สิงหาคม 2553

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
14 สิงหาคม 2553
All Blog
บันทึกของแม่ : ญี่ปุ่น วันที่ 6 Nagasaki
วันที่ 6 มิถุนายน 2553 วันนี้จะ Check out แล้วไป Nagasaki ตื่นตามนาฬิกาปลุกที่น้องจั่นตั้งไว้ รีบไปล้างหน้าแต่งตัว วันนี้ไม่อาบน้ำเพราะเดี๋ยวผ้าเปียกเก็บลำบาก ที่นี่ห้องส้วมก็เทคโนโลยีมาก มีหลายปุ่มให้กด ก็พอจะเข้าใจจากรูปภาพที่มีไว้ให้ดู แต่กดปุ่มล้างแล้วทำไมมันล้างนานจัง แจงอยู่ข้างนอกคงจะได้ยินถามมาว่าแม่กดปุ่มปิดหรือยัง ที่มีรูปสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง จึงถึงบางอ้อ ก็นึกว่ามันจะปิดอัตโนมัติ ก็เล่ากันฟังสนุก ๆ นะ
เมื่อทุกคนเสร็จแล้วก็ออกจากที่พักลากกระเป๋ามาที่สถานีรถไฟ เพื่อจะไปเมืองNagasaki โดยซื้อตั๋วรถไฟ JR รถจะออกเวลา 10.01 น. แต่เรามาถึง 09.30 น. ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง แม่จึงถือโอกาสนี้บันทึกไว้ก่อนที่จะลืม
รถไฟชินคันเซ็นออกจากสถานี ฟุคุโอกะ เวลา 10.01 น ถึง นางาซากิ ประมาณ เที่ยงครึ่ง หิ้วกระเป๋าขึ้นบันไดสะพานลอยเพื่อข้ามถนนไปขึ้นรถราง (ที่จริงถ้าขึ้นไปบนชั้นสองของสถานีรถไฟก็สามารถลากกระเป๋ามาบนสะพานได้เลย แต่เราไม่รู้ เลยหนักหน่อย ของแม่เบาหน่อย แต่ของแจงจั่นต้องหามกันทีละใบเลยหละ (ซ้อมไว้แม่จะส่งไปแข่งขันยกน้ำหนักจ้า) เราจะไปที่พัก Hostel Akari ที่จองไว้ ลงจากรถรางลากกระเป๋าข้ามถนนไป ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณ 500 เมตร แล้วเดินข้ามสะพานไปอีกฟากถนน ใต้สะพานเป็นลำคลองเล็ก ๆ มีน้ำนิดหน่อย มีปลาตัวใหญ่ว่ายน้ำอยู่ 2 – 3 ตัว เมื่อข้ามสะพานไปแล้วต้องข้ามถนนเล็ก ๆ อีกทีแล้วเลี้ยวซ้ายไปที่พัก แต่ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน (เช็คอินได้ บ่าย 3 โมง ) จึงฝากกระเป๋าไว้ แล้วออกไปเที่ยวต่อ



ไปเที่ยวที่ Peace Park (สวนสันติภาพ) ซึ่งเป็นจุดที่ระเบิดปรมณูลงทำลายล้าง ซึ่งอยู่บนเนินสูงหน่อย

บนป้ายเขียนไว้ว่า สวนสันติภาพ



เดินผ่านร้านสะดวกซื้อ จึงซื้ออาหารไปกินกัน ทางขึ้นเป็นบันไดก็หลายขั้นอยู่นะ เขาแบ่งเป็นสองจังหวะ แหงนมองบันไดขั้นสุดท้ายก็คอตั้งบ่าเลยนะนี่ ก็ให้ท้อใจอยู่ แต่ไหน ๆก็มาแล้วต้องขึ้นไปดูให้ได้ เดินขึ้นไปก็ถ่ายรูปกันไป (ปิดบังอาการเหนื่อย) พอถึงก็มีที่ให้นั่งพัก เราก็เลยนั่งกินอาหารเช้ากันที่นี่ ของแม่เป็นใส้กรอกอันใหญ่กับขนมเค๊กแข็ง ๆ 1 ชิ้น ใส้กรอกอร่อยดีเสียดายที่ซื้อมาอันเดียว เมื่อเติมพลังกันเสร็จแล้วก็เดินชมบริเวณทางไปอนุสรณ์

