Group Blog
All Blog
|
บันทึกของแม่ : ไปเที่ยวญี่ปุ่น วันที่ 12 วันที่ 12 มิถุนายน 2553 วันนี้เราจะไปขึ้น Rope Way ไปชมวิวบนภูเขา และนั่งเรือล่องทะเลสาบ ป๋าตื่นก่อน 6 โมง เข้าอาบน้ำก่อนใคร แต่ยังไม่แต่งตัว รีบเก็บที่นอนแล้วเอาโจ๊กไปต้ม ป๋าขึ้นมาแม่ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว (กลัวเขาทิ้ง) รีบกินโจ๊กก่อนใคร ป๋าที่ 2 จั่นตื่นเป็นคนที่ 3 รีบอาบน้ำ แล้วโผล่หน้ามาขอแปรงสีฟัน มั่วประจำ....แจงตื่นเป็นคนที่ 4 เวลา 07.10 น. โรงแรมมีรถรับ- ส่ง สถานีรถบัส เราออกจากโรงแรมเวลา 08.45 น. รถนั่งได้ 7 คน แต่วันนี้มีเพียง 6 คน มีฝรั่งมา 2 คน ถึงสถานี 08.50 น. ต่อรถบัสไปนั่ง Rope Way เวลา 09.00 น. (ไม่แน่ใจ) ใช้เวลาที่ Rope Way ประมาณ 15 นาที ขึ้นไปไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ดูสลิงที่เขาโชว์ไว้ให้ดูแล้วก็มั่นใจเพราะแต่ละเส้นก็ใหญ่ แต่ถ้าตกลงไปก็คงจะไม่เหลือ ขึ้นไปเที่ยวนี้ตีตั๋วยืน เราไปถึงเขากำลังจะออกพอดี พอเข้าปุ๊บเขาก็ปิดปั๊บ เริ่มเคลื่อนที่ออก มองลงมาทิวทัศน์ทะเลสาบสวยงามมาก พอขึ้นถึงจุดชมวิวก็รีบถ่ายรูปกันทันที แดดร้อนแต่อากาศเย็น ขึ้นไปสิ่งที่ขาดไม่ได้คือห้องน้ำ ที่สำคัญที่หน้าห้องน้ำมีตู้ไอติมตั้งล่อป๋าไว้ด้วย เห็นแจงจั่นออกมาป๋าก็รีบกดทันที แล้วเอามาหาเพื่อนกินด้วย ที่จุดชมวิวเขามีบริการถ่ายรูปให้ด้วย แต่ไม่ใช่ฟรีนะอย่าเพิ่งดีใจ เขาเก็บตังด้วย และมีการถ่ายรูปแล้วนำมาทำพวงกุญแจ แจงจั่นจะให้แม่ทำแต่แม่ไม่ทำหรอก เพราะไม่ค่อยได้ใช้ ถ่ายรูปชมวิวกันเสร็จก็รีบเดินลงมาขึ้น Rope Way กลับ ก็เป็นกลุ่มสุดท้ายอีกตามเคย จุดหมายต่อไปคือการไปล่องเรือชมทะเลสาบ ท่าเรืออยู่ใกล้ ๆ กัน แต่เราหากันไม่เจอ น้องจั่นบอกให้เดินตาม ๆ เขาไปก่อน แจงบอกว่าถ้าเขาเดินไปขึ้นรถล่ะจะว่าไง แม่ก็ว่าไม่ว่าไงหรอก เราก็เดินกลับก็เท่านั้นเอง แต่ก็โชคดีที่ไม่ต้องเดินกลับ เพราะเขาก็ไปล่องเรือด้วย เรือล่องไปรอบ ๆ ทะเลสาบคาวาคุจิโกะ ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก สวยกว่าที่เกาหลีนะ บอกไว้ก่อนเดี๋ยวถูกแจงแซวอีก มีคนนั่งเรือมาตกปลากันเยอะมาก น้องจั่นบอกว่าเขานิยมมาตกปลากันที่นี่ มองไปรอบ ๆ ทะเลสาบไกล ๆ ออกไปหน่อยจะเห็นภูเขาสูงลดหลั่นกันออกไป ดูแล้วสวยมาก วันนี้อากาศแจ่มใส แดดร้อน แต่มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิเพราะมีกลุ่มเมฆมาบัง จะเห็นแต่ช่วงล่างเท่านั้น ไม่เห็นยอดภูเขา ล่องเรืออยู่ประมาณ 15 นาทีกลับ ขึ้นจากเรือเจ้าหน้าที่บอกว่าข้างหน้าถนนมีร้านขายของที่ระลึก เราจึงเดินข้ามไป