Day 8 ส่งท้ายฉายเดี่ยวที่ Rome วันที่ดีคือวันที่ฟรี

6 Oct 2019 เที่ยววันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยวันรุ่งขึ้น
เรากลับมาเที่ยวต่อที่โรมอีกครั้ง ไปๆมาๆกลายเป็นหลงเสน่ห์กรุงโรมที่สุดในทุกเมืองของทริปนี้ 
จำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใสสุดๆ กรุงโรมสวยจับใจ เจอแต่คนใจดีด้วย
จนมีวูบนึงที่คิดหลงตัวเองไปว่า "วันนี้เมืองนี้เหมือนเป็นที่ของฉันเลย" 
ประทับใจมาก รูปก็จะเยอะมากเช่นกัน 70 รูปในบลอกเดียว จะตัดรูปไหนออกก็เสียดายไปหมด

แปดโมงเช้า นั่งรถไฟใต้ดินจาก Termini ออกที่ Ottaviano เพื่อไป มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ แก้ตัวจากเมื่อวันก่อนนู้นที่ไปตอนเย็นแล้วเจอคิวยาวเว่อ
แม้บรรยากาศจะน่ากลัวหน่อยๆ เพราะลงบันไดเลื่อนไปชานชาลาผิดฝั่ง ไปเจอพื้นที่ปิดซ่อมแซม เจอโฮมเลสมานอนพักเพียบ
แต่คนที่เราเดินตามหลังอยู่ เค้าหันหลังกลับมา เห็นก็คงรู้ว่าอินี่เป็นนักท่องเที่ยว เค้าก็สบตาส่งสัญญาณพาเดินนำไปลงอีกทางแทน เป็นความลัคกี้แรกของวัน

มาถึงจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์  8 โมงนิดๆ ด้วยคิดว่ามาเช้าคิวสะสมไม่น่ายาวมาก
เดินไปตามทางเดินที่เค้ากำหนดไว้



แล้วก็คือ... มาโป๊ะเชะกับวันที่เค้ามีพิธีในโบสถ์พอดี เค้ากันไม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วๆไปเข้า เลยมายืนออ งงๆกันแบบที่เห็น
แต่ระหว่างนั้้นจะเห็นผู้ที่ได้บัตรเชิญร่วมงานหลายเชื้อชาติที่คงมาจากทุกมุมโลกทะยอยเดินผ่านช่องตรวจบัตรเข้าไปก่อน
ว่าไปก็เพลินดีนะ ยืนดูผู้คนแต่งตัวมาพร้อมกับชุดประจำชาติเดินเข้างาน 



ระหว่างนี้ก็ดูวิวรอบๆรอกันไปก่อน
สัญลักษณ์ของวาติกัน เป็นรูปกุญแจไขว้และมงกุฎพระสันตะปาปา 



พอเก้าโมงนิดๆ ก็ปล่อยให้คนทั่วไปเข้าตามไป




ไม่รู้โชคดีหรือร้ายมากกว่ากัน ที่ไปตรงกับวันที่มีพิธีมิซซาพอดี
โชคดีคือเห็นนักบวชในชุดหลากหลายสี ที่เคยเห็นจะแค่ชุดสีแดง ขาว ดำ แต่วันนี้เห็นทั้งม่วง เขียว เหลือง เห็นการ์ด สวิสการ์ดเต็มไปหมด
มีคณะร้องเพลง เพิ่มอรรรถรสในการเข้าชมมหาวิหาร แถมได้รับแจกหนังสือสูจิบัตรประกอบพิธีมาฟรีๆ



แต่โชคร้าย ตรงที่หลายๆส่วนเค้าปิดไม่ให้เข้า จากรูป  Pieta ของมิเคลันเจโล เห็นลิบๆอยู่หลังม่านเทา ก็กั้นไม่ให้เข้า
Baldacchino ซุ้มบรอนซ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นตรงกลางก็มองได้จากระยะไกลๆ



ยังค้างคากับโบสถ์เซนต์ปีเตอร์อยู่ อุตส่าห์กลับมาซ้ำอีกรอบ ก็ยังดูไม่เต็มอิ่มเท่าที่ใจอยาก
ขอให้ได้กลับมาโรมอีกซักทีเห๊อะ 



บรรยากาศริมแม่น้ำไทเบอร์ตอนนั้นคือสุดจริง มีคนมาแสดงเปิดหมวกเล่นไวโอลินเพลงอะไรไม่รู้ แต่เพราะมาก อ่อนหวานมาก
ตอนนั้นคิดขอบคุณตัวเองที่ให้โอกาสได้มาเที่ยวคนเดียว ไปในที่ที่อยากไป เป็นการเที่ยวที่เป็นตัวเองสุดๆ ไม่ต้องคิดเผื่อใคร
พอเจอเรื่องดีๆถึงจะเป็นเรื่องไม่มีสาระ แค่ได้ฟังเพลงเพราะๆ ยืนอยู่ที่สวยๆ ก็รู้สึกแบบ Yes, I deserve this ประมาณนี้ รักตัวเองมากมาย



เนื่องจากตรงกับอาทิตย์แรกของเดือน สถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์หลายที่จะเปิดให้เข้าฟรี
Castel Sant'Angelo ก็ฟรี แต่พอฟรีคิวก็ยาวมาก ไปต่อป้ายหน้าเลยแล้วกัน



ทั้งหลงเสน่ห์ และ literallyหลง ในตรอกเล็กๆของโรม ขนาดว่าเป็นคนแม่นทิศแม่นทาง ก็เดินหลงทุกรอบที่ผ่านมา
ถึงจะดูเปลี่ยว แต่เรารู้สึกปลอดภัยมากนะ ไม่เห็นคนลักษณะมิจฉาชีพหรือยิปซี 



ก๊อกน้ำสาธารณะ แบบเขรอะๆ บางมุมก็จะคุ้นตาเหมือนเดินในกรุงเทพ 



มาโผล่ที่ Piazza Navona พื้นที่สาธารณะเยอะมาก นั่งเล่นพักเหนื่อยแบบไม่ต้องเสียตัง



เช้าวันอาทิตย์ ใช้เวลาพักผ่อนกับสิ่งสุนทรีย์ นี่รึปล่าว La Dolce Vita ที่เค้าพูดถึงกัน



ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะมาโบสถ์นี้ โบสถ์ Sant'Ivo alla Sapienza เพื่อมาแหงนดูเพดานสุดเก๋ของบอรอมมินี่
เปิดให้เข้าชมสั้นๆแค่ช่วง 9.00-12.00 ของวันอาทิตย์เท่านั้น ประตูเข้าเรียบมากเหมือนตึกแแถวๆนั้น เดินวนหาผ่านหน้าโบสถ์ไป  2 รอบ 
สุดท้ายถามทางกับตำรวจ ถึงได้หาเจอ  พอผ่านประตูมาก็จะเจอคอร์ทยาร์ดแบบนี้  
สุดทาง คือ โบสถ์ มีฟาสาดเว้าเข้าไป ดูกลมกลืนกับคอร์ทยาร์ด นี่ก็ออกแบบโดยบอรอมมินี่ ส่วนยอดเป็นหอโคม(lantern)ทรงเกลียว



เป็นโบสถ์ที่ขนาดเล็กมากๆ ทีเด็ดคือ นู้นนน บนเพดาน สวยงามด้วยรูปทรงเรขาคณิต 
แต่เทียบกับ San Carlino เราว้าวกับเพดานโบสถ์นั้นมากกว่านะ



นั่งพักแป๊บ 
สาเหตุที่โบสถ์  Sant'Ivo เปิดแค่วันอาทิตย์ เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย La Sapienza



ด้านหลังโบสถ์ มีร้านกาแฟดังตั้งอยู่ เป็นหนึ่งในร้านเก่าแก่ของโรมเลยค่ะ
Sant'Eustachio il Caffe 



วิธีสั่งกาแฟ คือ ต้องไปสั่งที่แคชเชียร์(ผู้ชายเสื้อน้ำเงิน) จ่ายเงินก่อน แล้วเค้าจะให้ใบเสร็จมา 



จากนั้้นเอาใบเสร็จที่ได้ ไปยื่นให้บาริสต้าที่ทำกาแแฟอยู่อีกด้าน มีอยู่ 3-4 คน ยื่นให้ใครก็ได้ที่สบตากับเรา 555
อย่างที่เห็น คนจะเยอะ ชุลมุนนิดนึง ไม่มีคิวแน่ชัด กึ่งมีคิวกึ่งไม่มีคิวอ่ะค่ะ 



สั่งคาปูชิโน่ค่ะ อร่อยมากเลย เคยได้ยินมาว่ากาแฟที่อิตาลีดื่มง่าย มันง่ายจริงๆนะ กลมกล่อม หอมและเข้มข้นพอดี ถูกจริตเรามาก
กาแฟที่นี่จะใส่น้ำตาลมาให้ยืนพื้้น ใครไม่เอาน้ำตาลต้องบอกเค้าก่อน
เราสั่งมายืนดื่มที่เคาเตอร์ จะเสียแค่ค่ากาแฟ ขนาดว่าร้านนี้จัดว่าราคาสูงเพราะเป็นร้านดังอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว ยังราคาแค่ 2 ยูโร ไม่แพงเลย
ถ้าอยากนั่งดื่มดีๆ เสิร์ฟกาแฟที่โต๊ะ ต้องเสียค่า Coperto จำราคาแน่ๆไม่ได้ น่าจะเพิ่มไปอีก 2-3 ยูโร



แถวๆแพนธีอัน



ต่อด้วยเจลาโต้ ร้านนี้ลองแบบสุ่มๆ Gelateria della Palma เค้าเคลมว่ามีเจลาโต้ให้เลือกกว่า 150 รส
เราสั่งรสลูกแพร์กับ Dulce de Leche (นมข้นคาราเมล) รสชาติกลางๆไม่ว้าว แต่ตอนเย็นแวะกินอีกร้าน อันนั้นอร่อยตายไปเลย



เดินต่อซักพักเจอเจลาโต้ร้านฮิต Giolitti 



เดี๋ยวก็เจอ Palazzo / Piazza / โบสถ์วนๆไป



เสาโอเบลิสก์ 



เข้ามิวเซียมฟรีกันดีกว่า Palazzo  Barberini ที่นี่ไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ ไม่มีคิว เดินเข้าไปรับตั๋วได้เลย
ถ้าใครชอบงานศิลปะยุคบาโรค ชื่นชอบแบร์นินี่ คาราวัจโจ้ หรือแม้แต่บอรอมมินี่ มาที่นี่รับประกันความฟิน 
เพราะเป็นวังประจำตระกูล บาแบร์รินี่ ซึ่งมีบุคคลสำคัญของตระกูลอย่าง Pope  Urban ที่ 8 ที่เป็นผู้ว่าจ้างศิลปินและสถาปนิกชื่อดังของยุคนั้นไว้มากมาย



ดีที่สุดคือไม่ต้องเสียเงิน เฮ้!