จุดที่ลูกระเบิดลงเขาอยู่ใกล้กับที่นี่ เขาปั้นเป็นรูปคนผู้ชายนั่งอยู่บนแท่นซีเมนต์ แขนซ้ายกางออกแขนขวาชี้ขึ้นไปบนฟ้า เป็นสัญลักษณ์แทนการพูดว่าลูกระเบิดลงมาแล้วมันก็ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนี้





ด้านหน้ารูปปั้นเป็นบริเวณลานโล่ง ถัดมาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะเห็นเป็นซากซิเมนต์ดำ ๆ เพราะถูกเผาไหม้โผล่อยู่เป็นแนวยาว ๆนั้น เป็นคุกที่ขังนักโทษ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลง ประมาณ 300 เมตร ทุกคนตายเรียบ รวมทั้งชาวเมืองนางาซากิด้วย ซึ่งสภาพความรุนแรงและความเสียหาย
ได้จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์สันติภาพ ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่ก็เดินไปถึง
. วันนี้อากาศร้อนมาก ดีว่าติดร่มมาด้วย 3 คัน ก็พอกันร้อนได้บ้าง แต่ที่นี่ก็แปลกดีนะ แดดร้อนเปรี้ยง ๆ แต่ลมที่พัดโชยมาเย็นสบาย ๆ เดินชมบริเวณหน้ารูปปั้นอยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเสียงเชียร์กีฬาอยู่ใกล้ ๆ เห็นคนเดินเข้าไปดูหลายคน เดาว่าน่าจะเป็นกีฬาสีแบบบ้านเรานะ ก็ให้นึกหดหู่ใจ ถ้าลูกระเบิดลงมาตอนนี้คงจะไม่มีเสียงเชียร์ให้ได้ยิน และสภาพจะเป็นอย่างไรไม่อยากจะนึกถึงเลย
จากนั้นก็เดินลงมาจากเนินเขา เดินเลียบริมคลองมาอีกด้านหนึ่ง เพื่อไปดูพิพิธภัณฑ์สันติภาพ ระหว่างทางจะเห็นนกเป็ดน้ำหัวสีเขียวกำลังหาปลากินอยู่เป็นคู่ ๆ แม่นึกว่าเป็นเป็ดธรรมดา แต่น้องจั่นบอกว่าถ้ามีหัวสีเขียว มันเป็นนกเป็ดน้ำที่ชื่อว่าแมนดาริน ดั๊ก เป็นนกเป็ดน้ำที่แข็งแรงมาก บินได้ไกลมากทีเดียว แล้วชื่อแมนดารินดั๊กก็เป็นชื่อยี่ห้อกระเป๋าถือที่น้องจั่นเอามาเที่ยวด้วย

เมื่อเดินไปถึงพิพิธภัณฑ์ ต้องขึ้นลิฟอีกทีเพราะอยู่บนเนินเขา ที่จริงก็มีบันไดให้ขึ้นแต่ต้องออมแรงไว้ ต้องซื้อตั๋วเข้าไปดู ข้างในอาคารจัดแสดงรูปภาพเหตุการณ์ของเมืองนางาซากิ ทั้งก่อนและหลังถูกระเบิด รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ที่เหลือซากไว้ให้เห็น มีรูปอาคารบ้านเรือนพังทลายราบเป็นหน้ากลอง





ผู้คนนอนตายเกลื่อนกลาดไหม้ดำเป็นตอตะโก สภาพแม่และลูก ๆ นอนตายอยู่ด้วยกัน รูปพี่ชายแบกน้องชายไว้ในเป้หลังโดยไม่รู้ว่าน้องชายตายแล้ว



ดูแล้วเศร้า รวมทั้งสภาพของซากสิ่งของเครื่องใช้ที่เสียหายด้วยแรงระเบิด แม้จะอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลงตั้งหลายกิโลเมตรก็ตาม มีสภาพหลอมละลาย บิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรง เช่น ขวดน้ำอัดลมที่เป็นขวดแก้ว หม้อ กะทะ เข็มขัด



สภาพของทุกๆอย่างที่แสดงไว้ให้ชมเพื่อให้เห็นถึงอานุภาพอันร้ายแรงของระเบิดปรมณู ที่มีอานุภาพทำลายล้างถึง 3 ขั้นตอน คือ 1 แรงกระแทก 2 ความร้อน 3 กัมมันตภาพรังสี แล้วถามว่า.....จะเหลืออะไร....แล้วจะรบกันไปทำไม.........อยู่อย่างสันติไม่ดีกว่าหรือ......



