Tokyo Blossom วันที่ 7 วันสุดท้ายในโตเกียว.. ครั้งเดียวคงไม่พอ



9 เมษายน 2555

เป็นวันสุดท้ายของทริป Tokyo Blossom แล้วค่ะ
วางแผนเที่ยวไว้หลวมๆ สบายๆ ตื่นสายๆ (จนเกือบเช็คเอ้าท์ตอน 10 โมงไม่ทันแน่ะ)
ก็เลยไปดูซากุระส่งท้ายทริปที่ สวนอุเอโนะ
เริ่มจากทางเข้าสวน



ฝาท่อก็ยังเป็นลายดอกซากุระ



ช่วงแรกๆ ดอกซากุระยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ต้นจะสูงๆโปร่งๆหน่อย



แต่พอเดินลึกเข้ามา ก็จะเจอต้นซากุระแบบที่ต้นเตี้ยกว่า แล้วดอกก็จะแน่นพรึ้บแบบนี้
สวยมากๆค่ะ อยู่ในช่วง Full Bloom เลย



แถมอากาศวันนี้ก็ดีมาก เป็นวันแรกในทริปนี้ที่ได้ถอดเสื้อหนาวตัวนอกออก อุณหภูมิประมาณ 18-20°C



ผู้คนเลยออกมาเที่ยวชมกันแน่นเลย ขนาดไม่ใช่วันหยุดนะเนี่ย



ข้างทางก็จะมีคนมาตั้งวงฉลองกันยาวตลอดแนว แก๊งนี้จัดมาเต็ม.. และแน่นอนมี 1 คนเฝ้าที่อยู่



นี่ก็อยู่ กิน นอน ที่นี่กันเลย



ถ้าสังเกต จะเก็นว่าบริเวณที่เค้ามาฉลองกันจะสะอาดมากๆเลย ไม่เห็นขยะเรี่ยราดเลยล่ะค่ะ
อย่างรูปด้านบน จะเห็นเค้ารวมขยะใส่ถุงใส่กล่องกระดาษเอาไว้ แล้วเอาไปทิ้งถังขยะที่ทางสวนจัดเตรียมไว้อีกที

ขอหนึ่งรูปกับซากุระ



มีร้านขายของเล็กๆสำหรับคนขี้เกียจเดินไปซื้อเสบียงไกลๆ



จูงหมามาเดินเที่ยวสวนกันให้เพียบ



หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในสวนอุเอโนะ ดูญี่ปุ่นๆดี ก็เลยเอาภาพนี้มาลงด้วย



เดินออกจากสวนอุเอโนะมาอีกหน่อย ก็จะมาถึง Shinobazu pond



เจอพี่ตูนบอดี้แสลมด้วยล่ะ ^^ พี่ตูนกำลังมองคุณลุงคนนึงออกกำลังกายอยู่ด้วยความทึ่ง



นี่คือ คุณลุงที่ว่า... แข็งแรงมาก แกเล่นโหนบาร์แบบ slow motion เรายืนดูตั้งนาน
มีแก๊งวัยรุ่นญี่ปุ่นมาขอทดลองทำแบบลุงบ้าง แต่ก็ไม่มีใครโหนบาร์แบบช้าๆค้างๆแบบลุงได้ซักคน



บรรยากาศรอบบึง น่านั่งเล่นมากค่ะ ดูผู้คนเดินไปมา ทำกิจกรรมต่างๆ เหมาะกับนิสัยสอดรู้ของเราม๊ากมาก
รับวาดรูปเหมือน แบบล้อการ์ตูน



ให้อาหารนก



พักผ่อนราคาประหยัด ซื้อแมคมากินพร้อมกับนั่งชมวิว



สาบานว่าไม่ได้รู้จักกับลุงคนข้างหน้านี้เลย แต่จากรูปเหมือนตั้งใจถ่ายลุงเลยอ่ะ อยู่ตรงกลางมองกล้องเป๊ะมาก
จริงๆแล้วด้านหลังคุณลุงเป็นตลาดนัดขายของ



เดินเยอะก็เริ่มจะหิว เลยเข้าร้านอาหารร้านนึงอยู่ใกล้ๆกับร้าน Sushi Zanmai ที่ไปทานเมื่อวันก่อน
แต่ไม่รู้ว่าชื่อร้านอะไร เพราะอ่านชื่อร้านไม่ออก ต้องเดินลงไปชั้นใต้ดินด้วย บรรยากาศเงียบ เป็นส่วนตัว
เมนูอาหาร เป็นเซ็ต



เราสั่งชุดข้าวไก่ทอด (ที่หน้าตาเหมือนหมูทอด) เซ็ตนี้จะมีชาหรือกาแฟเสิร์ฟให้ทีหลังด้วย



และของแฟน สั่งชุดข้าวหมูทอด (หน้าตาเหมือนไก่ทอด)



จานใหญ่มาก ส่วนรสชาติก็อร่อยแบบจืดๆไม่หวือหวา
ความคิดเรานะคะ อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะรสประมาณนี้กันหมด กลมกล่อม แต่ขาดความแซ่บ
ซึ่งถูกจริตแฟนเรามากๆ แต่สำหรับเรา..คิดถึงความแซ่บของอาหารไทยมากค่ะ

และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องลาจากโตเกียวกลับมาเจออากาศร้อนตับแลบที่ประเทศไทยอีกครั้ง
ทริปนี้เป็นทริปที่ประทับใจมากๆ ทั้งสถานที่เที่ยว บรรยากาศ ผู้คนที่ได้เจอ และคนที่ไปด้วยกัน ^^
แม้จะมีหลายที่ ที่เราพลาดไม่ได้ไป แต่ไม่เป็นไรเอาไว้แก้ตัวครั้งหน้าก็แล้วกัน ^^

คิดว่าคงต้องกลับมาโตเกียวอีกแน่นอน รอหยอดกระปุกอีกหน่อย แล้วเราคงได้เจอกันอีก

สำหรับเราแล้ว โตเกียว.. ไปครั้งเดียวคงไม่พอหรอกต่ะ




 

Create Date : 26 เมษายน 2555    
Last Update : 26 เมษายน 2555 21:18:27 น.
Counter : 2858 Pageviews.  

Tokyo Blossom วันที่ 6 เที่ยวโตเกียวแบบอู้ๆ เดินไม่ไหว ใจไม่สู้



8 เมษายน 2555

จะมีใครตั้งชื่อบลอกท่องเที่ยวได้หมดหวังแบบเราอีกมั้ยเนี่ย.. เดินไม่ไหว ใจไม่สู้
แต่วันนี้มันก็ขี้เกียจเดินจริงๆนี่นะ

วางแผนไว้ว่า วันนี้จะเป็นวันเดินเที่ยวสบายๆ หลังจากที่ 5 วันก่อน โปรแกรมแน่นเอี๊ยดมาโดยตลอด
ทำให้ร่างกายบอบช้ำไปพอสมควร โดยเฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดในการเดิน(ทาง)... เท้า

เราเป็นพวกเท้าไม่ได้มาตรฐาน คือเท้าบานและคด เวลาใส่รองเท้าปิดหัวแล้วเดินเยอะๆ ก็มักจะเจ็บเท้าเสมอ
ขนาดว่าเลือกรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดเท่าที่มีครอบครองมาใส่ในทริปนี้แล้วนะ
เป็นคู่ทุกข์คู่ยากมาหลายทริป ไม่เคยมีปัญหากับเท้าเลย แต่ทริปนี้ เรียกว่า เท้าเยินไปเลย

กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า.. เช้านี้เริ่มต้นกันด้วย โอไดบะ (Odaiba)
เป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตั้งอยู่ในอ่าวโตเกียว
ตอนเราไปนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Shimbashi แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถไฟสาย Yurikamome ซึ่งเป็นสายเฉพาะของโอไดบะค่ะ

Odaibakaihin koen ชายหาดเทียม วันนี้วันหยุดอากาศดี มีคนออกมาเดินเล่นกันมาก
สะพานที่เห็น คือ Rainbow bridge



คนจูงหมามาเดินเล่นก็เยอะนะ



เทพีเสรีภาพ



เรามีเวลาที่โอไดบะแค่แป๊บเดียว ไม่ได้ไปเข้าตึกไหนเลย แค่มาเดินเก็บบรรยากาศเฉยๆ
ตึก Fuji TV



ถัดมา ไปเที่ยวย่านชอปปิ้งที่หนาแน่นสุดๆของโตเกียวกันค่ะ
Harajuku - Shibuya
เริ่มกันที่สถานี Harajuku คนเยอะมากๆ วัยรุ่นทั้งนั้น



มาทานราเมน Kyushu Jankara Ramen ในร้านมีเมนูภาษาไทยด้วย สบายไป
มีเครื่องหลายอย่าง ชอบหมูสามชั้น คล้ายหมูพะโล้แต่รสชาติหวานกว่ามาก น้ำซุปก็เข้มข้นดีค่ะ



ข้ามฝั่งมาเที่ยว ศาลเจ้าเมจิ (Meiji shrine) ที่นี่อยู่ติดกับฮาราจูกุ แต่บรรยากาศคนละเรื่องกันเลย เงียบ และร่มรื่นมาก



จากทางเข้า เดินมาอีกไกลเลย กว่าจะมาถึงตัวศาลเจ้า ทางเดินตรงกลางจะเป็นหินกรวด เดินลำบาก
เราเลยใช้วิธีลงมาเดินข้างๆทางที่เค้าจะราดซีเมนต์เป็นขอบเอาไว้

ถังเหล้า ข้างทาง มีทั้งแบบญี่ปุ่นและอินเตอร์





ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที ในที่สุดก็เดินมาถึงด้านใน



บรรยากาศสงบ ขรึมๆ



ที่นี่น่าจะมีจัดพิธีแต่งงานแบบนี้ตลอด ดูขรึมและสงบมาก สงสัยค่อยไปฉลองต่อที่สถานที่จัดเลี้ยง



ศาลเจ้านี้คงเด่นในเรื่องการขอพรด้านการศึกษา เพราะมีแต่เครื่องรางให้สอบได้ สอบผ่านทั้งนั้นเลย
จุดแขวนเอมะ เพื่อขอพร ตอนแรกว่าจะเอามาเขียนเหมือนกัน แต่ราคาแรงไปนิดนึง



ออกมาจากวัดแล้วก็กลับมาที่ฮาราจูกุอีกครั้ง ตอนเที่ยงว่าคนเยอะแล้ว บ่ายๆนี่ยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่

