ต้นทุนชีวิตคือการสะสมความเคยชินที่ดี

หนูชื่อมิลค์




สวัสดีค่ะ
หนูชื่อน้องมิลค์ หนูจะมาเล่าเรื่องที่หนูอยากบอก คือหนูเรียนดี และหนูก็ได้เกรดที่ดี
หนูเป็นโรคประจำตัว แต่หนูก็จะไม่ท้อ เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะคะ….…

…หนูอยู่บ้านหนูชอบช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน หนูได้หุงข้าว และกรอกน้ำ หนูรักพ่อและแม่มาก และหนูชอบเดินไปซื้อของให้แม่ ตอนหนูอยู่ ป.4 หนูป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ หนูกินอะไรหนูก็ขมปากทุกที หนูกินข้าวก็อาเจียน กินยาก็อาเจียน กินอะไรก็ไม่อร่อย หนูชอบปีนต้นไม้ หนูชอบปีนไปอยู่บนต้นไม้ แต่แม่ไม่อยากให้ขึ้นเพราะแม่กลัวหนูจะตกลงมา…

เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปี นั่งเขียนเรื่องราวของตัวเองเป็นตัวหนังสือบนพื้นห้องอย่างมีสมาธิ แม่ผู้นั่งมองไปยิ้มไป ขวนขวายค้นหา “หลักฐาน” มาประกอบเรื่องเล่าของลูกสาว หลักฐานที่ว่าคือถุงพลาสติคใส ใส่กระดาษหลากสีปึกใหญ่ กระดาษขนาดเอสี่พับครึ่งแต่ละแผ่นระบุชื่อโรงเรียนพร้อมชื่อมิลค์และวันเดือนปีที่มิลค์ได้รับการยืนยันเป็นเกียรติบัตรว่า รองชนะเลิศการเล่านิทานธรรมระดับอนุบาล ชนะเลิศการเขียนเรียงความระดับชั้นประถม ชนะเลิศการคัดลายมือระดับชั้นประถม ชนะเลิศการอ่านหนังสือระดับโรงเรียน ฯลฯ

มิลค์ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับทุนเรียนดีครั้งแรกเมื่อเรียนอยู่ชั้นประถมสอง ครั้งนั้น จำนวนเงินทุนที่คุณครูเสนอชื่อไปคือห้าพันบาท แต่เงินทุนจำนวนนั้นกลายเป็นเพียงความฝันวูบหายไปเมื่อคุณครูมาบอกความจริงภายหลังว่า โรงเรียนให้ทุนมิลค์ไม่ได้ เพราะมิลค์ไม่มี เลข 13 หลัก

แม่มิลค์ไม่อยากเชื่อคำอธิบายของคุณครูเลยเพราะ “ก็ตอนเขามาสำรวจ มิลค์ก็ยังมีชื่อในสำรวจ”แต่ความจริงก็คือ ชื่อมิลค์ที่ได้รับการสำรวจและได้หมายเลขนั้น มีเลขนำหน้าเป็นเลขศูนย์ ซึ่งหมายถึงสถานะของการเป็นคนต่างด้าว

การไม่มีเลขสิบสามหลักอันเป็นเลขประจำตัวประชาชนคนไทยของมิลค์ จึงไม่เพียงปิดโอกาสเข้ารับทุนการศึกษาจากรัฐบาลเท่านั้น แต่หมายถึง การปิดกั้นสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ในฐานะพลเมืองไทยด้วย ด้วยเหตุนี้ทั้งแม่ทั้งพ่อจึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาทางให้ลูกสาวคนเก่งได้เป็นคนไทยอย่างสมบูรณ์

“ก็ไปที่โรงพยาบาลที่มิลค์เกิดนั่นแหละ ไปหาพยาบาลที่เขาทำคลอด”

แต่การดิ้นรนหาหลักฐานการเกิดทำให้พ่อกับแม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับมิลค์เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่อยากรู้เลย นั่นคือ มิลค์ “ติดเชื้อ”

“แม่ไม่อยากเชื่อ ก็เลยให้เขาเจาะดูใหม่ เขาก็เจาะดูอีก แล้วผลมันก็ใช่”

