ตอนประถมฉันและครอบครัวมีแอร์
เครื่องแรกในครอบครองเป็นพี่มิ
ตซูบิชิไซส์เบิ้มสีเทาดำ เราทุกคนนอนหลับสบายด้วยอุณหภู
มิขึ้นต้นด้วยเลขสอง และฉันก็ติดนิสัยการ
"นอนติดแอร์" มาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (แม้จะมีบางช่วงปีของชีวิตที่ต้
องห่างแอร์ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยมาก) จนมาช่วงนี้ที่ชีวิตดูดีมีคอนโด แต่ไม่มีเงินผ่อน อะไรที่ประหยัดได้ก็อยากช่วยตั
วเองประหยัด ฉันเลยทดลองปรับนิสัยตั
วเองจากการนอนติดแอร์ มาเป็นการขยับชิดและขอคืนดีกั
บพัดลม ในช่วงแรกของชีวิตทดลองถือว่
าโชคดี เพราะมีลมหนาวจากที่ไหนก็ไม่รู้
มาช่วยให้ค่ำคืนเย็นยะเยือกขึ้
นได้ แต่พออากาศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อุณหภูมิประเทศอยู่ในจุดที่
ควรจะเป็น ทำให้การนอนกับพัดลมเริ่
มทรมานมากขึ้น จนฉันตบะแตกกลับไปใช้บริการพี่
แอร์อยู่หลายคืน
จนเมื่อไม่กี่วันมานี้ลองช่วยกั
นคิดกับตัวเองดูว่า เราในฐานะคนเมืองร้อนจะเอาตั
วรอดในค่ำคืนที่เป็นอุณหภูมิ
ปกติของเมืองร้อนอย่างไรได้บ้าง สุดท้ายก็สรุปมาได้เป็นกลยุทธ์
ง่ายๆ ที่น่าจะได้ผล 4 ข้อ คือ
- ต้อง "บาง" กว่าเดิม | เปลี่ยนชุดนอนจากเสื้อยืดแขนสั้น หรือชุดนอนที่เป็นแบบฟอร์ม มาเป็นเสื้อกล้ามเนื้อผ้าบาง กับกางเกงบ็อกเซอร์ ก็ช่วยให้ร่างกายมีพื้นที่รับลมได้มากขึ้น, ผ้านวมที่เคยใช้ห่ม "กันหนาว" เวลานอนห้องแอร์ก็คงต้องเก็บไป แล้วเลือกใช้ผ้าห่ม หรือผ้านวมที่บางกว่าเดิม
- "สี" ก็มีผล | เปลี่ยนสีของผ้าปูที่นอนให้สดใสและสว่าง ก็น่าจะช่วยให้การหลับนอนดูสบายตาสบายใจมากขึ้น อีกทั้งถ้าเอาตามหลักวิทยาศาสตร์ สีโทนสดใสมันจะไม่ดูดความร้อนมากักเก็บเอาไว้ อย่างตอนนี้ฉันเลือกผ้าปูที่นอนเป็นสีเหลืองครีมๆ ไม่มีลายอะไรมาสร้างความรกความร้อน ก็นอนได้สบายดี
- อุปกรณ์ส่งเสริมความเย็น | สำหรับฉันไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าการทาแป้งตรางูสูตรออริจินอล (ดีไซน์กระป๋องเวอร์ชั่นคลาสสิก) ช่วงที่ดีที่สุดในการทาคือหลังอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวไม่ต้องให้แห้งมาก จากนั้นก็ลงแป้งไปตามจุดที่พึงประสงค์ แป้งเมื่อเจอน้ำมันก็จะเหนียวๆ ติดตัว ขับความเย็นออกมาได้ดีกว่าทาแห้งๆ (ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนะ) พอแป้งเริ่มหมดฤทธิ์ก็สามารถเติมได้ไม่จำกัดครั้ง
- สังเกตโลก | หลีกเลี่ยงการปะทะกับแสงร้อนแรงของดวงอาทิตย์โดยไม่จำเป็น แต่กับพนักงานบริษัทอย่างเราจะให้ไม่ออกจากบ้านมาทำงานก็คงไม่ได้ ก็เลยลองคิดใหม่เป็นว่า งั้นขอออกไปทำงานในเวลาที่แสงแดดมันยังไม่ "ร้อนแรง" แทนก็แล้วกัน ดังนั้น ฉันจึงพยายามตื่นให้เช้าขึ้น สิ่งที่ได้ตามมาโดยไม่ได้คิดเอาไว้ก่อน ก็คือความไม่เร่งร้อนทางใจ เพราะการออกจากบ้านเช้าทำให้เรามั่นใจแน่ๆ ว่าไปทำงานไม่สาย ไม่รู้สึกผิด อยากแวะซื้ออะไรก็ซื้อ อยากแวะกินอะไรก็ได้ รถเมล์ขับช้าเราก็ไม่บ่นอะไร เดินทางแบบนี้ก็ดี เย็นทั้งตัว เย็นทั้งใจ
นอกจากนี้ การได้ทดลองไม่นอนติดแอร์ดูบ้าง ทำให้ฉันพบข้อสั
งเกตบางประการของการนอนห้องแอร์ คือ เราจะรู้สึกเย็นชุ่มฉ่ำหัวใจก็
ในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกของการเปิดแอร์ ซึ่งอันที่จริงถ้าเป็นคนที่เปิ
ดแอร์ก่อนนอนอยู่แล้ว เราก็จะได้หลับใหลไปกับความเย็น แต่ถ้าเกิดเราเปิดแอร์แล้วแต่ยั
งไม่นอน มันจะมีช่วงหนึ่งที่แอร์ตัด (มั้ง) เราจะรู้สึกถึงความร้อนสลับเย็
นน่าเวียนหัว จากนั้นเราก็จะหลับ และตื่นมาด้วยความรู้สึกเย็นแม้
จะปิดแอร์แล้ว เราจึงต้องอาบน้ำตอนเช้าโดยเปิ
ดเครื่องทำน้ำอุ่นช่วยปรับอุ
ณหภูมิร่างกายลงมาให้ปกติ นั่นก็เท่ากับว่าเราเสียค่าไฟ 2 ต่อ ให้กับความ "อยากเย็น" และ "อยากร้อน" ของตัวเราเอง
ฉันกำลังจะค่อยๆ ปรับอุณหภูมิชีวิตตัวเองให้กลั
บมาอยู่ที่อุณหภูมิห้อง ที่ที่เราจะไม่อยากร้อน ไม่อยากหนาว ไม่ถูกทำให้หนาว และไม่ถูกทำให้ร้อน อุณหภูมินี้มันติดตัวเรามาตั้
งแต่วันที่เราเกิดมาเป็นบุตรธิ
ดาแห่งประเทศเขตร้อน และมันก็คงจะเป็นแบบนี้ แถมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก
ถ้าเรายังเกิดและโต แก่และตาย กินและขี้ ปี้และนอน ในบ้านนี้เมืองนี้ ในพื้นที่เขตร้อนแห่งนี้ อย่าบ่นว่าร้อนให้เสียเวลาเลย เพราะยังไงมันก็ร้อนอยู่แล้ว