ต้นทุนชีวิตคือการสะสมความเคยชินที่ดี

ปาฏิหาริย์รักจากแม่

1.

หมีพูห์ของแม่ไม่กินข้าวมาเกือบหกเดือนแล้ว
เจ้าตัวน้อยของแม่ผอมเล็กลงไปทุกวัน ทุกวัน…
วันนี้แขนของหนูเหลือเท่าหัวแม่โป้งของแม่เท่านั้นเอง



หมีพูห์เอย..แม่จะทนดูหนูไปอย่างนี้ได้นานสักเพียงใด
นมเพียงวันละขวดมันไม่น่าจะพอสำหรับหนูที่มีอายุสี่ขวบแล้วนะลูก
กินน้ำข้าวนี่หน่อยนะ แม่บดปลาจนละเอียดใส่มาในน้ำข้าวนี้ให้หนู
กินหน่อยเถิดลูก ใจแม่จะขาดแล้ว..

ถ้าหนูไม่กินอะไรบ้างหนูจะเอาแรงที่ไหนมาต่อสู้กับโรคร้าย
หนูได้แต่นอนตาลอย ท้องใส ไม่พูดไม่จา
ไม่มีใครช่วยหนูได้นะหมีพูห์ หมอเขายังบอกให้แม่ทำใจ….
จะให้แม่ทำใจแบบไหนกันเล่า แม่รักหนู แม่อยากให้หนูอยู่กับแม่ไปนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดช่วยหมีพูห์ด้วย ได้โปรด….

น้ำอะไรนี่ไหลซึมออกมาเปียกที่นอนของลูก
สีแดงคล้ำเหมือนน้ำล้างปลา
หนูท้องเสียหรือนี่ ไม่ใช่ มันไม่มีกลิ่นอะไรเลย
โอ ทำไมมันเยอะขนาดนี้
ลูกแม่ หนูอย่าเป็นอะไรนะลูก
หมีพูห์….
ชั่วโมงกว่าแล้ว ทำไมมันยังไม่หยุดไหล
แม่จะช่วยหนูได้อย่างไร
หมีพูห์ของแม่เอย
แม่จะกล้าพาหนูไปที่โรงพยาบาลได้อย่างไร
แม่รู้ว่าเขารังเกียจพวกเรานะลูก
ตั้งแต่ครั้งของพ่อหนูแล้ว ที่โรงพยาบาลทำกับเราเหมือนเราเป็นยิ่งกว่าขยะ
ใครจะช่วยหนูได้…

ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้ว แม่สุดปัญญาแล้วลูกเอ๋ย
แต่จะให้แม่นั่งมองดูหนูอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร
แม่จุดธูปกำใหญ่แล้วได้แต่สวดมนต์ภาวนา ..
อะไรก็ได้ ให้ทำอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ลูกของแม่ไม่เป็นอะไร
ขอให้หมีพูห์ได้อยู่กับแม่..

หากเจ้ากรรมนายเวรมีจริง แม่ขอหนูไว้
แม่ไม่มีอะไรอื่นที่จะมาแลกเปลี่ยนเพื่อยื้อชีวิตน้อย ๆ ของหนู
แม่มีเพียงจิตใจที่ศรัทธา มั่นคง และเชื่อมั่นในธรรม
การถือศีลกินเจตลอดชีวิตของแม่อาจไม่เพียงพอต่อการขอต่อชีวิตน้อย ๆ ของหนู
แม่ตั้งใจจะชักชวน จะน้อมนำใจคนเข้าหาธรรมะ
แม้เขาจะไม่เชื่อมั่นอย่างที่แม่เชื่อ แต่อย่างน้อยแม่รู้ว่ามันอาจจะช่วยเขาได้ทางใดทางหนึ่ง
และนั่น แม่ขอถือเป็นผลบุญช่วยต่อชีวิตให้หนูด้วย

แม่หวังในปาฏิหาริย์นะลูก แม่ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
แต่แม่ก็เผื่อใจไว้ว่า คนเราทุกคนมีเกิดมีดับ
คุณหมอคนที่ผ่าตัดทำคลอดให้หนูเคยบอกกับแม่ว่า สุดท้าย คนเราก็กลับไปสู่ธาตุเดิม
เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ…


2.

