ต้นทุนชีวิตคือการสะสมความเคยชินที่ดี

หยดน้ำจากฟ้าหาใช่น้ำตาจากใคร



1.

“ครูให้วิ่งรอบโรงเรียนสิบรอบ”

เด็กหญิงน้ำฝนกลับมาบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน วางกระเป๋านักเรียนลงกับพื้นแล้วนั่งหน้าซีด แม่มีท่าทางตกใจที่เห็นลูกสาวมีอาการเหมือนคนป่วยมาก ลูกสาวพยายามอธิบายด้วยเสียงเหนื่อยล้าเหมือนคนไม่มีแรง

“ครูทำโทษทุกคนที่ไม่ได้ทำการบ้านนั่นแหละ”

“กับฝนก็ไม่เว้นเหรอ”

แม่ถามอย่างเป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะครูที่โรงเรียนรู้ว่าน้ำฝนเป็นเด็กที่มีสุขภาพไม่ดี รู้สาเหตุชัดเจนด้วยว่า สุขภาพที่ไม่ดีนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร

“ค่ะ”

น้ำฝนพยักหน้า แล้วล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

หลังจากนั้นสามวัน น้ำฝนก็ป่วยหนัก เด็กหญิงชักเกร็งกระตุกไปทั้งตัว ผู้เป็นแม่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งบีบทั้งนวดก่อนจะตะโกนร้องให้ญาติข้างบ้านช่วยกันพาลูกสาวส่งโรงพยาบาล

2.

“คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่าน้องเขาป่วยด้วยโรคอะไร”

พยาบาลบอกกับชายหนุ่มที่มาเยี่ยมไข้ เขาเดินเลี่ยงออกมาซักถามอาการของเด็กหญิงวัยสิบสามผู้นอนหน้าเซียวอยู่บนเตียง เด็กหญิงเหม่อมองเพดานห้องเหมือนไม่มีแรงใจที่จะสู้กับความเจ็บป่วย ใบหน้าเศร้าซึมฉายแววอึดอัดคับข้องใจ แววตาของเธอที่มองแม่มีแววเว้าวอนเช่นเดียวกับคำพูดที่ว่า หนูอยากกลับบ้าน

“แล้วทางหมอเขาวินิจฉัยเรื่องที่น้องชักอย่างไรล่ะครับ”

“หมอเขาก็ไม่รู้สาเหตุ อาจจะมาจากโรคของเขานั่นแหละ เด็กพวกนี้ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

ชายหนุ่มอึ้งกับคำตอบของพยาบาล เขารู้สึกอึดอัดใจกับท่าทีเหมือนไม่อาทรไม่ใส่ใจของพยาบาลตรงหน้า ก่อนจะเดินวกกลับมาหาน้ำฝนและแม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียง หน้าตาท่าทางผู้เป็นแม่เหนื่อยโรยเพราะความทุกข์ร้อนและอดนอนจากการเฝ้าไข้

แม่ของน้ำฝนเล่าว่า หลายวันในโรงพยาบาล หมอให้เฉพาะยาคลายกล้ามเนื้อกับยาแก้ปวดเท่านั้น ไม่มีการรักษาอื่นใดเพิ่มเติมนอกจากการนวดกดท้องของแม่เพื่อกันลูกสาวชัก

“แขนขาฝนเขาไม่มีแรงแล้ว เขาเอาแต่ชัก แม่ต้องคอยกดท้องกันชักให้เขา”

