Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 
เที่ยวป่าวงกต วัดป่าธรรมอุทยาน วัดหลวงพ่อกล้วย




วัดป่าธรรมอุทยาน
หมู่บ้านสำราญและบ้านเพี้ยฟาน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เส้นถนนมิตรภาพ
เลยมหาลัยขอนแก่นไปไม่ไกลนัก อยู่ฝั่งขวามือทางไปจังหวัดอุดรธานี





ส่วนใหญ่คนจะเรียกกันว่า วัดหลวงพ่อกล้วย อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองขอนแก่นเท่าไหร่นัก คนขอนแก่นยังไม่ค่อยรู้จักแต่คนรู้จักดีกับเป็นคนต่างถิ่นแดนไกล โดยเฉพาะดาราที่มีชื่อเสียงจะนิยมมาปฏิบัติธรรมและทำบุญที่นี่ จะชอบเรียกว่าวัดป่าที่ขอนแก่น เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีชื่อยังเป็นป่าช้าอยู่

หลวงพ่อกล้วยท่านมาธุดงธ์ที่นี่ เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนมากมาย คนเลื่อมใสศัทธาเยอะ จนต้องปรับปรุงป่าช้าสร้างประติมากรรมทางพุทธศาสนาองค์พระใหญ่ๆมากมาย ต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นร่มเย็น จากป่าช้าน่ากลัวโทรมๆ ที่ไม่มีใครกล้าไปจนกลายเป็นเป็แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมและปฎิบัติธรรมเมื่อไม่กี่สิบปีนี่เอง และเป็นที่นิยมมาในเวลาอันรวดเร็ว

ดาราและผู้มีชื่อเสียงแวะเวียนเช่น ตุ๊ก-ดวงตาตุงคะมณี , คุณท็อป ดารณีนุช, จินตรา สุขพัฒน์ ,ดร.จากนาซ่าอย่าง ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ คุณติณห์ ศรีตรัย

ทางวัดเน้นการปฏิบัติธรรมแนวการเจริญสติ-ดูจิต โดยมีพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร หรือหลวงพ่อกล้วย เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นพระวิปัสสนาจารย์ วัดป่าธรรมอุทยานเป็นสถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีพื้นที่กว่า 70 ไร่ บรรยากาศในวัดร่มรื่นด้วยต้นไม้เหมือนป่า และป่าไผ่ มีสระน้ำใหญ่ ร่มเย็น สงบเงียบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนา นั่งอ่านหนังสือ พักผ่อนหย่อนใจคลายเครียด และมีที่พักสำหรับผู้มาถือศีลหรือจะกางเต้นท์





มาจากทางกรุงเทพสังเกตพอเห็นป้ายนี้ใหญ่เบอเริ่มกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาเห็นชัดเด่นกว่าใคร และป้ายแสดงหมู่บ้านสำราญเตรียมกลับรถโลด
พอกลับรถก็จะเห็นป้ายโรงเรียนไทยรัฐวิทยาเลี้ยวไปด้านหลังโรงเรียนก็ใช่เข้าวัดเลยจ้า





ทีแรก งง เดินเข้าไปดูทางไหน ต้นไม้เยอะไปหมด
ไหนหละรูปปติมากรรมใหญ่มหึมาคิดว่าจะมองรวดเดียวแบบพาโนราม่าเห็นเกือบหมดเหมือนบางวัดที่เคยไป

พอเดินเข้าป่านี้กลายเป็นโรงขายอาหาร ร่มรื่นน่านั่งใต้ร่มต้นไม้
ภายในวัดร้านจันเกลอชาอร่อย






เดาเอาว่าทางเข้าทางนี้ ใช่จริงๆด้วย






พระพุทธเจ้าน้อยชี้ทาง
พระพุทธรูปปางประสูติ






เพียงแค่เดินเข้ามาก็รู้สึกถึงความร่มรื่นร่มเย็น เย็นฉ่ำน้ำตก
ชักแปลกใจมาเที่ยวเขาวงกตซะแล้วละมั้งงานนี้
เตรียมผจญภัยเดินป่า....ธรรมะ





ไหนลองเดินอ้อมน้ำตกไปดูซิ






ไหงเจอสวนสัตว์ย่อมๆ มีจระเข้นอนโชว์
รูปปั้นพระพุทธรูปอยู่หนายยยยยย





เดินต่อไปเจอม่านบาหลี วาว มีลุ้นให้เจอบ้างแล้ว





ยังเย็นฉ่ำเสียงน้ำ พญานาคพ่นน้ำ









เจ้าแม่กวนอิม









มีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธ์มากมายให้ได้กราบไหว้เพื่อขอพรเยอะเลยทีนี้

เข้าไปกราบพระและพระบรมสารีริกธาตุ





ไม่ต้องเกรงว่าจะเป็นพุทธพานิชย์ แทบไม่เห็นมีตู้ใส่บริจาคทำบุญเลย

วิหารพระพุทธรูปหยก





พระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐานภายในวัดป่าธรรมอุทยาน













เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่มาก





พอมาดูรูป ชอบแสงแดดที่ส่องในป่าทำให้เป็นแบล็กกราวน์สีทองจัง แสงสวยมากเลย





เจ้าแม่กวนอิม หินอ่อน





พระทำ
ของจริง
ที่น่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง สิ่งก่อสร้างภายในวัดทั้งหมด มาจากฝีมือน้ำพักน้ำแรงของพระสงฆ์และประชาชนที่มีจิตศรัทธาร่วมมือร่วมใจกันทำ

พระท่านกำลังผสมปูน





แผนที่แผนผัง
จะเดินไปทางไหนจะเห็นอะไรบ้าง
มีพระองค์ใหญ่ๆนับสิบจุดเลย สนุกยังกับเดินหาอาร์ซีแรลลี่เลยทีนี้ ฮ่าๆ





บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นมาก เพราะมีต้นไม้เรียงรายล้อมรอบทั้งสองข้างของทางเป็นร่มเงาให้เดินภายในวัด ไม่ต้องเดินตากแดดเปรี้ยงให้ตัวดำ

ป่าต้นไผ่




พระสีวลี
พระภิกษุแห่งโชคลาภ และความสมบูรณ์มั่งคั่งที่ไม่เคยขาด บูชาพระสิวลี อุดมไปด้วยโภคทรัพย์ หากทำมาค้าขายบูชาเจริญรุ่งเรือง
จะพบความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว และมีกินมีใช้ไม่ขาด





พระพุทธรัตนมณีมหาปฏิมากร (หลวงปู่ใหญ่)
เมื่อก่อนตรงจุดนี้เป็นที่เผาศพ





พระอินทร์





ทางลงไปสระปล่อยปลา
มีศาลาริมน้ำให้อาหารปลา
ตอนแรกว่าจะลองเสี่ยงหอบเอาปลาที่ซื้อตอนเช้ามาปล่อยด้วย
ไม่แน่ใจว่าวัดมีสระรึเปล่า แหม เดาถูกว่าวัดวัดต้องมีที่ปล่อยปลาแต่ไม่ได้เอามาด้วย





วาววว น่านั่งชิวๆท่าจะฟิน กว้างใหญ่ ดูสงบร่มรื่นดีจัง




ตอนแรกคิดว่าเป็นสายน้ำจากแม่น้ำชีไหลผ่านแบบวัดท่าสองคอนเห็นกว้างใหญ่เหมือนกัน
พอค้นประวัติวัดเจอ อเมซิ่งมาก


ปี พ.ศ. ๒๕๓o หลวงพ่อได้ขุดสระน้ำที่หลังวัด เพราะแถบนี้กันดารมาก น้ำดื่มน้ำใช้ต้องไปเอาจากกลางทุ่งนาไกลๆ หลวงพ่อเล็งเห็นว่าจะต้องมีน้ำก่อนชาวบ้านก็จะได้ประโยชน์ด้วย เพราะก่อนหน้านี้ชาวบ้านเจาะหาน้ำกินก็หาไม่ได้

ท่านยังชักชวนคนขุดสระน้ำไว้ใช้ทั้งหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันมาช่วยขุดสระน้ำที่วัด กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลานานถึง ๓ เดือน

//forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=17223789.0





ป่ากับไก่กุ๊กๆ

บริเวณวัดมีครอบครัวไก่ พาลูกเจี๊ยบคุ้ยเขี่ยหาอาหารหลายตัวกระจายไปทั่วป่า






ช้างคู่ทางเข้า





พระศรีอริยเมตไตรย์ องค์ใหญ่โต





พระพุทธลีลาวิลาส เป็นจุดกึ่งกลางของวัด
พระพุทธรูปใหญ่มากปางลีลา สูงขนาดตึกสี่ชั้น






เจ้าแม่กวนอิม











เสา(ไฟฟ้า)ทองคำ






ทางเข้าไปรูปปั้นหลวงพ่อกล้วย





ประวัติพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)

พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร มีนามเดิมว่า เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2502 มีภูมิลำเนาเดิมที่บ้านทองหลาง หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เหตุที่ท่านได้ชื่อว่าสำราญ เพราะท่านได้มาอยู่กับปู่ย่าของท่านที่บ้านสำราญ - เฟี้ยฟาน ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มาตั้งแต่เด็กๆ เลยตั้งชื่อ " สำราญ " ตามหมู่บ้าน
ได้ศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนบ้านทองหลาง ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และได้ศึกษาที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