ยังไม่ทันจะไปไหน แค่ขึ้นบันไดก็เป็นช่องบันไดที่ออกแบบโดยแบร์นินี่ 


ภาพวาด La Fornarina โดยราฟาเอล ตรงแถบผ้าที่แขนข้างซ้ายของหญิงสาวในภาพ ราฟาเอลได้เขียนชื่อตัวเองลงไปด้วย



ถึงไม่ค่อยอินศิลปะ แค่แวะมาเที่ยววังโป๊บก็คุ้มแล้ว 



สวย ผ้าคลุมบางเบา



Judith Beheading Holofernes วาดโดยจิตรกรสายโหดคาราวัจโจ้



วิวนอกหน้าต่าง



ภาพวาดเวนิสสมัยก่อน



ตอนเข้าเจอผลงานแบร์นินี่ ตอนจะกลับเดินลงบันไดวนผลงานการออกแบบของบอรอมมินี่ค่ะ



สำหรับเรานะ อย่างงานประติมากรรมแบร์นินี่เค้าเด่นจริง ละเอียดมาก แต่ถ้างานก่อสร้างสถาปัตยกรรมยกให้ไอเดียของบอรอมมินี่น่าประทับใจกว่านะ

เริ่มไม่ไหวกับอาหารฝรั่ง มื้อเที่ยงเลยจบที่ร้านอาหารจีน รสชาติทั่วๆไป แต่คุ้นลิ้น แฮปปี้ 
เจ้าของร้านก็ใจดี ไม่คิดค่าน้ำเราด้วย โอ้ยย วันนี้ดวงมีคนอุปถัมป์มาก 



รีบเดินไปเข้ามิวเซียมอีกที่ เป็นหนึ่งในที่ที่อยากมามากๆ(อีกแล้ว) ต้องออกไปด้านนอกแนวกำแพงเมือง 



ผ่านสวนสาธารณะ Villa Borghese 
ต้นไม้ทรงนี้้สูงๆมีพุ่มบานๆอยู่ด้านบน เห็นแล้วรู้สึกมาถึงอิตาลีแล้วจริงๆ เป็นเอกลักษณ์มาก



ดูชิลเลยทีเดียว 



เดินจากกลางเมืองมา 2 กิโล ในที่สุดเราก็มาถึง Galleria Borghese เย้
เป็นบ้านพักของคาร์ดินัล Scipione Borghese ผู้เป็นสปอนเซอร์อุปถัมป์รายใหญ่ของแบร์นินี่



ถึงแม้ว่าวันนี้จะเปิดให้เข้าฟรี แต่จะเดินมาดุ่มๆไม่ต้องจองแบบ Palazzo Barberini รับรองว่าอดเข้าแน่ๆ
เพราะเปิดให้เข้าชมได้เป็นรอบ รอบละ 2 ชั่วโมง และจำกัดจำนวนคนเข้าต่อรอบอีกตะหาก ข้อดีคือไม่ต้องเบียด ดูงานศิลปะได้ใกล้ชิดสบายๆ
เราทำการจองผ่านเวบไซต์มาก่อนที่ https://www.ticketone.it/artist/galleria-borghese เสียค่าจองล่วงหน้า 2 ยูโร 
ก็เข้าไปส่องมันทุกวันว่าเมื่อไหร่จะเปิดให้จอง ยิ่งวันเข้าฟรี ก็น่าจะเต็มเร็วกว่าวันธรรมดาอยู่แล้ว พอจองสำเร็จก็เป็นความภูมิใจแปลกๆเหมือนกันนะ
มาก่อนเวลาเข้า 30  นาที เพื่อมาแลกตั๋ว และห้ามนำกระเป๋าเข้าไปต้องฝากไว้ด้านนอก



ตรงโซนรอ มีร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ห้องน้ำ เป็นมิวเซียมที่เหมือนจะยุ่งยากตอนแรก แต่พอจองได้แล้ว ที่เหลือเค้าจัดระบบดีมากเลย



ได้เวลาตามรอบก็ปล่อยทุกคนเข้าไปพร้อมกัน เดินดูสวยๆได้เลยค่ะ มีเวลาตั้ง 2 ชั่วโมง มิวเซียมขนาดกำลังดี ไม่กว้างจนท้อแบบวาติกันหรืออุฟฟิซี
ห้องแรกก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว โถงใหญ่เพดานสูง วาดภาพประดับไว้เต็ม มีงานสลักใหญ่โต ข่มเราให้รู้สึกเหลือตัวนิดเดียว



พื้นก็ประดับด้วยโมเสก



สิ่งที่ทำให้เราตั้งใจว่าต้องมามิวเซียมนี้ให้ได้ ก็คือ คอลเลคชั่นงานประติมากรรมของแบร์นินี่ มีเด่นๆเบิ้มๆอยู่ 3-4 ชิ้น

ขอเรียงตามปีที่เริ่มทำก็แล้วกันค่ะ
Aeneas, Anchises, and Ascanius (1618-19) จีเนียสมาก ชิ้นนี้ทำตอนอายุ 20 เอง
ตกใจตอนเห็นภาพที่ถ่ายมา แอเนียส มองกล้องกลับมาแรงมาก ขนลุก



The Rape of Proserpina (1621-22) ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง มีพื้นที่ให้เดินส่องได้ทุกองศา
น่าจะเป็นชิ้นที่ทุกคนที่มามิวเซียมนี้้อยากมาเห็นของจริงมากที่สุด 
ด้วยการออกแบบท่าทางของโพรเซฟโฟเน่กำลังดิิ้นรนหนีจากเฮดีส ดราม่ามาก บวกแสงที่ส่องมาที่ชิ้นงาน รู้สึกเหมือนดูละครเวทีเลยค่ะ



ดูความเหมือนจริง ตอนกำลังฉุดกระชากกัน นิ้วเท้าโพรเซฟโฟเน่เกร็งบิดไปหมด ต้นขาเนื้อตัวที่ถูกนิ้วกดบังคับ น้ำตานองอาบแก้มอีก
หรือความจริง แบร์นินี่คือเมดูซ่ามาเกิดใหม่ สบตาใครแล้วจะกลายเป็นหินอ่อนงี้ 



Apollo and Daphne (1622-25) ส่วนตัวชอบชิ้นนี้มากที่สุด ดูอ่อนหวานดี แต่เนื้อหาก็เกี่ยวกับการฉุดผู้หญิงเหมือนกัน เห้ออออ
สงสารดาฟเน่ต้องกลายเป็นต้นลอเรลไปซะงั้น



David (1623-24) มาเที่ยวรอบนี้ไม่ได้เห็นเดวิดตัวจริงของมิเคลันเจโล แต่ได้เห็นของแบร์นินี่แทน 
เดวิดของแบร์นินี่กำลังตั้งใจจดจ่อเกียมดีดหินเพื่อฆ่ายักษ์ 



หน้าตาของแบร์นินี่คนขยัน ผลงานกระจายทั่วกรุงโรมเลยพ่อ



สวัสดีท่านอดีตเจ้าของบ้าน Cardinal Scipione



Venus Victrix เป็นชิ้นงานหินอ่อนโดย Canova นางแบบที่สมมติให้ตัวเองเป็นวีนัส คือ Pauline Bonaparte
คุ้นๆนามสกุลกันมั้ยคะ เธอเป็นน้องสาวแท้ๆของนาโปเลียน โบนาปาร์ตค่ะ แต่มาแต่งงานกับคนในตระกูลบอร์เกเซ่ เรือล่มในหนองเนอะ



งานคาราวัจโจ้ก็เพียบนะ รูปกลางก็เดวิดสไตล์คาราวัจโจ้ หน้าตาก็จะหล่อน้อยกว่าของคนอื่นแถมหิ้วหัวยักษ์มาโชว์อีก



Young woman with Unicorn โดยราฟาเอล อารมณ์คล้าย La Fornarina ที่ไปดูมาตอนเช้าเลย



The Deposition ชิ้นนี้ก็ราฟาเอลวาดเช่นกัน แต่คนละอารมณ์กับรูปก่อนหน้า



ภาพนี้เป็นโมเสกค่ะ ละเอียดมาก



จบสิ้นสำหรับโปรแแกรมเที่ยว อยู่โรมหลายวัน ก็ยังไปไม่ครบเท่าที่แพลนตอนแรก ตัดออกเพราะเหนื่อย หักโหมเกินไป
ตราสเทเวเร่เอย ตลาดกัมโปเดฟิโอรี่เอย เมืองแมวที่ลาโก้ดิทอเร่อาเจนติน่าเอย ฝากเอาไว้ก่อน

ระหว่างทางกลับโรงแรม แวะร้านเจลาโต้ที่พนักงานโฮสเทลแนะนำมา เป็นเจลาโต้ที่ชอบมากที่สุดในทริปนี้เลยแหละ
Gelateria la Romana 
ดูคิวรอกินเจลาโต้สิ ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นนะ ระหว่างต่อแถวเลยขอให้คนที่ยืนต่อจากเราช่วยแนะนำรสที่ชอบให้ด้วยเลย 



แผ่นป้ายเล็กๆที่ติดบนผนัง หลังตู้เจลาโต้ คือรสชาติของเจลาโต้ที่มีขายในแแต่ละวัน ป้ายสีเทาคือรสประจำ ส่วนสีชมพูคือรสพิเศษตามฤดูกาลเทศกาลงี้



ราคาไม่แพง รสชาติอร่อยมากกกก ถ้วยนี้้ประมาณ 2 ยูโรเอง 
สั่งรส Stracciatella grezza al cioccolato ruby กับ Crostata ricotta e visciole ชื่อยาวมาก ที่จำได้เพราะไปถ่ายรูปป้ายรสเจลาโต้เก็บไว้ด้วย 555
อร่อยแบบคอมเพล็กซ์สมชื่อมาก



ในที่สุดก็เขียนบลอกเที่ยวอิตาลีจบซักที ครบ 1 ปีที่ไปเที่ยวพอดี




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2563    
Last Update : 4 ตุลาคม 2563 10:20:22 น.
Counter : 4026 Pageviews.  

Day 7 เที่ยว Amalfi นิด Positano หน่อย

ตื่นแต่เช้า ออกจากโรงแรม มาเดินเล่นในเมืองก่อนคนอื่นจะมา
เวลานี้ ลานกลางเมือง Piazza del Duomo และ Amalfi Duomo ก็เหมือนเป็นของเราคนเดียว ฮ่าาาา



โบสถ์ถูกสร้างขึ้นตั้งแแต่ยุคกลาง (คริสตศตวรรษที่ 9-10) สร้างอุทิศให้เซนต์แอนดริว หรือ Sant'Andrea ในภาษาอิตาเลียน
ปัจจุบัน โบสถ์แห่งนี้ก็เก็บชิ้นส่วนกระดูกของเซนต์แอนดริวที่ไปได้จากคอนสแตนติโนเปิลสมัยสงครามครูเสดในศตวรรษที่  13 ไว้ที่สุสานใต้ดิน
และด้วยความที่สร้างมานาน เลยมีการผสมผสานด้วยศิลปะหลายรูปแบบตามแต่ละยุคสมัยนิยม ทั้งอาหรับ โกธิค เรเนซองส์ บาโรค
ส่วนฟาซาด ฉากด้านหน้าอันมีโมเสกแสดงภาพ Triumph  of Christ สะท้อนแสงมลังเมลืองยามเย็นนั้น เพิ่งสร้างเมื่อปลายศตวรรษที่  19 นี่เอง เพราะของเดิมถล่ม

ขึ้นบันได 62 ขั้น มาที่ส่วนโถงทางเข้าโบสถ์ เจอหน้าต่างโค้งเก๋ๆสไตล์อาหรับ 



มาเช้าเว่อ โบสถ์ก็ยังไม่เปิดสิคะ ประตูบรอนซ์ที่เห็นสีเขียวไกลๆก็นำเข้าจากคอนสแแตนติโนเปิล มาเมื่อพันปีก่อนนู้น



ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่สดใสเหมือนเมื่อวาน  ร้านรวงเริ่มเอาเก้าอี้มาวางเตรียมรับลูกค้า



Fontana Sant'Andrea น้ำพุที่ตั้งอยู่บริเวณ Piazza del Duomo



Porta  della Marina ทางเข้าเมืองอะมัลฟี่ ด้านข้างมีเซรามิคแสดงแผนที่รอบทะเลเมดิเตอเรเนียน
เด็กๆกำลังลงรถเดินไปโรงเรียนที่อยู่ลึกเข้าไปในเมือง 
อ่อ...เพิ่งนึกออกของดีอีกอย่างของอะมัลฟี่ คือ  กระดาษ มีพิพิธภัณฑ์ให้ลองทำกระดาษแบบสมัยก่อนด้วย นึกออกเพราะอยู่ลึกเหมือนกัน แต่เราไม่ได้ไปนะ



บรรยากาศใกล้ๆท่าเรือ 



ถนนด้านล่างยังโล่ง ไม่มีรถผ่าน ตอนนี้ฝนเริ่มตกแบบปรอยๆ



เลยมากินมื้อเช้าในห้องอาหารจิ๋วๆของโรงแรมดีกว่า เข้ามากินเป็นคนแรกอีก อาหารจะเป็นขนมปัง ครัวซอง ชีส แฮม ชากาแฟมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ



กินเสร็จว่าจะเดินไปเที่ยวต่อ ปรากฎว่าฝนตกหนักเลยค่ะ เวลาที่เหลือจนถึงเวลาเช็คเอาท์เลยนอนหลบฝนในห้อง



จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่หยุดซักที  จำต้องเฉดตัวเองออกมา ก่อนจะโดนเก็บตังเพิ่ม 
ฝ่าฝนมารอขึ้นรถไปโพสิตาโน่ เช่นเคยเห็นรถเมล์ SITA คันที่จะไปโพสิตาโน่ คนเบียดแน่นอยู่บนรถ แม้ว่าจะเป็นวันฝนตก 