วิธีการกดท้องกันชักที่แม่บอกคือสิ่งที่เธอเรียนรู้มาจากคนไข้เตียงข้าง ๆ เมื่อน้ำฝนมีการเกร็งจากเท้าขึ้นมาส่วนบนของร่างกายเมื่อไหร่ แม่ต้องเอามือกดที่ท้องไล่อาการเกร็งให้ถอยกลับลงไป วิธีการนี้ได้ผลสำหรับน้ำฝน เพราะอาการเกร็งไม่เคยผ่านจุดที่กดขึ้นมาสู่ส่วนบนของร่างกายอีก แต่การกดอย่างแรงก็ทำให้เด็กหญิงต้องร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดราวไส้จะคลอน คนกดไม่ได้ร้องตาม แต่อาการเกร็งที่เกิดกับลูกสาวตลอดเกือบทั้งวันทั้งคืนต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์นั้น ทำให้แม่ผู้ใช้สองมือกดกันชักแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีก มีเพียงความรักความห่วงเท่านั้นที่เป็นพลังถ่วงหนักลงไปบนสองมือช่วยในการกดของแม่ สุดท้ายแล้ว ทั้งคนไข้และคนเฝ้าไข้มีใบหน้าเหนื่อยล้าทรุดโทรมใกล้เคียงกัน

“อยากย้ายโรงพยาบาล”

แม่บอกกับคนมาเยี่ยมหน้าเศร้า ๆ เพราะห่วงลูกสาวที่อาการแย่ลงเรื่อย ๆ สายตาที่สบกันบอกความรู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ โดยไม่ต้องอธิบาย ทั้งคนเยี่ยมไข้และเจ้าของไข้รู้สึกตรงกันว่า เป็นเพราะเด็กคนนี้เป็นเด็กติดเชื้อเอชไอวีอย่างนั้นหรือ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจึงไม่มีใครอยากใส่ใจรักษา ชายหนุ่มผู้มาเยี่ยมก้มศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วยพร้อมบอกว่าจะลองติดต่อช่วยทำเรื่องย้ายและส่งต่อระหว่างโรงพยาบาลให้

3.

ตอนที่แม่บอกว่าจะพาน้ำฝนไปโรงพยาบาลใหม่ในจังหวัดใกล้เคียงนั้น เด็กหญิงไม่อยากไปเลย เธออิดออดโยเย แม้ไม่พูดเหตุผลใดออกมา แม่ก็รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่ถูกทิ้งไว้กับยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดหลายวันและท่าทีรักษาระยะห่างของพยาบาลในโรงพยาบาลเดิม

แต่โรงพยาบาลที่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยแพทย์และพยาบาลก็ปฏิบัติกับเธอและแม่ด้วยดี เด็กหญิงไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง ไม่รู้สึกเครียดมากเหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาลแรก

คุณหมอฉีดยากันชักให้น้ำฝน พร้อมปรับยาประจำที่เด็กหญิงใช้อยู่ หมอบอกแม่ว่า ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการที่เกิดขึ้น เพราะอาจเป็นได้ทั้งจากผลข้างเคียงของยาต้าน หรือการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะบางส่วนในร่างกายเอง

น้ำฝนนอนโรงพยาบาลอีกสิบห้าวันก่อนที่อาการจะดีขึ้นและคุณหมอให้กลับบ้านได้

แต่เธอกลับบ้านได้ไม่กี่วัน อาการชักก็กำเริบขึ้นอีก

4.

ผ่านเรื่องราวในโรงพยาบาลมานานสามปีกว่าแล้ว เด็กหญิงน้ำฝนกลายเป็นนางสาวน้ำฝน ที่วันนี้นั่งเล่นอยู่กับพื้นปูนในบ้านที่ถูกขัดถูจนขึ้นมันวับ หน้าตาและรูปร่างโดยรวมของเด็กสาวงดงามสมวัย ดวงตาคู่งามคมโต จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักคม และผมหยักศกยาวเคลียบ่า เส้นผมถูกหวีรวบแล้วมัดรวมไว้ด้านบนศีรษะด้วยหนังยางและกิ๊บพลาสติคสีสวย เธอนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ยิ้มรับน้า ๆ จากมูลนิธิรักษ์ไทย ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเป็นระยะ นับตั้งแต่เกิดเรื่องและการส่งต่อเปลี่ยนโรงพยาบาล