“ตอนรับเลี้ยงก็ไม่รู้หรอก ตอนนั้นมิลค์อายุสี่ขวบแล้ว มีคนมาถามบอกอยากเอาเด็กมาเลี้ยงไหม แม่มีลูกเองไม่ได้ ผ่ามดลูกแล้ว แล้วก็เลี้ยงเด็กเล็ก ๆ ไม่ได้ ไม่ชอบ รำคาญ พอรู้ว่าสี่ขวบแล้วก็เลยเอามา สงสาร ถูกตีเขียวเป็นจ้ำ ๆ ไปทั้งตัว ผมสั้นกุดยังกับเด็กผู้ชาย”

“พอหมอเขายืนยันก็เสียใจมาก ผิดหวัง ได้แต่ร้องไห้ ไม่รู้จะทำยังไง เลี้ยงแล้ว รักแล้ว…ก็ต้องเลี้ยงต่อไป รักเขาให้มากขึ้นกว่าเดิม”

“ตอนมาใหม่ ๆ ไม่เป็นอย่างนี้หรอก ตอนนั้นเห็นแก่ตัว ชอบกิน ชอบด่า ด่าคนโคตรพ่อโคตรแม่เลย แม่ก็เลยตีเข้าให้ แต่ตอนหลังพอรู้ว่าเป็นอย่างนี้ ไม่เคยตีอีกเลย สงสาร”

และเพราะรัก เพราะสงสาร พ่อกับแม่ของมิลค์จึงเริ่มต้นการต่อสู้ครั้งใหม่ของชีวิต

“อยากให้เขามีเลขสิบสามหลัก จะได้ไม่ลอย ๆ อย่างนี้ เขาเรียนเก่ง ครูบอกว่าถ้าไม่มีเลขสิบสามหลัก จบป.6 แล้วเขาจะเรียนต่อไม่ได้”

“แล้วเขาติดเชื้อ ถ้าไม่มีเลขสิบสามหลักเขาก็รับยาฟรีไม่ได้ ใช้สิทธิบัตรทองไม่ได้ เขาป่วยขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร”

ในช่วงต้น พ่อกับแม่วิ่งเต้นผ่านห้องคลอดที่โรงพยาบาลที่มิลค์เกิด เพราะเมื่อรับมิลค์มาเลี้ยงเป็นลูกนั้น สิ่งเดียวที่เป็นหลักฐานติดตัวมาคือสมุดประจำตัวเด็กแรกเกิดสีชมพู

“ก็ไปหาผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยพาไปทำเรื่องที่อำเภอ พอไปถึงผู้ใหญ่แกกลัวตัวสั่นเลย แกกลัวปลัด กลัวจะถูกปลดจากตำแหน่งเพราะมิลค์ไม่มีหลักฐานอะไร กลัวเขาหาว่าเป็นลูกเขมรมาสวมชื่อแล้วจะมีปัญหา แม่ก็บอกว่า ถ้าผู้ใหญ่กลัวก็รออยู่ข้างล่าง พ่อจูงมิลค์ขึ้นอำเภอไปเองเลย”

“ปลัดก็ให้เราทำเรื่องใหม่ ให้เราไปทำเรื่องที่เทศบาล บอกว่าทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาลให้ไปทำเรื่องที่นั่นก่อน”

“เขาให้ทำอะไรก็ทำ ไปขอหนังสือรับรองจากโรงเรียน จากโรงพยาบาล วิ่งไปวิ่งมาอยู่นาน เรื่องก็ไปไม่ถึงไหน ส่งกลับมาที่อำเภออีกก็ไม่ผ่าน”

“ตอนนั้นท้อแล้วล่ะ แม่กับพ่อก็ไม่มีเงิน ไปขอกู้เงินเขามา ใช้ไปสองหมื่นแล้ว ยังบอกกับพยาบาลที่ทำคลอดให้เลยว่า เราอุตส่าห์ช่วยเอาเด็กมาเลี้ยง มาดูแล ถ้าหมอไม่ช่วย ถ้าโรงพยาบาลไม่ช่วย เราก็จะทิ้งเด็กอย่างโรงพยาบาลมั่ง”