วันนี้หมีพูห์ถีบจักรยานกลับบ้านเหมือนเคย เกือบสองปีแล้วที่เด็กน้อยถีบจักรยานไปกลับโรงเรียนเอง ระยะทางกว่าสองกิโลเมตรช่วยให้การเดินทางเช้าเย็นกลายเป็นอีกหนทางหนึ่งของการออกกำลังกาย ร่างผอมเล็กแต่แขนขาดูมีกล้ามเนื้อแข็งแรง ถ้าคะเนดูด้วยสายตาเจ้าหนูน่าจะอายุได้สักเจ็ดขวบ แต่ในความเป็นจริง หมีพูห์อายุได้สิบเอ็ดปีแล้ว และตอนนี้ เจ้าหนูเรียนอยู่ประถมห้า

“ผมขอไปเล่นบ้านเพื่อนนะ วันนี้ไม่มีการบ้าน”

เมื่อแม่อนุญาต เด็กน้อยก็ลากจักรยานคู่ใจออกมาตั้งหลัก ยิ้มให้แม่ก่อนขึ้นคร่อมอาน ขี่ลัดเลาะออกไปตามทางลูกรังหลังบ้าน เลาะไปตามป่ายาง

“ไอ้พู เล่นดีดลูกแก้วกันไหม”

เสียงเด็กวัยเดียวกันตะโกนขึ้นจากลานดินตรงหัวโค้งถนน หมีพูห์จอดจักรยานไว้ข้างทาง มือจับกระเป๋ากางเกงยักคิ้วให้เพื่อนเหมือนจะบอกว่า ได้เลย วันนี้มีมาตุงกระเป๋า

เมื่อเลิกเล่น ปรากฏว่าหมีพูห์โดนกินไปสองลูก เจ้าหนูควักกระเป๋าดึงลูกแก้วเอามาจ่ายหนี้ที่ติดกันไว้ระหว่างเล่นอย่างตัดใจ แม้จะคิดว่า วันนี้แพ้ไปสองลูก ไม่เป็นไร วันหลังค่อยมาเอาคืน แต่หน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอก็อดเจื่อนลงเล็กน้อยไม่ได้ สักครู่ เจ้าหนูก็คิดขึ้นมาได้ว่า เพื่อไม่ให้เสียกำลังใจนัก เห็นทีจะต้องไปหลอก “กิน” จากเด็ก ๆ บ้านหน้าถนนจะดีกว่า



หนูน้อยถีบจักรยานลัดจากลานดินหลังป่ายางลิ่วออกสู่ถนนใหญ่ สองขาที่ปั่นจักรยานนั่นแรงและเร็ว เหมือนใจที่ไม่อยากเป็นผู้แพ้ แม้จะแค่ในเกมลูกแก้วเล็ก ๆ เกมนี้ก็ตาม

3.

“มากินข้าวนะลูก กลับซะมืดเลย ไปเล่นถึงไหนมา”

“บ้านไอ้รุ่ง ตอนแรกไปที่ป่ายางก่อน”

“เสียไปกี่ลูกล่ะวันนี้”

คนเป็นแม่ถามอย่างรู้กิจกรรมของลูกชายเป็นอย่างดี หมีพูห์ตอบอย่างดีใจว่า

“ได้กินไอ้รุ่งมาสองลูก”

แม่มองหน้าแล้วอมยิ้ม ลูกชายจึงพูดต่อเสียงอ่อย ๆ ว่า

“ตอนแรกเสียไอ้นพไปสองลูกเหมือนกัน วันนี้เท่ากับเสมอ”

แม่ไม่ตอบว่าอะไร นึกดีใจที่ลูกได้เล่นสนุกสนานตามประสาเด็ก จะแพ้บ้างชนะบ้างก็เป็นการฝึกลูกไปในตัว อย่างน้อยก็เป็นเกมที่เขาได้เล่นด้วยตัวเอง ไม่เหมือนกับบางอย่างในชีวิตที่กระทำให้วัยเยาว์ของเขาไม่อาจแม้แต่จะเล่นอะไรได้