Takeshita dori เกือบจะถอดใจไม่เดินเข้าไปละ



ข้างในก็มีร้านขายของวัยรุ่น เสื้อผ้า รองเท้า ร้านอาหาร ไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรมา เพราะคนเยอะมาก
อ่อ.. เราไปวันอาทิตย์บ่ายๆ ทำไมแต่ไม่เห็นคนแต่งคอสเพลย์เลยอ่ะ ไปดูที่สะพานหน้าศาลเจ้าก็ไม่เห็น

ตามรอยมากินเครป มีหลายร้านก็เลือกมั่วๆเอาร้านนึง เราเลือกร้าน Angel Heart
ร้านนี้เค้าทำแผ่นเครปสำเร็จรูปมาแล้ว แค่เอาแผ่นแป้งมาวางบนถาด แล้วเอาวัตถุดิบใส่ลงไป
แล้วก็ม้วนแผ่นเครปเป็นอันเสร็จพิธี สั่งแป๊บเดียวก็ได้มาแล้วค่ะ



ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินทะลุตรอกทาเคชิตะ ไปทะลุที่โอโมเตะซังโดะ แล้วเดินตาม Cat street ไปโผล่ชิบุยะ
แต่เอาเข้าจริงๆ เหลือแค่ย้อนกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี Meijijingumae แล้วไป Shibuya เลยค่ะ
(แอบอู้ไม่ดงไม่เดินต่อแล้ว)

แถวหน้าสถานี ชิบุย่า มาตามหาฮาจิโกะ



อนุสาวรีย์ฮาจิโกะ เจอแล้ว... คนเยอะมาก มีทั้งนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป และคนที่มานั่งรอตามนัด



มื้อเย็น เป็นข้าวหน้าปลาไหล ร้าน Unatoto มีหลายสาขา ราคาไม่แพงค่ะ
เพิ่งเคยทานปลาไหลครั้งแรก เนื้อปลาจะมันเยอะหน่อย (ถ้าให้เทียบเหมือน..ปลาสวายได้มั้ง) อร่อยดีค่ะ



คืนนี้กลับมานอนที่อุเอโนะ เพื่อจะได้ไปหาซื้อของฝากแล้วขนกลับห้องสะดวกหน่อย
Cube Ueno จองห้อง Queen จะได้มีที่จัดกระเป๋ากว้างๆ ^^





ขอจบบลอกการเที่ยวแบบเปื่อยๆ ตัดโปรแกรมเที่ยวกระจุยกระจายของเราในวันนี้ไปก่อนนะคะ

บลอกหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายสำหรับทริป Tokyo Blossom 2012 แล้วค่ะ




 

Create Date : 22 เมษายน 2555    
Last Update : 22 เมษายน 2555 17:00:46 น.
Counter : 3008 Pageviews.  

Tokyo Blossom วันที่ 5 ซากุระจ๋า..ฉันมาหาแล้วนะเธอ



7 เมษายน 2555

หลังจากเที่ยวต่างจังหวัดมาหลายวัน วันนี้จะได้เที่ยวโตเกียวกันจริงๆจังๆซะที
เป้าหมายหลัก คือ การไปดูซากุระตามจุดที่ฮอตฮิตในโตเกียวกัน
ตื่นนอนมา ชะโงกไประเบียงหลังห้อง อุ๊ยยย....

น่ารวักอ่ะ....



หลังห้องพักอยู่ติดกับ สวนสุมิดะ คุณแฟนยังไม่ตื่นนอน เราเลยลงมาดูซากุระก่อนซะเลย
บรรยากาศดีจริงๆ



ตอนยังเป็นวัยรุ่น เคยมีคนถามว่า เปรียบตัวเองเหมือนดอกไม้อะไร
เราตอบไปว่า.. ดอกซากุระ ตอนนั้นตอบเอาฮา แต่ตอนนี้เริ่มอยากเป็นเหมือนดอกซากุระจริงๆ
เพราะบานทีไรก็ทำให้คนอื่นมีความสุขทุกที



มาจองที่ฉลองกันแต่เช้าเลย



ช่วงที่เราไปเที่ยว บรรยากาศรอบตัวดูทุกคนจะชื่นมื่นไปหมด มีคนออกมาเที่ยวกับครอบครัว เพื่อน คู่รัก
และอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้า (ชัดเจนมาก ถ้าอยู่ในรถไฟใต้ดิน)

จนตอนแรกอยากจะตั้งชื่อตอนนี้ว่า ..โตเกียวในส่าเหล้า..