“ตอนนั้นหมดหวังแล้วล่ะ ผู้ใหญ่บ้านเขาก็ไม่ช่วยแล้ว เขากลัว พอดีเจอหมอตี๋หมออี๊ด ได้หมอตี๋หมออี๊ดเข้ามาช่วย ก็เลยมีใจสู้ต่อ”

“วันฝนตกหนัก แม่บนถึงแม่มิลค์เขาเลย แล้วหมออี๊ดก็สุ่มหา ก็เจอบ้านเลขที่แม่มิลค์เขา”

หมออี๊ดที่แม่บุญธรรมของมิลค์พูดถึงคือเจ้าหน้าที่ภาคสนามของมูลนิธิรักษ์ไทย ส่วนหมอตี๋คือแกนนำผู้ติดเชื้อในพื้นที่ และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าครอบครัวคนป่วยและผู้ติดเชื้อมักเรียกคนที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือว่า “หมอ”

เมื่อเข้ามารับรู้เรื่องราว เจ้าหน้าที่รักษ์ไทยร่วมกับแกนนำเครือข่ายผู้ติดเชื้อ ก็ร่วมกันหาหนทางช่วยเหลือพ่อแม่และมิลค์ โดยเริ่มจากการขอใบรับรองการเกิดจากโรงพยาบาลผ่านคุณพยาบาลผู้มีน้ำใจและอยู่ร่วมเหตุการณ์นับแต่ช่วงแรกที่มิลค์เกิดมา

“ตอนมิลค์สี่ขวบป้าคนที่เลี้ยงป่วยมาเข้าโรงพยาบาล มิลค์ก็มาเฝ้าที่โรงพยาบาลด้วย จำได้ ว่าป้าคนนี้รับเลี้ยงมิลค์ตั้งแต่เกิด พอรู้มาบ้างค่ะว่าแม่มิลค์จ้างเลี้ยงอยู่สองสามเดือนแล้วก็หายไป ทิ้งมิลค์ไว้กับป้าคนนี้ ป้าแกก็รักนะคะ พอแกป่วยมาโรงพยาบาลก็เลยจำได้ ว่าตอนมิลค์เกิดเคยเจาะเลือดดูรู้ว่าติดเชื้อตั้งแต่เกิดแล้ว ก็เลยขอเจาะดูอีกครั้ง ปรากฏว่าใช่ เด็กติดเชื้อ”



“จากนั้นป้าคนเลี้ยงก็ตาย มิลค์ก็ถูกส่งต่อไปเลี้ยงอีกหลายมือ ก็ลืมน้องเขาไปแล้วล่ะค่ะ มาเจออีกทีก็ตอนลุงกับป้า คือพ่อกับแม่มิลค์คนปัจจุบันมาขอให้ทำเรื่องรับรองการเกิดที่โรงพยาบาลนี่แหละ ก็เลยบอกเขาเรื่องมิลค์ เขาก็อยากให้เจาะตรวจซ้ำอีกครั้ง และก็ปรากฏว่าใช่ พอเขารู้เขาก็เงียบไป น้ำตาคลอ…”

“เราก็ช่วยได้เท่าที่เราทำได้นะคะ คือมีเลขสิบสามหลักนี่ เด็กเขาจะสามารถเข้าถึงบริการได้ ในฐานะที่ทำงานด้านนี้เรารู้ว่ามันจำเป็นและมีประโยชน์มาก เราคิดเผื่อไปว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องรับยาต้าน ถ้าเขาไม่มีเลขสิบสามหลักเขาจะลำบาก พ่อแม่เขาก็ไม่น่าจะมีเงินมากพอที่จะดูแลเขาได้อย่างนั้น ถ้าได้เลขมา เขาก็จะได้ใช้สิทธิบัตรทอง”