ในคืนที่แม่ได้แต่จุดธูปอธิษฐานขอชีวิตลูกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งนั้น เป็นวัยเยาว์ของลูกที่ย้อนไปในคืนแห่งความเป็นความตาย เป็นการเตือนเริ่มต้นว่า จากนี้ไป ชีวิตหนูน้อยจะต้องผูกมัดไว้กับความเจ็บไข้ได้ป่วย ในครั้งนั้น ปมลึกในใจของผู้เป็นแม่ทำให้ลูกน้อยต้องนอนป่วยอยู่ที่บ้าน ความเจ็บปวดและขมขื่นครั้งที่ไปเฝ้าไข้พ่อทำให้แม่ไม่กล้าพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลอีก อย่างมากก็แค่พาไปให้หมอที่คลินิกตรวจอาการเบื้องต้น

สำหรับคนเป็นแม่แล้ว คืนนั้นปาฏิหาริย์คงมีจริง เพราะหมีพูห์ผ่านค่ำคืนอันเลวร้ายมาได้ เหมือนกับแม่ที่ก้าวข้ามความเจ็บปวดในใจได้..แล้วหลังจากนั้นก็ตัดสินใจพาลูกไปโรงพยาบาล

เพื่อลูก คนเป็นแม่ต้องกล้าสู้กับความจริงมากกว่าเดิม
และเพื่อลูก มีความจริงหลายอย่างที่ผู้เป็นแม่ต้องหันกลับมาใส่ใจ
โดยเฉพาะเหตุผลที่ว่าทำไมจึงไม่ยอมพาลูกไปโรงพยาบาล ทั้ง ๆ ที่ลูกกำลังต้องการความช่วยเหลือดูแลรักษา ณ วินาทีแห่งชีวิต

แม่ไม่ควรกลัวที่จะพาลูกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ แม้รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอสภาพการรังเกียจหมิ่นแคลนอย่างที่เคยเจอ…
และเพื่อลูกนี่เอง ที่ทำให้แม่ต้องเรียนรู้ที่จะน้อมนำหลักยึดใหม่ให้แก่ใจและชีวิตของแม่เอง

4.

เมื่อคุณหมอเห็นหมีพูห์ครั้งแรกนั้น หมอบอกว่าเด็กน้อยเป็นวัณโรคในต่อมน้ำเหลือง และนี่คือภาวะแทรกซ้อนของโรคฉวยโอกาส ผลเลือดของหมีพูห์มีค่าความต้านทานเชื้อโรคหรือที่หมอเรียกว่าซีดีสี่เท่ากับ 4 เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์เลือดแล้วก็คือศูนย์ นั่นหมายถึงหมีพูห์มีอาการแย่มากและไม่มีภูมิเหลือที่จะต้านทานอะไรได้อีกแล้ว

หมอบอกว่านอกจากรักษาวัณโรคในต่อมน้ำเหลืองแล้ว หมีพูห์ต้องกินยาต้านไวรัสเอชไอวีไปตลอดชีวิต ครั้งนั้น ผู้เป็นแม่ได้แต่บอกลูกในใจว่า แค่นี้ไม่เป็นไรนะลูก เพราะเราเป็นอย่างนี้ เราคงต้องเจออะไรในชีวิตนี้มากกว่าแค่การกินยา

5.

ตอนอยู่ประถมสอง หมีพูห์เคยกลับมาถามแม่ว่า

“หนูเป็นเอดส์หรือแม่”

คนเป็นแม่ถึงกับอึ้งไปนาน รู้ว่า วันที่เคยกังวลใจมาตลอดได้มาถึงแล้ว แม้จะเคยเกริ่นกับลูกบ่อยครั้งถึงความเจ็บป่วยของเจ้าตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่า จะต้องบอกความจริงกับลูกในวัยที่เขายังเรียนหนังสืออยู่แค่ประถมสอง และในวันที่แววตาของลูกชายสะท้อนทั้งความอยากรู้และความกลัวในคำตอบที่จะได้รับ

“ใช่ครับ”