สำหรับการเดินทางในวันนี้และพรุ่งนี้ เราใช้ Tokyo Metro 2 Day Pass ราคา 980 เยน
คุ้มมาก ใช้วันเดียวก็เกินราคาแล้วค่ะ

ที่ต่อมา... ศาลเจ้ายาสุกุนิ (Yasukuni shrine) ขอข้ามประวัติความเป็นมานะคะ เพราะไม่รู้ แหะๆ
ทางเดินเข้าจะมีร้านอาหาร ร้านเกมตั้งอยู่ 2 ข้างทาง เหมือนงานกาชาดงานฤดูหนาวเปี๊ยบค่ะ
คนมาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มสูงวัยหน่อย



สายๆ ยังไม่มีคนมานั่งฉลองเลย



คงจะเป็นท่านยาสุกุนิ



เดินลึกเข้ามาอีก เห็นประตูศาลเจ้าลิบๆ



พอผ่านประตูเข้ามา เหมือนเข้ามาในโลกของซากุระเลยค่ะ



ด้านในจะเป็นลานกรวด ไม่กว้างมาก มีต้นซากุระเต็มไปหมด



ที่นี่ถือว่าคนไม่เยอะมาก เมื่อเทียบกับจุดชมซากุระอื่นๆ อย่างสวนอุเอโนะ หรือ Chidorigafuchi



บางมุมสงบ





จากนั้นข้ามมาอีกฝั่งของถนน ก็จะเป็นจุดดูซากุระที่ฮิตมากๆจุดนึงของโตเกียว



Chidorigafuchi คนจะเยอะไปไหน



ทุกคนดูตื่นเต้นกับดอกซากุระ อย่างว่าเนาะ บานปีนึงแค่ไม่กี่วัน



ตลอดแนวจะเป็นคูน้ำที่ล้อมรอบพระราชวัง จึงมีบริการเรือเช่าให้พายเล่นด้วย



มุมมหาชน



หลังจากอิ่มอกอิ่มใจกับซากุระพอสมควรแล้ว ก็ไปเที่ยวพระราชวังโกเกียว หรือ Imperial Palace กันต่อ



ตามแผนเดิม เราว่าจะเดินไปชมสวนพระราชวัง East garden ก่อน แต่ร่างกายไปไม่ไหวแล้ว เที่ยวในโตเกียวนี่ต้องเดินเยอะมากค่ะ
ทั้งเดินบนดิน เดินใต้ดินในสถานีรถไฟ



แต่ละที่ กว่าจะเดินไปถึง ก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลย เช่นที่นี่เป็นต้น



ในส่วนพระราชวังที่คนทั่วไปสามารถเข้าชมได้ก็จะมีที่ Nijubashi bridge และ East garden เท่านั้น
แต่ถ้าอยากเข้าไปในพระราชวังลึกกว่านี้ ก็มีบริการนำเที่ยว แต่ต้องจองมาก่อนล่วงหน้า หรือรอวันขึ้นปีใหม่ที่จะเปิดให้เข้าไปชมได้ค่ะ

สะพานแว่นตา Nijubashi bridge



ปิดท้ายวันนี้ไปดื้อๆ ด้วยตึก Wako ย่าน Ginza วันที่ไปเป็นวันเสาร์ เค้าปิดถนนให้คนเดินค่ะ



ปล. Ginza st. แถวทางออกหมายเลข A2 มีร้านเสื้อผ้าชื่อ g.u. เป็นแบรนด์ย่อยของ uniqlo เสื้อผ้าน่ารักมาก ราคาไม่แพง ตอนเราไป เค้าเพิ่งมาเปิดสาขาที่กินซ่าได้ไม่ถึงอาทิตย์ คนเลยเยอะมาก เราก็เข้าไปช้อปเพลิน จนทำให้วันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่นต่อเลย ตัดโปรแกรมทิ้งเพียบเลยจ้าวันนี้




 

Create Date : 21 เมษายน 2555    
Last Update : 21 เมษายน 2555 0:58:29 น.
Counter : 1492 Pageviews.  

Tokyo Blossom วันที่ 3-4 ไปหาคุณฟูจิซังกันเถอะ Hakone& Kawaguchiko



5 เมษายน 2555


ออกนอกเมืองโตเกียว ไป 2 วัน เพื่อไปเที่ยวเมืองฮาโกเนะและคาวากุจิโกะ (Hakone & Kawaguchiko)

โดยใช้พาสนี้.. Fuji Hakone Pass ราคา 7,200 เยนต่อคน จริงๆแล้วใช้เที่ยวบริเวณนี้ได้ถึง 4 วัน แต่ด้วยเวลาอันจำกัดมากๆของเรา เลยได้เที่ยวแค่พอหอมปากหอมคอ เท่าที่ได้ไปสัมผัสมาในระยะเวลาสั้นๆ รู้สึกว่าทั้งสองเมืองนี้มีที่เที่ยวเยอะมากๆ อยากมาเที่ยวอีกจัง



ถ่ายวิวหลังห้องตอนเช้า ก่อนจะเช็คเอ้าท์ วันนี้เป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมากๆ เริ่มจากตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อออกเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีชินจูกุตอนเจ็ดโมงครึ่งค่า...



รูปขาดไปบางช่วงบางตอน เนื่องจากอากาศมันหนาว ไม่อยากยกกล้องขึ้นมาถ่ายเลย ขอเล่าเป็นตัวหนังสือก็แล้วกันนะคะ


เราทดลองแผนการเดินทางออกจากโตเกียวของวันนี้มาตั้งแต่ถึงวันแรก เพราะได้ข่าวมาว่าสถานีชินจูกุทั้งใหญ่และชับช้อนมาก (ซึ่งก็จริง -_-“) ทำให้วันนี้เดินทางมาได้อย่างชิวๆ ไม่หลง มาถึงชานชาลาของรถไฟสาย Odakyu ตั้งแต่ตอนหกโมงนิดๆ หาข้าวกล่องทานรองท้องก่อนขึ้นรถไฟ เราจองตั๋วรถไฟแบบพิเศษที่เค้าเรียกว่า Romance car ไว้ จ่ายเพิ่มต่างหากอีกคนละ 870 เยน เพื่อความสะดวกสบาย ประมาณว่าเป็นรถไฟแบบจองตั๋วที่นั่ง แล้วก็กว้างขวาง จอดสถานีน้อยกว่ารถไฟแบบธรรมดาน่ะค่ะ