ที่หน้าพิพิธภัณฑ์มีนกกะเรียนที่พับด้วยกระดาษแขวนไว้มากมายที่แสดงให้เห็นถึงความรักความอาลัยที่มีให้แก่ผู้สูญเสีย เราก็เป็นคนต่างชาติกลุ่มหนึ่งที่มีความรู้สึกร่วมกับเขาเหล่านั้น และคิดว่าคนอื่น ๆ ในโลกนี้ก็คงรู้สึกเช่นนั้น เหมือนกัน

รวมทั้งมีนกกระเรียนที่เป็นเซรามิคมาจัดแสดงด้วย



แบบที่ทำจากโลหะก็มี



เราออกจากพิพิธภัณฑ์มาด้วยความหดหู่ใจ ถึงไม่มีใครพูดออกมา แต่ก็สามารถสัมผัสได้ด้วยจิตสำนึกที่มี ระหว่างทางที่เดินกลับ บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ มีนักเรียนมาร้องเพลงประสานเสียงด้วย เดาเอาว่าน่าจะเป็นเพลงที่ให้รำลึกถึงความสูญเสียในครั้งนั้น และให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ



จากพิพิธภัณฑ์เรานั่งรถรางไปเที่ยวที่สวน Glover Garden ซึ่งมีบ้านสไตส์ยุโรปอยู่บนเขาหลายหลัง เป็นบ้านของคุณ Glover ซึ่งมาทำการค้ากับญี่ปุ่นในสมัยก่อน

ระหว่างทางจากสถานีรถรางไปยังสวน Glover Garden ก็เป็นเนินสูงขึ้นไป ทางเดียวกับที่ไปโบสถ์เก่าแก่ของที่นี่ที่ชื่อ Oura
มีร้านรวงต่างๆมากมาย





มีร้านน่ารักๆ แบบร้านนี้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์หนังสือภาพ (แต่เราก็ไม่ได้เข้าไปหรอกนะ)



พอขึ้นไปถึงสวน ก็ยังต้องขึ้นไป..ขึ้นไปอีก
ทางขึ้นมีทั้งเดินเท้าและบันไดเลื่อน



คุณ Glover



ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่บนเขาเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น จัดแต่งไว้ในสไตล์ยุโรป





ก็เข้าไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เมื่อเดินออกมาดูที่ระเบียง มองลงไปข้างล่างสวยงามมาก ด้านหน้าเป็นสวนดอกไม้ และสระเลี้ยงปลา

เด็กญี่ปุ่นลงไปจะเล่นกับปลา ตัวใหญ่ทีเดียว



พอมองทอดยาวออกไปก็เป็นวิวของทะเลและท่าเทียบเรือที่สวยงาม มีสะพานข้ามช่องแคบจากฝั่งนี้ ไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่มีเสาสะพานฝั่งละ 1 คู่เท่านั้น ช่วงกลางทะเลจะไม่มีเสาสะพานเลย ที่นี่เป็นเมืองท่า จึงมีเรือใหญ่ ๆ จอดลอยลำอยู่มากมาย





จากบ้านหลังใหญ่ก็เดินลัดเลาะลงเขามาดูบ้านหลังอื่น ๆ บ้าง ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว ระหว่างทางก็มีไม้ดอกให้ดูตลอด