เมื่อตอบออกไป น้ำตาของคนเป็นแม่เหมือนจะตกในเพราะความรู้สึกสงสารลูกชายจับใจ สิ่งที่ทำได้คือเพียงโน้มตัวลูกมากอดไว้กับอก แม่กอดลูกแน่นเหมือนจะให้สัมผัสทั้งหมดจากหัวใจบอกให้ลูกรู้ว่า แม่รับรู้ว่าหนูทุกข์มากมายเพียงใด

“หนูได้รับเชื้อจากการกินนมแม่นะหมีพูห์ แม่ก็ไม่รู้มาก่อนว่าแม่เป็น จนกระทั่งพ่อหนูป่วยนั่นแหละแม่ถึงรู้ พ่อเป็นแล้วแม่ก็รับเชื้อนี้มาจากพ่ออีกทีนึง”

ลูกน้อยนิ่งเงียบ คนเป็นแม่รู้สึกว่าการหาคำมาคุยกับลูกช่างยากเย็นยิ่งนัก เพราะในละแวกนี้ ใคร ๆ ต่างรู้ว่าพ่อของลูกจากไปด้วยสาเหตุใด ภาระหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้าสถานีอนามัยทำให้เรื่องของพ่อ เป็นที่รับรู้ได้ทั่วไปในชุมชน และระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา คนเป็นแม่ต้องกล้ำกลืนกับความรู้สึกต้อยต่ำเจ็บอายเมื่อถูกสายตาเพื่อนบ้านมองจากหัวจรดเท้าเพื่อค้นหา “อาการ” แบบที่พ่อเป็น คราวนี้ เป็นภาระที่เด็กน้อย ๆ อย่างลูกชายต้องเผชิญ ผู้เป็นแม่รู้ดีว่า มันน่าขมขื่นเพียงใดที่โรงเรียนอันเป็นโลกอีกใบในชีวิตน้อย ๆ ของลูก กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งต้องเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกถูกรังเกียจเดียดฉันท์

“หมีพูห์ ลูกรู้ไหมว่า เราไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้จากคนอื่นได้ ทุกคนที่นี่รู้จักพ่อหนู และ รู้จักแม่”

เด็กน้อยยังเงียบงัน ซุกตัวอยู่กับอกแม่

“ความจริงมันทำให้เราทุกข์นะลูก แต่เราต้องยอมรับมันให้ได้ และอยู่กับมันให้ได้”

ผู้เป็นแม่บอกช้า ๆ อย่างอ่อนโยน สองมือกอดลูกไว้แน่น ไม่รู้ว่าลูกชายจะเข้าใจสิ่งที่พูดได้เพียงไร แต่ผู้เป็นแม่หวังว่าสักวัน ลูกชายจะเข้าใจได้ว่า การเปิดเผยความจริงที่ใคร ๆ คิดว่าต้องปิดบังนั้น แท้จริงแล้ว คือการปลดโซ่ตรวนทางใจลงไปอีกเปลาะหนึ่ง

6.

ผู้เป็นแม่ไม่ได้บอกเล่าให้ลูกฟังว่า กว่าแม่จะบอกให้ลูกเข้มแข็งได้ แม่ผ่านภาวะของความเจ็บปวดที่กัดเซาะกินลึกอยู่ภายในมานานเพียงใด ต้องทุกข์ทนตอกย้ำซ้ำเติมความเจ็บป่วยของตัวเองด้วยความเคียดแค้นคนที่เป็นพ่อของลูกเพียงใด สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดว่าเลือกคู่ชีวิตได้ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว และปฏิบัติตัวเองดีแล้ว แต่กลับต้องติดเชื้อจากคู่ชีวิตของตัวเองนั้น ช่างเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจ และยากยิ่งขึ้น เมื่อครอบครัวเดิมของพ่อสละสิทธิ์ในการรับรู้และใยดี “หลานชาย” ผู้เป็นมรดกชีวิต ในขณะที่มรดกอันเป็นทรัพย์สินกลายเป็นปัญหาให้ต้องแย่งชิงกัน