รถไฟวิ่งมาสุดสายที่สถานีปลายทาง Hakone Yumoto เป็นสถานีที่สวยมาก แต่ก็ไม่ได้ถ่ายมา

จากรถไฟก็ต้องต่อรถไฟท้องถิ่น Hakone Tozan train วิ่งสายสั้นๆ รับส่งนักท่องเที่ยวและคนอยู่อาศัยในฮาโกเนะ ในตู้ที่เรานั่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยว



นั่งมาจนสุดสายที่ สถานี Gora ที่จริงระหว่างทางก่อนจะมาถึง Gora ก็มีสถานีที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ จำพวก ศูนย์หัตถกรรม ออนเซน พิพิธภัณฑ์ ต่างๆ แต่เราไม่ได้แวะลง

คราวนี้มาขึ้นรถรางขึ้นเขาต่อ Hakone Tozan cablecar สุดสายที่สถานี Sounzan



ยังไม่หมดค่ะ ต่อกันด้วยกระเช้าลอยฟ้า นั่งไปประมาณ 20 นาที



ถึงจุดหมายแรกของเราในวันนี้ หลังจากที่นั่งรถไฟต่อรถรางห้อยกระเช้าเข้ามา หุบเขา Owakudani



ที่นี่เป็นเหมืองกำมะถันค่ะ มีกลิ่นจางๆ ไม่แรงมาก แต่ลมนี่แรงสุดๆ เดินตัวปลิวตามลมกันเลย ใครมาก็ต้องซื้อไข่ดำนี่กินเนาะ เค้าว่ากินฟองนึงอายุยืนขึ้นอีก 7 ปี ในถุงมี 5 ฟอง เรากิน 2 แฟนเรากินไป 3 อายุยืนขึ้นเยอะเลย



คุณคนนี้เค้ามาเก็บตะกร้าไข่ที่ต้มเอาไว้จากบ่อน้ำร้อนไปขายล่ะค่ะ



ต่อกันด้วยนั่งเรือโจรสลัด Ashi Lake Cruise ตอนนี้เริ่มเพลียกันละ ไม่ได้ถ่ายรูปบนดาดฟ้าเรือกันมาเลย พอนั่งในเรือปุ๊บ ต่างคนต่างหลับหัวสั่นหัวคลอน ในเรือเค้ามีบรรยายให้ด้วยว่าระหว่างนั่งเรือมาจากท่าเรือ Togendai มาถึง Hakonemachi มีสถานที่สำคัญหรือจุดที่น่าสนใจอะไรบ้าง แต่เราก็ตื่นมาฟังบ้างหลับบ้างตามประสา ฮ่า.. ฮ่า..



พอมาถึงอีกฝั่ง ก็ขึ้นรถบัสไปยังจุดเที่ยวที่แฟนเรารีเควสมาตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย (เห็นจากรายการโกโกริโกะ) นั่งรถบัสสาย H ไปกันค่ะ อ่อ..การเดินทางทั้งหมดในบริเวณฮาโกเนะรวมอยู่ในบัตรพาสที่ซื้อมาทั้งหมด คุ้มมากๆ ถึงแม้จะเที่ยวแค่ 2 วันก็ตาม

Yunessun Onsen Theme Park เป็นสวนสนุกสำหรับผู้ที่ใจไม่กล้าพอจะลงออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เพราะที่นี่ให้ใส่ชุดว่ายน้ำลงได้ แล้วก็จะมีบ่อออนเซ็นในแบบต่างๆให้เลือกลงได้ตามใจชอบ เป็นบ่อรวมหญิงชาย ทำให้เรากับแฟนลงแช่ด้วยกันได้ สนุกกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ราคาแพงพอสมควรคนละ 2,600 เยน ยังไม่รวมค่าเช่าชุดและอุปกรณ์ต่างๆ เสียดายที่มีเวลาเล่นที่นี่แค่ชั่วโมงครี่ง เพราะเค้ามีหลายบ่อให้ลงเล่น



อันที่จริงเราก็ลงเกือบหมดทุกบ่อแหละ เท่าที่จำได้ก็มี สระใหญ่สุดจำลองเป็นทะเล บ่อเกลือ บ่อคอลลาเจน ส่วนของบ่อที่อยู่นอกตัวอาคารก็มี บ่อกาแฟ ชาเขียว ไวน์แดง บ่อน้ำตกกดจุด สาเก(บ่อนี้ร้อนมากกกก) ชาร์โคล ใช้เวลาบ่อละ 5-10 นาที เหมือนจะแช่ออนเซ็นเอาโล่ห์เลย ตอนไปอากาศหนาวนะคะ ต่ำกว่า 10 องศา แต่พอแช่ออนเซ็นแล้วไม่รู้สึกหนาวเลย วิ่งไปบ่อนั้นบ่อนี้สบายๆ เค้าอนุญาตให้เอากล้องไปถ่ายรูปได้ด้วยนะ แต่กล้องเราใหญ่อ่ะ ไม่กล้าเอาเข้า กลัวโดนน้ำแล้วเจ๊งด้วย

