"แต่โบราณลาภยศเหมือนเมฆลอย เพียงหมื่นร้อยประโยชน์สร้างนามสืบสาน สันโดษเดินเพลินขับกล่อมท่องสายธาร สู่เทือกเขาสูงตระหง่านวางอัตตา" (ดัดแปลงจาก ฯพณฯ จาง จิ่ว หวน,เอกอัครราชทูตสาธารณะประชาชนจีน ประจำประเทศไทย)
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2548
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
6 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
หลักการบริหารจัดการ ใกลัสมดุล

อะไรๆในภาษาไทยก็ใช้คำว่า "การ...."
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การบริหารคือการตัดสินใจ.....เชิงนโยบาย
การจัดการคือการนำนโยบายไปปฏิบัติให้สำเร็จ....ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่มุ่งหวังไว้...

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จากกระทู้คุณacm(B3787627)...งานขาย.......งานบริหารจัดการ........งานบัญชีภาษี..........ฯลฯ
เพื่อนๆ ชาวสีลมคิดว่างานอะไรคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจประสบกับความสำเร็จ และทำไมถึงคิดว่าเป็นงานนี้


ความคิดเห็นที่ 1

หัวใจของความสำเร็จทางธุรกิจควรมองเป็นระบบองค์รวมครับ
ที่มีระบบหลัก ระบบย่อย มีองค์ประกอบ มีเหตุปัจจัย ทั้งภายใน
และสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว

ผู้ประกอบการที่ประสพความสำเร็จในธุรกิจ
มีคุณสมบัติที่ดีมากมาย เช่นความมุ่งมั่นมุมานะไม่ยอมแพ้
และที่เป็นเลิศอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความสามารถบริหารการตัดสินใจ ทางธุรกิจ
ต่อองค์กรของเขา
ให้แล่นไปในทะเลการแข่งขันทางธุรกิจได้ตลอดรอดฝั่ง

ทั้งในยามคลื่นลมสงบและยามพายุแรงกล้า โดยไม่ล่มไป

ด้วยการใช้ข้อมูลข่าวสารและความรู้แบบผสมผสานเพื่อการตัดสินใจ
เครื่องมือช่วยในการตัดสินใจเชิงเทคโนโลยี
และเชิงบุคคล(ที่ปรึกษา)ได้อย่าง ใกล้สมดุลที่สุด

การเงิน การบัญชี การบุคคล การตลาด การขาย
เงื่อนไขช่วงเวลา ขอบเขตของงาน กระบวนการงาน ฯลฯ สิ่งแวดล้อมทางสถานะการณ์ธุรกิจ
ล้วนเป็นข้อมูลข่าวสารและเป็นเทคโนโลยีเพื่อการตัดสินใจทางการบริหารจัดการในตัวเองครับ

การบริหารคือการตัดสินใจ

จากคุณ : ขามเรียง - [ 6 ต.ค. 48 16:15:20 ]
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 5

คุณWalker กล่าวไว้ถูกต้องอีกครึ่งหนึ่งครับ
ความสำเร็จในงานธุรกิจใดๆย่อมประกอบด้วย ระบบและคน ที่ปฏิสัมพันธ์กันแบบใกล้สมดุล

สงสัยผมกำลังจะนำเสนอหลัก การบริหารจัดการแบบใกล้สมดุล ขึ้นมาแล้วกระมัง?

โลกและสุริยจักรวาล มีระบบการเคลื่อนตัวดำรงอยู่แบบใกล้สมดุลนะครับ
แกว่งไปแกว่งมาเล็กน้อยทุกปี นี่โลกกำลังแกว่งตัวหันขั้วโลกเหนือไปจากดวงอาทิตย์เล็กน้อย
นิดเดียวเองในฤดูหนาว อุณหภูมิเย็นลงทางซีกโลกเหนือ หนาวตายเลยสำหรับคนแก่ที่ยากจน
แต่สำหรับหนุ่มสาวคงชอบ จะได้แต่งตัวสวยงามอวดกัน

การบริหารจัดการ แปลว่าการแบ่งเฉลี่ยหรือการหารโดยรอบด้าน
ในปัจจัยองค์ประกอบทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เป็นการตัดสินใจแล้วลงมือจัดการที่แยบคายนะครับ
คือโยนิโสมนสิการ ผลลัพธ์ออกมาใกล้สมดุลมาก งานธุรกิจจึงไปได้ต่อไป