หลวงพ่อได้อุปสมบทแล้ว กลางวันอยู่ในวัดบ้าน ทำภารกิจสงฆ์ของทางวัดมิได้ขาดตกบกพร่อง ตกเย็นมาก็อยู่ที่ป่าช้าของหมู่บ้าน ถือเอาป่าช้านั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียรปลีกวิเวกออกจากหมู่คณะ เพื่อให้กายได้วิเวก จิตได้วิเวก ภาวนาอย่างอุกฤษฎ์ จนเข้าใจรู้แจ้งในพระธรรมคำสอนขององค์ศาสดา แล้วได้นำมาเผยแพร่สั่งสอนศิษยานุศิษย์จนถึงทุกวันนี้

ไม่มีก็ไม่ทำ ท่านทำเท่าที่มี เมื่อก่อนท่านอยู่ง่ายๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ อยู่ตามป่าช้า มุงกระต๊อบกันแดดกันฝน จนผ่านมาร่วม ๒o ปี

ในการตัดสินใจเลือกบวช เพราะท่านต้องการช่วยเหลือคน ถ้าเป็นบรรพชิต ก็จะมีโอกาสช่วยเหลือคนได้มาก ถ้าออกไปข้างนอก แล้ว โอกาสจะช่วยเหลือคนได้น้อยเลยมุ่งทางนี้โดยตรง

ท่านติดนิสัยบิดา - มารดา คือ ชอบช่วยเหลือคน ชอบสร้างบุญ สร้างกุศล ท่านจึงติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก คือมีแต่ให้ทาน มีแต่อยากให้ ให้ทานจนไม่อยากได้อะไร ตั้งแต่เป็นฆราวาสมันก็ว่างหมดแล้ว สติท่านก็มั่งคงมาตั้งแต่เด็ก

ไม่หวังสิ่งตอบแทนอยากจะให้ฝ่ายเดียว บางทีให้จนหมดตัว จนตัวเองลำบากก็มี การให้ในสิ่งที่ท่านให้ไป ผลตอบแทนก็คือความว่าง เพราะจิตไม่เอาอะไรแล้ว มีแต่เอาออก ก็เหลือแต่ความว่าง และความว่างนั้นแหละ ที่ท่านกล่าวว่ามันคือองค์ธรรมว่างจากกิเลส

เดิมป่าช้านี้เป็นป่าไม้รก ที่ร้างสำหรับฝังศพ ผีตายโหง พระธุดงศ์ต่างๆ ผ่านมาพักผ่อน แล้วเดินธุดงศ์จากไป ว่ากันว่าเจ้าที่ตรงป่าช้านี้แรงมาก ใครเข้ามามักจะอยู่ไม่ได้อาจเป็นเพราะเจ้าที่ท่านต้องการกันไว้
ให้เจ้าของที่แท้จริง ซึ่งก็คือ หลวงพ่อกล้วยนั้นเอง

หลวงพ่อท่านมาจำวัดที่ในป่าช้าเพียงลำพัง และท่านก็เริ่มทำความสะอาดป่าช้า โดยจัดระเบียบให้เรียบร้อย จนตอนนี้วัดเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม มีบุคคลศรัทธาไปปฏิบัติธรรมมากมาย จนทุกวันนี้

ท่านไม่บอกบุญ แต่พอถึงเวลา ก็มีคนเอามาถวายท่าน พอได้อะไรมาท่านก็จะนำเอามาสร้างให้เป็นประโยชน์กับส่วนรวม






ธรรมะกล้วยๆของ...หลวงพ่อกล้วยวัดป่าธรรมอุทยาน

ธรรมะกล้วยๆของ...หลวงพ่อกล้วยวัดป่าธรรมอุทยาน : เยือนถิ่นเรือนธรรม โดยไตรเทพ ไกรงู


วัดป่าธรรมอุทยาน ตั้งอยู่ที่ป่าช้าของหมู่บ้านสำราญและบ้านเพี้ยฟาน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เน้นการปฏิบัติธรรมแนวการเจริญสติ-ดูจิต โดยมีพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร หรือ หลวงพ่อกล้วย เป็นเจ้าอาวาสและเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ท่านเมตตาสั่งสอนศิษย์มาก ติดขัดตรงไหนท่านจะแนะนำให้ บรรยากาศภายในวัดมีความสงบเงียบ ร่มเย็น มีต้นไผ่ขึ้นเป็นกอใหญ่หลายๆ กอ ทำให้ครึ้มร่มรื่น สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนา เป็นอย่างยิ่ง สะดวกในการเข้าพักปฏิบัติธรรม อีกทั้งมีหลุมศพไว้ให้เราพิจารณามรณานุสสติและดูจิตตัวเอง

ใครที่เข้ามาที่วัดนี้ ถึงจะแปลกแตกต่างไปจากที่อื่นอยู่ ตั้งแต่ปากทางเข้ามา แม้แต่ป้ายวัด ทางการเขาก็มาติดให้ เขาสงสาร เขาหาว่ายาก ก็เลยมาติดให้ พวกท่านถึงได้เห็นป้ายวัด ป้ายวัดก็เล็กนิดเดียว เข้าก็ไม่มีเขียนข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เอาไว้ให้ แล้วก็ไม่เห็นพากันไปนั่งเดิน ไปฝึกปฏิบัติ อะไรเลย

รูปแบบการจัดอบรมทางวัดไม่มีการจัดอบรมเป็นคอร์ส ผู้ที่เข้ามาฝึกสามารถปฏิบัติอย่างมีอิสระ ไม่มีรูปแบบตายตัว แต่ให้รู้จักฝึกฝนตนเอง มีความรับผิดชอบ เสียสละ มีความอดทน มีเมตตาไม่มีตารางการปฏิบัติเป็นกำหนดเวลา ที่วัดถือว่าทุกคนมีข้อวัตรปฏิบัติในตัว จึงไม่มีข้อบังคับ หรือกฎเกณฑ์ ผู้สนใจสามารถมาได้ตลอดเวลา ทั้งนี้หลวงพ่อจะมีการเทศน์ก่อนฉันเช้าประมาณเวลา ๐๖.๔๕ น.

สำหรับที่นี่ ทุกคนเข้ามาก็ให้รู้สึกว่ามาที่นี่เหมือนกับอยู่บ้าน ซึ่งแต่ก่อนยังไม่ได้มา ก็เคยไปคิดว่า เราจะไปอยู่ยังไง เราจะไปกินยังไง ไปนั่งยังไง ไปฝึกยังไง มันหลอกเราเสียแล้ว พอมาเข้าจริงๆ มารู้ความจริง มาที่นี่ก็สบายนะ ใครๆ ก็เหมือนกับพี่กับน้อง มีอะไรก็คอยช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ความวิตกกังวลก็คลายไป โดยไม่รู้ตัว มันคลายไปเปราะใหญ่ จิตใจก็เลยสบาย

หลวงพ่อกล้วย บอกว่า การเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไป สะสางกิเลสออกจากจิต จากใจของเรา การรักษาศีล การเจริญสติรักษาศีล สร้างสติ สร้างสมาธิ ก็เพื่อที่จะไปทำความเข้าใจ และก็ละความหลง คลายความหลง และก็ละกิเลสออกจากจิต จากใจของเราให้หมด

แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากจะรู้ธรรม อยากเข้าถึงธรรม เราก็ต้องทำ แต่การกระทำคือ การสังเกต การวิเคราะห์ สังเกตไม่ทัน เราก็ต้องใช้สมถะเข้าไปดับ เราอาจกำหนดอยู่กับลมหายใจบ้าง สร้างความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้า ออกบ้าง

เรียกว่าสร้างความรู้สึก อยู่ที่การเคลื่อนไหว ของกายบ้าง แล้วแต่ความถนัด ของแต่ละบุคคล ที่จะเดินให้ถึง การฝึกหัดปฏิบัติจิต เราต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปวู่วาม คือค่อยเป็นค่อยไป ตั้งจิตไม่ทัน เราก็เริ่มใหม่ ทำความเข้าใจ เราก็เริ่มใหม่อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ทั้งนี้ หลวงพ่อกล้วย พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า "วัดเปรียบดังแผนที่ ที่จะพาสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง พวกเรามีโอกาสโชคดี ก็อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง หมั่นสำรวจ ตรวจตราดู ตลอดเวลา สร้างผู้บริหารใหม่ให้เข้มแข็ง คือมาเจริญสตินั่นแหละ ให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา อันไหนเป็นจิต ลักษณะของจิต การก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ ๕ เป็นอย่างไร จิตของเรา อารมณ์ของเรานั่นแหละสำคัญ พิจารณาให้ดี การที่มาวัด เราก็มาสร้างประสบการณ์ หรือมาหาแผนที่ หาแนวทาง นั่นแหละ พวกเราจะเดินตามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง พยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง มันก็ไม่มีอะไรมาก"

การเตรียมตัวไม่จำเป็นต้องชุดขาว เตรียมเครื่องใช้ส่วนตัวมาให้พร้อม (เช่น เสื้อผ้า สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ไฟฉาย ยากันยุง ฯลฯ) ห้องพักมีจำกัด (ถ้ามีเต็นท์ควรนำมาด้วย ที่วัดมีไม่เพียงพอ) ที่อยู่-การติดต่อวัดป่าธรรมอุทยาน โทร.๐๘๖-๘๕๘-๘๙๖๘ หรือ "www.samrandham.org"







พระพุทธรูปปางนาคปรก





เดินจนจะครบวนใกล้ถึงทางออก คือทางเข้ามานะแหละ
ผ่านสวนสัตว์น้อยๆ

บ้านกระต่าย กับไก่





เม่นแคระ





มีคู่ขี้เซา อีกตัวนอนในมะพร้าว





คลิป

กินร้านCoffee Carp มัลฟินนำเข้าจากเสปน ดื่มชาเขียว สถานที่อยู่ในกรมประมง แถวกสิกรทุ่งสร้าง
เที่ยววัดหลวงพ่อกล้วย ธรรมอุทยาน

https://www.youtube.com/watch?v=EBzKld-3m1A

เที่ยววัดหลวงพ่อกล้วย
กิน ร้านจุ่มจิ้มริมคลอง
ต้นหว้ารีสอร์ท

https://www.youtube.com/watch?v=jZgyNHokJ5w


รายการ พื้นที่ชีวิต ตอน ความกลัว
นอนดูจิตในป่าช้า
วัดป่าธรรมอุทยาน จ.ขอนแก่น

https://www.youtube.com/watch?v=thTovKganUQ







Create Date : 17 ธันวาคม 2557
Last Update : 6 สิงหาคม 2559 11:56:52 น. 12 comments
Counter : 7969 Pageviews.