โชคดี ที่ผู้หญิงคนนี้มีโอกาสได้เรียนรู้และปฏิบัติธรรม ได้รู้จักและสัมผัสกับความจริงในส่วนลึกของจิตใจตนเอง และได้คิดว่า ถ้าแม้แต่คนที่เคยรักมากที่สุดตนเองยังอภัยให้ไม่ได้แล้ว การเปลี่ยนอคติจากคนอื่น ๆ จะเป็นไปได้อย่างไร…

แล้วก็ถึงวันที่เธอบอกตัวเองว่า พ่อกับแม่ชดใช้หนี้กรรมร่วมกันไปแล้ว ที่เหลือคือชีวิตของเราสองคนนะลูก
นี่คงเป็นอีกปาฏิหาริย์หนึ่งที่เกิดขึ้นในใจของผู้เป็นแม่
การให้อภัยเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนทุกข์คนหนึ่งเข้มแข็งขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์


7.

“ไปค่ายนี่ดีนะแม่ เขาสอนเรื่องเอดส์ด้วย สอนว่าเอดส์ติดต่อกันได้อย่างไร น้า ๆ เขาบอกว่าเราอยู่ร่วมกันได้ …น้าคนที่สอนเขาเอาของว่างมาให้หนูกินด้วย เขากอดหนูด้วยนะแม่ เพื่อน ๆ ทุกคนที่ไปด้วยกันเขาก็เห็น”

ลูกชายส่งเสียงเล่าแจ๋ว ๆ หลังกลับจากค่าย หน้าตาสดชื่นแจ่มใส คนเป็นแม่รู้สึกหัวใจเบิกบานตามไปด้วย ถามลูกว่าแล้วเพื่อน ๆ เขาว่าอย่างไรกันบ้าง

“เขาไม่ว่าอะไรหรอก แต่เขามาเล่นกับหนู พวกเขาดีกับหนูมากกว่าเมื่อก่อน”

คำตอบของลูกชายทำให้หัวใจของแม่เต็มตื้น รู้สึกขอบคุณเจ้าหน้าที่อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่อนามัยทั้งหลาย ที่พยายามสร้างสังคมใหม่ให้กับลูกชายและเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากพ่อแม่



หมีพูห์เคยไปค่ายเด็กร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้น ลูกชายกลับมาด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเดิม เข้าใจสถานการณ์ตัวเองมากขึ้น และความรู้สึกดี ๆ ที่รู้สึกว่าตนเป็นที่ยอมรับจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในค่ายนั้น ทำให้ลูกชายรู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง และทุกข์ร้อนน้อยลงเมื่อต้องปรับตัวรับความรังเกียจของเพื่อน ๆ ในโรงเรียน

ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่อนามัยเป็นแกนนำจัดค่ายเรียนรู้ให้กับเด็กชั้นประถมห้าทั้งหมดของโรงเรียน แตกต่างจากครั้งที่แล้วที่ลูกชายไปพร้อมกับเด็กติดเชื้อต่างวัยผู้มาจากต่างสถานที่ เมื่อลูกชายเล่าเช่นนี้ แม่ก็เชื่อว่า สังคมที่โรงเรียนของลูกคงจะดีขึ้นกว่าเดิมอีกมาก

แต่ไม่นาน ลูกชายก็กลับมาบอกแม่ด้วยน้ำเสียงที่ปิดความสะเทือนใจไม่ได้ว่า

“วันนี้รุ่นพี่ที่โรงเรียนเขาว่าหนู… เขาบอกไอ้เด็กเอดส์ไปไกล ๆ”

คำบอกเล่าของลูกทำให้แม่อึ้ง สังคมที่ดีขึ้นในความหวังของแม่คงท่าจะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน…

8.

