ตื่นแต่เช้า ออกจากโรงแรม มาเดินเล่นในเมืองก่อนคนอื่นจะมา
เวลานี้ ลานกลางเมือง Piazza del Duomo และ Amalfi Duomo ก็เหมือนเป็นของเราคนเดียว ฮ่าาาา
โบสถ์ถูกสร้างขึ้นตั้งแแต่ยุคกลาง (คริสตศตวรรษที่ 9-10) สร้างอุทิศให้เซนต์แอนดริว หรือ Sant'Andrea ในภาษาอิตาเลียน
ปัจจุบัน โบสถ์แห่งนี้ก็เก็บชิ้นส่วนกระดูกของเซนต์แอนดริวที่ไปได้จากคอนสแตนติโนเปิลสมัยสงครามครูเสดในศตวรรษที่ 13 ไว้ที่สุสานใต้ดิน
และด้วยความที่สร้างมานาน เลยมีการผสมผสานด้วยศิลปะหลายรูปแบบตามแต่ละยุคสมัยนิยม ทั้งอาหรับ โกธิค เรเนซองส์ บาโรค
ส่วนฟาซาด ฉากด้านหน้าอันมีโมเสกแสดงภาพ Triumph of Christ สะท้อนแสงมลังเมลืองยามเย็นนั้น เพิ่งสร้างเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง เพราะของเดิมถล่ม
ขึ้นบันได 62 ขั้น มาที่ส่วนโถงทางเข้าโบสถ์ เจอหน้าต่างโค้งเก๋ๆสไตล์อาหรับ
มาเช้าเว่อ โบสถ์ก็ยังไม่เปิดสิคะ ประตูบรอนซ์ที่เห็นสีเขียวไกลๆก็นำเข้าจากคอนสแแตนติโนเปิล มาเมื่อพันปีก่อนนู้น
ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่สดใสเหมือนเมื่อวาน ร้านรวงเริ่มเอาเก้าอี้มาวางเตรียมรับลูกค้า
Fontana Sant'Andrea น้ำพุที่ตั้งอยู่บริเวณ Piazza del Duomo
Porta della Marina ทางเข้าเมืองอะมัลฟี่ ด้านข้างมีเซรามิคแสดงแผนที่รอบทะเลเมดิเตอเรเนียน
เด็กๆกำลังลงรถเดินไปโรงเรียนที่อยู่ลึกเข้าไปในเมือง
อ่อ...เพิ่งนึกออกของดีอีกอย่างของอะมัลฟี่ คือ กระดาษ มีพิพิธภัณฑ์ให้ลองทำกระดาษแบบสมัยก่อนด้วย นึกออกเพราะอยู่ลึกเหมือนกัน แต่เราไม่ได้ไปนะ
บรรยากาศใกล้ๆท่าเรือ
ถนนด้านล่างยังโล่ง ไม่มีรถผ่าน ตอนนี้ฝนเริ่มตกแบบปรอยๆ
เลยมากินมื้อเช้าในห้องอาหารจิ๋วๆของโรงแรมดีกว่า เข้ามากินเป็นคนแรกอีก อาหารจะเป็นขนมปัง ครัวซอง ชีส แฮม ชากาแฟมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ
กินเสร็จว่าจะเดินไปเที่ยวต่อ ปรากฎว่าฝนตกหนักเลยค่ะ เวลาที่เหลือจนถึงเวลาเช็คเอาท์เลยนอนหลบฝนในห้อง
จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่หยุดซักที จำต้องเฉดตัวเองออกมา ก่อนจะโดนเก็บตังเพิ่ม
ฝ่าฝนมารอขึ้นรถไปโพสิตาโน่ เช่นเคยเห็นรถเมล์ SITA คันที่จะไปโพสิตาโน่ คนเบียดแน่นอยู่บนรถ แม้ว่าจะเป็นวันฝนตก
และเหลือบไปเห็นรถโล่งๆของ sightseeing bus ..ไม่ต้องคิดเยอะ โดดขึ้นอย่างไวเลยค่ะ จ่ายค่ารถไป 10 ยูโร สำหรับเส้นทางอะมัลฟี่-โพสิตาโน่เที่ยวเดียว