 
ท๊อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

ชีวิตเปลี่ยน!...เพราะปฏิบัติธรรม



"เลิกงานเมื่อไหร่เป็นต้องไป สี่ทุ่มห้าทุ่มก็ยังอุตส่าห์แวะไปสักหน่อยก็ยังดี พี่เป็นคนที่ดื่มหนักมาก ถึงขั้นติดเลยก็ว่าได้ เพราะมันทำให้พี่รู้สึกปลดปล่อย และหายเครียดจากการทำงาน แต่พอกลับบ้านแล้ว มาเจอลูกเขาก็จะพูดว่าเวลาแม่กินเหล้า แม่เหมือนคนบ้าพูดจาไม่รู้เรื่อง ลูกพูดอย่างนี้บ่อยเข้า จนทำให้เรารู้สึกว่าที่ผ่านมาเป็นแม่ที่แย่มากทำให้เขาต้องมาเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีอีก" นี่เป็นช่วงหนึ่งชีวิตของ ท๊อป - ดารณีนุช โพธิปิติ ก่อนที่จะขจัดกิเลสเหล่านี้ลงได้ด้วยการปฏิบัติธรรม

พอเลิกงานเสร็จเราก็จะมีข้ออ้างว่ากลับบ้านลูกและสามีก็หลับแล้ว ดื่มเหล้ากันจนเกือบเช้าทุกวัน คิดว่าการกินเหล้าแบบนี้เป็นการพักผ่อน

แต่มีวันหนึ่งก็กลับมาคิดว่ากินเหล้าทุกคืนชีวิตอยู่กับความซ้ำซากเป็นปีๆ กลับมาทบทวนตัวเองว่า ศีล ๕ ยังรักษาไม่ครบ ยิ่งได้เห็นเหล่าบรรดานักแสดงที่ไปปฏิบัติธรรม เราก็ชอบไปโม้ว่าอยากไปมากเลย แอน(สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์) บอกว่าพี่ลองไปซิ เราตอบกลับไปว่าพี่อยากไปแต่ไม่มีเวลาจนสองครั้งผ่านไป มาถึงครั้งสุดท้ายแอนชวนอีก เราก็ยังปฏิเสธเหมือนเช่นเคย พี่ไปไม่ได้หรอกเพราะต้องหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว จนแอนพูดออกมาคำหนึ่งว่า ถ้าพี่จะสะสมทรัพย์ทางโลกก็แล้วแต่พี่ แต่ถ้าพี่ท็อปไปก็จะได้สะสมอริยทรัพย์ ตรงนี้ก็ได้ต้องคำถามให้กับตัวเองว่า อะไรคือ อริยทรัพย์


อย่างไรก็ตามหลังจากปฏิบัติธรรมแล้ว ท๊อป-ดารณีนุช กลับมีความรู้ศึกว่า พอได้เรียนรู้เรื่องกำหนดจิตว่า การทำอะไรช้าๆ เราจะเห็นกิริยาของเรา เรียกได้ว่าการปฏิบัติธรรมตรงนั้นมันเป็นเหมือนโลกใหม่ที่ไม่รู้จักมาเลย ยิ่งเข้าห้องน้ำก็ให้กำหนดเห็นหนอ ยื่นหนอ บิดหนอ ต้องกำหนดทุกอริยบทเพื่อให้เรามีสติ ส่วนเวลานั่งสมาธิต้องมีการเดินจงกรม ทำให้รู้ว่าใจเราใน ๑ วันสับสนมาก จังหวะเดินจงกรมใจที่จะต้องอยู่กับตัวเรากลับไม่ไปคิดเรื่องต่างๆ นั่งสมาธิบางครั้งหลับ บางครั้งก็เห็นภาพการ์ตูน เรียกว่าจิตเราฟุ้งซ่านตลอด


แต่ที่วัดผานิการามต้องสมัครล่วงหน้าหลายเดือน จึงได้โทรศัพท์ปรึกษากับพี่ตุ๊ก(ดวงตา ตุงคะมณี) จึงแนะนำให้ไปปฏิบัติกับ หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน จ.ขอนแก่น ซึ่งท่านสอนปฏิบัติธรรมได้ดีมาก ท่านพูดมาคำหนึ่งว่า ที่วัดแห่งนี้ก็เหมือนบ้าน ท่านเมตตาสูงมาก พอเวลาเราล้างจานท่านก็บอกว่า ล้างจานก็ให้ล้างใจ ดูใจไปด้วย ดูให้เห็นว่าจิตมันเกิดอะไร หรือกวาดลานวัดก็ให้คิดใจเราตลอดเวลา เพราะถ้าเกิดอกุศลก็ให้ดับ

ท๊อป-ดารณีนุช บอกด้วยว่า เมื่อปีใหม่ได้ไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งที่ขอนแก่น แต่ลูกกับสามีไม่ได้ไป แม้ว่าวัดแห่งนี้จะเป็นป่าช้าก็ตาม กลับมีความรู้สึกไม่กลัวเดินอยู่คนเดียวในวัด จากนั้นไปนั่งสมาธิอยู่ริมสระน้ำใหญ่ ระหว่างนั่งสมาธิอยู่นั้นก็เห็นภาพหลวงพ่อกล้วย ทันใดนั้นก็รู้ทันทีว่าหลวงพ่อกล้วยกลับมาถึงวัดแล้ว

สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเชนหลังจากปฏิบัติธรรมนั้น ท๊อป-ดารณีนุช บอกว่า "พอคิดว่าการปฏิบัติธรรมมันดีก็จะไปบอกเขาไปทั่ว หลายๆคนก็นึกว่าเราเพ้อเจอ ระยะหลังเราก็ไม่คิดบอกใครอีก แต่ได้บอกกับหม่อมน้อย ท่านก็ถามว่าปฏิบัติธรรมดีจริงหรือ หม่อมน้อยก็เลยนั่งปฏิบัติธรรมบ้าง เชื่อไหมว่าหม่อมน้อยเดี๋ยวนี้เลิกเหล้าไปเลย เราเองเมื่อก่อนตู้เย็นมีไวน์เต็มตู้เลย เดี๋ยวนี้กลายเป็นตู้แช่ผักไปแล้ว

//www.oknation.net/blog/print.php?id=181774





โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:03:55 น.  

 



ชีวิตหลังม่านมายา ของ จินตหรา สุขพัฒน์ เรื่องโดย สหัสวรรษ

หลังจากนั้นมา ก็เริ่มสนใจที่จะปฏิบัติมากขึ้น คุณบุ๋มพาไปวัดธรรมอุทยาน ซึ่งเป็นวัดป่าที่ขอนแก่น พวกเราทำกุฎิเล็กๆ ไว้ให้ญาติโยมพัก บางทีก็ไปกางเต็นท์นอน คนอื่นอาจจะไปทำสมาธิเป็นหลัก แต่แหม่มไปเพื่อพักผ่อนเสียส่วนใหญ่ เพราะหลวงพ่อกล้วยที่พวกเรานับถือที่วัดนี้บอกว่า ทำตัวตามสบายนะ ให้เหมือนอยู่ที่บ้าน ได้รู้จักกับ อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ซึ่งสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติ ท่านเป็นคาทอลิก แต่ตอนหลังบวชเป็นพระ พอสึกเป็นฆราวาสท่านก็มาบรรยายธรรมะให้ฟัง

ครั้งหนึ่งอาจารย์วรภัทร์พาแหม่ม คุณบุ๋ม และพี่ตุ๊ก ดวงตาไปทดสอบใจ ท่านพาไปที่หลุมศพ แต่ละหลุมนั้นสามปีถึงขุดขึ้นมาเผาที จริงๆ แหม่มเป็นคนไม่กลัวผี แต่พอเป็นคนนั้นคนนี้กลัว เราก็กลัวตาม ตอนกลางคืน ทีวัดมืดและเงียบมาก แค่เสียงใบไม้หล่นก็ทำให้สะดุ้ง รู้สึกว่าหลังเย็นวาบ เหมือนธรรมชาติมาล้อเรา อาจารย์พาไปดูเมรุเผาศพก่อน ก็จินตนาการไปต่างๆ นานา ว่าต้องน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้ตามภาพที่เราเคยเห็นจากภาพยนตร์ แต่พอไปดูจริงๆ กลับมองไม่ออกว่าเป็นอะไร พอดีในกลุ่มมีพยาบาลอยู่คนหนึ่ง เขาก็จะคอยกระซิบว่า ตรงเป็นอวัยวะนั่นนี่นะคะ แต่ก็มองไม่ออก เห็นแต่ผ้าขาวๆ