แล้วก็มีเรือนพักเป็นสิบหลังให้เข้าไปดู



ข้างในเขาก็ตกแต่งเหมือนสมัยที่ยังมีคนพักอยู่เมื่อก่อน





ต้นไม้ประดับบางต้นอายุเป็นร้อยปีชาวญี่ปุ่นเขาอนุรักษ์ต้นไม้ไว้ดีมาก ๆ ทุก ๆ เส้นทางดูร่มรื่นไปหมด แต่ตอนนี้แม่รู้สึกเหนื่อยและหิวแล้วนะ เพราะอาหารเช้าที่กินมาก็ยังไม่เต็มอิ่มดี ก็บอกน้องจั่นว่าเราไปหาอะไรกินก่อนเถอะ แต่ระหว่างทางที่เดินลงมาไม่มีร้านอาหารเลย มีแต่ร้านขายของที่ระลึก เดินกันมาไกลแล้วก็ยังไม่มี แม่รู้สึกหิวเหมือนกับจะเป็นลม ก็พอดีมีร้านขายซาละเปาเอาซาละเปามาให้ชิม แม่ก็ชิมไป แต่สมองมันไม่สั่งการ ที่จริงซื้อซาละเปากินรองท้องไปก่อนก็ได้......เสียค่า....อีกแล้ว ได้ซาละเปาไป 1 ชิ้นก็รู้สึกค่อยยังชั่ว เดินไปขึ้นรถกลับ เป้าหมายจะไปทานที่ร้านใกล้ ๆ กับที่พัก แต่เมื่อไปถึง
ดูตัวอย่างอาหารที่หน้าร้านแล้วไม่ค่อยถูกใจ (อันที่จริงเพราะราคาแพงเกินไปมากกว่า) จึงเปลี่ยนใจไปกินที่อื่น กินข้าวเสร็จก็กลับโรงแรมไปนั่นพัก นอนพักกันสักครู่ แล้วไปขึ้นรถรางไปเที่ยวต่อ เป้าหมายคือขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวที่ภูเขา Inasa เมื่อลงจากรถรางต้องเดินเท้าต่อไปอีก 1.2 กม. เดินหลงทางไปประมาณ 100 เมตร เกิดความไม่แน่ใจ น้องจั่นจึงถามสาวญี่ปุ่น เลยต้องเดินย้อนกลับมาข้ามถนนไปเข้าซอยอีกฟากหนึ่ง ฝนก็ตกปรอย ๆ โดยสาวญี่ปุ่นเดินมาส่งตรงจุดที่ข้ามถนน (เพราะบอกกันไม่ถูก) จากนั้นก็เดินเข้าซอยเล็ก ๆ ไปอีกไกล ซอยก็มืด ๆด้วย เดินไปบ่นไป ผิดทางหรือเปล่านะนี่ น้องจั่นกับแจงเดินนำกันไปก่อน แม่กับป๋าตามหลัง ก็ปรากฎว่ามาถูกทางแล้วและได้ทันกระเช้าไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายพอดี ก็มีเพียงเรา 4 คนเท่านั้น



ระหว่างทางที่กระเช้าลอยไป มองลงไปข้างล่างเห็นแสงไฟหลากสีระยิบระยับเต็มไปทั้งเมืองดูสวยงามมาก พอถึงสถานีจอดกระเช้าบนเขาก็รีบลงเดินไปที่จุดชมวิวซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร ที่นั่นมีคนยืนชมวิวกันอยู่หลายคน แจงจั่นรีบถ่ายรูปกันใหญ่





ใช้เวลาอยู่ที่จุดชมวิวได้ประมาณ 15 นาที เขาก็ประกาศว่าจะถึงเวลาปิดแล้วให้รีบไปขึ้นกระเช้า เราก็รีบตาลีตาเหลือกลงมา แต่ก็แปลกที่มีคนขึ้นไปสวนทางกับเรา เดาว่าเขาคงจะนั่งรถลงไป เพราะมีรถขึ้นไปได้ และมีรถแท็กซี่ด้วย ลงจากกระเช้ารีบเดินไปขึ้นรถรางกลับที่พัก ถึงประมาณ 5 ทุ่ม



Create Date : 14 สิงหาคม 2553
Last Update : 29 กันยายน 2553 20:27:33 น.
Counter : 1394 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

blueschizont
Location :
ประจวบคีรีขันธ์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



รักญี่ปุ่น