ออกจาก Yunessun ตอนสี่โมงเย็น เพื่อนั่งรถต่อไปยัง Gotemba แต่ตอนนั้นที่ Yunessun ไม่มีใครสามารถสื่อสารกับเราได้ซักคน มีคุณน้าพนักงานคนนึงบอกกับเราประมาณว่า ที่ Yunessun ไม่มีรถสาย G หรือสายใดๆที่จะไป Gotemba ผ่าน เราต้องเดินลงไปด้านล่างอีกที เราก็เลยเดินมั่วๆลงมาตามทางที่คุณน้าแกชี้มาประมาณ 20 นาที ก็ยังไม่เห็นป้ายรถเมล์เลย เห็นแต่แก๊งเด็กนักเรียนนั่งเล่นอยู่ ก็เลยเดินเข้าไปถาม เหมือนน้องเค้าจะไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษนะ แต่ฟังที่เราพูดออก เค้าก็เลยพาเดินไปที่ป้ายรถเมล์จนได้ ดีใจ นึกว่าจะไปไม่ถึงคาวากุจิโกะซะแล้ว..

ที่สถานี Gotemba ก็ต้องต่อรถบัสข้ามเมืองไปยังเมือง Kawaguchiko ถึงสถานีตอนทุ่มครึ่ง ก็เลยโทรให้ทางที่พักส่งรถมารับ คืนนี้เราพักที่ K’s house ที่พักเยาวชนสำหรับผู้ใหญ่งบน้อยอย่างเรา จะบอกว่าที่นี่เป็นที่พักที่แพงสุดในทริปนี้ของเรานะ แบบว่าจองช้า เลยต้องจองห้องพักแบบญี่ปุ่นสำหรับนอน 5 คน มานอนกัน 2 คน แบบไม่มีห้องน้ำในตัว เพราะห้องที่เหลือถูกจองเต็มหมดแล้ว นี่ขนาดจองมาก่อนตั้ง 2 เดือนนะเนี่ย



6 เมษายน 2555

ตอนเช้า เดินจากที่พักมายังสถานี Kawaguchiko เลียบทะเลสาบมา วิวดีกว่า แต่ก็ไกลกว่า



สวยสงบ



หน้าสถานี Kawaguchiko มาเพื่อซื้อตั๋วและรอขึ้นรถ retro bus วนดูวิวรอบทะเลสาบ



จุดรอรถ ตอนแรกวางแผนว่าจะมาขึ้นรถรอบเก้าโมงเช้า แต่เดินมาขึ้นไม่ทัน เลยได้ขึ้นรถรอบสิบโมงแทน ปกติจะมีรถออกทุกครึ่งชั่วโมง แต่วันนั้นไม่รู้ว่ารถรอบ 9.30 หายไปไหน



หน้าตารถ retro bus ขับวนบริเวณทะเลสาบคาวากุจิโกะ ใช้เวลาครบรอบจนถึงกลับมาที่สถานีประมาณ 1 ชั่วโมง อันนี้เราไปถ่ายข้างสถานี เป็นจุดจอดพักรถของเค้าน่ะค่ะ



พอได้ขึ้นนั่งรถแล้ว เราก็นั่งไปจนถึงจุดจอดสุดท้ายที่ Oishi park ที่นี่จะมีร้านขายของพวกผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติอยู่ด้วย แต่วันนี้ปิดค่ะ



มีวิวถ่ายภาพฟูจิซังโดยมีทะเลสาบคาวากุจิโกะติดมาด้วย เมฆมากปิดฟูจิซังไปซะครึ่ง



สถานที่แวะต่อไป คือ Mt. Kachi Kachi Ropeway



มองจากกระเช้าลงไปด้านล่าง ถ้าใครไม่อยากเสียเงินขึ้นกระเช้าเค้าก็มีทางเดินขึ้นมาข้างบนนี่ได้เหมือนกันค่ะ



ขึ้นกระเช้าไปดูฟูจิซังมุมสูง พอสายมากขึ้นเมฆก็ลดลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ว่าฟูจิซังยิ่งใหญ่และสวยงามแค่ไหน



ด้วยความที่เราออกเดินทางช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ วันนี้เราเลยตัดโปรแกรมที่คิดว่าจะไปตอนแรกออกไป 1 ที่ คือ Music Box Museum สรุปว่าได้มาเที่ยวแค่ 2 จุดเอง คำนวณทีหลังเหมือนใช้ retro pass ไม่คุ้มเลย

แวะร้านชีสเค้กด้านล่างก่อนลาจากคาวากุจิโกะ ร้านอยู่ใกล้ๆกับทางขึ้นกระเช้า



สั่งชีสเค้ก-รสชาติมาตรฐาน และทีรามิสุ-อร่อยม๊ากก



จากนั้นก็กลับมาที่สถานีคาวากุจิโกะ แล้วก็นั่งรถบัสกลับโตเกียว
ทันใดนั้น...
อ๊ายยยย ฟูจิซังแบบเต็มตัว มาครั้งแรกก็ได้เห็นเลย รู้สึกโชคดีจัง