วันต่อมาไปที่หลุมศพอีก คราวนี้หลวงพ่อกล้วยให้เราขึ้นไปยืนบนหลุม หลวงพ่อถามว่าคิดยังไง ก็บอกไปว่าไม่อยากยืนเลยค่ะ ท่านถามว่ากลัวไหม ก็ตอบว่ากลัว ท่านถามต่อว่าทำไมถึงกลัว ก็ตอบว่าเพราะรู้สึกว่ากำลังลบหลู่เขา ท่านจะถามไปเรื่อยๆ เพราะอยากรู้ว่าแต่ละคนคิดยังไง มารู้ตอนท้ายว่า ที่ท่านถามเพราะต้องการแก้ความรู้สึกที่อยู่ในใจแต่ละคน สิ่งที่ท่านสอนคือ คนเรากลัวได้ แต่เราจะดับความกลัวนั้นด้วยวิธีไหน ลองสังเกตกิริยาของตัวเองที่เกิดขึ้น อยู่กับตัวเอง แล้วดับความกลัวนั้นด้วยสติ

กลับไปครั้งที่สอง แตกต่างจากครั้งแรกมาก ไม่รู้สึกกลัว เดินไปที่หลุมด้วยความรู้สึกไม่เหมือนเดิม กล้าเดิน กล้าไปปูเสื่อนอนข้างๆ หลุมศพ สิ่งที่หลวงพ่อพูดเสมอและจำได้ดีคือ ให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ที่บ้าน เพราะถ้าอยู่ที่บ้าน เราจะไม่กลัวอะไรเลย รู้ว่าตรงมุมนั้นมุมนี้เป็นไง หลังๆพอเริ่มไป กลัวก็ปล่อยตัวตามสบาย ถ้ามีเวลาว่างก็จะไปที่วัดเสมอ



ธรรมะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรบ้างครับ

ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักที่จะให้อภัยใครต่อใครง่ายขึ้น ธรรมะคือธรรมชาติ ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุมีผลและที่มาที่ไปเสมอ แม้ศึกษาเรื่องพุทธ แต่แหม่มก็ไม่ได้ลืมความเป็นคริสต์ ทุกวันนี้ก็ยังนับถือคริสต์เหมือนเดิม ยังไปโบสถ์ เคยนั่งเทียบเคียงระหว่างสองศาสนาว่าจริง ๆก็มีอะไรที่คล้ายๆ กัน อย่างการทำสมาธิของพุทธเปรียบเทียนก็คือการสวดสาประคำ ขณะที่บัญญัติ ๑๐ ประการกับศีล ๕ ศีล ๘ ก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน สรุปว่าทุกศาสนาต่างก็สอนให้คนเป็นคนดี



//www.kanlayanatam.com/sara/sara187.htm


โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:07:19 น.  

 
คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ.2548 ฉบับที่ 425


ในขณะที่ได้เข้าไปกราบ หลวงพ่อท่านก็พูดขึ้นทันทีว่า ต้องการธรรมะก็อยู่ที่ตัวเราทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนวิธีการปฏิบัติตามพระธรรมในพระพุทธศาสนา ก็มีทั้งขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง ผู้ปฏิบัติเลือกปฏิบัติได้ตามสมควรกับอุปนิสัยของตน และที่สุดแล้วหลวงพ่อท่านก็เน้นย้ำคำว่า เรื่องการปฏิบัตินั้นจะต้องมีจุดหมายปลายทาง คือ ความสะอาด ความบริสุทธิ์ และการจะได้มาซึ่งความสะอาด ความบริสุทธิ์ นี้ต้องขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ทุกขณะจิต ธรรมชาติของจิตจะต้องสะอาด และการปฏิบัติธรรมต้องทำเอาเอง แล้วต้องตามดูอยู่ทุกขณะจิต พร้อมทั้งแยกแยะตามความเป็นจริง และที่น่าสนใจมากสำหรับฆราวาสอย่างเราๆ ท่านๆ คือท่านบอกว่าการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม เวลาทำงานก็ตาม ก็ดูจิตไปด้วย เมื่อเรารู้จิต มีสติแยกแยะได้อย่างถูกต้อง เราก็จะเป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ ในที่สุด
เริ่มต้นการเทศนาว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติให้มีความสนุก

ญาติโยมที่มาวัดวันนี้ นั่งนานๆ เกิดเวทนาไหม นี่แหละ มาวัดก็เอาตามสบายของพวกเรา ท่านให้ละรูป ละนาม ก็ยังมาแสวงหารูป หานาม ท่านให้ละรูป ละนามออกให้หมด แต่ก็ยังเป็นบุญที่ได้ครองบุญ ครองกุศลให้คนอื่นได้บุญ ได้กุศล ได้สร้างตบะ สร้างบารมี ถ้าดูจิตให้สนุก อยู่คนเดียวก็สนุก ถ้าการปฏิบัติธรรมไม่สนุก แสดงว่าคนนั้นมีจิตใจท้อถอย ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วสนุกสนานเพลิดเพลิน มีความพอใจฝักใฝ่อยู่คนเดียวก็สนุก นั่นแหละยิ่งสนุกใหญ่ จิตมีความอาจหาญ มีความกล้าหาญ กล้าได้ กล้าเสีย กล้าตาย อยู่เหนือตาย ตายก่อนที่จะตายเสียอีก นั่นแหละต้องทำให้จิตของเราตายจากกิเลส ซึ่งกว่าจะทำได้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เยอะ

กลัวผีเพราะจิตหลอก

ตอนบวชพระใหม่ๆ บางวันยืนอุ้มบาตร ทั้งวัน ทั้งคืน ฝนก็ตก จะไปปักกลดอยู่กลางป่าช้า จะไปไหนก็ไปไม่ได้ เจอลม เจอ ฝน หนาว ก็หนาว ทนทุกข์ทรมาน ทั้งกลัวผีก็กลัว ฝึกใหม่ๆ บวชใหม่ๆ นี่กลัวผีมากทีเดียว ช่วงยังไม่บวชก็ไม่ค่อยกลัวนะ พอมาบวชนุ่งผ้าเหลืองแล้ว วันแรกก็เกิดกลัวผีอย่างจับใจ เพราะว่าจิตมันหลอก

เขาบอกว่า ผีชอบหลอกพระบวชใหม่ เข้าไปอยู่ในกุฏินี่มีรูนิดเดียว ก็หาสำลีไปอุดไว้เลย กลัวผีมันจะมองเห็น มันหลอกถึงขนาดนั้นเลย ขนาดจะไปเบา ไปหนัก ยังต้องกลั้นเอาไว้ จนตะวันโผล่ถึงลงมาได้เพราะกลัว นึกถึงหลวงปู่หลวงตาที่บำเพ็ญมามากๆ จิตของท่านคงมีกำลัง ช่วงนั้นแหละ ถึงได้เข้ามาอยู่ป่าช้า มาอยู่คนเดียว เมื่อก่อนอยู่ในบ้าน ขนาดจะมาเดินจงกรมใหม่ๆ นี่ยังถือไฟฉายด้วย ก่อนจะเดินจงกรมสร้างขันติ ก็เอาไฟฉายนี้กราดไปทั่วเลย กลัวผีหลอกจะมานั่งดู มันเดินมา จิตมันคิดไป ปรุงแต่งไป เราก็เดินเร็วขึ้น ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา เอาจิตให้อยู่ เอาจนเหนื่อย จนเหงื่อแตกซิกๆ เลย

ก่อนจะเข้าที่พัก ก็เอาสังกะสี 7-8 แผ่น มาทำเป็นวงกลม ล้อมต้นไม้เอาไว้ แล้วเอากลดไปกางไว้ข้างใน ก่อนที่จะเข้าไป อยู่ในซุ้มในกลด พอถึงประตู ก็วิ่งปรูดเข้าไปเลย กลัวผีหลอกมันดึงขา ขนาดอยู่ป้าช้านะ ออกมาฝึกอยู่ป่าช้า มันยังหลอกขนาดนั้นนะจิตของเรา

กลัวเกร็งจนปฏิบัติผิดๆ ทำให้จิตตึงเกินไป

ฝึกไป ฝึกมา ดับไป ดับมา ก็เกิดความกล้าหาญมากขึ้นๆ ทีละเล็ก ละน้อย ต่อมาก็นอนอยู่ตามหลุมศพ ในป่าช้าอยู่คนเดียว หลุมศพใหม่ๆ เสียด้วย เป็นศพจากอุบัติเหตุ รถชนกันตาย เขาก็เอามาฝัง เราก็ได้ที่แล้ว ก็เอเสื่อมาปูอยู่บนหลุมศพ เอากลดมากาง เมื่อก่อนมันรก

เดินเข้าป่าช้านี่ ต้องเอามีดถางๆ เดินมาไม่ได้มันรก พอมานั่ง มันก็กลัว นอนหงายก็กลัว สู้นอนคว่ำหน้า ใส่กับผีหลอกเลย ถึงขนาดนั้น ใหม่ๆ นี่สติไม่พ่งจิต ไม่อยากจะออกไป ให้รับรู้ มันกลัว มันเพ่งๆ จ้องระวัง ตรงนี้ก็สำคัญ เราคอยระวังจิตของเรา มากเกินไป

ไม่อยากให้จิตของเราออกไปรับรู้ต่างๆ กลัวมันจะเกิดความกลัว สติมันก็เลยเพ่ง เหมือนแมวคอยตะครุบหนู ก็เลยตึงเครียดกัน จิตก็ตึง สติก็ตึงทั้งคืน เช้าขึ้นมานี่กายสะท้านหมดเลย ขากรรไกรนี่จะสั่น กระทบกันอยู่ตลอด คือมันปฏิบัติผิด


โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:15:23 น.  