ณ ช่วงเวลาที่พ่อกับแม่เดินเรื่องแจ้งเกิดใหม่ให้กับมิลค์นั้น เด็กหญิงอายุแปดขวบกว่าแล้ว การแจ้งเกิดจึงเป็นไปไม่ได้ตามกฎหมายไทย ซึ่งกำหนดให้แจ้งเกิดภายในสิบห้าวัน หรือแจ้งเกิดหลังกำหนดได้แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี ด้วยเหตุนี้สิ่งที่พ่อกับแม่สามารถทำได้ก็คือการยื่นขอเพิ่มชื่อในฐานะคนไทยตกหล่น

กระบวนการที่ว่านี้ทำให้พ่อกับแม่ของมิลค์เกือบถอดใจกับวันเวลาและค่าใช้จ่ายที่เสียไปและเมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯกับแกนนำผู้ติดเชื้อในพื้นที่มาร่วมดำเนินการด้วยจึงเห็นภาพความยุ่งยากและเหตุผลที่ชัดเจน

“ใคร ๆ ก็กลัว ไม่อยากทำให้หรอกครับ เพราะมันเคยมีเรื่องว่าเอาพวกเขมรมาสวมชื่อคนไทย เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาปลัดเขาก็กลัวจะถูกให้ออกจากตำแหน่งเท่านั้น”

“หมอตี๋” ของพ่อกับแม่และมิลค์ หรืออีกนัยหนึ่ง พี่ตี๋ของกลุ่มเพื่อน ๆ ในเครือข่ายผู้ติดเชื้อเป็นผู้บอกเล่าถึงเหตุการณ์วิ่งเต้นในช่วงแรก

“ปลัดบอกเราว่า เราต้องมีหลักฐานพิสูจน์ให้เชื่อได้ว่า มิลค์เขาเป็นคนไทยจริง ๆ มีครอบครัวหลักฐานพยานอ้างอิงได้จริง ๆ…แต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิลค์เลย นอกจากชื่อแม่ในสมุดสีชมพู”

“เราเริ่มสืบจากตรงนั้น ก็ไปขอคัดลายชื่อจนรู้ว่าแม่เขาอยู่ที่ไหน ดูจากทะเบียนแล้วก็รู้ว่าแม่เขาเสียชีวิตไปแล้ว เราก็ตามไปถึงครอบครัวเขา ขอให้เขาส่งเอกสารการตายมา”

“เราเอาสำเนาใบมรณบัตรไปให้ อำเภอก็ไม่ยอมรับ เขาจะเอาตัวจริง และต้องมีพยานบุคคลด้วย เราก็ต้องไปพบไปขอร้องครอบครัวเขามาเป็นพยาน”

“ทำเรื่องนี้ยากมากเลยครับ ทางราชการเขาบอกให้เราหาหลักฐานมาทีละอย่าง แต่ไม่บอกทีเดียวทั้งหมด เขาก็ไม่ชัด เราก็ไม่รู้ ได้ไอ้นี่มาก็ไม่พอ ต้องมีไอ้นั่น แล้วก็ต้องมาสอบปากคำกันอีก”

“เริ่มจากรูปถ่ายแม่เขาครับ จะเอารูปถ่ายแม่ เราก็หาไม่ได้ เสร็จแล้วก็เป็นใบมรณบัตร ใบรับรองการเจ็บป่วยจากโรงพยาบาล ใบยืนยันจากโรงเรียน..แล้วให้ทำ family tree ด้วย เราก็ไม่รู้จักว่า family tree เป็นอย่างไร เขาก็บอกให้ทำเป็นแผนภาพแสดงความต่อเนื่องของคนในครอบครัวไล่กันลงมาเป็นชั้น ๆ เสร็จแล้วก็เรียกให้ญาติใกล้ชิดมาสอบปากคำ เราก็ต้องไปตามหาญาติเขามาจากหลักฐานที่เราค้นได้ทางทะเบียน”

“นานมากครับต้องจี้กันตลอดเลย ใช้เวลาปีกว่า ปลัดยังบอกเลยว่า คนไทยตกหล่นในอำเภอมีตั้งสามพันกว่าคน ทำไมจะต้องมาเร่งที่มิลค์ เราอธิบายว่าเพราะน้องเขาติดเชื้อ มันเป็นโอกาสในการเข้าถึงการรักษาของเขา เราต้องเตรียมพร้อมเพื่อให้เขาได้รับยาต้าน ก็เหนื่อยครับงานนี้ แต่ก็ภูมิใจมากที่ในที่สุดเรื่องก็เรียบร้อย ท่านนายอำเภอท่านเซ็นให้”