และเหลือบไปเห็นรถโล่งๆของ  sightseeing  bus ..ไม่ต้องคิดเยอะ โดดขึ้นอย่างไวเลยค่ะ จ่ายค่ารถไป 10 ยูโร สำหรับเส้นทางอะมัลฟี่-โพสิตาโน่เที่ยวเดียว
เหมือนจะแพง แต่ได้นั่งรถเหมือนเหมาทั้งคันเลย (มีผู้โดยสารตลอดทางแค่ 3 คน) ใช้เงินแลกความสบาย ไม่อยากไปทรมานบนรถเมล์อีกแล้ว 
เลือกทำเลปลอดภัยที่สุดสำหรับคนขี้เมา แถวหน้าสุดไปเลยจ้า



นั่งติดด้านหลังคนขับ ฝั่งนี้จะได้เห็นวิวทะเล ถนนคดเคี้ยวและคับแคบเหมือนเดิม บางจุดรถจะติดหน่อยเพราะต้องเบี่ยงหลบทางกัน
แต่ไม่เมารถเลย เพราะได้นั่งสบายๆ ชมวิว 
สังเกตหัวคนขับรถ เซ็ตทรงมาอย่างดี แสดงถึงความแต่งตัวเก่งและดูแลตัวเองของชาวอิตาเลียนมากๆ 
แล้วไหนจะความมนุษย์สัมพันธ์อันเป็นเลิศอีก ตอนขับรถ ฮีก็เปิดกระจกไว้จับมือทักทายกับเพื่อนรถตู้ รถบัส รถบรรทุกที่สวนกันบนถนนแทบทุกคัน เป็นชนชาติที่ชิลดีจริงๆ



ใช้เวลานั่งรถมาประมาณ 40 นาที ก็ถึงเมืองโพสิตาโน่ (Positano)
คิดว่าน่าจะเป็นเมืองที่มีคนมาเที่ยวหนาแน่นที่สุดในกลุ่มเมืองตากอากาศแถบคาบสมุทรอะมัลฟี่แล้วล่ะ



อาคารบ้านเรือนสีสันสดใสถูกสร้างสูงขึ้นไปตามแนวผา เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้เลย เสียดายวันนี้อากาศไม่สดใสเหมือนเมื่อวาน 



ข้างทางมีร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักตลอดแนว 
จริงๆอยากมานอนที่โพสิตาโน่มากกว่าแต่สู้ราคาที่พักไม่ไหว ไปเจอโฮสเทลอยู่บนเขาราคา 60 ยูโรราคาเท่ากับห้องส่วนตัวในโรงแรมกลางเมืองอะมัลฟี่



จุดจอดรถสาธารณะจะอยู่บนเขา ทำให้เดินสบาย เดินลงเขาอย่างเดียว 



มาทานขนมที่ร้านดังของเมือง La Zagara มีแต่ของน่ากินเต็มตู้  



สั่ง Delizia al  Limone เป็นเค้กสอดไส้ครีมเลม่อน ใจอยากสั่ง Limoncello  เหล้าหมักเลม่อนของดีประจำท้องถิ่นมาชิม
แต่กลัวว่าจะเมาตอนนั่งเรือกลับ แล้วจัดการตัวเองไม่ได้ เลยสั่งน้ำส้มมาแทน สิ้นคิดมาก



ออกไปสำรวจโพสิตาโน่ต่อ จะเห็นว่าทางเดินต้องไต่บันไดขึ้นลงเขาแบบนี้ ถ้าต้องเดินขึ้นก็มีหอบเหมือนกัน



โบสถ์  Santa Maria Assunta 



โดมของโบสถ์เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมือง



เนี่ยค่ะ... เห็นโดมกลมๆสีเหลืองๆ แล้วให้รู้เลยว่าที่นี่คือ โพสิตาโน่ 



เมืองสวยน่ารักจริง แต่เรากลับไม่รู้สึกอะไรกับโพสิตาโน่ซักเท่าไหร่  อาจจะใช้เวลาน้อยไปสำหรับที่นี่
ไม่รู้สึกว่า Positano bites deep  แบบ John Steinbeck ว่าไว้เลย



หรือเงินอาจจะน้อยไป  ไว้รวยกว่านี้จะกลับมานอนที่พักดีๆ รอดูพระอาทิตย์ตกสวยๆ ที่โพสิตาโน่ใหม่ละกัน 



ลงมาถึงริมหาดแล้ว ร้านอาหารเรียงราย




มาซื้อตั๋วเรือเฟอรี่กลับไปซาแลร์โน ใช้เวลาประมาณ  1 ชั่วโมงนิดๆก็ถึง



พอจะกลับ แดดก็เริ่มมา ให้มันได้อย่างนี้เส่ะ



พอแดดส่องเมือง อารมณ์เปลี่ยนทันที สวยเปล่งปลั่งทันตาเห็นเลยนะ



หน้าตาเรือเฟอรี่ที่จะนั่งกลับ
ตอนลงเรือ สิ่งแรกที่ถามพนักงานเรือ คือ นั่งตรงไหนนิ่งที่สุด น้องชี้กลับมาที่ตำแหน่งท้ายเรือชั้นล่าง  



บ๊ายบาย Arrivederci, Positano



วิวดีงามมาก ลมดี ไม่มีเมาเรือ ตรงนี้มีโพรงเบ้อเร่อ  คนที่สร้างบ้านข้างบนเค้าจะเสียวมั้ยนะ



ตอนแรกนั่งสบายมาก ทุกคนขึ้นไปนั่งด้านบนกันหมด แต่ซักพักแก๊งสูงวัยเริ่มลงมานั่งท้ายเรือด้านล่างกับเราเต็มเลย 
เรือมีแวะรับคนเพิ่มที่อะมัลฟี่ ก่อนจะมุ่งกลับซาแลร์โน 
บรรยากาศท่าเรือ Salerno Concordia จากท่าเรือ  เดินไปไม่ไกลก็ถึงสถานีรถไฟค่ะ



น่าจะรอดจาก motion sickness ใดๆแล้ว เลยหาอาหารแแบบที่อยู่ท้องมาทานซักหน่อย  แวะร้านขายของชำระหว่างทางไปสถานีรถไฟ



ได้แซนวิชไส้แฮม ชีส น้ำมันมะกอก ยาวประมาณฟุตครึ่งได้ ราคาแค่ 4 ยูโร คุณลุงกำลังประกอบแซนวิชให้หลังเคาเตอร์ 



มาถึงสถานีก่อนรอบรถไฟชั่วโมงนึง  ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ในสถานีหรือชานชาลาไม่มีตำรวจ  หรือเจ้าหน้าที่ดูแล เครื่องตรวจตั๋วอะไรก็ไม่มี
ขณะเรายืนว่างๆรอเวลารถไฟมา ก็รู้สึกเหมือนถูกมอง
พอหันไป เจอผู้ชายหน้าเมากำลังจ้องอยู่ (หน้าเมาคือ ตาแฉะ สูดจมูกฟุดฟิด) หน้าตาเป็นคนอิตาเลียนนี่แหละ
เราเลยย้ายตัวเองเข้าไปในฝูงชน ก็เดินตามมาอีก มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ ตอนนั้นไม่กลัวโดนขโมยของนะ เพราะไม่มีอะไรจะให้ขโมย กลัวโดนทำร้ายมากกว่า
เหมือนถูกล็อกเป้าเลยค่ะ ซักพักมีเพิ่มมาอีกคน ตอนแรกไม่นึกว่ามาด้วยกัน แต่เห็นเค้าคุยกันอยู่ แล้วคนที่มาทีหลังคือมานั่งข้างเรา เราก็ลุกหนีเปลี่ยนที่

เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ยาวนานมาก พยายามย้ายตัวเองไปอยู่กลางคนเยอะๆไว้ก่อน
จนสุดท้ายทั้ง  2  คนก็ขึ้นรถไฟท้องถิ่นเข้าเนเปิ้ลส์ก่อนรถไฟเราจะเข้าชานชาลาซัก 5 นาทีนี่แหละ
ส่วนเรา พอรถไฟมา ได้ขึ้นรถไฟเรียบร้อย  ก็รู้สึกโล่งใจ ...ชั้นรอดแล้ววว... 



ขอโค้กมาปลอบขวัญตัวเองหน่อย  สุดท้ายก็ได้กลับโรมอย่างสวัสดิภาพ




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2563    
Last Update : 26 มิถุนายน 2563 11:36:30 น.
Counter : 2087 Pageviews.  

Day 6 ทะเล ท้องฟ้า มนุษย์ป้า และรถเมล์สุดหรรษาของหล่อน (Amalfi & Ravello)

มาเขียนบลอกต่อ หลังจากหายไปนานหลายเดือนตั้งแต่โควิด19 ระบาด
ช่วงปิดเมืองไม่ค่อยได้ออกไปไหนก็ทำให้ไม่มีอารมณ์จะเขียนบลอก พอช่วงนี้ออกบ้านบ่อยเลยมีแรงฮึดกลับมาเขียนต่อ รอวันจะได้ไปเที่ยวอีกครั้ง

วันนี้ออกนอกโรม ย้ายไปนอนเมืองตากอากาศริมทะเลทางใต้ ที่เมืองอะมัลฟี่ 
ด้วยความที่ไปนอนแค่คืนเดียว เลยฝากกระเป๋าลากใบใหญ่ไว้ที่โฮสเทล เสียค่าฝาก 2 ยูโร สะพายไปแต่เป้กับกระเป๋าใส่ของใบเล็กเพื่อความคล่องตัว
จองรถไฟของ Italo ไปลงสถานี  Salerno ตอนเห็นตู้โดยสารก็แอบกรี้ดในใจ ดูดีมาก 



แถมโชคดี ได้นั่งเดี่ยวด้วย สบายสุดๆ ระหว่างเดินทางก็มีขนมน้ำดื่มแจก 
ตื่นเต้นได้นั่งรถดีเกินคาด เลยหน้าตาสดใส ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง หึ หึ



เป็นรถด่วน เลยจอดระหว่างทางแค่ 2 สถานี Roma Tiburina กับ Napoli Centrale ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่จะลงรถที่เนเปิ้ลส์
พอผ่านเนเปิ้ลส์มา ฝั่งขวาจะเห็นภูเขาไฟวิซุเวียสเด่นเป็นสง่า



ดูปลอดภัยมาก เลยทิ้งกระเป๋าเป้ไว้ตรงที่นั่ง แล้วมาสำรวจห้องน้ำก่อนลงสถานีปลายทางซาแลร์โน  ห้องน้ำสะอาดและกว้างขวาง



มาถึงเมืองซาแลร์โน (Salerno) สภาพแวดล้อมก็ต่างไปจากเมืองก่อนๆ นี่ขนาดว่าเป็นต้นทางไปเมืองตากอากาศสุดหรูแบบคาปรี หรือโพสิตาโน่
แต่บ้านเมืองดูทรุดโทรมกว่าโรม หรือฟลอเรนซ์แบบรู้สึกได้ เอาเป็นว่าบรรยากาศในสถานีรถไฟมาคุกว่าโรม ที่ตอนแรกก็ว่าไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่แล้วอ่ะนะ



ลงรถไฟมาแบบงงๆ ว่าต้องไปซื้อตั๋วรถไปอะมัลฟี่ที่ไหน เราเดินมาถามคนขับรถบัสตรงป้ายรถเมล์ เค้าก็ชี้กลับให้ไปที่สถานีรถไฟ เราเลยเดินตามทิศที่เค้าชี้มา
มายืนต่อคิวซื้อตํ๋วตรงนี้ร่วมครึ่งชั่วโมง จนได้คุยกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เลยรู้ว่ามาผิดที่จ้าาา ตรงนี้ไม่ได้ขายตั๋วแบบที่เราต้องการ
แล้วเค้าก็อุตส่าห์เดินออกมาส่งเราถึงออฟฟิศขายตั๋วของบริษัทที่ขายพาสรถเมล์ 

(ซึ่งคนอิตาลีนี่โคดชิลเหอะ ถ้าต้องซื้อตั๋วแบบที่ต้องคุยกับคนนะ แถวอาจจะไม่ยาว แต่ใช้เวลาสื่อสารต่อคนนานมาก
นวยนาดสุด นี่ก็เดินมาส่งเราไปซื้อตั๋วอีกที่นึงเลย คนที่ต่อคิวด้านหลังก็รอเงกต่อไปนะจ้ะ)