ปรากฏว่าแจงได้ซื้อของมาด้วยไม่รู้เป็นอะไรไม่ได้ให้แม่ดู เกือบจะถึงเวลาที่รถจะมาแล้ว เรารีบเดินกลับไปที่ป้ายรถ แม่กับจั่นยืนรอที่ป้าย แดดร้อนจัดต้องกางร่มแต่ถ้าไม่ยืนกลัวรถจะไม่จอด ส่วนแจงกับป๋าไปยืนหลบแดดที่ใต้ต้นไม้ พอสักครู่มีคนมารออีก 2 คน น้องจั่นรีบหลบไปยืนที่ป๋า เรียกให้แม่ตามไป หลบมา ๆ แม่ยังไม่เข้าใจ เอ๊ะจะหลบไปทำไม พอมาถึงน้องจั่นบอกว่ามีคนมายืนคอยแทนเราแล้ว เดี๋ยวรถมาเราค่อยออกไป ......กินนมเยอะก็ฉลาดแบบนี้เอง ให้คนอื่นยืนตากแดดคอยแทน รถใกล้จะมาแล้วเราก็เดินมาที่ป้าย ป๋าไม่รู้สนใจอะไรเดินข้ามถนนไปอีก น้องจั่นรีบเรียกให้กลับมา เพราะถ้ารถมาเขาจะไม่คอย หรือถ้าคอยก็เกรงใจคนอื่นเขา อีกอย่างการที่จะข้ามถนนใช่ว่านึกจะข้ามก็ข้ามได้เลย มันมีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลา เยอะด้วย ต้องรอรถว่างจึงจะข้ามได้ นี่ถ้าเป็นเด็ก ๆ แล้วอยู่ที่บ้านเป็นโดนไม้เรียวแน่ (เหมือนมดหัวด้วนเลย อยู่ไม่นิ่งเลยสนใจไปหมด ) รถมาช้าไปประมาณ 5 นาที เที่ยวนี้เราจะไปเที่ยวที่ Music box forest เมื่อไปถึงก็มีเวลาที่จะเข้าไปดูได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น เพราะจะต้องมาขึ้นรถกลับตามเวลา แม่จึงให้แจงจั่นเข้าไปดู ส่วนแม่กับป๋ารออยู่ข้างนอก เขามีม้านั่งตัวยาว ๆวางไว้ริมขอบถนนด้านข้าง 4 ตัวให้นั่งพักผ่อนได้ ระหว่างที่นั่งรอเห็นมีผู้หญิง 2 คน อุ้มลูกเล็ก ๆ ใส่กระเป๋าอุ้มไว้ที่หน้าอก เหมือนแม่จิงโจ้ เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ที่ประตูทางเข้า คุยกันอยู่สักพักก็เดินกลับมาด้วยอาการที่บ่งบอกว่าผิดหวัง แม่เดาเอาว่าเขาคงจะไม่ให้เอาเด็กเล็ก ๆ เข้าไปนะ ผิดถูกไม่ยืนยัน Ukai music box forest ด้านในมีกล่องดนตรีหลายชิ้น ทั้งใหญ่ๆแบบนี้ และเล็กๆก็มี บ้านและโบสถ์เล็กๆ มีคนมาจัดงานแต่งงานด้วย ล้อมไปด้วยเถากุหลาบและไม้ดอกต่างๆ พิณปลอมๆ แต่ก็สวยดี ระหว่างรอแม่กับป๋าก็ผลัดเปลี่ยนกันไปเดินดูรอบ ๆ บริเวณ และเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก แม่สังเกตเห็นที่ข้าง ๆ เขามีสวนดอกกุหลาบด้วย กำลังออกดอกสวยเชียว แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะเขามีประตูกั้นไว้ แต่ก็เห็นคนอื่นเข้าไปนะ แจงจั่นเข้าไปดูครู่เดียวก็รีบออกมาพากันไปขึ้นรถ ไม่ใช่รถคันเดิมนะ แต่ก็ใช้ตั๋วเดิมได้ เขาวิ่งคนละเส้นทางกัน คันนี้เขาจะวิ่งทางสะพานข้ามทะเลสาบ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงสถานีรถบัส น้อยกว่าเส้นทางเดิมมาก ยังมีเวลาเหลืออีก 20 นาที เราจึงกินข้าวเที่ยงที่สถานีรถบัสเลย