“ทำไมเขาต้องรังเกียจเราด้วยล่ะแม่”

นานมาแล้ว หมีพูห์เคยตั้งคำถามนี้ ระยะเวลาและการถูกกระทำจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนไม่อาจทำให้วัยเยาว์ของลูกชายรู้จักกับคำว่า “ชินชา” ได้เช่นผู้เป็นแม่ เด็กน้อยยังต้องการการยอมรับจากสังคมเล็ก ๆ ของตัว และนั่น กลายเป็นปมลึกผูกมัดรัดแน่นอยู่ในใจ

“เขาน่าจะมีค่ายอบรมเรื่องเอดส์สำหรับเด็กทั้งโรงเรียน เลยนะแม่”

เจ้าหนูคงอยากให้รุ่นพี่ที่พูดประโยคที่ว่า “ไอ้เด็กเอดส์ ไปไกล ๆ” ได้อบได้รมแบบที่เพื่อน ๆ ร่วมชั้นได้เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงมาแล้วก็ได้

ผู้เป็นแม่คิดในใจว่า ครั้งหน้า เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งจะพูดคุยให้หาหนทางช่วยเหลือเรื่องนี้อีกสักที เพราะแม้จะยอมรับได้ว่า การเจ็บป่วยจากการติดเชื้อนี้จะไม่มีวันหาย แต่หัวอกแม่ก็ยังหวังว่าโอกาสที่อคติของคนและสังคมที่มีต่อโรคนี้น่าจะหายได้ หรือเปลี่ยนแปลงดีขึ้นได้ อย่างน้อยก็ในช่วงวัยแห่งการเติบโตของลูก

วันเวลาที่เปลี่ยนไป ย่อมมีอะไรเกิดขึ้นใหม่ได้เสมอ… ก็ดูเถอะ วันก่อนแม่สอนลูกชายว่าความตายอยู่ใกล้ ๆเราทุกวัน แต่ลูกชายกลับตอบมาว่า คงมีวันที่เขาจะผลิตยาที่ฆ่าเชื้อนี้ให้ “ตาย”ไปได้จริง ๆ เสียที

ผู้เป็นแม่ไม่ได้บอกลูกออกไป เหมือนที่คิดว่า
แม่รอวันนั้นอยู่เหมือนกันนะลูก

แม่รู้ว่าชีวิตมีเกิดดับ
และสุดท้ายทุกคนต้องกลับคืนไปสู่ธาตุเดิมคือดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างที่คุณหมอของแม่บอก
แต่แม่ก็อยากอธิษฐานอีกสักครั้ง
เพื่อหมีพูห์ของแม่


หมายเหตุ: จากหนังสือ "แก้วตาของใครหนอ"
รวมเรื่องสั้นจากชีวิตจริงของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์
จัดพิมพ์โดย มูลนิธิรักษ์ไทย
โทร. 02 265 6888




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2552
9 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 8:15:12 น.
Counter : 2083 Pageviews.

 

เศร้าค่ะ

 

โดย: Elbereth 22 มิถุนายน 2552 16:07:59 น.  

 

หายป่วยแล้วใช่ไหมคะ..ดีใจที่ได้คุยกันอีก ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์สนุกยาวสะใจค่ะ..สงสัยอาการที่ว่านั่ง ยืน นอน เดินก็ไม่ได้..แล้วทำยังไงถึงจะได้..วิ่ง??..เพราะมันรู้สึกว่าอิริยาบทที่จะเป็นไปได้หมดแล้วนี่นา..อาการนี้มันเกิดจากอะไรคะ ..ต้องกินยาหมอเป็นกอบเสียกระมัง..สองวันก่อนก็ไม่ค่อยสบาย นอนทั้งวันเหมือนกันค่ะ..อาการเจ็บไข้นี่มีคุณจริงๆ ..มาเตือนว่าเราดูแลร่างกายไม่ดีพอ ทำให้มีอาการไม่สมดุลย์..
มาแก้ข้อคิดเห็นค่ะ..ว่าชื่อจริงของคุ้มน่ะ..ไม่ใช่คุ้มค่าแต่เป็นคุ้มดีคุ้มร้ายค่ะเพราะเขาคุ้มดีคุ้มร้ายมาตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ ดูเขาก็จะภูมิใจกับชื่อนี้มาก..และตอนนี้เข้าใจว่าคงเป็นเวลาที่จะต้องเลือก"เล่น"ก่อนหน้านั้น เป็น"เรียน"และ"งาน" และรู้อยู่ล่วงหน้าด้วยค่ะว่าถัดไปจากนี้เป็นอะไร..เพียงแต่ไม่ได้บอกใคร..เพราะมันยังไม่ถึงเวลา..พี่พีสังเกตตัวเองไหมคะว่าจริงๆแล้ว ตัวเราเป็นคนเลือก..และรู้ดีว่าจะเลือก"ทำอะไร"..ก็เลยไม่เข้าใจเวลามีใครมาบอกว่าชีวิตเลือกไม่ได้
ในกรณีเด็กๆ ที่พบปัญหาชีวิตหนักๆนี่ เขาก็ยัง"เลือก"ได้ แต่ก็ยากมากเพราะยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจชีวิตหากไม่มีผุ้ใหญ่ที่เข้าใจชีวิตนำทาง..แต่เราก็มักพบว่าการที่เขาต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจชีวิตนั่นเอง..อิทัปปัจจยตา..