ขอแทรกเล่าเรื่องการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะในคาบสมุทรอะมัลฟี่
- เมืองเริ่มต้น: ไม่เริ่มจากทิศใต้ของคาบสมุทร คือ ซาแลร์โน ก็เริ่มจากทิศเหนือ คือ ซอเรนโต้  
ที่เลือกซาแลร์โน เพราะดูง่ายดีรถไฟต่อเดียวถึง ส่วนซอเรนโต้ต้องลงเนเปิ้้ลส์ แล้วต่อรถไฟท้องถิ่น ยังไม่กล้าลงเนเปิ้ลส์ด้วย เพราะชื่อเสียงทางอาชญากรรมเค้ากระฉ่อนจริงอะไรจริง 
- ขนส่งทางบก: รถเมล์ ราคาถูกแต่คุณภาพชีวิตต่ำเตี้ย ขอให้เลี่ยง / รถนำเที่ยว ราคาแพง นั่งสบาย
- ขนส่งทางน้ำ: เรือเฟอรี่ แนะนำเลย วิวดี นั่งสบาย คุมเวลาได้ ถึงไวแต่รอบอาจไม่เยอะในช่วงหน้าโลว์
- นอกจากนี้้ยังสามารถเช่ารถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ขับเองก็ได้ แต่เราก็ไม่เปรี้ยวขนาดนั้น แถมถนนแถวนี้ยังแคบมากๆ



ตอนแรกซื้อตั๋วรถเมล์แบบเหมา 24 ชม. ขึ้นกี่รอบก็ได้ในเวลา ราคา 10 ยูโร 
ต้องอธิบายก่อนว่าที่อะมัลฟี่โคสท์ จะมีเมืองตากอากาศหลายเมือง อยู่ติดทะเลบ้าง อยู่บนผาสูงบ้าง เวลามาเที่ยวเค้าก็จะแวะเที่ยวกันไปเรื่อยๆ
บางทีก็นอนเมืองเล็ก ค่าห้องก็ถูกหน่อย แล้วค่อยนั่งรถหรือลงเรือไปเที่ยวเมืองอื่น ดังนั้นการซื้อพาสแบบนี้ก็ดูจะคุ้ม

....แต่
...ช้าก่อน...
ดูสภาพความแออัดในรถก่อนค่า  เบียดกันแบบรถเมล์เมืองไทยช่วงเวลาเร่งด่วนเลยค่ะ นี่เราไปช่วง low season  แล้วนะ ต้นเดือนตุลา
แถมตอนจะขึ้นรถ  เด็กแถวนี้โผล่มาจากไหนไม่รู้เป็น 10 คนก็พากันกรูขึ้้นรถ แซงนักท่องเที่ยวที่เค้ายืนต่อคิวกันมาก่อนหน้า เสียอารมณ์สุดๆ ก็เลยได้ยืนเบียดเป็นปลากระป๋องแบบที่เห็น



เท่านั้นยังไม่พอ ความหฤหรรษ์มันเพิ่งเริ่มต้นค่ะ จากนั้นพอรถเริ่มออกจากป้าย ก็เป็นทางตรงซัก 10  นาทีแรก
จากนั้นถนนเลาะไปตามขอบหน้าผาล้วนๆ แทบไม่มีทางตรง คดเคี้ยวมากๆ 
....ไม่รอดค่ะ เราเริ่มเมารถ
 
โชคดีที่ป้าคนที่นั่งตรงกับจุดที่เรายืนปิดทางตรงที่นั่งของนางกำลังจะลงรถ เราก็กำลังจะเข้าไปเสียบนั่งแทนอยู่แล้ว นางกางแขนขวางเราแล้วเรียกเด็กเวรที่แซงคิวเมื่อตะกี้ให้มานั่งแทนค่ะ เด็กชายที่มานั่ง อายุน่าจะ  12-14 ตัวสูงกว่าเราอีก วัยกะลังกวนได้ที่เลย พอมานั่งก็ตะโกนคุยกะเพื่อนที่อยู่ทางด้านหลังตลอดเวลา แล้วเอาเข่ามากระทุ้งขาเราเรื่อยๆ เราก็เลยกระแทกกลับสู้บ้าง 
เมารถก็เมา แล้วต้องมาไฟว้กะอิเด็กพวกนี้อีก  เห้อออ 
 
ผ่านไปเกือบชั่วโมง เหงื่อออกท่วมตัว แต่มือเย็นเจี๊ยบ อาการเมารถชักจะหนักข้อขึ้น เปิดดูแผนที่ในมือถือ  ยังไม่ถึงครึ่งทางไปอะมัลฟี่เลย ยืนทำใจสูดหายใจลึกๆ วิวทะเลไม่มีให้ดูค่ะ  เพราะยืนฝั่งที่เห็นแต่ผาหิน แต่แล้ว อยู่ๆเด็กชายก็ลุกจากที่นั่ง ไปคุยเล่นกะเพื่อนด้านหลังเองเฉย เราเลยได้โอกาสนั่งแทนที่ ..ผ่านไปซัก 5 นาที ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านหลังรถ เสียงดังมาก คือทุกคนบนรถหันไปมองอ่ะ
 
ใช่ค่ะ.. เด็กคนนั้นเรียกเรา เดาว่าจะให้เราลุกเพราะต้องการจะกลับมานั่งที่ พูดอิตาเลียนทั้้งหมด เราก็ไม่เข้าใจหรอก  รู้เรื่องแค่ mi scuzi ที่แปลว่า excuse me  นั่นแหละ แต่เรื่องอะไรจะลุกให้ล่ะคะ เราตีหน้ามึนกลับไป แล้วบอกว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เธอพูด พูดเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย ก็คุยกันแบบโลกคู่ขนานอยู่พักนึง จนเด็กเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อความตีมึนของเราไปเอง ตอนหันหน้ากลับมา เราว่ามีคนที่เอาใจช่วยเราอยู่นะ เพราะมีคนบนรถยิ้มมาให้เราด้วย ก็..เด็กก๊วนนี้มันกวนจริงๆ (ไม่ก็เอ็นดูปนเอือมมนุษย์ป้าทะเลาะกับเด็กบนรถเมล์นี่แหละ)


 
พอใกล้ถึงอะมัลฟี่คนบนรถก็บางลง ทุกคนได้ที่นั่งกันหมด เด็กคนนั้นก็ลงรถไปซักเมืองก่อนหน้านี้ แต่ความเมารถยังไม่จางหายไป
เรากำถุงพลาสติกที่เตรียมมาด้วยติดมือไว้  ข้างๆเราเป็นคุณพี่ยิปซีนั่งอยู่ เหงื่อออกท่วมตัว แต่ข้างในเย็นเฉียบ ...ในที่สุดก็ต้านไม่ไหว 
ใช่ค่ะ... เราอ้วกบนรถเมล์ไปอะมัลฟี่ น่าอายมาก ยังดีที่พกถุงติดตัวมาด้วย และไม่ได้กินมื้อเที่ยงก่อนขึ้้นรถ เตรียมตัวมาดีก็เลยก้มหน้าอ้วกหลังเบาะแบบเงียบๆ ไม่ทำความเปรอะเปื้อนให้สภาพแวดล้อม สงสารก็แต่ พี่ยิปซีที่ต้องมานั่งใกล้ชิดกับมนุษย์ป้าเอเชียอย่างเราจัง ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี

ไม่ถึง 10  นาที  ก็มาลงรถสุดสาย เมืองที่เราจะนอนพักคืนนี้ที่ อะมัลฟี่ สิริรวมใช้เวลาเดินทางจากซาแลร์โน-อะมัลฟี่ก็เกือบ  2 ชั่วโมง
ลงรถปุ๊บ รีบถ่ายตามหลังรถเมล์คันเกิดเหตุหรรษาต่างๆนานา



มาเช็คอิน เก็บของที่โรงแรมกันก่อน  Albergo Sant'Andrea เป็นที่พักทำเลทอง อยู่ติดกับจัตุรัสกลางเมือง บางห้องของโรงแรมก็จะได้วิวลานกลางเมืองและ Amalfi Duomo ด้วย (ซึ่งไม่ใช่ห้องของเรา) ราคาสำหรับแถวๆนี้ก็จัดว่าถูก 60 ยูโร พร้อมอาหารเช้า ห้องก็ทั่วๆไป
แต่คืนนี้เป็นคืนเดียวที่ได้นอนห้องส่วนตัว ใช้ห้องน้ำคนเดียว สำหรับเราก็คือ ฟินมากกก



จัตุรัสกลางเมืองที่ว่า และโบสถ์ด้านหลังคือ Amalfi Duomo



ของฝากของที่ระลึกแถวๆนี้  ก็จะเป็นงานเซรามิค สีสันสดใสเฉพาะตัว กับสินค้าจากเลม่อน



ชายหาดเมืองอะมัลฟี่ วันนี้แดดแรง ฟ้าสดใสมาก ตอนแรกแพลนจะไปโพสิตาโน่  ส่วนพรุ่งนี้พยากรณ์ว่าจะมีฝนตกอึมครึมทั้งวัน



มารอรถเพื่อไปโพสิตาโน่ ตรงนี้เป็นจุดรวมรถสาธารณะไปยังเมืองท่องเที่ยวต่างๆ แต่พอเห็นคิวคนรอรถไปโพสิตาโน่เท่านั้นแหละ เปลี่ยนใจไปราเวลโล่ดีกว่า



มีรถ sightseeing ที่จะไปราเวลโล่ มาจอดพอดี จริงๆจะรอขึ้นรถเมล์ที่ใช้พาสขึ้นก็ได้นะ แต่ยอมจ่าย 5 ยูโรเพื่อความสะดวกสบายดีกว่า ยังขมคอไม่หาย
รถเปิดหลังคารับสายลมแสงแดดเต็มที่ขนาดนี้ ไม่น่าเมารถซ้ำรอยเดิมแล้วแหละ



ถนนอารมณ์เหมือนทางขึ้นเขาไปม่อนแจ่ม นั่งรถใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที



ก่อนจะเข้าตัวเมืองราเวลโล่ เราเดินย้อนมาดูหอแสดงดนตรี Oscar Niemeyer Auditorium
เมืองนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นเมืองตากอากาศแล้วมีคนดังๆ  เซเลบจากวงการต่างๆ รวมถึงวงการดนตรีมาพักผ่อนหาแรงบันดาลใจ  อย่าง Richard  Wagner เป็นต้น
ช่วงหน้าร้อน ก็จะมีงานแสดงดนตรีจัดขึ้นเป็นประจำ จนได้ชื่อว่าเป็น city  of  music



เข้าเมือง ก็จะพบจัตุรัสกลางเมืองก่อน Piazza Vescovado และ  Ravello Duomo



มีร้านอาหาร ร้านขายของ บรรยากาศน่ารักมากๆ ใกล้ๆกับจัตุรัสมีที่ท่องเที่ยว  Villa Rufolo แต่เราไม่ได้เข้าไปที่นี่ค่ะ 
ไปเข้าวิลล่าอีกที่ Villa Cimbrone เดินไกลหน่อย จะได้ถือโอกาสชมเมืองไปด้วย



ของที่ระลึกอีกเช่นเคย เซรามิกและเลม่อน



ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการเดินไป Villa Cimbrone วิวสองข้างทางก็เพลิดเพลินมาก 



สวนในบ้านใครซักคน กับวิวทะเลไกลๆ



ถึงด้านหน้าวิลล่าแล้วค่ะ ปัจจุบันเป็นโรงแรมหรู เปิดให้ชมสวนด้านในได้ ค่าเข้า 7 ยูโร



แค่ประตูก็สวยน่ารักแล้ว



พื้นที่ด้านในกว้างขวาง รูปแบบพื้นที่เดิมของสวนเป็นแบบเรเนซองส์ซึ่งจะเน้นทรงเรขาคณิต มีสมมาตร แต่พอช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 เปลี่ยนเจ้าของเป็นคนอังกฤษ
เลยมีการจัดสวน จัดต้นไม้แบบสวนอังกฤษเข้ามาผสมอยู่ด้วย



ติดกับทางเข้าสวน มีคอร์ทยาร์ดเล็กๆ กลิ่นอายอาหรับ ชวนฝันมาก



ประติมากรรม เทพีเซเรส (Ceres)  หรือดีมีเตอร์ในภาษากรีก  เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ตั้งอยู่ดักทางก่อนจะถึงไฮไลท์ของสวนนี้



Terrazza dell'Infinito ระเบียงจุดชมวิวอันโด่งดังของวิลล่าชิมโบรเน่ มองเห็นวิวทะเลไทรีเนี่ยนสีน้ำเงินเข้มด้านล่างได้กว้างไกลมาก



สมชื่อระเบียงอินฟีนิิตี้ เห็นจนสุดสายตา ผืนน้ำผืนฟ้ามาเชื่อมกัน



นึกเสียดายที่มาคนเดียว เลยไม่มีรูปถ่ายตัวเองแแบบดีๆกับระเบียงชมวิวนี้เลย 

นี่ก็บ่ายแก่ๆแล้ว แต่ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง เลยแวะร้านเจลาโต้ของโรงแรมซักหน่อย อยู่ด้านล่างของระเบียงนั่นแหละค่ะ
มาแถวนี้ก็ต้องสั่งรส Limone  หรือเลม่อน ของดีประจำท้องถิ่น



ถ้วยนี้ 5 ยูโร แพงกว่าราคาเจลาโต้โดยเฉลี่ย 2-3  เท่า แต่ก็เข้าใจได้ เพราะสั่งในโรงแรมที่มีห้องพักราคาต่อคืนเริ่มต้นหลักหมื่น แถมวิวดีอีก



ตรงจุดนี้มีความหลอนหน่อยๆ มีเราเดินไปอยู่คนเดียว ลงไปอ่านแผ่นหินที่เค้าสลักไว้ข้างรูปปั้น เนื้อความเหมือนเขียนให้คนตายเลย ไปต่อดีกว่า... 