“ได้ฝึกเดินบ้างหรือเปล่านี่”

น้าวรรณคนคุ้นเคยเอ่ยปากถามเมื่อเห็นน้ำฝนขยับถัดตัวมาตามพื้น มองเห็นขายาวเรียวลีบเล็กลงไปจนถึงข้อเท้าที่ถูกลากครืด ๆ ตามมากับกิริยาถัดตัวโดยใช้มือช่วยยันพื้นของเจ้าตัว

“บ้าง”

เด็กสาวตอบสั้น ๆ แต่เสียงใสแจ๋ว ปากได้รูปสวยยิ้มจนกว้างพาให้ตาดวงโตหยีลง

“ขี้เกียจล่ะสิ”

มีเสียงแข็ง ๆ เอ่ยตามมาไม่เบานัก น้ำเสียงนั้นกึ่งต่อว่ากึ่งท้อใจ แม่ของน้ำฝนนั่นเอง หลายครั้งที่แม่ดุว่ากึ่งสงสารกึ่งโมโหที่ลูกสาวกลัวเจ็บจนไม่ยอมหัดเดินตามที่หมอบอกก่อนออกจากโรงพยาบาล น้าวรรณเองก็สงสัยเหมือนกันเพราะคิดว่า เวลาที่ผ่านมานานแล้ว น้ำฝนน่าจะหายเจ็บและฝึกเดินได้มากกว่านี้

“เอาแต่นั่งวาดรูป นั่งร้องเพลง”

เสียงแม่ยังบ่นตามมา เด็กสาวที่โดนแม่บ่นยิ้มจนตาหยี บอกเสียงตะแง้ว ๆ ว่า ก็มันเหงานี่นา บางวันก็เศร้าด้วย แล้วตามด้วยคำพูดที่ทำให้คนเป็นแม่อึ้งเงียบไปนาน

“อยากให้แม่ไปเที่ยวข้างนอกบ้างแม่ก็ไม่ไป บอกแล้วว่าอย่าคิดมาก อย่าเครียด หนูอยากให้แม่แจ่มใส ให้แม่ยิ้มได้”

ฟังดูเหมือนคนละเรื่องเดียวกัน แล้วความจริงเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ ทั้งแม่และลูกก็ไม่แน่ใจ

5.

เมื่อพ่อของน้ำฝนเสียชีวิตลงสิบสี่ปีก่อนหน้านั้น ในมรณบัตรระบุว่าเสียชีวิตด้วย “โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง” เป็นสาเหตุแห่งการจากไปที่ทั้งแม่และลูกสาววัยน่าเอ็นดูไม่รับรู้เลยว่าคืออะไร จนสิบปีผ่านมา คนเป็นแม่จึงเริ่มป่วยและรับรู้ความจริงว่าตัวเองติดเชื้อจากสามี เช่นเดียวกับลูกสาวที่รับถ่ายทอดเชื้อมาจากแม่และเริ่มมีอาการป่วยไล่เลี่ยกัน ครั้งนี้ แม่ได้รับรู้แล้วว่า ความหมายที่แท้จริงของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจกันนั้นคืออะไร

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี มีคนรัก มีการแต่งงานและมีลูกน้อยหน้าตาแสนน่ารักน่าเอ็นดูเป็นโซ่ทองคล้องใจ กับความจริงที่รับรู้และประจักษ์ซาบซึ้งกับตัวเองและลูกที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันนั้น กลายเป็นบาดแผลที่ฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณ



ใบหน้าที่บอกเค้าความงามในวัยสาวของหญิงที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง ถูกความเครียด ความทุกข์ ความขมขื่น กดทับจนหมองโศก ยิ่งลูกสาวคนงามเริ่มโตด้วยสภาพกึ่งคนพิการ ความทุกข์ความเจ็บปวดกับชะตาชีวิตก็ยิ่งกัดเซาะซึมลึก เวรกรรมคือคำอธิบายชีวิตของตนเองและครอบครัว รูปภาพทุกใบในบ้านที่เคยมีรูปคนเป็นพ่อกลายเป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ ทุกภาพเหลือไว้แต่อดีตที่สวยงามของคนเป็นแม่และความน่ารักของลูกสาว แต่แหว่งโหว่ เหมือนฝันร้ายที่ปรากฏในภาพอดีตอันงดงาม อดีตในส่วนที่เป็นหน้าตารูปร่างของพ่อถูกตัดขาด ฉีกทิ้ง และเผาไฟ

ทุกคราวที่แม่มองน้ำฝนนั่งถัดตัวเองไปมาอยู่กับพื้น ใจของผู้เป็นแม่ร้าวราน ความรักความสงสารลูกถูกความแค้นที่มีต่อผู้เป็นพ่อของลูกหล่อเลี้ยงร่วมอยู่ด้วยตลอดเวลา

6.

“เดี๋ยวนี้เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนยังมาเยี่ยมอีกไหม”

น้าวรรณถามชวนคุย เพราะรู้ดีว่า หลังเกิดเหตุลงโทษนักเรียนจนน้ำฝนต้องล้มป่วยอย่างหนักนั้น ครูและเพื่อน ๆ แวะมาเยี่ยมเยียนทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน แม่ตอบแทนว่า หลัง ๆ ไม่มาแล้ว เรื่องราวผ่านมาหลายปีต่างคนต่างก็เติบโตและแยกย้ายจากกันไป แม่เล่าว่า ครูเขาก็รู้สึกผิดที่สั่งลงโทษน้ำฝน แต่แม่ก็ไม่อยากโทษเขา รู้ว่าเขาทำเพราะอยากให้น้ำฝนได้รับการดูแลเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไปในโรงเรียน

เมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว น้ำฝนนับว่าโชคดีที่ทั้งครูและเพื่อน ๆ เข้าใจและไม่มีความรังเกียจในการติดเชื้อของนักเรียนคนนี้เลย แต่อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอธิบายได้ แม้แต่หมอที่โรงพยาบาล

สำหรับแม่และน้ำฝนแล้ว สิ่งนี้ถูกอธิบายด้วยคำว่า “เคราะห์กรรม”

7.

“หนูอยากไปเที่ยว อยากไปช้อปปิ้ง”

เด็กสาวหน้าสวยบอกเสียงตะแง้ว ๆ แบบเดิม ตาคมคู่งามส่งประกายระยิบระยับ กิริยาท่าทางของน้ำฝนเหมือนเด็กสิบขวบมากกว่าจะอยู่ในวัยสิบเจ็ดแบบสาวแรกรุ่นทั่วไป

“ก็ต้องฝึกเดินสิ”

เหล่านี้คือเสียงของเหล่ากองเชียร์จากผู้เยี่ยมบ้าน ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครผู้ติดเชื้อที่ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย แต่น้ำฝนก็ยันกายเกาะขอบหน้าต่างและพนักเก้าอี้นวมกลางห้องได้ไม่กี่ครั้งก็หยุด เหมือนกำลังใจมา ๆ หยุด ๆ ตามเสียงเชียร์ของคนอื่น ไม่มีใครรู้ว่าเสียงเชียร์ในใจของเจ้าตัวส่งเสียงหนักเบาอย่างไร และบ่อยเพียงใด

“น้ำฝนเดินได้นะ รู้ตัวไหมนี่ ขามันไม่ค่อยมีแรงเท่านั้นเอง มันไม่ค่อยได้ใช้งานนะ หนูต้องช่วยมันหน่อย ช่วยบีบนวดให้ขามันไม่เหงา มันจะได้มีชีวิตชีวา และก็ฝึกเดินบ่อย ๆ”