 
ปล่อยให้จิตรู้ แต่ระวังอย่าให้จิตหลง

ตามความจริงแล้ว จิตของเรา เป็นธาตุรู้ เราให้เขารับรู้ แต่ไม่ให้เขาเกิด ถ้าเขาจะเกิดก็เอาสติ เข้าไปดับ ใช้วิธีไหนก้ได้ ที่จะให้เขาดับ กำหนดลมหายใจให้เขาดับ ให้เขารับรู้ แต่ไม่ให้เขาเกิด ถ้าเราอยากจะรู้อะไร เหตุอะไรที่มันเกิดภายนอก เราก็เอาสติปัญญา พากายเข้าไปดู ใหม่ๆ จะเป็นกันหมดทุกคน

เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด ให้เข้าใจ ให้ถ่องแท้ การควบคุมจิตเป็นยังไง การบริหารจิตเป็นอย่างไร จิตของเราก็เหมือนกับเด็กน้อยนั่นแหละ ปล่อยให้เขาเล่น พอเกิดอุปสรรค เราก็ค่อยไปช่วยเหลือเขา ถ้าเขาจะส่งไปข้างนอก เราก็ต้องรู้จักดับเขา รู้จักแก้ไขเขา

จิตที่ไม่ได้ฝึกนี่มัน ก็จะไปตามเองตามราวของเขา หลงไป ขนาดหลงๆ อยู่ ยังว่ามันไม่หลงนะ เขาว่า เฮ้ย...ไอ้นี่ไม่มีสติเลย ก็ไปโกรธให้เขา มันก็ไม่มีสติจริงๆ ดังเขาว่านั่นแหละ

เมื่อรู้ธรรม แล้วให้วางธรรม


ปล่อยให้จิตของเราเป็นอิสระ อิสระจาการเกิด อิสระจากกิเลส อิสระจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาก็สะอาด เขาก็บริสุทธิ์ การเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด ถ้าเขารู้ความจริงแต่เวลานี้ ภายใน 5 นาที ไปกี่เรื่องแล้วก็ไม่รู้ เพียงแค่อารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมา ก็ไปยินดี ยินร้ายไปด้วยกัน เขาเรียกว่าไปเสียดาย อาลัยอาวรณ์ กับอารมณ์ เล็กๆ น้อยๆ เพราะฉะนั้น ให้เห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นธรรมดา

ปฏิบัติให้เคร่งตามดูจิตในทุกอิริยาบท

ถ้านิวรณ์เข้ามาลุกอาบน้ำ เดินถูพื้นศาลา จนเป็นมันวับเลย ตอนกลางคืนนี่ เอาการเอางาน เป็นการปฏิบัติธรรม ถูพื้นศาลาด้วย ไล่นิวรณ์ด้วย เพิ่มความขยันหมั่นเพียร ทำงานไปด้วย กลางวันก็ทำงานไป ถ้านั่งนิวรณ์จะเข้าก็ลุก ตามดูจิตให้ได้ ทุกอิริยาบท

ว่างแล้วจากทุกสิ่ง มุ่งเพียงสร้างประโยชน์ให้สังคม

ทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรที่จะไปตามดู จิตมันก็ไม่เกิดมาร่วม 20 ปีแล้ว สติมันก็หยุดร่วม 15-16 ปี ความคิดก็ไม่ผุดมาปรุงแต่ง ร่วม 20 ปีเหมือนกัน ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็มีแต่จะทำงาน ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำงานเพื่อที่จะ ให้คนรุ่นหลัง ได้มาอยู่ดี มีความสุข ได้มาฝึกปฏิบัติ ก็เพื่อที่จะได้ไป ได้เร็ว ได้ไว ทุกวันนี้ อะไรๆ ก็ทำไว้หมด ที่พัก ที่นั่ง ที่เดิน ห้องส้วม ห้องน้ำก็ทำไว้หมด ก็เหลือเพียงญาติโยม เท่านั้น
ให้เป็นผู้สอนตัวเอง อย่าเป็นผู้มีกิเลสหนา

เมื่อทำให้ขนาดนี้ ยังจะพากันเกียจคร้านอยู่ ก็ช่วยไม่ได้ เราต้องสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันจึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ให้คนโน้นเขาขนาบ ไปให้พระองค์โน้นขนาบ พระองค์นี้ขนาบ อย่างนั้นคงเป็นบุคคลที่กิเลสหนา บุคคลที่มีกิเลสเบาบาง ฟังนิดเดียว ไปแก้ไขปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ

ใครที่เข้ามาที่วัดนี้ ถึงจะแปลกแตกต่าง ไปจากที่อื่นอยู่ ตั้งแต่ปากทางเข้ามา แม้แต่ป้ายวัด ทางการเขาก็มาติดให้ เขาสงสาร เขาหาว่ายาก ก็เลยมาติดให้ พวกท่านถึงได้เห็นป้ายวัด ป้ายวัดก็เล็กนิดเดียว เข้าก็ก็ไม่มีเขียนข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เอาไว้ให้ แล้วก็ไม่เห็นพากันไปนั่งเดิน ไปฝึกปฏิบัติ อะไรเลย


โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:16:36 น.  

 
อุบายการปฏิบัติที่วัด จะไม่มีกฎทุกอย่าง ให้ใช้สติสังเกตดู

สำหรับที่นี่ ทุกคนเข้ามาก็ให้รู้สึกว่า มาที่นี่เหมือนกับอยู่บ้าน ซึ่งแต่ก่อนยังไม่ได้มา ก็เยไปคิดว่า เอ… เราจะไปอยู่ยังไง เราจะไปกินยังไง ไปนั่งยังไง ไปฝึกยังไง มันหลอกเราเสียแล้ว พอมาเข้าจริงๆ มารู้ความจริง เออ…มาที่นี่ก็สบายนะ ใครๆ ก็เหมือนกับพี่กับน้อง มีอะไรก็คอยช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ความวิตกกังวลก็คลายไป โดยไม่รู้ตัว มันคลายไปเปราะใหญ่ จิตใจก็เลยสบาย

คือว่า มันสบายแบบหลงๆ หรือสบายแบบไม่มีสติ ก็ไม่รู้นะ ต้องมาสร้างกำลังสติ ไปกว่านี้อีก ถ้าจิตของเราสบายเป็นยังไง สงบเป็นยังไงนี่แหละ ถ้าเป็นบางที่ ถ้าเคร่งครัดมากเกินไป ก็คือคอยระวังระแวง แต่ที่นี่ไม่มีแบบนั้น ก็เลยไม่ได้กังวล ตรงจุดนั้น ความกังวลคลายไป จิตใจก็เลย ไม่มีความกังวล แต่พวกเราจะมีสติ คอยสังเกตรู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีเหตุและผล

ที่นี่จะปล่อยให้ปฏิบัติดูจิตของเรานี้ มีสติเข้าไปสังเกตดู เข้าไปวิเคราะห์ดู ทั้งที่จิตก็สบายอยู่ สบายแบบธรรมชาติ ทั้งกาย ทั้งจิต ตั้งสติไปด้วยกันหมด ขาดการจำแนก แจกแจง จิตสงบของเราเป็นยังไง ความสบายยาวนานหรือไม่ ที่พากันมา ก็มาเพื่อที่จะแสวงบุญ ทุกคนก็มีจิตเป็นบุญ เป็นกุศลกันหมด มีศรัทธาน้อมกาย เข้ามาเพื่อศึกษา และก็ได้ผู้บริหารที่ดี ที่ฝักใฝ่ในธรรม

อยากจะให้บริวารได้รับความสงบสุข ทั้งภายนอก ภายใน ภายนอกก็คือ ภาระหน้าที่การงาน สมมุติต่างๆ ที่พวกเราได้สร้างได้ทำกัน ภายในก็คือ ทางด้านจิตใจ ให้มีจิตใจที่สงบ ให้มีจิตใจที่เยือกเย็น ไม่ทำตามอารมณ์ ให้มีเหตุ มีผล เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด
ว่าด้วยเรื่องการพิจารณากาย (ก้อนทุกข์ ก้อนกรรม)

ถ้าพวกเรารู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา รู้จักทำความเข้าใจ อยู่ในกายของเรา ก็จะรู้ว่า ในกายของเรานี้ มีอะไรดีเยอะ ทั้งของดี ทั้งของไม่ดี รวมกันอยู่ที่นี่ ฉะนั้น กายของเรานี่แหละ ก้อนทุกข์ กายของเรานี่แหละ ก้อนกรรม แต่พวกเราขาดการพิจารณา มายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นกายของเราจริงๆ นั่นแหละ

แต่ในทางวิมุติ ในทางหลักธรรม แล้วก็เป็นเพียงแต่ สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าขาดการจำแนกแจกแจง ขาดการแยกแยะจริงๆ เราก็จะไม่รู้ความจริงตรงนี้ ถ้าเรามาวิเคราะห์ มาเจริญสติ มาหัดสังเกต มาหัดทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเราว่า กายของเรานี้ ประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง อันนั้นเป็นส่วนรูปธรรม แล้วส่วนนามธรรมนั้นเป็นลักษณะอย่างไร

ลักษณะของความว่าง เป็นลักษณะอย่างไร อาการของความคิด หรือสภาวธรรม อาการของขันธ์ห้า เป็นลักษณะอย่างไร ที่จิตของเราหลงความคิด หลงขันธ์ห้า ทำให้เกิดอัตตาตัวตน อันนี้เป็นความหลง เป็นโมหะ อันลุ่มลึกเลยทีเดียว พวกเราต้องพยายาม มาคลายตรงนี้ให้ได้ ก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ในเรื่องความทุกข์ ความทุกข์เกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต เราต้องรู้จัก หาวิธีแก้ไข

ทำบุญแล้วรู้จักบุญหรือยัง

คนเราเกิดมา ก็นับว่ามีอานิสงส์ มีบุญกุศล ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญเก่าเราก็มี บุญใหม่เราก็พยายามมาเพิ่ม มาเสริม มาเติม มาแต่ง ให้เต็ม ดังที่พวกเราพากันมา นี่แหละมาสร้างบุญใหม่ ให้มี ให้เกิดขึ้น พากันสร้าง แต่จะพากันรู้จักบุญหรือเปล่า บุญก็คือ ความสบาย กายสบายใจ นี่คือบุญ
พึงระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจ

เช่น เราสังเกตเรื่องของการหายใจ เข้า ออก ของเราให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ไม่ลุกจากที่โน่นแหละ พอรู้ตัวปุ๊บ ตั้งสติให้มั่น สร้างความระลึกรู้ หรือสัมผัสลมหายใจเข้า ออก ของเรา ให้ต่อเนื่องกัน

ถ้าเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มต้นใหม่ เพียงแค่สร้างสติ กับรักษาสติ ให้ได้เสียก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทไหน ส่วนความคิด ส่วนปัญญา แบบภพโลกของเรานั้น ทุกคนมีปัญญาเป็นอัจฉริยะกันหมด แต่ยังเป็นปัญญา ที่เข้าไปคลายทุกข์ ในจิตใจของเราไม่ได้ เป็นปัญญาระดับโลกีย์ ปัญญาระดับของสมมุติ



โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:18:16 น.  