อาหารก็พอกินได้ เริ่มคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่น ร้านนี้ต้องบริการตัวเอง กินข้าวเสร็จก็รีบเข้าห้องน้ำเตรียมความพร้อมในการนั่งรถกลับ ห้องน้ำที่นี่ก็ไฮเทคตามเคย แม่เข้าไปรีบหาปุ่มกดก่อน แต่หาไม่เจอ จึงเรียกแจงที่ยืนล้างมืออยู่หน้าห้องน้ำมาดูให้ ปรากฏว่ามันอยู่ข้างฝาผนัง ข้างหลังที่เขียนลูกศรชี้ไว้ไม่มี เฮ้อ...เหนื่อยใจกับความไฮเทคของเขานะ รถบัสออกเวลา 12.40 น. ถึงสถานีฟูจิโนมิยา บ่าย 2 โมง ต่อรถไฟไปที่ ไหนสักแห่ง เพื่อไปต่อรถไฟชินคันเซ็นไปเกียวโต รถไฟชินคันเซ็นออกเวลา 15.12 น. เราเก่งเสมอก็มาทันอีกตามเคย รถเข้าสถานีมาก่อนเวลา ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเป็นขบวนที่เราจะไปหรือไม่ มายืนรีรออยู่พอดีเห็นเจ้าหน้าที่รถไฟโผล่หน้ามา น้องจั่นจึงส่งตั๋วให้ดูว่าใช่หรือไม่ เขาบอกว่าใช่ แต่รู้สึกไม่ค่อยจะแน่ใจ จึงขอดูอีกที แล้วพยักหน้าใช่ เราก็รีบขึ้นรถเลย ได้ที่นั่ง 3 A B C D คันที่ 11 ได้ที่นั่งเรียบร้อย แจงเลือกริมหน้าต่าง บอกว่าจะนอน แม่ก็นั่งเขียนบันทึกนี่แหละ ถึงสถานีเกียวโต น้องจั่นรีบพาเดินไปที่ร้านขายเครื่องสำอางค์ SK-11 ถาม ราคาดูปรากฎว่าแพงกว่าเมืองไทย จึงไม่ซื้อ แล้วรีบเดินไปหาซื้อช๊อคโกแลตให้อานิพนธ์ เดินหาจนทั่วก็ไม่มี วันนี้ต้องรีบหน่อยเพราะเซ็นเซนัดไปทานข้าว แต่ยังไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหร่ เพราะเมื่อคืนน้องจั่นเปิดเมล์ที่โรงแรมไม่ได้ ตอนนี้ก็จะ 6 โมงแล้วเดินวนไปเวียนมาหาจนทั่วก็ไม่มี จึงรีบออกมาขึ้นรถไปย่านที่ขายรองเท้าผ้าใบ เพราะแจงจะไปซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ที่มาติดใจเมื่อวันก่อน พอลงจากรถก็รีบเดินไปที่ร้านนั้นทันที ก็ได้ซื้อสมใจ ป๋าบอกให้จั่นซื้อให้แม่ด้วย แต่หาไม่ได้ถูกใจแม่ จากนั้นก็กลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปที่โรงแรม พาเลซไซด์ โฮเต็ล ขึ้นจากรถไฟ ก็เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงโรงแรม เวลา 06.40 น. พอถึงโรงแรมน้องจั่นเข้าเช็คอิน ก็เห็นมาคิโนะซังยืนรออยู่ที่ข้างเคาน์เตอร์แล้ว บอกว่าเซ็นเซนัดที่ร้านไว้ 1 ทุ่ม ให้รีบขึ้นไปเก็บของแล้วลงมาเลย มีเวลาอีก 10 นาที เราก็รีบขึ้นห้องไปล้างหน้าล้างตาแล้วรีบลงมาที่ล๊อบบี้ (ป๋าแม่อยู่ชั้น 4 แจงจั่น อยู่ชั้น 5 แต่กระเป๋าทั้งหมดอยู่ชั้น 5 ) ไม่เห็นมาคิโนะซัง เราก็นั่งรออยู่ พอ 1 ทุ่มเซ็นเซก็ขับรถมารับเราไปที่ร้าน พอไปถึงก็เห็นมาคิโนะซังยืนรออยู่หน้าร้าน