ฝรั่ง2คนชื่อมิสเตอร์KAPLAN-Norton ผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพบัญชี
แต่งตำราเทคนิคการบริหารจัดการชื่อ Balanced Scorecard
นี่ก็เป็นการบริหารจัดการสมดุลปัจจัยสำคัญในองค์การเช่นกัน ตำราเล่มนี้แปลเป็นภาษาไทยขายแล้ว

การบริหารจัดการประเทศ ต้องใช้หลักนิติยุติธรรมด้วย
ตราของกระทรวงยุติธรรมจึงเป็นตาชั่ง(balance) ไม่อย่างนั้นประชาชนคงไม่ยอมยุติคดีลงแน่
ที่๓จังหวัดภาคใต้มันเป็นการบริหารราชการที่ไม่ใกล้สมดุลนั่นเอง เมื่อไม่สมดุลจึงไม่เกิดสันติ

เราซื้อของกินของใช้กัน จึงต้องมีตาชั่งที่เที่ยงตรงใกล้สมดุลเป็นข้อตกลงในการจ่ายเงิน

คนสมัยก่อนไม่เห็นต้องเรียนมาก(แบบคุณว่าที่ดีอาร์)ก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้
อาศัยการบริหารการตัดสินใจข้อมูลที่ใกล้สมดุลนี่เอง ง่ายมาก
ใช้คนทำงานหนักแบบใกล้สมดุล เหลือกำไรให้เถ้าแก่นิดหน่อย(มากๆ...อิอิ)
ขายของให้ลูกค้าแบบใกล้สมดุล เหลือกำไรให้เถ้าแก่นิดหน่อย(มากๆ...อิอิ)
เสียภาษีให้รัฐแบบใกล้สมดุล เหลือทุนไว้นิดหน่อย(มากๆ...อิอิ)
คิดทำอะไรๆให้ใกล้สมดุลแล้วดีเองหรือท่านอื่นว่าอย่างไรครับ

คุณวิบูลย์,อาจารย์ติ๊ก,ท่านอื่นๆอย่าเชียร์อย่างเดียวเข้ามาเสนอความคิดอีกครับ
แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 48 23:44:34

จากคุณ : ขามเรียง - [ 6 ต.ค. 48 23:16:45 ]


+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความคิดเห็นที่ 8

คุณACMแสดงความคิดได้ถูกต้อง คงศึกษาวิถีพุทธและปฏิบัติมามากนะครับ

ทางสายกลาง-มัชฌิมาปฏิปทา คือลักษณะใกล้สมดุล ไม่ตึงเกินไม่หย่อนเกิน

คนที่มีบุคลิกภาพใกล้สมดุล สังเกตได้เมื่อมีโอกาสสมาคมด้วย
คือสุขุมรอบคอบ หนักแน่น มั่นคง มีสติปัญญาแบบซ่อนลึก ใฝ่เรียนรู้ เป็นผู้ฟังที่ดี
มีความเข้าใจพฤติกรรมสังคมกลุ่มรอบตัว ไม่ทำตัวเอาชนะคะคาน
เข้าใจจังหวะเวลาสถานะการณ์ รู้จักยืดหยุ่น
เป็นคนที่มักมีความสามารถในการตัดสินใจได้ใกล้สมดุล
และนำองค์การไปได้ดีในระยะยาว

ผมสังเกตจากเพื่อนหลายคน และจากตำราตะวันตก ตรงกันครับ

ในเชิงพุทธลักษณะ สมาธินำมาซึ่งภูมิปัญญา(Wisdom)
ภูมิปัญญานำมาซึ่งสมาธิ(Concentration) แบบใดแบบหนึ่ง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การบริหารจัดการต้องการความเป็นศูนย์กลางที่ใกล้สมดุล
ส่วนวิชาชีพเฉพาะที่จำเป็นใดๆในเชิงธุรกิจมักมีลักษณะเข้มหรือลึก
เป็นจำเพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของวงรอบนอกเท่านั้น

จากคุณ : ขามเรียง - [ 8 ต.ค. 48 03:34:46 ]

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 9

หากมองเป็นระบบเปิดแล้ว การทำธุรกิจไม่อาจหลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยปัญหาจากแรงกระทำภายนอกได้เลย
ทำให้เกิดภาวะเสียสมดุลได้เสมอ...ธรรมชาติอยู่เหนือการควบคุมครับ