หลังจากที่ได้เที่ยวฮาโกเนะและคาวากุจิโกะ ได้ใช้การเดินทางโดยรถบัส สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าต่างจากบ้านเรามาก คือ การมีใจบริการของพนักงานขับรถบัสรถเมล์ในญี่ปุ่น คือ ในรถจะไม่มีกระเป๋ารถ หรือบัสโฮสเตสแบบบ้านเรา มีแต่คนขับคนเดียว ทำหน้าที่เก็บเงิน ดูพาส ออกตั๋วทั้งหมด เค้าทำแบบเรียบร้อย และใจเย็นมากๆ

มีการพูดคุยตอบสนองกับผู้โดยสารที่จะลงจากรถทุกคน อย่างเรามีตั๋วพาสคือไม่ต้องจ่ายตัง ก็จะพูด ไฮ้..ไฮ้.. ตลอด บางคนก็จะมีแถมประโยคที่เราฟังไม่รู้เรื่องมาอีกด้วย ที่ได้ยินเพราะคนขับทุกคนมีไมโครโฟนสวมติดเอาไว้ เวลามีคนจะลงก็กดกริ่ง พอรถหยุดสนิทแล้วค่อยลุกขึ้นจากเก้าอี้ อย่างแฟนเราดูแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะกดกริ่งเสร็จฮีจะลุกไปรอหน้าประตูทางออกแล้ว แล้วก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ เห็นแล้วก็อยากให้บ้านเมืองเรามีสิ่งดีๆแบบนี้บ้างน่ะค่ะ เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง

ปิดท้ายบลอกวันนี้ด้วยมื้อเย็นจากร้าน Sushi Zanmai สาขาอุเอโนะค่ะ








 

Create Date : 17 เมษายน 2555    
Last Update : 20 เมษายน 2555 22:16:24 น.
Counter : 10471 Pageviews.  

Tokyo Blossom วันที่ 2 เที่ยวนิกโก้ เจอหิมะตกแบบไม่ทันตั้งตัวและเตรียมใจ



4 เมษายน 2555


ตื่นนอนแต่เช้า วันนี้ต้องย้ายที่นอนจากอุเอโนะไปอาซากุสะ ด้วยเหตุผลที่ Cube Ueno เค้าไม่รับฝากกระเป๋าข้ามคืน เลยต้องย้ายมาพักที่ Dormy Inn Asakusa ซึ่งเราประทับใจมาก ห้องดี บริการก็ดี ถ้าคราวหน้าได้มาโตเกียวอีก ก็คงมีโรงแรมนี้เป็นตัวเลือกแรกๆ แถมคืนนี้ได้อัพเกรดห้องจากห้อง Standard มาเป็น Queen ด้วย

พอจัดการเรื่องโรงแรมเสร็จก็เดินมารอขึ้นรถไฟไปนิกโก้รอบ 9 โมง โดยใช้ Nikko World Heritage Pass 3,600 เยนต่อคน ใช้เที่ยวนิกโก้ในส่วนมรดกโลกได้ 2 วัน เป็นตั๋วรถไฟไปกลับ และค่าเข้าชมวัดและศาลเจ้าส่วนที่เป็นมรดกโลกตามชื่อพาสเค้านั่นแหละค่ะ



ขณะนั่งรถไฟข้ามแม่น้ำสุมิดะ วันนี้โตเกียวอากาศแจ่มใสค่ะ



ผ่าน Tokyo Sky Tree กำลังจะเปิดเดือนพฤษภาคมนี้ค่ะ



นั่งหลับๆตื่นๆ มาชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงสถานี Tobu Nikko
พอก้าวขาเอาตัวออกจากรถไฟก็ถึงกับสะท้าน...
หนาวมาก... ลมแรงด้วย


ขณะเดินมาหน้าสถานีเพื่อมารอขึ้นรถบัสไปบริเวณวัดที่เป็นมรดกโลก ซักพักแฟนเราก็ทักว่า เฮ้ย นี่หิมะรึปล่าว คือ ทั้งสองคนไม่เคยเจอหิมะตกมาก่อน สรุป มันก็คือ หิมะจริงๆนั่นแหละ ตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ทรมานจากความหนาวมากกว่า

ที่แรกที่เราไปเที่ยว คือ Rinnoji temple แต่เค้าปิดบูรณะอยู่ มีโครงเหล็กหุ้มตัวโครงสร้างไว้หมด แต่ยังเปิดให้เข้าชมด้านในได้อยู่นะคะ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป

ออกจากวัดรินโนจิ ก็เดินต่อไปจุดหมายถัดไป ต้นไม้ที่นี่สูงใหญ่ ร่มรื่น ตามพื้นมีกิ่งไม้ตกเยอะมาก เห็นใจคนเก็บกวาดเลย สงสัยเป็นเพราะลมแรงเมื่อวาน



เจดีย์ห้าชั้น หน้าศาลเจ้าโทโชกุ Toshogu Shrine



จากรูปด้านล่าง ถ้าไม่ได้ซื้อพาสมาก่อน ก็ต้องมาเสียเงินค่าเข้าชมที่บูธทางมุมด้านซ้ายล่างก่อนที่จะขึ้นไปชม



ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเพื่อ Tokugawa Ieyasu เป็นโชกุนที่เริ่มก่อตั้งยุคเอโดะขึ้นมา (ใช้ศัพท์ไม่ค่อยถูกต้อง ใครรู้เข้ามาแก้ไขได้นะ)