เหมือนจะแพง แต่ได้นั่งรถเหมือนเหมาทั้งคันเลย (มีผู้โดยสารตลอดทางแค่ 3 คน) ใช้เงินแลกความสบาย ไม่อยากไปทรมานบนรถเมล์อีกแล้ว
เลือกทำเลปลอดภัยที่สุดสำหรับคนขี้เมา แถวหน้าสุดไปเลยจ้า
นั่งติดด้านหลังคนขับ ฝั่งนี้จะได้เห็นวิวทะเล ถนนคดเคี้ยวและคับแคบเหมือนเดิม บางจุดรถจะติดหน่อยเพราะต้องเบี่ยงหลบทางกัน
แต่ไม่เมารถเลย เพราะได้นั่งสบายๆ ชมวิว
สังเกตหัวคนขับรถ เซ็ตทรงมาอย่างดี แสดงถึงความแต่งตัวเก่งและดูแลตัวเองของชาวอิตาเลียนมากๆ
แล้วไหนจะความมนุษย์สัมพันธ์อันเป็นเลิศอีก ตอนขับรถ ฮีก็เปิดกระจกไว้จับมือทักทายกับเพื่อนรถตู้ รถบัส รถบรรทุกที่สวนกันบนถนนแทบทุกคัน เป็นชนชาติที่ชิลดีจริงๆ
ใช้เวลานั่งรถมาประมาณ 40 นาที ก็ถึงเมืองโพสิตาโน่ (Positano)
คิดว่าน่าจะเป็นเมืองที่มีคนมาเที่ยวหนาแน่นที่สุดในกลุ่มเมืองตากอากาศแถบคาบสมุทรอะมัลฟี่แล้วล่ะ
อาคารบ้านเรือนสีสันสดใสถูกสร้างสูงขึ้นไปตามแนวผา เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้เลย เสียดายวันนี้อากาศไม่สดใสเหมือนเมื่อวาน
ข้างทางมีร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักตลอดแนว
จริงๆอยากมานอนที่โพสิตาโน่มากกว่าแต่สู้ราคาที่พักไม่ไหว ไปเจอโฮสเทลอยู่บนเขาราคา 60 ยูโรราคาเท่ากับห้องส่วนตัวในโรงแรมกลางเมืองอะมัลฟี่
จุดจอดรถสาธารณะจะอยู่บนเขา ทำให้เดินสบาย เดินลงเขาอย่างเดียว
มาทานขนมที่ร้านดังของเมือง La Zagara มีแต่ของน่ากินเต็มตู้
สั่ง Delizia al Limone เป็นเค้กสอดไส้ครีมเลม่อน ใจอยากสั่ง Limoncello เหล้าหมักเลม่อนของดีประจำท้องถิ่นมาชิม
แต่กลัวว่าจะเมาตอนนั่งเรือกลับ แล้วจัดการตัวเองไม่ได้ เลยสั่งน้ำส้มมาแทน สิ้นคิดมาก
ออกไปสำรวจโพสิตาโน่ต่อ จะเห็นว่าทางเดินต้องไต่บันไดขึ้นลงเขาแบบนี้ ถ้าต้องเดินขึ้นก็มีหอบเหมือนกัน
โบสถ์ Santa Maria Assunta
โดมของโบสถ์เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมือง
เนี่ยค่ะ... เห็นโดมกลมๆสีเหลืองๆ แล้วให้รู้เลยว่าที่นี่คือ โพสิตาโน่
เมืองสวยน่ารักจริง แต่เรากลับไม่รู้สึกอะไรกับโพสิตาโน่ซักเท่าไหร่ อาจจะใช้เวลาน้อยไปสำหรับที่นี่
ไม่รู้สึกว่า Positano bites deep แบบ John Steinbeck ว่าไว้เลย
หรือเงินอาจจะน้อยไป ไว้รวยกว่านี้จะกลับมานอนที่พักดีๆ รอดูพระอาทิตย์ตกสวยๆ ที่โพสิตาโน่ใหม่ละกัน