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 23 มิถุนายน 2552 8:41:51 น.  

 

เมื่อกี้เพิ่งเห็นประโยคข้างๆ..มันอยู่ตรงนั้นนานหรือยัง...เมื่อได้ทำสิ่งใดเต็มสติ กำลัง ปัญญา ความสามารถ ความสำเร็จมักเกิดขึ้นในใจ
ณ ขณะนั้น ความสุข สงบ มักเกิดขึ้น
ณ ขณะนั้น ผลลัพธ์ในอนาคต ล้วนเป็นเพิยงสิ่งตามมา
..จริงค่ะ ใช้ชีวิตเต็มร้อยทุกนาที โดยไม่คาดหวัง

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 23 มิถุนายน 2552 8:54:54 น.  

 

คนที่อ่านแล้วเศร้านี่มักมีจิตละเอียดนะคะ คนส่วนมากไม่ขอบเรื่องเศร้าเพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองเศร้าหรือมีจิตใจหม่นหมองไปด้วย

คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยอยากอ่านเรื่องเศร้า ๆ ไม่อยากรู้เรื่องเศร้า ๆ ที่คิดว่าจะทำให้จิตใจตัวเองเศร้าหมองนะคะ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าความเศร้านั้นกลับกลายเป็นความเข้าใจมิติอื่น ๆ ของชีวิตที่เราไม่รู้จัก หรือไม่อยากรู้จัก ความเศร้าก็อาจกลายเป็นการเรียนรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง

แล้วจะได้รู้ด้วยว่า สำหรับคนที่ต้องเป็นผู้ที่เผชิญ ผู้ที่อยู่กับ "ความเศร้า" นั้นเขาต้องใช้ความกล้าหาญเพียงไรในการยอมรับ ยืนหยัด และเปลี่ยนความเศร้านั้นเป็นพลังชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ

และเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่า คือคนที่ไม่สามารถผ่านความเศร้านั้น ๆ ได้

แต่โลกนี้ไม่มีอะไรจีรังนะคะ แม้แต่ความเศร้าก็เถอะ ถึงเวลาก็เปลี่ยนเป็นความ - อย่างอื่น...
แลกเปลี่ยนกันเพื่อไม่ให้เศร้านะคะ คุณ Elbereth และเพื่อน ๆ ชาวบล็อกที่แวะเข้ามาอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉบับแบ่งตอนออนไลน์..

 

โดย: กังสดาล IP: 125.25.27.255 23 มิถุนายน 2552 13:05:20 น.  

 

สวัสดีคุณแมลงฯ

ช่างสังเกตจริงนะ ข้อความ "ขณะนั้น" เพิ่งมี "ขณะนี้" จริง ๆ คือเพิ่งมีวันนี้เองค่ะ แต่คิดเขียนเก็บไว้นานแล้ว เพิ่งมีโอกาสเอามาเปลี่ยนข้อความเรื่องสวนออกไป (เพราะตอนนี้อยู่ในระหว่างพักงาน สวนที่บ้านกำลังกลายเป็นป่า.. อิ อิ)