จากคุณ : ขามเรียง - [ 8 ต.ค. 48 04:03:37 ]
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 10

ครับ อาจารย์ ช่วยขยายความสำหรับข้อความที่ว่า

การบริหารจัดการต้องการความเป็นศูนย์กลางที่ใกล้สมดุล
ส่วนวิชาชีพเฉพาะที่จำเป็นใดๆในเชิงธุรกิจมักมีลักษณะเข้มหรือลึกเป็นจำเพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของวงรอบนอกเท่านั้น

อีกซักหน่อยได้ใหมครับ ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดี

จากคุณ : ACM (tj_kitisin@hotmail.com target=_blank>tj_kitisin@hotmail.com) - [ 9 ต.ค. 48 02:10:50 A:203.113.33.10 X:203.151.140.115 TicketID:105331 ]






ความคิดเห็นที่ 11

คุณACM,มองไม่ยากครับ ตรงนี้

ผมขอยกตัวอย่าง จากองค์การใดก็ได้ที่นอกเหนือทางธุรกิจ ในแง่ของการแบ่งงานตามหน้าที่ หน่วยขาย หน่วยบัญชี หน่วยอื่นๆ
งานตามหน้าที่หรือหน่วยงานที่กล่าวมักมีความรับผิดชอบจำเพาะภายในหน่วยเป็นหลัก มีความเป็นวิชาชีพเฉพาะ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชาชีพมากมายที่ประกอบรวมขึ้นเป็นองค์การ ต่างวิชาชีพต่างรับผิดชอบในภาระหน้าที่ของหน่วยให้มีประสิทธิภาพและฯลฯให้ดีที่สุด มีบางส่วนที่ต้องเชื่อมโยงรับผิดชอบทำหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ในฐานะที่เป็นทีมผลิตภัณฑ์เดียวกัน

ผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ประสานงานตรงกลางหรือเป็นศูนย์กลาง(ใกล้) ต้องเข้าใจงานทุกหน่วยในองค์การและควรมีประสบการณ์มีความสามารถในตำแหน่งนี้ ซึ่งเราเรียกว่างาน(ผู้)บริหารจัดการนั่นเอง

แน่นอนครับภายในหน่วยงานเดียวกัน หากมีงานแยกออกไป เช่นงานขายมีหลายสิบผลิตภัณฑ์ ยังต้องมีผู้รับผิดชอบเป็นศูนย์กลางคอยดูแลผลิตภัณฑ์หลายสิบอย่างให้เป็นไปด้วยดีตามเป้าหมายการขายรวมที่วางไว้ ผู้รับผิดชอบเป็นศูนย์กลางต้องหันมาทำหน้าที่บริหารจัดการโดยภาพรวมให้ได้ และจะมาจากหน่วยวิชาชีพเฉพาะใดๆก็ได้
หากมีคุณสมบัติใกล้สมดุลทางความรู้ความสามารถ ทักษะประสบการณ์เป็นที่ยอมรับของหน่วยงานรอบด้าน(แสดงสถานะที่อยู่วงนอกศูนย์กลางไปโดยปริยาย)


มิใช่ไปเอียงอยู่ข้างพนักงานสาวสวยหุ่นดี(หนุ่มหล่อ)ของผลิตภัณฑ์หนึ่งทั้งปีแล้วทิ้งพนักงานผลิตภัณฑ์ด้านอื่นไป ยกตัวอย่างแบบนี้คงอ่านสนุกขึ้นนะครับ

คำอธิบายข้างต้นมีลักษณะเป็นวงกลม๒มิติหรือทรงกลม๓มิติ ประกอบด้วยส่วนนอกและส่วนตรงกลาง
แท้จริงแล้วมองแบบ ดวงอาทิตย์กับดาวบริวารที่โคจรอยู่โดยรอบ มีพลวัตเคลื่อนไหว จะเหมาะกว่าครับ

หากอยากให้อธิบายส่วนใดที่ยังไม่เข้าใจ ผมก็สนุกที่จะได้รับคำถามครับ
แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 48 12:12:33

จากคุณ : ขามเรียง - [ 9 ต.ค. 48 12:06:50 ]
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++









ความคิดเห็นที่ 12

หากจะอธิบายให้ลึกโดยสามารถใช้ศาสตร์หลักมาอธิบาย
ศาสตร์หลักที่ว่านี้นี้ ผมหมายถึง
๑.มนุษย์ศาสตร์
๒.สังคมศาสตร์และ
๓.วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