“โชคดีครับ ที่ได้อี๊ดมาช่วย เขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเรากับหน่วยราชการ”

ตอนนี้มิลค์อยู่ชั้นประถมห้าแล้ว แต่ตัวยังเล็กผอมบาง สูงไม่เกินร้อยสามสิบเซ็นติเมตร

“หนูหนักยี่สิบห้าโลค่ะ”

“หนูไม่ชอบเวลาเพื่อนเรียกหนูว่าไอ้เตี้ย หนูแข็งแรงนะคะ หนูชอบเล่นกีฬา”

เด็กหญิงผมม้าหน้าใสคนนี้เล่าต่อด้วยว่าเมื่อวันก่อนเพิ่งลงแข่งฟุตบอลที่โรงเรียน

“หนูตัวเล็ก เขาไม่อยากให้หนูเล่นข้างหน้า แต่พอลงไปเล่นหนูยิงลูกเข้าประตูสองลูก ชนะเลย”



เสียงที่บอกเล่าแจ่มใส สมกับเจ้าตัวที่หน้าใสตาใสเป็นประกายวับ ชาวบ้านบางคนที่เห็นเคยบอกกับพ่อแม่มิลค์ว่า “เด็กคนนี้มันเด็กตากวาง เลี้ยงดีก็ดี เลี้ยงไม่ดีก็เอาไม่อยู่นา” แต่กว่าเจ็ดปีที่ผ่านมา พ่อกับแม่ภูมิใจนักหนาว่าเลี้ยงลูกสาวได้ดี

“เขาเคยป่วยมาก ผลเลือดเขาอยู่ต่ำสุดเลย เป็นงูสวัดครึ่งตัว เป็นเลือดไปหมดเลยแหละ แม่ต้องไปขอถุงมือยางมาจากหมอเพื่อมาดูแลเขา ทำแผลให้เขา สองปีมานี้เขาอาการดีขึ้นมาก ผลเลือดดี”

“ให้กินผัก ไม่ตามใจเรื่องอาหารการกินนะ ถ้าเขากินข้าวไม่ลงก็ให้กินยาทราง เขาจะได้อยากกินข้าว จำเป็นมากเลยเพราะเขาต้องแข็งแรง แม่เข้มงวดเรื่องการกินยา”

“ไม่ถนอมในการเลี้ยงดูเขาหรอก แม่อยากให้เขาแกร่ง เอาตัวรอดได้เมื่อพ่อแม่ตายไป”

“ดีใจที่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้เป็นคนเถื่อน ไม่หลักลอย มีอะไรครบเหมือนคนไทยทั่วไป ไม่ห่วงอะไรกับเขาแล้ว เพราะเขาเป็นคนฉลาด เรียนเก่ง ถ้าจะห่วงก็คงเรื่องสุขภาพเขานั่นแหละ”

“แม่บนเลย แม่บนกับกรมหลวงชุมพรขอให้เขาหาย อะไรช่วยไม่ได้ก็ขอให้อภินิหารนั่นแหละช่วย”

ไม่มีใครรู้ว่าอภินิหารมีจริงหรือไม่ แต่สำหรับพ่อแม่และมิลค์… การได้มาพบ ได้อยู่ด้วยกัน ได้รักและดูแลกันและกันนั้น เป็นโชคชะตาที่อาจจะยิ่งกว่าอภินิหารที่แม่กล่าวถึง

“ชาวบ้านเขาว่า ไม่ใช่ลูกจริง ๆ จะรักได้หรือ”

แม่มิลค์เล่าให้ฟังถึงอดีต แล้วต่อด้วยคำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นบอกทุกสิ่งทุกอย่างภายในใจ

“ก็บอกเขาว่า มันก็ไม่แน่หรอก แม่เลี้ยงของแม่มา แม่ก็รักของแม่”