ลูกยุของคนภายนอกมีมาเป็นพัก ๆ เมื่อเด็กสาวขยับมือพยุงตัวเองแล้วสาวเท้าเดินตาม สาวน้อยเดินได้สองสามก้าวก็หอบเหนื่อย รู้สึกเจ็บร้าวตรงบริเวณที่ไม่เคยกดรับน้ำหนัก เธอทรุดฮวบลงกองกับพื้น เสียงหอบเหนื่อยดังตามมานาน เมื่อเสียงหอบหายใจเบาลง สาวน้อยก็พูดออกมาเบา ๆ

“แม่บอกว่าถ้าหนูหาย แม่จะให้หนูบวช แม่ไม่อยากให้หนูรักใคร”

8.

ข้างนอกบ้านฝนยังลงเม็ดต่อเนื่อง มองผ่านหน้าต่างบานเกร็ดที่ไขหมุนแผ่นกระจกขึ้นแล้วสายฝนยังโปรยปราย ผู้เป็นแม่นั่งมองลูกสาวอยู่เงียบ ๆ สาวน้อยเปิดสมุดวาดภาพอวดน้า ๆ ทั้งหลาย ทุกภาพลงสีไม้เนียนเรียบบอกสมาธิและความตั้งใจของคนระบายสี บางภาพเป็นวิวบ้านพร้อมสวนดอกไม้หน้าบ้านงดงาม ในนั้นมีภาพเด็กหญิงและหนุ่มสาวที่เป็นพ่อแม่ น้ำฝนอธิบายรูปว่า

“รูปน้ำฝนกับแม่ปูพ่อเอกปลูกดอกไม้ หนูอยากปลูกดอกไม้”

แม่ปูพ่อเอกที่สาวน้อยพูดถึงคืออาสาสมัครที่มาเยี่ยมสม่ำเสมอ น้ำฝนอธิบายเพิ่มเติมคำว่าสม่ำเสมอคือปีละสามครั้ง แต่สามครั้งต่อหนึ่งปีที่เด็กสาวเอ่ยถึงเป็นเวลาที่สวยงามฝังแน่นอยู่ในใจเพราะนอกจากมาเยี่ยมแล้วแม่ปูพ่อเอกยังพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอกด้วย

ภาพต่อมาเป็นภาพขนาดใหญ่ระบายสีสวยงาม เด็กผู้หญิงนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล มีแม่ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ สาวน้อยอธิบายว่า

“รูปนี้เพิ่งวาดให้แม่ตอนวันแม่ค่ะ”

สาวน้อยอธิบายรูปภาพละไล่ไปทีละรูปจนถึงรูปสุดท้ายเป็นภาพเด็กหญิงยืนเดียวดายอยู่กลางกระดาษ มีเฉพาะเส้นสีด้านบนและข้าง ๆ บอกว่าฝนกำลังตก เด็กน้อยในภาพยืนร้องไห้ น้ำตาเม็ดโตวาดแต้มอยู่เต็มหน้า เจ้าตัวอธิบายสั้น ๆ ว่า

“รูปนี้ตอนหนูเศร้า”

แม่ของน้ำฝนนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ฝนยังลงเม็ดหนาอยู่เช่นทุกวัน ลูกสาวปิดสมุดวาดเขียนเงยหน้าขึ้นคุย น้ำเสียงแจ่มใสเบิกบาน

“แต่ตอนนี้หนูไม่เศร้าแล้ว หนูต้องไม่ร้องไห้กลางฝน…”

“หนูอยากไปช้อปปิ้ง หนูอยากปลูกต้นไม้เหมือนในภาพ หนูอยากเลี้ยงหมาด้วย และ หนูอยากให้แม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องห่วงหนู”

ผู้เป็นแม่ไม่ได้เบือนหน้ากลับมา แต่น้ำฝนคิดว่าแม่คงได้ยินสิ่งที่เธอพูด เธอบอกกับตัวเองในใจว่า