เข้าไปในร้านก็เห็นจุงโกะซังและน้องคินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ก็ทักทายกันตามธรรมเนียม โต๊ะอาหารแบบนั่งพื้นแบบญี่ปุ่น แต่ด้านล่างเจาะไว้เป็นที่ห้อยขาได้ ตอนนี้ญี่ปุ่นเขาพัฒนาไว้สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วนะ ไม่งั้นแย่เลยถ้ายังเป็นแบบเดิม นั่งแล้วคงจะลุกไม่ไหวแน่นอน โดยเฉพาะแม่เจ็บหัวแม่เท้าอยู่ด้วย มันกำลังเจ็บระบบอยู่พอดี เซ็นเซแนะนำให้น้องจั่นรู้จักกับน้องคิน (ชื่อภาษาญี่ปุ่น เพื่อนของพ่อน้องคินซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นตั้งให้) น้องคินอายุ 20 ปี เป็นผู้ชายแต่ใจเป็นหญิง เรียนคณะวารสารศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น (ไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือไม่นะ) พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งมาก เป็นคนหน้าตาสวยผิวพรรณดี ขาว ดูแล้วผิวสวยกว่าผู้หญิงอีก พ่อแม่เปิดร้านจิวเวลลี่ขายเพชรพลอยอยู่ที่ห้างสยาม เวลาพูดกับแม่เขาจะแทนตัวว่าหนู ระหว่างทานอาหารจุงโกะซังบอกว่าผ้าพันคอที่ให้นั้นถูกใจเพราะเป็นคนชอบสีเขียวอยู่แล้ว คุยกันไปคุยกันมากลุ่มเซ็นเซ จุงโกะซังและมาคิโนะซัง เริ่มแหย่น้องคินน้องคินก็งอนทำเป็นล้มนอนลงไปเลย แล้วก็คุยถึงเรื่องการเมือง เสื้อแดงเสื้อเหลือง กินข้าวเสร็จแล้วเซ็นเซก็ขับรถมาส่งที่โรงแรม แล้วนัดจะมารับป๋ากับแจงไปส่ง ที่สถานีรถไฟวันพรุ่งนี้เช้า พวกเราไม่อยากรบกวน แต่เซ็นเซบอกว่าเขาตื่นเช้าอยู่แล้วเราไม่รู้จะพูดอย่างไร เกรงใจเขามากเลย โดยเฉพาะเซ็นเซไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย แต่พูดไม่เป็น ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปห้อง แม่ถามแจงจั่นว่าพรุ่งนี้แม่ต้องไปไม แจงบอกว่าไม่ต้อง ให้นอนพักผ่อนเอาแรงไว้ช๊อปปิ้งดีกว่า พอถึงห้องป๋าเอาเงินเยนมาให้อีก 7 หมื่น ไว้ให้ช๊อปปิ้งกัน มีของเดิมอยู่แล้ว 5 หมื่น รวมเป็น 120.000 เยน แม่อาบน้ำแล้วนอนหลับที่ห้องแจง แจงเลยต้องไปนอนห้องป๋า ดีจังครับ พาแม่เที่ยว
โดย: คนขับช้า วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:15:07:18 น.
พี่ดู dancer in the dark ยังคะ เรื่องนั้นน่ะ หนักกว่า Lily Chou-chou เยอะเลยค่ะพี่ แต่เจ๋งมาก ทำให้ Lars VonTrier กลายเป็นผู้กำกับในดวงใจไปเลยค่ะ รวมไปถึงเรื่องต่อมาคือ Dogville ด้วย
ยังเลยครับ ตอนนี้อยากดู Never Let Me Go และ After Life ครับ โดย: คนขับช้า วันที่: 10 สิงหาคม 2554 เวลา:23:00:10 น.
|
blueschizont
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] รักญี่ปุ่น Friends Blog
|