เดินกลับเข้าเมืองราเวลโล่ เป็นเมืองเล็กๆ เดินเที่ยวได้สบายๆ นักท่องเที่ยวไม่แน่นแบบอะมัลฟี่หรือโพสิตาโน่



คนแต่งตัวดีกันจริง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือฝรั่งวัยเกษียณ



ขากลับ เราขึ้นรถเมล์แบบที่ใช้กับตั๋วพาสที่ซื้อมาตอนแรก ลงมาถึงอะมัลฟี่ ก็เริ่มมืดแล้ว



ร้านอาหารริมหาด



ด้านหน้าอะมัลฟี่ดูโอโม่ยามเย็น  คนยิ่งคึกคัก





มื้อเย็นกินอาหารทะเลชุบแป้งทอดที่ร้านนี้  Cuoppo d'Amalfi อยู่ไม่ไกลจากโรงแแรมที่พัก



คุยกับเจ้าของร้าน เค้าบอกว่าช่วง 2-3ปีหลัง คนมาเที่ยวกันเยอะขึ้นมาก เมื่อก่อนเดือนตุลานี่แทบจะไม่มีคนมาเที่ยวแล้ว แต่ตอนนี้้คนยังเยอะอยู่เลย และแน่นอนช่วง 3-4 เดือนก่อนที่เป็นไฮซีซั่นคนแน่นกว่านี้อีก
มื้อเย็น อยากได้ข้าวสวยกับน้ำพริกกุ้งเสียบมาทานด้วยกัน



กลิ่นประจำเมือง คือกลิ่นเลม่อน เดินๆอยู่แล้วได้กลิ่นเป็นระยะ หอมชื่นใจ



ในกระบะคือเลม่อน ร้านค้าเอาออกมาตั้งให้คนหยิบแบบฟรีๆ เป็นเลม่อนที่เค้าขูดเอาผิว (lemon zest) ออกไปแล้ว 



Andrea Pansa ร้านขนมชื่อดังของเมือง มีทำเจลาโต้ ทำซ็อคโกแลตขายด้วย



ก็จบวันที่พังที่สุดของทริิปไปได้แบบ อืม...ก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ 




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2563    
Last Update : 23 มิถุนายน 2563 11:40:25 น.
Counter : 1302 Pageviews.  

Day 5 วาติกันมิวเซียม งานศิลปะโอเวอร์โหลด

เริ่มอิดออดไม่ค่อยขยันเที่ยวแบบวันแรกๆ เพียงตัดแผนเดินตลาดกัมโปดิฟิออรีกับแผนเดินเที่ยวตราสเตเวเร่ออก 
แค่นี้... เราก็ไม่ต้องออกเที่ยวแต่เช้าแล้ว เฮ้!! (เนี่ย มาคนเดียวมันก็สบายตรงนี้)

สายๆค่อยเริ่มออกไปเที่ยว ถนนร่มรื่นมาก ระหว่างทางจากโฮสเทลไปบันไดสเปน
 


เราเดินมาโผล่ด้านบนของบันไดสเปน มีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ของฝรั่งเศสที่ชื่อ Trinita dei Monti
จุดเริ่มต้นของการสร้างบันไดแห่งนี้ ก็เพราะทางฝรั่งเศสอยากสร้างทางเดินเชื่อมโบสถ์บนเนินเขากับจัตุรัสด้านล่าง
แต่เผอิญว่าใกล้ๆกับจัตุรัสมีสถานทูตสเปน (เป็นสถานทูตที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วยตั้งแต่ปี 1480) คนเลยเรียกบันไดนี้ว่า บันไดสเปนไปซะงั้น



มองลงไปเห็น Piazza di Spagna อยู่ด้านล่าง เป็นทางบันไดที่กว้างที่สุดในยุโรป
แถวนี้ก็เป็นย่านช้อปปิ้งไฮเอนด์ของโรมเค้าล่ะ ที่พักหรูหราก็จะกระจุกตัวย่านนี้เช่นกัน 



ตอนนี้เค้าไม่อนุญาตให้มานั่งเล่นตามขั้นบันไดแล้วนะ ถ้าจำไม่ผิดนอกจากจะโดนไล่แล้ว อาจจะต้องเสียค่าปรับด้วย



มาถึงลานด้านล่าง ก็จะเจอ Fontana della Barcaccia 
น้ำพุเรือล่มที่แบร์นินี่เป็นคนออกแบบ เป็นศิลปินที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะเจอผลงานของฮีเป็นระยะๆทั่วกรุงโรม



คุณยายมายืนส่องกุชชี่สาขาบันไดสเปน



Caffe Greco ร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในโรม ซึ่งเราไม่ได้เข้าในรอบนี้ 



ร้านขายดอกไม้มุมถนน



Piazza del Popolo จัตุรัสใหญ่อีกแแห่งในกรุงโรม
มีโบสถ์คู่แฝด ฝั่งขวา คือ Santa Maria dei Miracoli และฝั่งซ้าย Santa Maria di Montesanto
ส่วนถนนตรงกลาง คือ via del Corso ซึ่งในบลอกที่แล้ว เราได้ไปเห็นสุดสายอีกฝั่งของถนนเส้นนี้กันแล้วเนอะ



เดินถอยมาอีกหน่อย ตรงกลางจัตุรัสมีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่
ถ่ายแบบนี้ เสาก็บังถนน via del Corso ซะมิด



อีกด้านของจัตุรัส ยังมีอีกโบสถ์ซึ่งเราตั้งใจมาค่ะ Santa Maria del Popolo
การตกแต่งด้านในดูธรรมดาๆ แต่ขอฝอยตำนานของโบสถ์นี้หน่อย.. 
น่าจะพอรู้จักจักรพรรดิเนโรที่เค้าว่ากันว่าเป็นคนเผากรุงโรม.. คุ้นกันมั้ย.. 
ถ้ายังนึกไม่ออก ก็นึกถึงชื่อโปรแกรมเขียนแผ่นซีดี Nero Burning Rom ที่ได้ไอเดียชื่อมาจากวีรกรรมของเนโรนี่แหละ
เชื่อว่าที่ตั้งของโบสถ์ปัจจุบันนี้เป็นจุดฝังศพของเนโร สมัยยุคกลางผีเนโรเฮี้ยนมากจนต้องนิมนต์โป๊บมาปราบ ด้วยการให้สร้างโบสถ์มาทับหลุมศพ
จึงได้มี Santa Maria del Popolo ในทุกวันนี้



แต่เหตุที่เรามาโบสถ์นี้ไม่ได้มาล่าท้าผีนะ เรามาเพื่อตามรอยนิยายตะหาก
Habakkuk and the Angel ผลงานแบร์นินี่เจ้าเก่า ตั้งอยู่ใน Chigi chapel



แล้วก็ไปเจอของดีโดยบังเอิญ รูปวาด Crucifixion of St Peter ของคาราวัจโจ้  ก็อยู่ที่นี่ด้วย
แถมมีคนหยอดตังเปิดไฟชมรูปอยู่พอดี เลยรีบแชะรูปมาอย่างว่อง



ถ่ายได้ฝั่งเดียว ไฟดับไปซะแล้ว
เนี่ยค่ะ... คริสตพานิชย์ อยากเห็นรูปภาพชัดๆก็ใส่ 2 ยูโรแล้วจะมีไฟสว่างให้เห็นได้ชัดๆ



Conversion of St Paul ก็เลยต้องมองแบบสลัวๆ



จากนั้น ออกประตูเมืองโรมฝั่งทิศเหนือ ลองนั่งรถไฟใต้ดินที่เค้าว่าโจรร้ายนักร้ายหนากันหน่อย นั่งจากสถานี Flaminio ไปลง Cipro ค่ะ



ยังไม่ทันจะเข้าชานชาลา จะซื้อตั๋วที่ตู้ก็ทำไม่เป็นค่ะ หาช่องใส่เหรียญไม่เจอ ทันใดนั้นมีคุณป้ามายืนกดอยู่ข้างๆ เลยขอให้เค้าช่วยสอนวิธี
ปรากฎว่าเจอคนใจดีค่ะ คุณป้าสอนให้อย่างดี ไม่มีหลอกลวง จากนั้นก็ขึ้นรถไฟไปตามปกติ ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย สถานีจะมืดๆหน่อยนะ


 
บ่ายนี้เราจะไปวาติกันมิวเซียม ซึ่งส่วนใหญ่ถ้ามาเมโทรก็จะลงสถานี Ottaviano กัน
ที่เรามาลง Cipro เพราะวางแผนดอกจันทร์ว่าจะมากินพิซซ่าร้านนี้ Bonci Pizzarium (อ่านว่าบอนชิ่)
เป็นร้านพิซซ่าแบบแบ่งขายตามน้ำหนัก ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า pizza al taglio
จริงๆมีขายทั่วไปในโรม แต่ร้านนี้คือดังในหมู่นักท่องเที่ยวเยี่ยงเรา ไหนๆก็ได้มาแถวนี้เลยต้องขอแวะมาลอง

พิซซ่าหน้าตาดีมากๆ หยิบบัตรคิว ชี้เลือกว่าจะเอาหน้าไหน พนักงานก็จะตัดชั่งน้ำหนัก แล้วเอาโน้ตให้เราไปยื่นจ่ายตังกับแคชเชียร์
จากนั้นก็รอพักนึง เค้าจะเอาไปอบให้ร้อน แล้วค่อยไปรับพิซซ่าที่สั่งไว้ค่ะ 



ด้วยความฮิต ร้านนี้ก็จะราคาแพงกว่าร้านทั่วๆไปนะ โต๊ะก็ไม่มีให้นั่ง มีเคาเตอร์ให้ยืนกินอย่างเดียว เสียไป 12 ยูโรแหนะ
แต่แป้งอร่อยมากแบบไม่เคยกินแป้งพิซซ่าแบบนี้มาก่อน หน้าที่สั่งมาก็อร่อยใช้ได้ แต่เค้าใส่หอมหัวใหญ่เยอะไป ได้เขี่ยๆออก



ขณะกินไปไม่ถึงครึ่งก็เริ่มอิ่ม กำลังนึกเสียดายอยู่ว่าจะต้องทิ้งที่เหลือเหรอ
ก็มีคนเข้ามายืนกินข้างๆ เราเลยไปชวนเค้าว่าสนใจมาจอยถาดของเรามั้ย ซึ่งเค้าตอบตกลง ก็เลยกลายเป็นว่าไม่ต้องทิ้งอาหาร
เดชะบุญเป็นอเมริกันค่ะ ถึงว่า อัธยาศัยดีเว่อร์ เป็นคู่แฟนมาจากวอชิงตัน แวะมาทานพิซซ่าก่อนจะไปวาติกันมิวเซียมรอบบ่ายโมงเหมือนกับเรา
เลยได้เพื่อนคุยทั้งตอนกิน และตอนเดินไปวาติกันมิวเซียม 