งานบริหารจัดการต้องการจิตวิญญาณ สติปัญญาความรักความรู้ความเข้าใจ และ
การมีศิลปะในการนำศาสตร์ทั้ง๓ไปใช้อย่างมาก
ตามขนาดและความยากความซับซ้อนของปัญหาขององค์การใดๆ

ส่วนงานวิชาชีพเฉพาะ เช่นงานขาย งานการตลาด งานบัญชี งานการเงิน
มักเป็นงานวิชาชีพปฏิบัติเชี่ยวชาญจำเพาะส่วน
จึงใช้ศาสตร์หลักศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเป็นหลักเกือบทั้งหมด ศาสตร์อื่นที่ใช้ประกอบก็เพียงเล็กน้อย
นอกจากคนที่ทำงานวิชาชีพเฉพาะจะมีคุณลักษณะพิเศษ
มีความเก่งมีความสามารถในการใช้ศิลปะการนำศาสตร์อื่นมาใช้ร่วมด้วยอย่างดีและกลมกลืนใกล้สมดุล

ทุกอย่างรักและเรียนรู้สู่การฝึกฝนนำไปปฏิบัติได้

จากคุณ : ขามเรียง - [ 9 ต.ค. 48 12:34:38 ]

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความคิดเห็นที่ 13

ครับ ดังนั้นผู้บริหารจึงควรมีพื้นความรู้ในด้านต่างๆ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ให้ลึก เพื่อช่วยในการทำงานให้สะดวกขึ้นใช่ไหมครับ แล้วอาจารย์ครับช่วยยกตัวอย่างถึงศาสตร์หลัก ทั้ง3ข้อ ให้เห็นภาพสักหน่อยได้ไหมครับ

เช่น มนุษย์ศาสตร์ คืออะไร เป็นยังไง ใช้อย่างไร

ประมาณนี้นะครับ

จากคุณ : ACM (tj_kitisin@hotmail.com) - [ 10 ต.ค. 48 03:08:12 A:203.113.33.11 X:203.151.140.116 TicketID:105331 ]






ความคิดเห็นที่ 14

ครับผมมอง มนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วยสมมุติฐานต่างออกไปจากเดิม
คือการรวมตัวอย่างครบถ้วนของศาสตร์ทั้ง๓นี้ให้แสงสว่างทางปัญญาแก่มนุษย์

ดังนั้นเมื่อลองทบทวนดูทฤษฏีของแสง
เมื่อนำแท่งแก้วปริซึมมากั้น แสงจะกระจายตัวให้สีรุ้ง ประกอบด้วย
แสงสีเหลือง แสงสีน้ำเงินและแสงสีแดงเป็นแม่สีพื้นฐาน/สีปฐมภูมิ(primary colors)
ส่วนสีเขียว สีม่วงและสีส้มเป็นสีทุติยภูมิ(secondary colors)

หากมนุษย์ศาสตร์ แทนด้วยสีน้ำเงิน
สังคมศาสตร์ แทนด้วยสีแดง
วิทยาศาสตร์ แทนด้วยสีเหลือง

ศาสตร์อื่นใดนั้นล้วนเป็นการได้รับส่วนผสมสีทั้ง๓ในอัตราส่วนที่เข้มจางต่างกันไปอย่างเป็นสหสัมพันธ์
มิได้เป็นศาสตร์ที่แยกกันอยู่โดดเดี่ยวแบบจับเรียงลำดับ สีใดใครดีกว่าใคร

วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี ไม่ได้เป็นสีที่วิเศษวิโสกว่าศาสตร์หรือสีอื่น
แล้วก็เห่อให้ความสำคัญจนโลกมืดหม่นหมองขาดสมดุลอย่างทุกวันนี้

พอมองเห็นอะไรบางอย่างในความหมายระหว่างบันทัดที่ผมเขียนบ้างไหมครับ?