“หนูจะเป็นกองเชียร์ถาวรให้ตัวเองค่ะ”




หมายเหตุ: จากหนังสือ "แก้วตาขวัญใจของใครหนอ"
รวมเรื่องสั้นจากชีวิตจริงของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์
จัดพิมพ์โดยมูลนิธิรักษ์ไทย โทร. 02 265 6888

ผู้สนใจหนังสือเล่มนี้ สามารถติดต่อขอรับจากมูลนิธิฯ ได้ค่ะ
เพียงส่งซองจดหมายที่มีชื่อที่อยู่ของตนเองเพื่อให้ส่งหนังสือกลับมาได้ พร้อมติดแสตมป์มาด้วยนะคะ 9 บาทสำหรับส่งธรรมดาและ 22 บาทสำหรับลงทะเบียนค่ะ (แล้วแต่สะดวก )


จ่าหน้าซองถึง
คุณสุนีย์ ตาฬวัฒน์ (หนังสือแก้วตาขวัญใจฯ)
มูลนิธิรักษ์ไทย 185 ซอยประดิพัทธ์ 6 ถนนประดิพัทธ์
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400

ถ้าสนใจอยากให้ส่งไปห้องสมุดหรือสถานที่เรียนรู้ชุมชนแห่งใดก็ใช้วิธีการเดียวกันนะคะ

หรือถ้าจะร่วมบริจาคเงินเข้ากองทุนนมฯ ผ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยก็ยินดีอย่างยิ่งค่ะ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนฯ และการบริจาคได้ที่ blog "รวมเรื่องสั้นจากชีวิตจริง" ในกลุ่มบล็อกนี้นะคะ (จขบ.ยังทำ link ไม่เป็น แหะ แหะ )





 

Create Date : 25 มิถุนายน 2552
17 comments
Last Update : 15 กรกฎาคม 2552 15:02:14 น.
Counter : 1809 Pageviews.

 

ขอบคุณที่เอาเรื่องราวชวนคิดมาแบ่งปันกันเสมอนะคะ

รูปนี่สแกนจากหนังสือหรือว่าไงอะคะ?

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 25 มิถุนายน 2552 15:33:33 น.  

 

คุณสาวไกด์ฯ คะ
รูปย่อจากไฟล์ต้นฉบับสำหรับทำหนังสือค่ะ

หนังสือเรื่องนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอดส์และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อเอชไอวี เพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยดีในสังคมของเราทุกคนนะคะ ผู้สนใจติดต่อขอหนังสือนี้ได้ที่มูลนิธิฯ
พรุ่งนี้จะมาบอกรายละเอียดเพิ่มเติมนะคะว่าติดต่อใครอย่างไรบ้าง

ขอบคุณที่สนใจงานค่ะ

 

โดย: กังสดาล IP: 125.25.53.254 25 มิถุนายน 2552 16:36:19 น.  

 

หลังจากที่คุยกันวันก่อน..กลับถึงบ้านแล้วยังเอามาพิจารณาอีก..เรื่องความป่วยไข้..ความกลัว..อยากคุยต่อ..อยากรู้
อ่านOSHOแล้ว..ทายหน่อยว่า ข้อยอ่านเรื่องของใครเป็นอันดับแรก..ความจริงไม่ต้องทาย ถูกอยู่แล้วแหละ..เพราะคลื่นความถี่เดียวกัน ฮิฮิ..พี่พีเล่าเรื่องคุ้มกับนิดให้พี่เอ๋ฟังไหม..เขาตกใจ หรือเลิกกังวล..

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 3 กรกฎาคม 2552 11:22:43 น.  