และขอเดชะบุญรอบสอง ที่ได้มีเพื่อนเกาะเดินไปมิวเซียมด้วย เพราะระหว่างทางเงียบสงัดมาก มีกลุ่มคนผิวสีมารุมขายทัวร์ขายของ 
คือ ถ้ามาคนเดียวก็คงน่ากลัวมิใช่น้อย แต่พอมากับอเมริกัน ทุกคนไปรุมคนผิวขาวกันหมด เราก็สบายตัวไป ไม่มีคนเข้าหา แหะๆ



วาติกันมิวเซียม เป็นมิวเซียมที่ใหญ่มาก ทางเดิน(สำหรับเรา)สับสนงงงวยมาก และปวดคอมากที่สุด
จองรอบเข้ามาล่วงหน้าก่อนเช่นเคย เอาตั๋วจองที่ปริ้นต์มา ไปสแกนที่ตู้ออโต้ ได้ตั๋วจริงมาแบบนี้ค่ะ สะดวกสุดๆ 
เสียดายช่วงที่เราไปส่วนจัดแสดงอียิปต์ปิดปรับปรุง เลยอดเห็นมัมมี่ของจริง

เริ่มที่ Pinacoteca หรือส่วนจัดแสดงงานศิลปะ แค่ส่วนนี้ก็มี 18 ห้องแล้ว
กลางห้องคือรูปปั้นต้นแบบก่อนจะนำไปหล่อบรอนซ์ ฝีมือแบร์นินี่เจ้าเก่า ทำมาจากฟางมัดขึ้นรูปด้วยลวด แล้วใช้ดินเหนียวปั้นทำรายละเอียด
เราว่า ดูๆไปก็มีความอะนิเมะอยู่เหมือนกันนะ



Transfiguration วาดโดยราฟาเอล เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนลาโลกค่ะ
ส่วนใหญ่ภาพที่ราฟาเอลวาดจะแสงสีละมุนตา แต่รูปนี้เค้าใช้เทคนิคการวาดแบบ chiaroscuro วาดเน้นมืดสว่างตัดกันแบบชัดเจน



คนที่เป็นเจ้าพ่อแห่งการวาดภาพสไตล์ high contrast แบบนี้ ก็เห็นจะเป็นคาราวัจโจ้นี่แหละค่ะ
The Deposition by Caravaggio



สวนกลางวาติกันมิวเซียม มีหลายชื่อ ทั้ง Belvedere courtyard ตั้งตามที่อยู่ของโป๊บในวาติกัน Villa Belvedere
แต่เราชอบชื่อ Pinecone courtyard มากกว่า เพราะด้านนึงของสวนจะมีรูปลูกสนทำจากบรอนซ์ลูกเบ้อเร่อตั้งอยู่
เป็นของโบราณ คาดว่าสร้างมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 1 โดยลูกสนเป็นสัญลักษณ์ของการรู้แจ้ง แสงสว่างในความหมายของชาวโรมัน
ฟังก์ชั่นคล้ายๆต่อม pineal gland ต่อมรูปทรงลูกสนในสมองของเราที่สร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน ควบคุมวงจรการนอนหลับเลยค่ะ



The Sphere within a Sphear เป็นงานศิลปะสมัยใหม่ที่ตั้งอยู่กลางคอร์ทยาร์ด โดดเด่นมากค่ะ
กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวาติกันมิวเซียมไปแล้ว



Chiaramonti museum แสดงงานประติมากรรม ที่เกือบโดนฝรั่งเศสยึดไปสมัยนาโปเลียนเรืองอำนาจ



New wing หรือ Braccia Nuovo ส่วนต่อขยายจากเกียรามอนติมิวเซียม 
เราว่างานประติมากรรมในนี้สวยกว่าเกียรามอนตินะ ใครมาเที่ยวอย่าเพิ่งหันหลังกลับไปก่อน เดินมาจนสุดทางของเกียรามอนติแล้วถึงจะเจอ
Statue of the Nile God ลูกหลานเยอะจริง



มาถึงอีกคอร์ทยาร์ด octagonal coutyard ใน Pio-Clementine Museum



Laocoon ประติมากรรมยุคโบราณ ที่สร้างความประทับใจในฝีมือการสลักให้ใครหลายๆคน รวมถึงมิเคลันเจโลที่ไปนั่งเฝ้าตั้งแต่ตอนขุดเจอ
เป็นช่วงเวลาที่เลโอโคออนและลูกกำลังต่อสู้กับงูทะเล ก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป



Sala Rotunda ห้องโถงสูง มีหลังคาเป็นโดมที่ได้แรงบันดาลใจจากแพนธีอัน



กลางห้องมีอ่างขนาดใหญ่ทำจากหินลาวาสีม่วงแดง เจ้าของเดิม คือ จักรพรรดิเนโร



งานโมเสกแบบละเอียดยิบ



เที่ยวแล้วปวดคอมาก นี่ไม่ได้เว่อร์แต่อย่างใด เดี๋ยวก้มหน้า เดี๋ยวแหงนคอ (ขั้นกว่าของเงย)



The Tapestries Hall
โถงยาวที่ 2 ข้างแขวนพรมจากช่างทอชั้นยอด ฝั่งซ้ายจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู ส่วนด้านขวาเป็นชีวประวัติของโป๊บ Urban ที่ 8
ส่วนบนเพดาน แต่งด้วยภาพวาดแบบ 3 มิติ!!



The Resurrection of Christ 
เป็นพรมที่มีความพิเศษ คือ เมื่อเรามองตาพระเยซู แล้วเคลื่อนที่ พระเยซุจะมองตามมาค่ะ บึ้ยยย
หรือจะมองตรงก้อนหินที่พระเยซูเหยียบอยู่ก็ได้ มี moving effect เหมือนกัน



พรม The Last Supper



The Maps Hall 
ทุกคนที่เพิ่งเดินเข้าห้องนี้ จะแแหงนหน้ามองเพดานโดยอัตโนมัติ มลังเมลืองสุด



เป็นห้องที่เก็บรวบรวมแผนที่โบราณไว้  หน้าตาก็มีคลาดเคลื่อนกับปัจจุบันไปบ้าง
แผนที่แดนรองเท้าบูท



มองเห็นโดมของเซนต์ปีเตอร์จากมิวเซียมด้วย (มุมไหนห้องไหน ลืมไปแล้วค่ะ)



School of Athens อีกหนึ่งจุดหมายของคนที่มาวาติกันมิวเซียม วาดโดยราฟาเอลค่ะ
เป็นภาพวาดที่รวมเอานักคิดนักปราชญ์ในหลากหลายยุคสมัยมารวมกันในภาพเดียว 
จากตรงกลางภาพ ชาย 2 คนที่ยืนอยู่ คือ เพลโต(ใช้หน้าดาวินชีมาเป็นแบบ) และอริสโตเติล (ใช้บรามันเต้มาเป็นแบบ)
เราว่าภาพนี้เหมือนรวมเหล่าเซเลบในวงการ เลยทำให้คนสมัยปัจจุบันอินได้ง่าย มีเรื่องที่ทุกคนพอจะรู้จักไรงี้



ภาพ School of Athens ถูกวาดอยู่บนผนังห้องด้านนึงในห้องที่ชื่อ Stanza della Segnatura
โดยที่ราฟาเอลตั้งใจวาดให้ผนังแต่ละด้าน เล่าแทน 4 หัวข้อ  คือ กวี ความยุติธรรม ปรัชญา เทววิทยา



ปลายทางของวาติกันมิวเซียมจะมาจบที่ Sistine chapel แต่ด้านในเค้าไม่ให้บันทึกภาพ
ตอนเข้าไปนอกจากนึกถึงฉากเลือกตั้งพระสันตะปาปาในเรื่องเทวากับซาตาน ก็แหงนมองเพดานเฟรสโก้สุดบ้าพลังของมิเคลันเจโล
หาช่องที่วาดเรื่อง The Creation of Adam แต่มันสูงมองไม่เห็นรายละเอียดหรอก ถ้าจะดูชัดๆ ค้นเนตดีกว่าค่ะ 
ผนังห้องด้านนึง ก็เป็นเฟรสโก้  The Last Judgement ผลงานมิเคลันเจโลเหมือนเดิม แต่กลับมาทำตอนอายุมากแล้ว
ระยะเวลาตอนวาดห่างจากภาพบนเพดานเกือบ 30 ปีแหนะ

ว่าแล้วก็สอยกระเป๋าลาย Creation of Adam กลับไปเป็นที่ระลึกซะเลย 



ก่อนจะออกมิวเซียม ก็ต้องเดินลงบันไดวน ร่ำลามิวเซียมไปด้วยความประทับใจ 
21 ยูโรที่เสียไป คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม งานศิลปะแน่นมาก ปวดทั้งขา ทั้งคอ และสมองเลยค่ะ เหอเหอ



จากนั้น เดินมาเข้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ต่อ กะว่ามาเย็นๆคิวไม่น่าจะยาวแล้วล่ะ
ผ่านทางเดิน The Colonnade ที่แบร์นินี่ออกแบบให้โค้งโอบรอบจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์เอาไว้



คิวรอเข้าเซนต์ปีเตอร์ตอนห้าโมงกว่าๆ ..ผิดคาดมากๆ แถวยาวอ้อมมาเกินครึ่งลานเซนต์ปีเตอร์อีก 
เราคำนวณว่าอีกชั่วโมงนึงจะถึงเวลาปิดวิหารแล้ว เลยตัดสินใจไม่ต่อแถวดีกว่า ค่อยกลับมาแก้ตัววันอื่นละกัน



เดินจากมาแบบไม่ได้เข้าเซนต์ปีเตอร์



Castel Sant'Angelo ป้อมปราการที่มีทางเดินลับไปด้านในวาติกัน (แต่ตอนนี้คงไม่ลับแล้วล่ะ)



เจอตำรวจม้าด้วย



บริเวณรอบๆ Piazza Navona จนถึง Pantheon ถนนหนทางเป็นซอยเล็กซอยน้อย เราเดินแถวนี้แล้วหลงทุกที
แต่บรรยากาศสวย ดูปลอดภัยดีค่ะ มีร้านรวงน่ารักๆ ดูโร้มโรมแหละ



ช่วงเดินหลง ก็ไปถามทางกับผู้หญิงคนนึงที่เพิ่งเดินออกมาจากโบสถ์ ด้วยเข้าใจว่าเป็นคนพื้นที่
แต่จริงๆก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกันนี่แหละ เค้าก็เที่ยวไปหลงไปเช่นเรา เป็นชาวแคเนเดียน เคยมาเชียงใหม่บ้านเราด้วย 



ตั้งใจมาถ่ายรูปมุมสวยๆที่ซอยนี้ค่ะ เห็นในอินสตาแกรมของนางแบบที่เราตามอยู่ เป็นมุมที่สวยงามจับใจ(ในอินสตาแกรม)มาก
แต่ของจริง อาจจะเพราะมาตอนแสงใกล้หมด เลยดูมืดไปหน่อย



มาโผล่นาโวน่าเฉ้ยย



กลางจัตุรัสนาโวน่า เป็นที่ตั้งของน้ำพุ Four Rivers Fountain ให้ทายว่าฝีมือใคร
..
..