มนุษย์ศาสตร์ เนื้อหาควรเป็นวิชาว่าด้วยการทำความเข้าใจ
วิถีชีวิตและการพัฒนาตัวตนเองทางสมอง กายและจิตวิทยา-ศาสนา
การสามารถคิด ทำ พูด ฟัง เข้าใจ ภาษาและอักษรศาสตร์ คณิตศาสตร์ ทัศนศิลป์ ดนตรี ทำนองนี้ ฯลฯ

ขอยกยอดไปว่าด้วยสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ในวันต่อไปนะครับ คุณACMช่วยผมต่อความคิดบ้างก็ได้แล้วกระมังครับ.....สารภาพว่าง่วงเสียแล้ว

จากคุณ : ขามเรียง - [ 11 ต.ค. 48 01:39:20 ]






ความคิดเห็นที่ 15

ครับ แม่สีมีเพียงสาม แต่เมื่อนำมาผสมกันมันก็ได้สีเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพันสี ที่แตกต่างกัน ถ้าจะเปรียบกับการรบผมว่ามันก็คือคำที่ว่า "ไม่หน่ายเล่ห์กล"

การบริหารก็เหมือนการผสมสีดีๆนี่เอง จริงไหมครับ
ที่ผมยังสนุกกับการผสมสีอยู่ก็เพราะมันยังมีความท้าทายและผมยังไม่ได้สีที่ถูกใจ วันไหนผมได้สีที่ถูกใจแล้วผมก็คงหยุดผสมสี แล้วไปอยู่เงียบๆซักที โลกทุกวันนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อ ว่าไหมครับอาจารย์

ผมยังรอคำตอบส่วนที่เหลืออยู่นะครับ.... ^_^

จากคุณ : ACM - [ 13 ต.ค. 48 00:06:25 A:203.113.33.6 X:203.151.140.114 TicketID:105331 ]






ความคิดเห็นที่ 16

"การบริหารก็เหมือนการผสมสีดีๆนี่เอง"

คำกล่าวนี้ถูกใจผมมากครับคุณACM การบริหารเป็นงานศิลปะ
การผสมสีก็เป็นงานศิลปะเช่นเดียวกัน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กลับมาคุยกันเรื่องที่เหลือ: วิชาองค์ความรู้ด้านสังคมศาสตร์
คือการเรียนรู้ทำความเข้าใจวิถีชีวิตที่มนุษย์เริ่มความเป็นมาของการรู้จักรวมตัวกันเป็นสังคมชุมชนอย่างไร

เป็นประเทศอย่างไร เป็นองค์การอย่างไรเมื่อไร ทำไมและต่อไปในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร
สังคมวิทยา รัฐศาสตร์
รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การฑูต ศึกษาศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ การบริหารจัดการธุรกิจ ฯลฯ อีกมากมายครับ

ในแง่หนึ่ง คือเครื่องมือเชิงวิชาสังคมศาสตร์ หรือมือขวาของมนุษย์

เมื่อมีมือขวา จึงต้องมีมือซ้าย คือวิชาวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
หรือเครื่องมือทางสมองอีกชิ้นหนึ่งที่มนุษย์เรียนรู้และพัฒนา ชีววิทยา
ฟิสิกส์ แม่เหล็กไฟฟ้า เคมี กลศาสตร์ ฯลฯ ส่วนวิชาลูกผสมก็ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์

สถาปัตยกรรมศาสตร์ บัญชี เกษตรศาสตร์ ฯลฯ อีกมากมายเช่นกันครับ

เรียกว่ามนุษยชาติกลุ่มใหญ่ได้ไปพ้นจากวิชาไสยศาสตร์แล้ว ไปพ้นจากการพึ่งพาผี
บรรพบุรุษ เทพเจ้า พระเจ้า เข้าสู่วิชาวิทยาศาสตร์เหตุผล พิสูจน์ได้

ชนชาติตะวันตกเข้าสู่ยุคปฏิวัติภูมิปัญญาอย่างเป็นเหตุเป็นผล นำศาสตร์ทั้ง๓
และศาสตร์ประยุกต์ลูกผสมขั้น State-of-Art

ได้พัฒนาเครื่องมืออย่างต่อเนื่องอีกด้วย เช่นบ้องไฟ ประทัด กลายเป็นอาวุธปืน
ปืนกล ปืนใหญ่ จรวด ใส่เรือรบ
เข้ามายิงข่มขวัญคนตะวันออก ทหารบกทั่วทั้งเอเซียทั้งทวีปพ่ายแพ้ต่อทหารเรือฝรั่งไม่กี่ลำเรือ

นี่คือการใช้ศาสตร์ทั้ง๓เป็นเครื่องมือทางสมองที่ทำให้พวกเขานำมาบริหารจัดการ
จนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ในขณะนี้

