34:19 น.
  
มาให้กำลังใจคุณน้ำตาลค่ะ หายป่วยเร็วๆ นะคะ ส้มก็เพิ่งว่างจากงานมาอัพบล็อกเหมือนกันค่ะ รู้สึกว่าแวะเวียนไปบล็อกไหนก็ดองกันไว้ทั้งนั้นเลยนะคะ
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 14 ตุลาคม 2551 เวลา:20:59:03 น.
  
โอววววว....อ่านแล้วไม่อยากป่วยเข้าโรงพยายบาลเลยอ่ะ

ทรมานเน๊อะคะ

555+ เล่าซะละเอียดเลย มีขนทิ่มๆด้วย...อ่ะจ๊ากกกกก


ขอให้แข็งแรงๆนะคะ พี่นิ่ม
โดย: unsa วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:25:35 น.
  
Just would like to thank you for your nice birthday wishes. How have you been doing these days? I hope you are doing fine and have a wonderful day :)
โดย: pink daffodil วันที่: 2 ธันวาคม 2551 เวลา:4:16:17 น.
  
โดย: สวัสดีปีใหม่คนจีนเจ้าค่ะ (yoja ) วันที่: 24 มกราคม 2552 เวลา:10:46:05 น.
  
คุณน้ำตาลบรรยายจนจะเจ็บไปด้วยเลย...ขอให้หายขาดในเร็ววันนะ
โดย: textbook (textbook ) วันที่: 15 มิถุนายน 2552 เวลา:14:08:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คุณน้ำตาล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เดิมอยู่วงเวียนใหญ่ เรียนหนังสือหนังหาอยู่ย่านฝั่งธนฯ พอโตขึ้นหน่อยก็อยากเป็นศิลปิน เลยหันเหไปเรียน Art ปัจจุบันทำมาหากินอยู่แถวเพลินจิต ย่านใจกลางเมืองที่รถติดจนอ่อนใจ
Friends Blog
[Add คุณน้ำตาล's blog to your weblog]
MY VIP Friend