เฉลย แบร์นินี่ไง จะใครล่ะ ขยันจิ๊งงง พ่อคุณ

ก่อนแบร์นินี่จะได้สร้างน้ำพุแห่งนี้ ผู้ว่าจ้างได้มอบหมายให้บอรอมมินี่(สถาปนิกดวงอาภัพ คู่ปรับกับแบร์นินี่ที่เราพูดถึงในบลอกก่อน) เป็นคนออกแบบ
แต่ด้วยความอยากได้จ๊อบนี้มาก แบร์นินี่เลยเอาแบบน้ำพุของตนไปเสนอให้น้องสะใภ้ของโป๊บ แล้วให้นางไปเกลี่ยกล่อมให้ใช้แบบของตัวเองแทน
ปรากฏว่า ทำสำเร็จค่ะ เราเลยได้เห็นน้ำพุจตุมหานทีแบบในทุกวันนี้

แต่การออกแบบปรับด้านหน้าโบสถ์ Sant'Agnese in Agone ให้เว้าเข้าไป เพื่อเพิ่มความกว้างขวางให้ลานน้ำพุเป็นฝีมือบอรอมมินี่นะ



ไม่ได้ตั้งใจจะมา แพนธีอัน วันนี้ แต่ไหนๆเดินผ่านแล้วก็แวะเลยละกัน



พอเข้ามา รู้สึกเกินความคาดหมาย ด้านในคือกว้างขวางมาก ลมพัดสบาย ทำเราทึ่งไปเลย
ก่อนมาคิดว่าคงงั้นๆ ธรรมดาๆ แต่กลายเป็นว่าประทับใจกับแพนธีอันมากค่ะ



ใช้เป็นที่ฝังศพบุคคลสำคัญหลายๆคน รวมถึง Victor Emmanuele ที่ 2 ซึ่งเป็นคนที่รวมเมืองต่างๆจนเป็นประเทศอิตาลีในทุกวันนี้
Padre della Patria เป็นพ่อของแผ่นดินอิตาลีค่ะ



น้ำพุเทรวี่ยามเย็น คนแน่นม้ากกก 



วันนี้เดินผ่านตอนช่วงเปลี่ยนเวรยามหน้าทำเนียบประธานาธิบดีด้วย




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2563    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2563 12:08:49 น.
Counter : 2141 Pageviews.  

Day 4 กรุงโรมจ๋า.. ปราณีพี่ด้วย



ด้วยความที่พอรู้กิตติศัพท์ความเฮี้ยนของโจรอิตาลี โดยเฉพาะที่"กรุงโรม"มาล่วงหน้า 
ทำให้การย้ายโลเคชั่นมาโรมในวันนี้ เรารู้สึกตื่นเต้น ตื่นตัวตั้งแต่ขาก้าวลงจากตู้รถไฟ ซึ่งจอดส่งที่สถานี Roma Termini

ระยะทางจากโรม่าแตร์มินี่ไปถึงโฮสเทลที่พักประมาณ 400 เมตร
ระหว่างเดิน ก็สอดส่ายสำรวจข้างทางไปด้วย ในสถานีมีคนหลากหลายเชื้อชาติกว่าฟลอเรนซ์อย่างชัดเจน แต่ทหาร ตำรวจก็ประจำการอยู่เยอะเช่นกัน
บนทางเท้ามีโฮมเลสนั่งๆนอนๆอยู่ข้างๆ แต่เค้าก็ดูไม่สนอกสนใจใคร มีร้านค้า โรงแรม ร้านอาหารเปิดเรียงรายตลอดทางจนไปถึงโฮสเทล
อ่อ... มีปิดซ่อมทางเท้าแล้วต้องลงไปเดินกลางถนนแบบไม่มีอะไรมากั้น ให้ดูรถกันเอาเอง แบบกรุงเทพด้วยแหละ 

พักที่ Hostella Rome รวม 4 คืน เป็นโฮสเทลสำหรับผู้หญิงเท่านั้น เหมาะมากกับหญิงนักเที่ยวฉายเดี่ยวเยี่ยงเรา
เป็นที่พักเล็กๆ ตั้งอยู่บนชั้นสองของตึก (การนับชั้นแบบอิตาเลียน ชั้น 1 เรียกว่า Ground floor/ชั้น 2 เรียกว่า 1st floor)
ซึ่งต้องเดินลากกระเป๋าขึ้นบันไดไปเอง ถ้าใครมีกระเป๋าใบใหญ่ๆก็อาจทุลักทุเลได้ ทั้งโฮสเทลน่าจะรับแขกสูงสุดไม่เกิน 15 คนแน่ๆ 
ดังนั้นบรรยากาศด้านในก็จะเงียบๆ อาจมีชิทแชทนิดๆหน่อยๆแบบผู้หญิงคุยกัน ไม่เหมาะกับสายปาร์ตี้ค่ะ 
มีมื้อเช้าเบาๆเป็นครัวซอง ผลไม้ ชากาแฟให้ มีแพนทรี่ครัวเล็กๆให้เตรียมอาหารง่ายๆได้ที่ส่วนกลาง

สิ่งที่ชอบมาก คือเป็นที่นอนแบบเตียงเดี่ยว ไม่ได้เป็น bunk bed แบบโฮสเทลส่วนใหญ่
จัดข้าวของสำหรับออกไปเที่ยวต่อ ข้าวของก็จะกระจุยกระจายหน่อยนะคะ



เริ่มเที่ยวที่แรก โบสถ์ Santa Maria della Vittoria

ยังไม่ทันจะข้ามถนน เพื่อเข้าโบสถ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เราก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเอะอะโวยวาย 
คือ เจอคนบ้าอ่ะค่ะ (หรือว่าเมาก็ไม่แน่ใจ) ลุงแกยืนอยู่หน้าโบสถ์ ชี้หน้าตะโกนใส่คนอื่นไปเรื่อย ซักพักก็ไปต่อยตีทะเลาะกับรั้วด้านข้าง
ก็เลยยืนสังเกตุกาณ์ ชั่งใจว่า ควรจะข้ามที่นี่ไปก่อนดีมั้ย ค่อยมาใหม่วันหลัง แต่เผลอแป๊บเดียวลุงก็เดินหายไปไหนไม่รู้ โล่งใจไปเปลาะนึง



เปลาะที่ 2 ... ตรงประตูทางเข้า จะมีสาวคนนึงยืนถือตะกร้าให้บริจาคเงินก่อนเข้าโบสถ์
เท่าที่หาข้อมูลมาก่อน โบสถ์นี้ให้เข้าฟรี เราก็เลยชะงักไป ไม่รู้ว่าเค้าเป็นคนของโบสถ์ หรือว่าแค่มาขอเงินไปเลี้ยงตัวเองนี่สิ
...โอ้ยยย ระแวงไปหมดแแล้วเนี่ย
รีรอๆพักนึง มีคนเดินออกมาจากโบสถ์ ก็เลยเข้าไปถามว่าเราต้องเสียเงินค่าเข้ามั้ย เค้าบอกไม่ต้องเสีย 
สรุป ตอนเดินเข้า เค้ายื่นตะกร้าเงินมาขวาง เราก็แค่ส่งยิ้มให้อย่างสุภาพ แล้วผลักประตูเข้าโบสถ์ไปเลยค่ะ 
ขาออกนางยังถามว่าโบสถ์โอเคมั้ย ยื่นตะกร้ามาอีกรอบ เราก็แค่ยิ้มกลับไปอย่างใสซื่อ แล้วเดินจากมา..

เห็นด้านนอกเงียบๆ ด้านในโบสถ์คนเพียบนะคะ

การตกแต่งต่างจากแถวทัสคานีอย่างชัดเจน สิ่งก่อสร้างในโรมที่เราไปเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะในยุคบาโรค เป็นยุคที่ต่อมาจากเรเนซองส์
งานจะเน้นความดราม่า เน้นเส้นสายเป็นโค้งเป็นเว้า มีความซับซ้อน หรูหรา ลายตามากขึ้นกว่าเดิม 



ซักพักก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ เหมือนเพิ่งได้ยินมา...
อ่าว... คุณลุงคนบ้า นึกว่าหายไปที่อื่น ที่แท้เดินมาโวยวายต่อในโบสถ์นี่เอง แต่คนเยอะ เราเลยไม่กลัวละ 

ชิ้นงานที่ตั้งใจมาดู คือ งานประติมากรรมชิ้นนี้ค่ะ Ecstasy of St Theresa
เป็นผลงานของแบร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ศิลปินคนดังในยุคนั้นของโรม รับรองว่าเดินไปในโรมต้องเจอผลงานของเค้าแน่ๆ

เหตุผลที่อยากมาเห็น เพราะมาตามรอยนิยายเรื่อง เทวาซาตาน หรือ Angels & Demons ใครเคยอ่านหนังสือหรือดูหนัง น่าจะพอนึกออก 
อีกอย่างรูปสลักนี้ก็มีลักษณะเด่นตรงการแสดงอารมณ์สุดสยิวของเซนต์เทเรซ่าตอนรู้สึกกับสัมผัสแห่งพระผู้เป็นเจ้าจากปลายลูกศรที่เทวดาน้อยนำมาปัก
ความฟินนี้ ฝรั่งเค้าเรียกว่าเป็น divine orgasm ไม่ก็ spiritual orgasm เลยทีเดียว



ขณะกำลังเดินไปยังสถานที่เที่ยวถัดไป ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนตามหลังมา หันไปเจอต้นเสียงจากอีกฟากถนน เป็นลุงโฮมเลสมอมๆอีกคน
ตั้งใจพูดให้เราได้ยินนี่แหละ เพราะแถวนั้นไม่มีคนอื่นเดินอยู่เลย ฟังไม่ออกหรอก แต่ภาษากายเหมือนจะด่านะ ฮ่าๆๆ
จุดนี้ก็คือเดินจ้ำหนีไปอย่างไว กลัวลุงจะข้ามถนนมาประชิดตัว แถมอีก 4-5 วันต่อมา เราก็เจอลุงคนนี้อีกรอบด้วย ตะโกนข้ามถนนมาแบบเดิม
ลุงประจำการอยู่แถว Piazza di San Bernado เผื่อใครอยากเจอลุง แหะๆ

มาถึงโรมแค่ชั่วโมงเดียว รู้สึกตื่นเต้นกว่าอยู่ฟลอเรนซ์ 3 วันซะอีก

โบสถ์ San Carlino alle Quattro Fontane
ชื่อแต่ละโบสถ์เหมือนจะยาว แต่ถ้าเรารู้หลักการเรียกชื่อก็จะจำง่ายขึ้น 
อย่างโบสถ์นี้ ขึ้นต้นด้วย San Carlino หรือจะเรียก San Carlo ก็ได้ ก็คือโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้ นักบุญชาร์ลส์
ส่วนชื่อด้านหลังมักเป็นตัวบอกลักษณะ หรือสถานที่ตั้ง อย่าง Quattro คือสี่ Fontane คือ น้ำพุ
โบสถ์นี้ตั้งอยู่ตรงสี่แยก แต่ละมุมถนนจะมีน้ำพุเล็กๆอยู่ทุกมุมค่ะ



มีคนนึงที่เราต้องขอบคุณมากๆในการมาเที่ยวอิตาลีครั้งนี้ คือ คุณ ha-meow ในพันทิพ มีชื่อซีรี่ส์ของกระทู้ท่องเที่ยวว่า ทัวร์ศิลปะการกิน
ที่เราอยากมาที่นี่ (และอีกหลายๆที่) ก็เพราะคุณ ha-meow นี่แหละ กระทู้อ่านสนุก ได้ความรู้ และมีอาหารน่ากินด้วย

แหงนคอดูเพดาน แล้วจะเห็น
สวยงาม เรียบง่าย เจอความยั้วเยี้ยลายตามาหลายวันเข้า ได้เห็นอะไรที่เรียบๆบ้างก็แก้เลี่ยนดี
โบสถ์นี้ออกแบบโดย Francesco Borromini เป็นสถาปนิกคู่ปรับกับแบร์นินี่เลยค่ะ เราว่าเค้าเก่งนะ แต่อาจจะเพราะเป็นคนอารมณ์ร้อน
ไม่ได้มนุษยสัมพันธ์ดีแแบบแบร์นินี่ เลยโดนปลดจากการว่าจ้างบ่อยๆ สุดท้ายเค้าก็เลยฆ่าตัวตาย
... ก็เลยรู้สึกว่าต้องมาชื่นชมผลงานของศิลปินที่ชีวิตแสนอาภัพคนนี้



Piazza del Quirinale เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่บนเนินเขาควิรินาเล่ จุดนี้สามารถมองเห็นโดมของเซนต์ปีเตอร์ได้
ส่วนตึกข้างๆคือ Palazzo Quirinale เป็นตึกที่ทำการของประธานาธิบดีของอิตาลี เดินแถวนี้รู้สึกปลอดภัยมาก ทหารตำรวจเพียบ
เราผ่านตรงนี้ทุกวันที่อยู่โรม ถ้ามาช่วงจังหวะเหมาะพอดีก็จะเจอตอนที่มีพิธีเปลี่ยนเวรยามด้านหน้า 