แต่คุณแมลงตอบผิดข้ออิริยาบถ เพราะเมื่อเดินไม่ได้ นอนนั่งไม่ได้ ก็ย่อมต้องวิ่งไม่ได้ ที่ทำได้คือคลานค่ะ คลานจากเตียงไปอาเจียนในห้องน้ำ!! นั่นแหละ คือสภาพที่ต้องเรียกว่า อะโห ชีวิต

นึกถึงตรงนี้แล้ว ขออนุญาตใช้เป็นตัวช่วยคำตอบเรื่องชีวิตไม่มีทางเลือกหน่อย เพราะแม้จะพยายามเลือกแล้ว แต่มันทำได้ไม่ได้อ่ะ ในบางสภาพการณ์ในบางสถานการณ์ ทางเลือกของคนก็มีจำกัด

โดยเฉพาะเด็ก ๆ .....

เรื่องนี้ถ้าคุยกันก็คงอีกยาววววว

 

โดย: กังสดาล IP: 125.25.27.255 23 มิถุนายน 2552 13:16:34 น.  

 

เห็นแล้วอยากกลับไปอ่าน"ควาสุขของกะทิ" มากๆเลย เนอะๆๆ

 

โดย: finalmix7172 23 มิถุนายน 2552 19:53:15 น.  

 

..ก็เป็นสวนป่า..ให้ได้ชมไง..
โปรดเช็คหลังไมค์ด้วยเจ้าค่ะเรื่องเวลาที่พี่พีเขียนไว้ที่บล๊อกน่ะใช่ที่จะพูดเลยค่ะ..แต่ถ้าพูดเอง เดี๋ยวเจอคนหมั่นไส้..ฮี่ๆ..ส่วนเรื่องทางเลือกนั้น..ข้อยว่ามันมี..แต่ ณ ขณะนั้นเขามองไม่เห็นค่ะ..ยืนยันว่ามีแน่นอน..ก็เลยเห็นว่าทางเลือกมันไม่มี หรือมันมีจำกัด..บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย เพราะไม่เห็นทางเลือกที่ดีกับตัวเอง..เรื่องนี้คุยกันยาวจริงๆค่ะ ข้อยน่ะ เป็นพวกชอบดูชีวิตจริง ไม่ดูทีวียกเว้นสารคดีธรรมชาติ ดูชีวิตจริงของคนและวิเคราะห์การณ์ข้างหน้าจนแม่กับพี่สาวเรียกว่า"เทพธิดาพยากรณ์"..โธ่ก็มันสนุกนี่นา..ถึงได้บอกว่าเช็คหลังไมค์..ฮิฮิ

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 24 มิถุนายน 2552 7:55:00 น.  

 

พอดียังเล่นอยู่หน้าจอ เลยเห็นเม้นท์ใหม่..ไม่เชี่ยวชาญเลยมองภาพไม่ออก..ว่ากิ๊บมันโผล่ออกมาไม่ได้ ใช่ไหม..หิ้วติดมือไปที่สวนยายมดเอ็กซ์สิคะ จะได้ดูกันว่าจะแก้ยังไงได้..จะเรียนชุนผ้าด้วยไหม..เหอๆ..พี่หญิงใหญ่เข้าคิวเรียนอยู่นะเนี่ย..พี่พีจะได้เป็นนักเรียนคนที่สอง ของอาจารย์ต๊อง

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 24 มิถุนายน 2552 8:23:45 น.  

 


มาส่งข่าวว่า อัพบล็อกแล้วครับ

วันนี้เสนอตอน... ฐานันดรอภิสิทธิ์

ฐานนันดรอะไร? แล้วอภิสิทธิ์ยังไง?

เกี่ยวอะไรกับนายกฯ คนปัจจุบันหรือเปล่า...

ลองเข้าไปติดตามอ่านดูสิครับ....




 

โดย: ลุงแว่น 24 มิถุนายน 2552 20:16:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kangsadal
Location :
เวียงจัน Laos

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]






พระจันทร์เต็มดวงคนมองเห็นได้บางวัน
เช่นกันกับวันที่เห็นพระจันทร์เสี้ยว
แต่ทุกวัน....
พระจันทร์เต็มดวง
online
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
22 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kangsadal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.