เจองานแกะสลักไม้ที่เด่นที่สุดของที่นี่ Three Wise Monkeys เป็นลิงสามตัว ปิดหู ปิดปาก ปิดตา หมายถึงการไม่รับฟัง ไม่พูด ไม่มองสิ่งที่ไม่ดี แล้วสิ่งที่ไม่ดีต่างๆก็จะไม่สามารถมีอิทธิพลกับเราได้



ส่วนด้านหน้าก็มีเด็กน้อยมาทำท่าเหมือนลิงที่ถูกแกะสลัก



นอกจากรูปแกะสลักลิงน้อยแล้ว ยังมีงานแกะสลัก Sleeping Cat ที่ดังอีกอย่าง แต่เราไม่ได้ดู เพราะต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อเข้าไปดูในสุสานอีก 520 เยน

ดูความถึกของคนแกะไม้ที่นี่เพลินๆ ลายหวานดีจัง



คนญี่ปุ่นนี่มีความกุ๊กกิ๊กคิกขุมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนะเนี่ย ดูจากการแกะสลักได้



ประตูชั้นในสุด Yomeimon gate อลังการมาก กล้องเก็บไม่หมด ได้มาแค่เนี่ย



รายละเอียดยิบย่อย



ส่วนตัวอาคารศาลเจ้าก็อย่างที่เห็น ซ่อมบำรุงอยู่ค่ะ



ไปเที่ยวจุดต่อไปกันดีกว่า Futarasan Shrine ทางเดินไปเหมือนเป็นช่องลม มีลมหนาวบวกหิมะพัดมาเป็นวูบๆ รูปนี้จะเห็นคุณพ่อคนนี้ เดินถอยหลังไปศาลเจ้า เพราะว่าเอาตัวบังลมให้ลูกที่อุ้มอยู่ แอบซึ้ง..



มาถึงแล้ว.. มาถูกรึปล่าวก็ไม่รู้ เพราะอ่านป้ายไม่ออก



ต้นไม้สองต้นนี้ เค้ามาไหว้กัน เพื่อให้ชีวิตรักสมหวัง มีความสุข เรามีรึจะพลาด



ใกล้ๆกัน คราวนี้มีสามต้นเลย ชุดนี้เค้ามาไหว้ขอลูกกันค่ะ อันนี้ขอผ่านไปก่อนละกัน



ได้จังหวะถ่ายหิมะพอดี ตอนนี้หน้าเราทั้งบวมทั้งแดง เกิดมาหนังหน้าไม่เคยได้เจอความหนาวเย็นในระดับนี้มาก่อน กลายเป็นคนพูดไม่ชัดปากแข็งไปชั่วคราว



ทำบุญกับตู้ประเภทนี้ไปหลายตู้ บางตู้ได้เครื่องรางมาเป็นที่ระลึกเสริมดวง บางตู้ได้คำทำนายมาเฉยๆ ซึ่งอ่านไม่ออกด้วยอีกต่างหาก (เหนือกว่าการทำบุญให้วัด จริงๆแล้วอยากได้ของมากกว่า..)



บ่อน้ำแห่งความเยาว์วัย น้ำในบ่อนี้ใช้รักษาโรคตาและทำให้หน้าเด็กลงได้ แต่ไม่แน่ใจว่าใช้ทาหรือดื่มกันแน่ ที่เก๋คือ มีให้ตวงใส่ขวดกลับบ้านกันได้ตามอัธยาศัยด้วยนะคะ



ประตูทางเข้า Rinnoji temple Taiyuin เป็นสุสานของโชกุนคนที่สามในสมัยเอโดะ Tokugawa Iematsu



เดินเข้าไปเจออีกประตูนึง สวยอีกแล้ว



อาคารด้านใน เริ่มไม่มีความรู้ละ





จบซะที สำหรับวัดและศาลเจ้าในวันนี้ ต่อมานั่งรถบัสมาดูสะพานชินเกียวกันดีกว่า ที่นี่น่าจะเป็นแลนด์มาร์กของนิกโก้เลยมั้ง



บ่ายสามแล้ว ยังไม่ได้ทานข้าวเลย แวะที่ร้านแถวๆนั้น แต่เมนูไม่มีภาษาอังกฤษซักตัวเลยถ่ายเมนูจำลองหน้าร้านไปให้คุณป้าทำให้



เพิ่งมาอ่านในหนังสือเจอภายหลังว่าร้านที่เราไปกิน เค้ามีเชื่อเสียงในเรื่องโซบะเต้าหู้ หรือ Yuba แห่งหนึ่งในนิกโก้ทีเดียวเชียว (แต่ไม่ได้สั่งมา)



กลับโตเกียวกันดีกว่า นี่คือห้องพักของเราในคืนนี้ กว้างขวางมากสำหรับโตเกียวนะ



วิวหลังห้อง ติดสวนสุมิดะ ชอบมากเลยค่ะโรงแรมนี้ มีอาหารเช้าให้ทานฟรี ตอนกลางค่ำก็มีราเมนให้ด้วย




 

Create Date : 12 เมษายน 2555    
Last Update : 12 เมษายน 2555 13:41:46 น.
Counter : 5045 Pageviews.  

1  2  

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.