เดินลงเนินไปเที่ยวกันต่อ



Fontana di Trevi น้ำพุเทรวี่ ไม่ต้องเล่ามากเนอะ สำหรับที่นี่ ฮิตสุดอะไรสุด



จุดไหนนักท่องเที่ยวหนาแน่น ก็จะมีรถตำรวจและเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ที่เห็นคุยกันอยู่หลังรถนี่ ไม่รู้ว่ากำลังแจ้งความกันอยู่รึปล่าว
ที่อิตาลีจะมีตำรวจอยู่ 2 แบบ polizia คือตำรวจธรรมดานี่แหละ และ carabinieri คือทหารตำรวจ เอ๊ะยังไง
... รู้แต่ว่า carabinieri จะใส่กางเกงสีดำที่ฟิตมากมากกกกก ฮะฮะฮ่า



เป็นวันครึ้มฟ้าครึ้มฝน ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆเสียงดังอยู่ไกลๆ 



อีกแป๊บเดียวเท่านั้น ฝนก็ตกมาโครมใหญ่ ไม่นึกว่ายุโรปฝนจะตกหนักแบบบ้านเราเลยแฮะ รีบเข้าร้านอาหารหลบฝนดีกว่า



ร้าน Pasta & Social



จริงๆมาโรมน่าจะสั่งพาสต้าคาโบนาร่า หรือกัจโจ้เอเปเป้ แต่ทำไมตอนนั้นไม่สั่งก็ไม่รู้
เราสั่ง Bucatini Amatriciana เป็นพาสต้าแบบเส้นกลวงคลุกกับซอสที่มีมะเขือเทศ แก้มหมู (guanciale) และชีสเพคโคริโน่
ขอบอกว่าตัวแก้มหมูนี่อร่อยมากๆ ถึงเราจะกินเส้นไม่หมด แต่เราควานเก็บแก้มหมูจนหมดนะ
เมืองไทยมีพริกน้ำปลาคู่โต๊ะอาหารฉันใด ที่อิตาลีก็มีโถชีสคู่กันฉันนั้น



โชคดีที่พอทานมื้อเที่ยงเสร็จ ฝนก็หยุดตกพอดี นี่โรมเริ่มจะใจดีกับเราแล้วใช่ไหมเนี่ย
วิธีแต่งตัวของผู้ชายอิตาเลียน นี่โดดเด่นจริง กล้าแต่งตัว กล้าใช้สีสัน ใส่เสื้อผ้าฟิตพอดีตัว อย่างผู้ชายสูทน้ำตาลเนี่ย มองไกลๆก็รู้ว่าเป็นคนแถวนี้ (ใช่มั้ย?)



บนถนน via dei Fori Imperiali มุ่งหน้าไปยัง 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 
ก็ต้องยอมรับว่าโรมเป็นเมืองที่บ้านเมือง ถนนหนทางส้วยสวย



Trajan Forum 



ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรโรมันค่ะ



พอเริ่มอารมณ์ดี ก็เริ่มยิ้มแย้ม ถึงกับไปทักทายคู่สามีภรรยาคู่นึงที่เดินสวนกัน ว่า เอ๊ะ.. เราเจอกันที่ฟลอเรนซ์เมื่อวานรึปล่าว
แถมเค้าบอกกลับมาว่า เออใช่ๆ ชั้นก็คุ้นหน้าเธอ เราเจอกันที่ดูโอโม่ใช่มั้ย แต่ซักพักเรารู้สึกเองว่าเราน่าจะจำคนผิด 
ก็ชิทแชทเรื่องฟ้าฝนต่ออีกนิดหน่อย สุดท้ายก็ร่ำลากันไปแบบงงๆ เท่าที่เจอนักท่องเที่ยวในโรมจะช่วยเหลือกันเองดีมาก และอัธยาศัยดีสุดๆ 

โคลอสเซียม (Colosseo)
สร้างมาเกือบๆ 2000 ปี ทั้งยิ่งใหญ่และอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ ก็สมควรเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆแหละ
เราจองรอบเวลาเข้ามาก่อนล่วงหน้า ตอน 14.15 น. มาถึงบ่ายสองพอดี เจ้าหน้าที่ยังไม่ให้เข้าไป 
วันที่ไปคนน้อย ด้านหน้าไม่มีคิว อาจจะเป็นเพราะฝนเพิ่งหยุดตก ระหว่างรอก็ยืนมองคนมาซื้อตั๋วหน้างานเดินเข้าไปก่อนพลางๆ 



ก่อนเดินไปถึงลานแสดงด้านใน มีส่วนนิทรรศการให้ความรู้ เล่าเรื่องความเป็นมาในแต่ละยุคสมัย



มาถึงด้านในแล้วค่า ส่วนตรงกลาง ชั้นล่างสมัยแรกเริ่มตอนโคลอสเซียมเปิดใหม่ๆ เป็นแหล่งเก็บน้ำ ส่งน้ำเข้าออก ใช้ตอนมีการแสดงการรบทางเรือ ไฮเทคมากๆ
ต่อมาระบบระบายน้ำมาทำทะเลไม่เอาแล้ว โละมาทำเป็นห้องเก็บอุปกรณ์การแแสดง ไม่ว่าจะคน สัตว์ สิ่งของแทน
ในสมัยที่ยังมีการใช้งานอยู่ ก็จะมีแผ่นพื้นปูปิดห้องด้านล่างเอาไว้



มองจากโคลอสเซียมออกไปเห็นโรมันฟอรั่ม ซึ่งเราจะไปกันที่นั่นกันต่อ
มุมถ่ายรูปโคลอสเซียมที่เราจัดว่าเด็ด คือส่วนด้านขวาบนของรูป ตรง Temple of Venus and Roma



Arch of Constantine มุมสูง 



ไม่เจอใครเข้ามาตื๊อขายของ ไม่มีใครเข้ามาเอาเชือกมัดข้อมือ ไม่เจอยิปซีอะไรทั้งสิ้น
เจอแค่คนเดินขายของธรรมดา น้ำดื่ม ร่ม ไม้เซลฟี่ ของเล่น เค้าเดินเค้ามาถาม เราก็แค่ตอบว่าไม่เอา ยิ้มตอบให้ด้วย
ยังสงสัยว่าจะขายใครได้มั่งมั้ย เพราะนักท่องเที่ยวแต่ละคนก็ระวังตัวกันทั้งนั้น บางคนเดินหนี ทำหน้าไม่ดีใส่
แว่บนึงก็นึกสงสารนะ แต่ ณ จุดนี้ สงสารตัวเองก่อนดีกว่า 



Roman Forum ถือเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมัน
จริงๆมีทางเข้าด้านที่ติดกับโคลอสเซียมด้วย เดินไปแล้วแต่คิวเข้ายาวเฟื้อย เลยยอมเดินอ้อมมาเข้าทางฝั่งถนน Fori Imperiali



Via Sacra หรือ Sacred Road ถนนเส้นหลักของโรมันฟอรั่ม
ก่อนมาเที่ยวหลงรักถนนที่ปูด้วย cobblestone แต่หลังจากเดินบนสิ่งนี้มา 4 วัน ตอนนี้เลี่ยงได้เลี่ยงค่ะ ทรมานเท้ามาก



Temple of Romulus 
จากรูปอาจมองไม่ค่อยเห็น แต่ประตูเข้าวิหารที่เปิดอยู่สีเขียวๆ เป็นประตูบรอนซ์บานดั้งเดิมเมื่อสองพันปีก่อน



จริงๆการเที่ยวเมืองเก่าที่พังๆแแบบนี้ ถ้ามีความรู้มาบ้างหรือมากับไกด์จะทำให้เราเที่ยวได้สนุกขึ้น นึกภาพสมัยรุ่งเรืองออก 
แต่นี่เราไม่ทำซักอย่าง ไม่ควรนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง



มาถึงจุดที่เราคิดว่าเด็ดในการถ่ายรูปคู่กับโคลอสเซียมที่บอกไปก่อนหน้านี้ เงียบ ไม่มีคน ดูปลอดภัย ถ่ายนานๆได้ไม่ต้องเกรงใจ



ความตั้งใจตอนแรก คือจะขึ้นไปถ่ายรูปมุมสูงของโรมันฟอรั่ม จากนู้นนน บนปาลาติเน่ฮิลล์ แต่เห็นความสูงแล้วขอไม่สู้ค่ะ
ต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 5 วัน ถนอมร่างไว้ก่อนดีกว่า



โรมันฟอรั่มสอนให้เรารู้ว่า ถึงแม้ว่าจะยิ่งใหญ่ มีอำนาจมากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถอยู่ยั่งยืนได้ตลอดไป มีรุ่งเรืองก็ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดา



เมืองสวยโรแมนติกอ่ะ



Campidoglio จัตุรัสที่ออกแบบโดยมิเคลันเจโล ตอนเย็นมีคนออกมานั่งพักผ่อนเพียบ 



แล้วคือบันไดที่ขึ้นมา อย่างเท่



มีงานประติมากรรม ฝาแฝด Castor และ Pollux ตั้งอยู่สองฝั่งบันได ในตำนานกรีกและโรมันสองคนนี้กลายเป็นกลุ่มดาวคนคู่ของราศีเมถุน



ตายค่ะ วิว



Altare della Patria สร้างเป็นอนุสรณ์แก่ Victor Emmanuele ที่ 2 และเป็นที่ฝังศพทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1
ตรงบันไดห้ามนั่งเด็ดขาด มีเจ้าหน้าที่มองอยู่ตลอด



Eternal flame and statue of Victor Emmanuele the Second



มองหันหลังกลับไป จะเห็น Piazza Venezia ถัดจากนั้นเป็น via del Corso 
ถนนที่ตัดตรงใจกลางกรุงโรมไปสู่อีกฟากที่ Piazza del Popolo



มุมนี้ ที่เราเคยเห็นในแมกาซีนท่องเที่ยวซักเล่ม 



สำหรับเรา.. โรมเป็นเมืองที่สวยจัดๆ สวยมากๆ ตกหลุมรักตั้งแต่วันแรกเลยเนี่ย



ขณะเดินอย่างมีความสุขกลับโฮสเทล ก็ไปเจอกับผู้ชายคนนึง เดินนำอยู่ด้านหน้า 
ถึงจะเห็นแค่ด้านหลัง แต่จำบูทสีเหลืองมัสตาร์ดที่เค้าใส่อยู่ได้ คิดว่าคราวนี้จำคนไม่ผิดซ้ำสองอีกแน่
เราตะโกนเรียก Hey, Malaysian ผู้ชายคนนั้นก็หันมา โอ้ยย ดีใจเว่อเหมือนได้เจอเพื่อนสนิทเลยค่ะ 
โลกกลมแบบไม่น่าเชื่อ คือ คนนี้เราเจอเค้าครั้งแรกตอนขึ้นบรูเนลเลสกี้โดม 
วันต่อมาเจอตอนกินมื้อเช้าที่โฮสเทลในฟลอเรนซ์ เลยทักกันนิดหน่อยว่าอ้าวเราพักที่เดียวกันเหรอ เค้าบอกว่าเป็นคนมาเลเซีย 
แล้วก็วันต่อมาคือวันนี้ เดินมาเจอกันที่โรมต่อเฉย รอบนี้เลยรู้ชื่อ แล้วก็เม้ามอยอัพเดทชีวิตการเที่ยวกัน 
ฮีชวนไปกินข้าว แล้วถามว่าพรุ่งนี้จะไปเซนต์ปีเตอร์พร้อมกันมั้ย เราปฏิเสธไปทั้งหมด บอกกลับไปว่าถ้ามีโชคเราก็คงได้เจอกันอีกแหละ
... แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่ได้เจออีกจนทุกวันนี้ แป่ววว 

มหาวิหาร Santa Maria degli Angeli e dei Martiri ด้านหน้าไม่ซ้ำใคร 
เพราะก่อนจะมาเป็นโบสถ์ เคยเป็นโรงอาบน้ำ( Roman bath) มาก่อน ฟาซาดเลยใช้ของเดิมๆ ส่วนงานอินทีเรียด้านในออกแบบโดยมิเคันเจโลเชียวนะ



ลาซานญ่าที่แวะซื้อร้านข้างทาง เอากลับมาทานที่โฮสเทล แบบไม่หวังอะไรมาก กลายเป็นว่าอร่อยสุดๆ ใส่พิสตาชิโอ กับเนื้อหมูส่วนไหนซักอย่างนี่แหละ




 

Create Date : 28 มกราคม 2563    
Last Update : 28 มกราคม 2563 9:22:15 น.
Counter : 1410 Pageviews.  

1  2  

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.