 
มาสะสมทรัพย์ภายในกันเถอะ

เราต้องเป็นผู้ที่สร้างทรัพย์ภายใน ให้มี ให้เกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลา ทรัพย์ภายใน ถ้าเราไม่สร้างขึ้นมาก็ไม่มี เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา สร้างความว่าง ความสงบ ความสะอาด ความบริสุทธิ์ นั่นแหละ เขาเรียกว่า ทรัพย์ภายใน อริยสัจภายใน คือความว่าง ในความว่างนั้น มีดวงจิตอยู่

จิตที่ว่างจาการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่น ถือมั่น ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์ เขาก็นิ่ง เขาก็สงบ เขารู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด แต่เวลานี้ จิตของพวกเรายังเกิดอยู่ แต่ละวันๆ ไม่รู้เกิดกี่เที่ยว แค่ห้านาที สิบนาที ไม่รู้ไปสักกี่อย่าง เดี๋ยวก้เรื่องคนโน้น เดี๋ยวก็เรื่องคนนี้ เดี๋ยวก็เรื่องอดีต เดี๋ยวก็เรื่องอนาคต สารพัดเรื่อง

จิตปรุงแต่งรู้ให้ทัน แล้วจะละได้

นอกจากนี้แล้ว บางทีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ นั่นแหละ อาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมา ปรุงแต่งจิต บางทีจิตของเรา ก็ไปรวมร่วมกับความคิด ที่เขาเรียกว่า ไปเสวยนั่นแหละ เรื่องดีก็เป็นสุขเวทนา เรื่องไม่ดีก็เป็นเรื่องทุกข์เวทนา เราขาดการจำแนก แจกแจง เรารู้อยู่เมื่อจิตกับความคิด เข้ารวมกัน

แล้วก็เลยว่า เรารู้เราเห็น แต่ขาดการแยกแยะทำความเข้าใจว่า อะไรเป็นอาการของขันธ์ห้า ที่เกิดเรื่องในบ้าน แล้วจิตของเราเข้าไปร่วมได้ยังไง มันก็ไม่มีอะไรยากหรอกโยม ถ้าพวกเรามีความตั้งใจจริงๆ ก็มีแค่ เรื่องกายเรื่องจิต เรื่องรูป เรื่องนาม ก็วนเวียนอยู่ที่นี่

ทุกคนก็มีกิเลสกันหมด แต่มีมากมีน้อย อาจจะต่างกัน เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ ยิ่งสะสาง ยิ่งเจริญสติเข้าไปมาก เท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะเห็นมาก ยิ่งเห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งทำความเข้าใจ รู้ความจริงแล้วค่อยละ ถ้าเรามีความคิด สติปัญญาเก่าๆ ของเรา เราก็ต้องรู้จักตัด รู้จักกด รู้จักข่ม

แยกแยะแล้วยอมรับ ก็ปล่อยวางได้

พระพุทธองค์ท่านบอกเอาไว้ว่า สติปัญญาทางโลกนั้น อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง จะดีมากขนาดไหน ก็อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง เราดับ เราอด เราข่ม จนกว่าจิตของเราจะตกกระแสธรรม จนกว่าจะแยกรูป แยกนามได้ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงจะเปิดทางให้ วิปัสสนาก็เริ่มเกิด

กำลังสติก็จะตามดู การเกิดดับของขันธ์ห้า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของความคิด ของอารมณ์ที่จิตเราเข้าไปปรุงแต่ง ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราเห็นตรงนี้ กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง เป็นมหาสติ ตามดู ตามรู้ ตามทำความเข้าใจ ก็เห็นการเกิด การดับ เขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของความคิด ของอารมณ์ตั้งอยู่ดับไป

ตามดูจนจิตของเรา ยอมรับความจริงว่า ไม่มีสารประโยชน์ แก่นสารอะไร นั่นแหละจิตของเราจึงจะวาง นี่แหละจุดวางก็อยู่ตรงนี้ ตราบใดที่ยังแยกรูป แยกนามไม่ได้ ก็ต้องเพิ่มกำลังสติ ให้เป็นมหาสติ ถ้ายังแยกรูป แยกนามไม่ได้ ส่วนมากกำลังสติของเรา จะพลั้งเผลอ เพราะว่าความเคยชิน แบบเก่าๆ ปัญญาที่เกิด ก็เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าที่ปรุงแต่งส่งออกไป

ความสุขที่แท้จริงคือความว่าง

คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ไม่เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางสักที มีแต่พากันมัวเมาเล่น เพลิดเพลิน อยู่กับรส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ เพลิดเพลินอยู่กับโลกสมมุติตรงนี้อยู่ ให้มองให้ลึก ค่าความสุขที่แท้จริง คือ ความว่าง ความสะอาด ความบริสุทธิ์ การไม่กลับมาเกิดอีก

เกิดทางกายเนื้อ พวกเราก็เกิดมาแล้ว แต่เกิดทางด้านจิตวิญญาณนี่แหละสำคัญ กายเนื้อแตกดับ วิญญาณของเราจะไปอย่างไร นี่แหละ เราต้องศึกษา เราดับความเกิดได้แล้วหรือยัง เราตัดภพ ตัดชาติ ได้แล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่า จะไปปฏิบัติ เอาช่วงจะหมดลมหายใจ หรือปฏิบัติ เอาช่วงที่อายุมากแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติ เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ ขณะที่เรายังมีกำลังใจอยู่ ตื่นนอน ตื่นขึ้นมาเราทำบุญให้กับตัวเรา แล้วหรือยัง เราละความเกียจคร้าน ออกจากจิตใจของเรา แล้วหรือยัง ละความเห็นผิดออกจากจิตใจของเราหรือยัง

ตอนนี้ จิตของเราเป็นกุศล หรือว่าอกุศล อันไหนควรจะเจริญ อันไหนควรละ ถ้าจิตของเราดี เราก็มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ตลอดเวลา รู้จักสำรวมอินทรีย์ ของตัวเราเอง ทุกคนมีกิเลสเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่จะมีมากมีน้อย ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ ตบะบารมี ของแต่ละบุคคล

เกิดเป็นคนมีบุญทุกคน
อยู่ที่ใครจะสานต่อบุญของตนในทางไหน

ทุกคนล้วนสร้างบุญมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราก็มาสร้างสานต่อ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำจิตให้เป็นบุญ รู้จักศึกษา รู้จักค้นคว้าสติ สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไร ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร ความสงบกาย วาจา เป็นอย่างไร ความปกติเป็นอย่างไร ไม่ว่าจิต หรือศีล ก็อยู่ที่จิตของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก


การสร้างบารมีต้องเสียสละอย่างแท้จริง

อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าไม่ถึงวาระ ถึงเวลา ก็ยากที่จะตกถึงกระแสธรรม ถ้าอานิสงส์บุญ บารมีของเราไม่เต็ม เราก็ต้องสร้างบารมีของเราไปเรื่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำ ถ้าคนไม่เคยสร้าง คนไม่เคยทำ ก็ยากที่จะระลึกนึกถึงได้ เราต้องพยายามสร้างอยู่บ่อยๆ ทำอยู่บ่อยๆ ให้ทานกับตัวเรา ให้ทานกับคนอื่น ให้อภัยทาน อโหสิกรรมอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอก มีอยู่นิดเดียว

บารมีทางสมมุติของเรายังไม่พร้อม บางทีภาระหน้าที่ ก็มาปิดกั้นเอาไว้ บางทีครอบครัวก็มาปิดกั้นเอาไว้ ครอบครัวก็ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์ บางทีภาระหน้าที่การงาน อันโน้นก็ยังติดขัด สารพัดเรื่องที่เขาจะมาปิดกั้นเอาไว้ บางทีกิเลสต่างๆ กายเนื้อก็ยังมาปิดกั้นดวงจิตของเราเอาไว้

ความคิดอารมณ์ก็ยังมาปิดกั้น ดวงจิตของเราเอาไว้ กิเลสต่างๆ ก็ยังมาปิดกั้นดวงจิตของเราเอาไว้ เราก็ต้องพยายามฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียร การที่จะขึ้นสู่ที่สูงได้ ก็ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นคนเสียสละ อย่างยิ่งยวด เสียสละจริงๆ เสียสละหมด เสียสละทั้งภายนอกภายใน


โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:19:24 น.  