ส่วนหนูน้อยเล่า ความสุขในชีวิตขณะนี้อยู่ที่

“ได้อยู่กับพ่อกับแม่ค่ะ”

ตากวางคู่ใสเป็นประกายวับมากขึ้นเมื่อพูดถึงความสุขในใจ แต่ลึก ๆ แล้วเด็กน้อยอย่างมิลค์รู้ว่า ตนเองเจ็บป่วยด้วยอะไรและเพราะอะไร เมื่อต้องพูดถึงความจริงอีกข้อในชีวิตของตนเอง หนูน้อยตากวางนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดเบา ๆ ช้า ๆ แต่ชัดเจน

“หนูเสียใจ… หนูอยากให้คนระวังตัว ให้ดูแลตัวเอง กินอาหารที่เป็นประโยชน์และออกกำลังกาย”

ขณะที่พูดออกมา ประกายตาที่ใสวับจับตาจับใจทุกคนที่พบเห็นหม่นลง ลูกตาที่เคยขาวใสกลายเป็นขุ่นจาง แต่ไม่มีริ้วรอยของหยดน้ำตา ความเข้มแข็งที่ส่งผ่านประกายตานั้น เหมือนจะบอกว่าเด็กเล็ก ๆ อย่างมิลค์ รับความจริงนี้ได้ และหวังจะดูแลตัวเองให้อยู่ได้ด้วยดี ด้วยตัวเองและด้วยความรักความใส่ใจดูแลของพ่อและแม่ โดยไม่หวังอภินิหารอื่นใด เหมือนที่หนูน้อยเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองบนกระดาษ

หนูเป็นโรคประจำตัว แต่หนูก็จะไม่ท้อ เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะคะ….
สวัสดีค่ะ



หมายเหตุ: จากหนังสือ"แก้วตาขวัญใจของใครหนอ"
รวมเรื่องสั้นจากชีวิตจริงของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์
จัดพิมพ์โดย มูลนิธิรักษ์ไทย
โทร. 02 265 68888





 

Create Date : 17 มิถุนายน 2552
8 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 8:10:55 น.
Counter : 903 Pageviews.

 

พี่พีเคยสังเกตไหม ว่าคนเราเกิดมา..จำนวนมาก ไม่ได้ชีวิตอย่างพิจารณา ทำให้เกิดทุกข์..ทุกข์แก่ตัวเองไม่พอ เกิดทุกข์แก่คนอื่นอีก.. การคิด การพูด การกระทำ ทุกอย่างมีผลต่อสิ่งอื่น..คนเป็นพ่อเป็นแม่..ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด..ถ้าความรับผิดชอบไม่สูงพอ..และไม่แน่วแน่จริง..ยากจะทำได้

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 17 มิถุนายน 2552 17:21:25 น.  

 

สายัณห์สวัสดีค่ะพี่พี
+-------------------+

สบายดีนะค๊า

เรื่องแบบนี้อ่านแล้วได้แต่ "ปลง ปลงและปลง" ค่ะ
แม้ว่าเคยทำงานในหน่วยงานที่ต้องเกี่ยวข้องมา 10 ปี
เจอเรื่องพวกนี้บ่อย ๆ ก็ยังไม่ค่อยชินชากับมัน
รู้สึกให้เศร้าใจทุกครั้งกับความทุกข์ของคนไข้กลุ่มนี้

การสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่ม "ผู้ป่วยติดเชื้อ" เป็นสิ่งที่ดีงามเช่นกันค่ะ
เพื่อว่าเราทุกคนจะรู้จัก "รัก" ให้ถูกต้องและสังคมจะได้มีความดีงามมากขึ้นค่ะ


ปล. ขยัน Up Blog บอกเรื่องเล่า (ของชาว HIV) ให้อ่านดีจังเลยค่ะ

 

โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น 17 มิถุนายน 2552 20:56:15 น.  

 

แวะมาสวัสดีครับผม...

รูปสวยมากมาย..

 

โดย: pakeeranung 18 มิถุนายน 2552 1:12:49 น.  