อีกนัยหนึ่งจาก จินตนาการพลวัตกับองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ สู่การค้นคว้าวิจัย
ทดลอง สู่ทฤษฎี สู่การประดิษฐ์ สู่ภาคปฏิบัติ สู่การผลิต นวัตกรรม สู่ธุรกิจและการตลาด

ยังคงมีคำถามใดต่อไป คุณACMขึ้นกระทู้ใหม่สืบต่อ ก่อนกระทู้นี้ตกก็ได้ครับ

ความอดทนมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ความกล้าทดลองตามความเชื่อมั่นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
ไม่กลัวความล้มเหลว การมีนิสัยอุตสาหะ(การอุตสาหกรรมจึงเกิด)....เขาสนุกที่จะสู้กับความทุกข์ยาก
ในเชิงกายภาพแล้วก็หลงอยู่ในวังวนนี้

ฝ่ายปรัชญาตะวันออกของเรา ไม่มีความยากลำบากจากสิ่งแวดล้อม
เราจึงใช้สมองจิตวิญญาณไปในทางไปพ้นอนิจจังสู่มรรควิถีนิพพาน

เป็นดังนี้ครับ การบริหารคือการกล้าตัดสินใจและใช้ศิลปะแห่งอำนาจจากศาสตร์แม่บททั้งสาม

จากคุณ : ขามเรียง - [ 14 ต.ค. 48 23:46:03 ]






Create Date : 06 ตุลาคม 2548
Last Update : 16 ตุลาคม 2548 17:34:47 น. 7 comments
Counter : 315 Pageviews.

 
แวะมาขอบคุณที่ไปเยี่ยม blog ค่ะ
blog คุณขามเรียงมีเรื่องน่าอ่านเต็มไปหมดเลย แต่คงต้องเก็บไว้อ่านวันหลังค่ะ ขอไปคิด plan งานสำหรับพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า หุหุ
ตอนนี้ขอเม้นท์อย่างเดียว คือเจ้าตัวอักษรวิ่งๆ ใต้ profile อ่ะค่ะ มันวิ่งเร็วมากจนอ่านไม่ทันเลยอ่ะ ต้องไปอ่านข้างบนแทน
(เห็นแมะคะ เป็นผู้หญิงก้อหาเรื่องบ่นไปจนได้เนอะ อิอิ)


โดย: ladybear (ladybear ) วันที่: 9 ตุลาคม 2548 เวลา:15:33:55 น.  

 
ตามมาอ่านครับ


โดย: พัชรพล IP: 203.151.140.120 วันที่: 14 ตุลาคม 2548 เวลา:21:53:20 น.  

 
สวัสดีทุกท่านครับ

คุณladybear ชื่อน่าสนใจครับ
คุณพัชรพล ลูกศิษย์คนเก่งของผม


โดย: A++ (ขามเรียง ) วันที่: 14 ตุลาคม 2548 เวลา:23:51:37 น.  

 
จากกระทู้:
ครับ ทุกคนคิดถึงแต่เรื่องส่วนตัวของตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเองที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ พรุ่งนี้ น้อยนักที่จะคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาคงคิดว่าตัวเองคงไม่ได้อยู่เห็นวันนั้นมั้งครับ...

ทั้งหลายทั้งปวงเพราะคนเราไม่รู้จักพอ พอในสิ่งที่ตัวเองมี ที่ตัวเองเป็น มีแต่ต้องการมากขึ้น มากขึ้น

ถ้าทุกคนในชาติเราทำตามคำสอนของพ่อ และปฎิบัติตามคำสอนนั้นประเทศเราคงพัฒนาได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ เรื่องวุ่นๆก็คงไม่เกิดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ดังเช่นทุกวันนี้

คิดแล้วก็น่าเสียดาย เสียใจนะครับ.........


โดย: ACM IP: 203.151.140.123 วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:0:05:11 น.  

 


โดย: wbj วันที่: 28 ตุลาคม 2548 เวลา:19:53:36 น.  

 


โดย: ยุ้ย IP: 202.133.139.158 วันที่: 13 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:54:29 น.  

 
การศึกษายิ่งสูงยิ่งเห็นแก่ตัวมากๆ ชนบทเมื่อก่อนดีมากแต่เดี๋ยวนี้แย่ครับ ผมต้องไปกำจัดพวกนี้ให้สิ้น รุกฆาตครับ


โดย: รุกฆาต IP: 192.168.5.108, 203.113.18.190 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:25:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขามเรียง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ขามเรียง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.