 



มาแจ้งข่าวว่า อัพบล็อกแล้วครับ

วันนี้เสนอตอน "สัญจรตะลอนไพร"

อยู่ป่าทั้งที จะไปไหนมาไหนก็ต้องเดินสถานเดียว

แต่ละคนจะต้องเตรียมอะไรติดตัวไปบ้าง

คงต้องลองเข้าไปอ่านเสียแล้วครับ....


 

โดย: ลุงแว่น 4 กรกฎาคม 2552 21:21:21 น.  

 


ส่งข่าวว่า วันนี้อัพบล็อกแล้วเช่นกันครับ

วันนี้เสนอตอน "จังเกิ้ลสตูดิโอ"

บทเพลงจากป่าเขา เขามีวิธีการผลิตกันอย่างไร แต่ละขั้นตอนยากเย็นชุลมุนกันอย่างไร

ลองไปติดตามอ่านดูนะครับ....

 

โดย: ลุงแว่น 12 กรกฎาคม 2552 10:22:59 น.  

 

สวัสดีครับคุณกังสดาล

เห็นเงียบหายไป
คิดถึงจึงแวะมาหา

 

โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.16.211 13 กรกฎาคม 2552 7:28:57 น.  

 

คุณพี่ขอรับ โปรดเช็คหลังไมค์ด้วย

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 16 กรกฎาคม 2552 15:02:41 น.  

 


วันนี้เพิ่งอัพบล็อกครับ

มีเมนูอาหารป่าแปลก ๆ มาชวนชิมครับ

ความอัตคัดในสถานการณ์หนึ่ง ทำให้สัตว์แปลก ๆ ที่ไม่คาดคิดว่าจะใช้เป็นอาหารได้

กลายมาเป็นเมนูจานเด็ดได้ที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำมาตราบจนทุกวันนี้ครับ...

 

โดย: ลุงแว่น 19 กรกฎาคม 2552 19:52:27 น.  

 



วันนี้ ได้ฤกษ์อัพบล็อกแล้วครับ

อยากเชิญไปทำความรู้จักกับสหายคนหนึ่ง

เขาคือ "สหงายสห่า"

เชิญไปพบ และหัวเราะเรื่องราวของเขาได้ที่บ้านครับ...


 

โดย: ลุงแว่น 25 กรกฎาคม 2552 21:03:59 น.  

 

คิดถึงจังเล้ย

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 26 กรกฎาคม 2552 11:47:29 น.  

 

สวัสดีครับมาขอaddไว้เป็นเพื่อนบ้านนะครับเดี๋ยวจะเข้ามาอ่านนะครับ

 

โดย: บูรพากรณ์ 3 สิงหาคม 2552 13:33:38 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่พี

อ่านครบทุกเรื่องแล้วค่ะ...บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
เพราะเกิดขึ้นได้หลายอารมณ์เหลือเกิน

บางประโยคทำให้น้ำตาซึม บางประโยคทำให้ยิ้มทั้งน้ำตา
บางประโยคอ่านแล้วต้องถอนหายใจเฮือกๆ

หลากหลายชีวิต..ที่ไม่อาจหลีกหนีพ้นชะตาลิขิต
ขอเพียงได้ใช้ชีวิตที่มี..และเวลาที่เหลืออยู่
อย่างรู้อยู่ รู้ทำ รู้ปฏิบัติ...

ถึงร่างกายเขาเจ็บป่วย..แต่สุขภาพจิตใจกลับดีเกินร้อย
ต่างกับเราที่ใจป่วย..จนกายไม่อาจต้านทาน

ด้วยความระลึกถึง..และความขอบคุณที่ฝากผ่านฟากฟ้ามาให้
สุขสันต์วันแม่ค่ะพี่พี

 

โดย: กลีบดอกโมก 13 สิงหาคม 2552 16:41:23 น.  

 

หวัดดีครับ
กลับมาทักทายกันอีกครั้ง
คงสบายดีนะครับ

 

โดย: ชีวิตบั้นปลาย 18 สิงหาคม 2552 13:17:46 น.  