ลงมาถึงริมหาดแล้ว ร้านอาหารเรียงราย
มาซื้อตั๋วเรือเฟอรี่กลับไปซาแลร์โน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆก็ถึง
พอจะกลับ แดดก็เริ่มมา ให้มันได้อย่างนี้เส่ะ
พอแดดส่องเมือง อารมณ์เปลี่ยนทันที สวยเปล่งปลั่งทันตาเห็นเลยนะ
หน้าตาเรือเฟอรี่ที่จะนั่งกลับ
ตอนลงเรือ สิ่งแรกที่ถามพนักงานเรือ คือ นั่งตรงไหนนิ่งที่สุด น้องชี้กลับมาที่ตำแหน่งท้ายเรือชั้นล่าง
บ๊ายบาย Arrivederci, Positano
วิวดีงามมาก ลมดี ไม่มีเมาเรือ ตรงนี้มีโพรงเบ้อเร่อ คนที่สร้างบ้านข้างบนเค้าจะเสียวมั้ยนะ
ตอนแรกนั่งสบายมาก ทุกคนขึ้นไปนั่งด้านบนกันหมด แต่ซักพักแก๊งสูงวัยเริ่มลงมานั่งท้ายเรือด้านล่างกับเราเต็มเลย
เรือมีแวะรับคนเพิ่มที่อะมัลฟี่ ก่อนจะมุ่งกลับซาแลร์โน
บรรยากาศท่าเรือ Salerno Concordia จากท่าเรือ เดินไปไม่ไกลก็ถึงสถานีรถไฟค่ะ
น่าจะรอดจาก motion sickness ใดๆแล้ว เลยหาอาหารแแบบที่อยู่ท้องมาทานซักหน่อย แวะร้านขายของชำระหว่างทางไปสถานีรถไฟ
ได้แซนวิชไส้แฮม ชีส น้ำมันมะกอก ยาวประมาณฟุตครึ่งได้ ราคาแค่ 4 ยูโร คุณลุงกำลังประกอบแซนวิชให้หลังเคาเตอร์
มาถึงสถานีก่อนรอบรถไฟชั่วโมงนึง ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ในสถานีหรือชานชาลาไม่มีตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ดูแล เครื่องตรวจตั๋วอะไรก็ไม่มี
ขณะเรายืนว่างๆรอเวลารถไฟมา ก็รู้สึกเหมือนถูกมอง
พอหันไป เจอผู้ชายหน้าเมากำลังจ้องอยู่ (หน้าเมาคือ ตาแฉะ สูดจมูกฟุดฟิด) หน้าตาเป็นคนอิตาเลียนนี่แหละ
เราเลยย้ายตัวเองเข้าไปในฝูงชน ก็เดินตามมาอีก มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ ตอนนั้นไม่กลัวโดนขโมยของนะ เพราะไม่มีอะไรจะให้ขโมย กลัวโดนทำร้ายมากกว่า
เหมือนถูกล็อกเป้าเลยค่ะ ซักพักมีเพิ่มมาอีกคน ตอนแรกไม่นึกว่ามาด้วยกัน แต่เห็นเค้าคุยกันอยู่ แล้วคนที่มาทีหลังคือมานั่งข้างเรา เราก็ลุกหนีเปลี่ยนที่
เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ยาวนานมาก พยายามย้ายตัวเองไปอยู่กลางคนเยอะๆไว้ก่อน
จนสุดท้ายทั้ง 2 คนก็ขึ้นรถไฟท้องถิ่นเข้าเนเปิ้ลส์ก่อนรถไฟเราจะเข้าชานชาลาซัก 5 นาทีนี่แหละ
ส่วนเรา พอรถไฟมา ได้ขึ้นรถไฟเรียบร้อย ก็รู้สึกโล่งใจ ...ชั้นรอดแล้ววว...
ขอโค้กมาปลอบขวัญตัวเองหน่อย สุดท้ายก็ได้กลับโรมอย่างสวัสดิภาพ