 

ฮี่ๆ นี่ไง เป็นเหตุผลว่าทำไมชอบคุยกะพี่พี เพราะว่าพี่พยายามมองมากกว่าที่ตาเห็นไง..คนส่วนใหญ่มองเห็นแค่เปลือก ไม่ได้มองไปถ้วนทั่วถึงข้างใน ทำให้มองไม่เห็นและตีความไปตามประสบการณ์เดิม..พระพุทธเจ้ากับอองตวนแซงเตกซูเปรีบอกเหมือนกัน
มีหลายคนที่ใกล้ชิด บอกว่าข้อยเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายเมื่อเริ่มรู้จัก..แต่เมื่อรู้จักและเข้าใจวิธีคิด..เขาก็ว่าเออ..น่าจะลองคิดแบบข้อยดูบ้าง..เพราะรู้ว่าพี่พีรับได้..คนส่วนใหญ่ที่พบเจอรับอะไรจริงๆไม่ค่อยได้ ..พอบอกไปตรงๆ มันเหมือนส่องกระจก..เค้าเห็นอะไรน่าเกลียดก็ตกใจ..โดยเฉพาะอาชีพเดิมของข้อย เป็นอาชีพที่เห็นแล้วต้องบอกต้องพูด ถ้าไม่พูดคนที่เกี่ยวข้องก็จะไม่แก้ไข แต่ถ้าพูดแบบตรงๆ ก็จะตกใจหรือโกรธ
ที่เขียนไว้คราวก่อน ไม่ได้ซ่อนอะไรไว้หรอกค่ะ ชัดเจนตรงไปตรงมาที่สุด..เรื่องความรับผิดชอบและหน้าที่..ถ้าเรามีความรับผิดชอบ..ปัญหาแบบนี้ หรือที่หนักกว่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น..เริ่มจากหน่วยเล็กๆคือครอบครัว..ข้อยเชื่อว่า คนเล็กๆ ธรรมดาๆ คนหนึ่ง เปลี่ยนโลกทั้งหมดไม่ได้ แต่หลายๆคนเล็กๆ ธรรมดาช่วยกันเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีได้..
ขอให้หายป่วยไวๆนะคะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ช่วงนี้

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 18 มิถุนายน 2552 9:22:58 น.  

 

เป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจมากๆ จริงๆ ค่ะ

อ่านแล้วอึ้งเลย

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 18 มิถุนายน 2552 12:55:44 น.  

 

สดชื่นแล้วยังคะ มีเรื่องเล่าใหม่..ที่ซ่อนรหัสไว้แล้วคราวนี้..พี่พีอ่านแล้วคงมองเห็นต่างจากใครๆแน่นอน..อย่าลืมนา..ขอคอมเมนต์แบบกระดาษเอสี่ ขอบคุณคร๊าบบบบ

 

โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) 18 มิถุนายน 2552 18:47:50 น.  

 


สวัสดีครับ

วันนี้จะมาชวนไปชมต้นไม้ใบหญ้าบ้าง

เสนอตอนที่ให้ชื่อว่า ...."ต้นไม้ใกล้มือ"

จะใกล้มือใคร ใกล้มือแล้วจะเป็นอย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการปฏิวัติ

ลองเข้าไปหาคำตอบที่บ้านนะครับ....



 

โดย: ลุงแว่น 19 มิถุนายน 2552 5:51:16 น.  

 

สายัณห์สวัสดีค่ะพี่พี
+----------------------------+


------

หนังสือเล่มนี้ อ่านจบทุกตอน (8 ตอน) เรียบร้อยค่ะ
ขอขอบคุณอีกครั้ง ที่ส่งไปให้น้องสาวฯ จนถึงซุ้ม "สวัสดีกาแฟสด"

 

โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น 21 มิถุนายน 2552 22:10:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kangsadal
Location :
เวียงจัน Laos

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]






พระจันทร์เต็มดวงคนมองเห็นได้บางวัน
เช่นกันกับวันที่เห็นพระจันทร์เสี้ยว
แต่ทุกวัน....
พระจันทร์เต็มดวง
online
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
17 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kangsadal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.