 



พักนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาเยี่ยมเยียน

มัวแต่ทำหนังสืออยู่ครับ

วันนี้เพิ่งมีเวลาอัพบล็อกแจ้งข่าว

อยากเชิญไปพบกับ....

"สหายหรรษา"

หนังสือเล่มใหม่ล่าสุด

ที่ทำเองกับมือทุกขั้นตอนครับ...




 

โดย: ลุงแว่น 22 สิงหาคม 2552 17:29:35 น.  

 

สวัสดีครับคุณกังสดาล

ไปทำอะไรอยู่ครับ
ไม่อัพบล็อกเลย
หรือว่าเบื่อแล้ว ?

 

โดย: พ่อพเยีย 4 กันยายน 2552 8:44:10 น.  

 

สวัสดีอีกครั้งครับคุณกังสดาล

คอมเม้นท์เมื่อครู่นี้มีคำผิดเล็กน้อย
และขอเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
ช่วยลบคอมเม้นท์ข้างบนออกด้วยก็แล้วกันนะครับ

ขอบคุณครับ !


สวัสดีครับคุณกังสดาล

ของชิงตอบคุณก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นเสียก่อน

เพราะคำพูดคุณพูดได้ถูกต้องและปราณีตกว่า...

ไม่ว่าคุณจะเรียกว่า ทำในสิ่งที่
"ควร"
ทำ แต่ผมเรียกว่าทำในสิ่งที่ "ต้อง" ทำ

จะว่าไปแล้วมันก็ไปในทิศทางเดียวกันหรือความหมายเดียวกันนั่นแหละครับ

ผมอาจจะพูดรวบรัดหรือตัดหน้าหรือแข็งไปหน่อย เพราะ
"ผมต้องทำในสิ่งที่ควรทำ"
อยู่แล้ว หรือพูดอย่างตรงใจที่สุดก็คือ
"ผมต้องทำในสิ่งที่(ผม)คิดว่าควรทำอยู่แล้ว"

ซึ่งถ้าจะตีความหมายตามที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ไม่แตกต่างจากคำว่า "ควร" ในความหมายของคุณหรอกครับ

แต่คุณอาจจะพูดได้ละเอียดนุ่มนวลกว่า

เพราะถ้าชีวิตใครได้ทำในสิ่งที่ ควรทำได้ทุกอย่างแล้วละก็รับรองว่าเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างปราณีตแน่นอน


แต่อย่าลืมนะครับว่า
"ควรทำ"
ของอีกคนกับ"ควรทำ"ของอีกคนอาจต่างกัน

คนเราถ้ารู้ว่า "อะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ" รู้เพียงเท่านี้ก็เอาชีวิตรอดจากทุกข์ได้ไม่น้อยแล้ว

ขอบคุณ - สำหรับความคิดที่แตกต่างเล็กๆน้อยๆที่ยั่วให้แย้งและคิดต่อได้


ด้วยมิตรภาพและนับถือจากใจครับ

 

โดย: พ่อพเยีย 5 กันยายน 2552 8:35:44 น.  

 

มาบอกว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว..ได้รับโปสการ์ดจากพะเยาแล้วค่ะ..จะโทรไปหาก็เกรงว่า เพิ่งจะได้อยู่บ้านเล่นกับลูก..เลยไม่แย่งเวลาครอบครัว..เอาเป็นว่า จะอัพบล๊อกคุยไปด้วยตอนไปเที่ยวก็แล้วกัน เพราะหอบเอาเจ้าหนุ่มแม๊คไปด้วยค่ะ

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 7 กันยายน 2552 13:23:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kangsadal
Location :
เวียงจัน Laos

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]






พระจันทร์เต็มดวงคนมองเห็นได้บางวัน
เช่นกันกับวันที่เห็นพระจันทร์เสี้ยว
แต่ทุกวัน....
พระจันทร์เต็มดวง
online
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kangsadal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.