 
เราเตรียมพร้อม
ที่จะแตกดับอยู่ทุกขณะจิต (แล้วท่านเล่า)

สำหรับอาตมา ก็เดินอยู่ตลอดเวลา ฝึกอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ฝึกมันก็เป็นอัตโนมัติของมัน เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เตรียมพร้อมตั้งแต่ยังไม่ได้บวช เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป กายแตกดับเมื่อไหร่ ก็เตรียมพร้อมตลอดเวลา

พวกเราพวกท่านพากันเตรียมพร้อมกันหรือยัง รู้จักช่องทางเดินให้จิตหรือยัง หาเครื่องดู ให้จิตของเราแล้วหรือยัง สร้างวิหารธรรมให้จิตหรือยัง ชำระสะสางกิเลสออกจากจิตของเราได้หมดแล้วหรือยัง ต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อม อาตมาเตรียมพร้อมหมด ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งภาระหน้าที่สมมุติ ก็เตรียมพร้อม และก็พร้อมให้กับญาติโยมด้วย ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ก็เพื่อให้ญาติโยม ได้มาฝึกหัดปฏิบัติให้ถึงจุดหมายปลายทาง

แต่ของอาตมานั้น เตรียมพร้อมตลอดเวลา แม้แต่ร่างกายของอาตมา ถ้าแตกดับเมื่อไหร่ ก็คงไม่ให้ใคร ยากลำบากเท่าไหร่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เตรียมพร้อม แม้แต่โลงศพ ก็ยังเตรียมเอาไว้ แท่นเผา ก็เตรียมเอาไว้ แม้แต่ที่เก็บกระดูก เก็บเถ้าถ่านต่างๆ อาตมาก็เตรียมไว้หมด แม้แต่ฟืนเผาก็เตรียมพร้อม ถ้าถึงวาระเวลา ก็เพียงแต่ จับมารวมกันแล้วเผา เท่านั้นเอง คงจะยกแต่ร่างขึ้นเผา


ก่อนจะแสวงหาธรรม ต้องทำที่ตัวเองก่อน

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องความทุกข์ ถ้าเรารู้สาเหตุแห่งทุกข์ เราดับทุกข์ได้ เราคลายทุกข์ได้ ความสุขเราไม่ต้องการ ก็จะเกิดขึ้นมาเอง เวลานี้ จิตของเรายังหลงอยู่ต้องพากันขยันหมั่นเพียร อย่าไปปิดกั้นตนเองว่า ไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสมีเวลา เพราะว่ายังมีลมหายใจอยู่ ยังมีกำลังอยู่ อย่าไปเลือกกาล เลือกเวลาโน้น จะปฏิบัติเวลานี้ จะปฏิบัติ เราปฏิบัติได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปนุ่งขาว ห่มขาว ไปอยู่วัด ถึงเป็นการปฏิบัติ เราก็อยู่บ้านนั่นแหละ ดูกายวาจาของเราเป็นอย่างไร เราอยู่กับบ้าน อยู่กับครอบครัว เราเคยโกรธ ความโกรธของเราลดแล้วหรือยัง

เราเคยเกิดความทะเยอทะยานอยาก เราละได้หรือยัง ทีนี้เราเพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบ ด้วยสติปัญญาให้มากขึ้นๆ รู้จักหน้าที่ รู้จักแก้ไข จากน้อยๆ ไปหามากๆ ตรงไหนมันรั่ว ตรงไหนมันไม่ดี ก็รีบแก้ไขเสีย

บุคคลที่มีสติ มีปัญญาฟังนิดเดียวไปเดินลอยอยู่ฝั่งโน้นซะแล้ว ไม่ต้องให้ใครคนอื่นเขาเคี่ยวเข็ญ ขนาบแล้วขนาบอีก ถ้าคนมีสติปัญญามีกิเลสที่เบาบาง สร้างตบะบารมีมาดีว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว



กำลังสติของเราต้องตามหาเหตุ หาผล จนจิตยอมรับความจริงได้ เขาถึงจะวาง ทีนี้จิตจะเกิดกิเลส ก็มาดับที่จิตอีก กิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละคนมองข้าม จะไปเอาแต่กิเลสตัวใหญ่ๆ ตัวไหนมันเกิดก่อน ก็เอาตัวนั้น ทำตัวนั้น

ความคิดมันเกิดขณะนี้ เราก็ดับตัวนี้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ กิเลสต่างๆ จากละเอียดลึกลงไป เรามีความอิจฉาริษยา หรือไม่ เรามีความตระหนี่ถี่เหนียวหรือไม่ มองโลกในทางที่อคติ เป็นมลทินหรือไม่ เราต้องพยายามกำจัด สะสางออกไป



โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:21:01 น.  

 


เมื่ออยู่ในสภาวธรรม
แม้ทำงานเราก็มีความสุข (จิตผ่อนคลาย)


เมื่อเจตนาดี ถึงมีอุปสรรคก็ฝ่าฟันไปได้

ทุกคนก็พยายามสร้าง ประสบการณ์ใหม่ อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้อาตมาจะเล่าให้ฟังอย่างนี้ได้ ก็รับจากทุกสิ่ง ทุกอย่าง ในตอนที่ไปอยู่ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ เพื่อสร้าง ประสบการณ์ หาประสบการณ์ บางทีงูเหลือมตัวใหญ่ๆ เข้ามาลูบข้าง ลูบเอว เข้ามารัดก็มี อยากจะกินก็กินไม่ได้ ว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้

เกิดเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง ไปเจอะเจอวิญญาณต่างๆ พระพรหมต่างๆ ก็เยอะ ช่วงที่อาตมาไปมุกดาหาร ได้ไปสร้างวัดไว้ อยู่บนภูเขา อันนั้นก็วิญญาณของเทพ มานิมนต์ให้ไปช่วยสร้างวัดให้ ก็เลยรับนิมนต์ไปสร้างให้ บนยอดภูเขา จนสำเร็จลุล่วงไป น้ำไม่มี น้ำแห้งแล้งกันดาร ก็เจาะน้ำบาดาลขึ้น แล้วตั้งแต่ไปอยู่บนยอดภู เอาไม้ของชาวบ้าน ที่ถวายไปสร้างทำอะไรต่างๆ

หน่วยอนุรักษ์ต่าง ๆ หรือหน่วยฟื้นฟู หน่วยอะไรต่างๆ แบกปืน เอ็ม 16 ใส่รถขึ้นไป จะไปจับไปล้อม กองไม้เอาไว้ จะไปจับอย่างเดียว ก็จับไม่ได้ บอกเขาว่า ที่มาสร้างมาทำนี่ ก็เพื่อมาสร้างให้เป็นแหล่งบุญ แหล่งกุศล ประโยชน์ให้ชาวโลก อย่ามาขัดขวางตรงนี้ ให้ดูที่แรงบุญ แรงกุศล ให้ดูที่เจตนา เราไม่ได้มาทำลาย

ถึงเรามาสร้างมาอยู่ ก็เพื่อจะให้เกิดประโยชน์ ต่อส่วนรวม ยิ่งต้นไม้อะไรต่าง ๆ ยิ่งจะปลูกให้มากกว่านี้ มีแต่จะจับอย่างเดียว จะให้เข้าตารางอย่างเดียว บอกไม่เชื่อฟัง ก็เลยอธิบาย เปรียบเทียบให้เขาดูว่า ตำรวจที่อยู่ตามถนนหนทาง ตำรวจทางหลวง รถที่วิ่งไปวิ่งมานั้น โบกให้เขาจอด รถโบกให้เขาหยุด ผิดหรือไม่ผิด ก็ยัดข้อหาให้เขาผิด รถชนตายเกลื่อนถนนเลยนะ ก็บอกอย่างนั้น

พอพูดเท่านั้น ฟ้าก็ผ่าลงมา เขาก็เลยกระโดด ไปคนละทาง วางปืนกันหมดเลย ก็เลยถามเขาว่า จะเอายังไง เขาก็บอกว่า ให้หลวงพ่อสร้างไปเถอะ ให้เสร็จ ถ้าไม่เสร็จ ไม้ที่อุทยาน ก็เยอะ จะเอาขึ้นมาช่วย แล้วท่านก็เอาขึ้นไปช่วย ไปสร้างวัด ทุกวันนี้ น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ขึ้นไปบนยอดเขานี้ มองเห็นธรรมชาติหมด

เปลี่ยนดินแดนผีพนัน ให้หันหน้าเข้าหาธรรม

น้ำไม่มี ก็เจาะน้ำบาดาล ขนาดชาวบ้านอยู่แถวนั้น เขาเจาะตั้ง 7-8 ที่ ก็ยังไม่เจอน้ำ ได้หน่วยเจาะ จากจังหวัดอุบลฯ มาช่วยเจาะให้ เขาก็เอาแผนที่มากางว่า มีแหล่งน้ำไหม เขาบอกว่า มาช่วยหลวงพ่อเฉย ๆ พอเขาขึ้นไปเจาะ ชาวบ้านก็ลงพนันขันต่อกัน ร้อยเอาสิบ พันเอาร้อย ว่าไม่เจอน้ำแน่

เพราะชาวบ้านทางโน้น เล่นการพนันกันเยอะ เป็นชาวบ้านที่เป็นผู้ก่อการร้ายเก่า เป็นคอมมิวนิสต์เก่า ฐานของตำรวจก็อยู่ที่นั่น ก็มี ฐานเฮลิคอปเตอร์ ฐานเครื่องบิน อยู่ที่หมู่บ้านเจ็ดนางดงหลวง เลยเขาวงขึ้นไปทางดงหลวง เลยแยกอนามัยเข้าไป ในหมู่บ้านลึกเหมือนกัน เหมือนกับเมืองๆ หนึ่ง เป็นเมืองที่ปิดบังเอาไว้ น่าอยู่มากทีเดียว ภพภูมิก็ดีมากทีเดียว

แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะอยู่ได้ ใครไปอยู่ตรงนั้น บางทีตายก็มี บางทีอยู่ไม่ได้ก็มี ตอนอาตมาขึ้นไปนี่แหละ ที่วิญญาณต่างๆ ถึงได้มานิมนต์ ให้ไปช่วยสร้างวัดให้ ก็เลยรับปาก เลยได้ไปสร้างวัด จะเอาอะไรได้หมด จะเอาน้ำก็เอาเครื่องมาเจาะน้ำ ก่อนจะถึงวันเจาะ น้ำก็ลงมาอยู่วัดของเรานี่แหละ ก็ยังมาคิดว่า เราจะได้พระประธานองค์ไหน ไปตั้งเอาไว้ให้ญาติโยม ได้กราบไหว้ สักการบูชา

ก็เลยเอาพระปางห้ามญาติ เพราะคนแถวโน้น ไม่ค่อยจะถูกกัน คิดว่าจะเอาเงินสักสองหมื่นบาท ไปซื้อน้ำมันให้หน่วยเจาะ จะเอาเงินที่ไหน เพราะไม่มีสักบาท พอระลึกนึกถึงอยู่ในใจเท่านั้น ประมาณ 10 นาที ก็มีโยมคนหนึ่ง มาจากกรุงเทพฯ นั่งเครื่องบินมา แล้วก็ถือกระป๋องสังฆทาน พร้อมกับพระพุทธรูป ปางห้ามญาติ 2 องค์

โยมบอกว่า จะมาทำบุญกับหลวงพ่อ เอาพระปางห้ามญาติมาถวาย และมาคุยธรรมะกับหลวงพ่อด้วย ประมาณสักชั่วโมงหนึ่ง เขาก็ถามว่า หลวงพ่อมีอะไรจะสร้างไหม หนูจะถวายปัจจัยให้หลวงพ่อ สักห้าหมื่น ก็เลยบอกโยมไปว่า พอดีจะหาปัจจัย ไปซื้อน้ำมันไปช่วย หน่วยเจาะที่บนภูมุกดาหาร โยมจะถวายห้าหมื่น

หลวงพ่อก็เลยบอกว่า รับไม่ได้นะห้าหมื่น คงจะรับสองหมื่นก็พอ เพราะปรารถนาอยู่แค่สองหมื่น โยมก็งงเหมือนกัน จะถวายห้าหมื่น แต่อาตมารับไว้แค่สองหมื่น โยมก็ไปเบิกตังค์มาให้ แล้วก็ขึ้นไปหาหน่วยเจาะ หน่วยเจาะได้เจาะน้ำ ตั้งแต่เช้า ถึงบ่ายสามโมงเลย ฝุ่นนี้คลุ้งกระจายไปหมด อาตมาก็ไปยืนดูอยู่ คิดในใจว่า ถ้าไม่เจอน้ำ นี่ผิดหวังแน่ เพราะว่าจิตของคนแถวนั้น มีแต่การพนันขันต่อ มีแต่มิจฉาทิฐิ มีแต่ความเห็นผิด ทำยังไงหนอ ถึงจะทำให้จิต ของญาติโยม แถวนี้เป็นบุญกุศลได้

ถ้าไม่เจอน้ำ ก็ทำให้คนจิตเป็นบาปเยอะเลย อาตมาก็เลยอธิษฐานจิตว่า ….ด้วยจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ขนาดนี้ ขอให้ได้เจอน้ำเถอะ น้ำก็ผุดขึ้นมาเลย …เจาะได้ 73 เมตร น้ำก็ผุดขึ้นมา เจาะลึกลงไป 100 เมตร น้ำนี่ใสดื่มได้เลย สะอาดเย็น และก็ไม่เคยขาด ทุกวันนี้ก็ไม่มีขาด จ่ายได้ทั้งภูเลย ชาวบ้านเขาไม่ได้เรียกว่า น้ำบาดาลนะ เขาเรียก น้ำพิสดาร

พอได้น้ำเสร็จ อาตมาก็คิดว่า จะไปสร้างองค์หลวงปู่ใหญ่ อยู่ที่บนภู จะขึ้นไปจำพรรษาที่นั่นด้วย ปีนั้นปรารถนาจะไปสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ แต่ไม่มีเงินสักบาท แต่ว่าจะไปสร้าง และอยู่จำพรรษาที่นั่น ออกพรรษาก็คงจะมี งานกฐิน พอที่จะได้สร้างพระ ไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ ก็เลยพูดกับพระแถวนั้นว่า ถ้ามีเงินสักสามหมื่นนี่ ทำแท่นพระข้างล่างเสร็จไหม ไม่ถึง 3 วัน มีคนเอาตังค์ 3 หมื่นมาถวายให้ ก็ได้ทำแท่นพระเสร็จ พอทำแท่นพระเสร็จ ก็คิดอีกนะว่า ถ้ามีตังค์สักแสนหนึ่ง ได้สร้างองค์หลวงปู่ใหญ่เสร็จแน่ๆ ภายในหนึ่งอาทิตย์

ก็มีโยมเอาเงินไปถวายให้อีก ก็ได้สร้างพระ แล้วก็มีโยมเป็นด็อกเตอร์ อยู่ที่สวนสุนันทา ขึ้นไปปฏิบัติธรรมด้วย โยมก็ถวายเงินทำบุญกับอาตมา อาตมาอยากไปทำบุญที่ไหน โยมเขาจะถวายให้ อาตมาบอกว่า แพงนะ เพราะตอนนี้วัดกำลังจะสร้างเมรุเผาศพอยู่ข้างล่าง ที่วัดร้างนั่นแหละ ยังขาดเงินอยู่ประมาณ 3 แสน

เขาก็ว่า เท่าไหร่ผมก็จะถวายให้ โยมก็เอาเงินมาถวาย 3 แสน แล้วก็นิมนต์อาตมา ลงมาข้างล่าง ก็เลยไม่ได้ขึ้นจำพรรษาที่นั่น ขึ้นไปวันที่ 11 ก็ลงมาวันที่ 11 เดือนหนึ่ง เต็มๆ พอขึ้นไปอีกเที่ยวหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่ ก็เลยมากราบบอกว่า หลวงพ่อ น้ำก็ได้ หลวงปู่ใหญ่ก็ได้ ยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง พวกผมขอหลวงพ่อหน่อย ก็เลยถามว่า โยมจะเอาอะไร

เขาก็ว่า พวกผมอยากจะได้ ไฟฟ้าขึ้นบนภู อาตมาก็ว่า เอ้า ...อยากจะได้ ก็ตกลง พอตกลงเท่านั้นแหละ เช้าๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไปขอไฟ ตกบ่ายๆ อาตมาก็ให้รถลงมาข้างล่าง เพราะว่าไปอยู่ใน กลางป่า กลางเขา ลงมาประมาณสัก 50 กว่ากิโลฯ ลงมาที่ตีนเขาวง อาตมาก็เดินขึ้นไปนอนอยู่บนเขา กับลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ข้างบนนี่ ทั้งลมหนาว ต้องก่อไฟผิงทั้งคืน พอตอนเช้าอาตมาก็เปิดโทรศัพท์เอาไว้ เสียงโทรศัพท์สายแรก ที่โทร ไปหาอาตมา หลังจากเปิดเอาไว้ ไม่ถึงครึ่งนาที เสียงในโทรศัพท์บอกว่า ….ผมมากราบหลวงพ่อ ผมไม่เจอหลวงพ่อ ผมจะขึ้นไปกราบที่มุกดาหารนะ

อาตมาก็ถามว่า โยมมาจากไหน เขาว่าผมอยู่ที่อุบลฯ ซึ่งเด็กคนนี้ สมัยเป็นนักเรียน เขาเคยมาอยู่กับอาตมา เคยมาฝึกปฏิบัติ พอเรียนจบแล้ว ก็กลับมาบวช แล้วก็ ไปทำงาน ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ตอนหลังก็ไปมีครอบครัว 11-12 ปี ที่ไม่ได้เจอกัน

อาตมาก็ถามว่า ไปวัดถูกไหมล่ะ ไปถูกครับ มีบริวารเยอะแถวนั้น อาตมาก็ถามว่า บริวารอะไร เขาก็ว่า ผมเป็นหัวหน้าการไฟฟ้าอยู่เขตนั้น นี่ 12 ปีนะ ที่ไม่ได้เจอกัน แล้วเขาก็เลยขึ้นไปหาอาตมาที่ ภูบ้านไร่ แล้วก็เลยบอกให้เขา เอาไฟฟ้าขึ้นให้ ก็เลยเขียนเรื่องไปบอกหมู่ บอกคณะ แล้วก็ส่งหนังสือไปทางกรุงเทพฯ ก็ได้รับอนุมัติภายใน 2 เดือน ก็เดินสายไฟ ขึ้นไปบนยอดเขา 2 กิโลฯ กว่าๆ ชาวบ้านก็พนันขันต่อ กันอีกเหมือนเดิมว่า ขอเป็นปี สองปี ก็ยังไม่ได้ แค่เดือนจะมาได้ยังไง พอเห็นเสาไปลง สายไปลงนั่นแหละ ถึงได้รู้กัน

ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศล

นี่แหละ อานุภาพแห่งบุญ อานุภาพแห่งกุศล และเทพเทวดา ก็คอยอนุโมทนา คอยช่วยเหลือตลอดเวลา หลายสิ่งหลายอย่าง ที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งไปเที่ยวธุดงค์ ก็ยิ่งเห็นเยอะ วิญญาณที่ดีก็มี วิญญาณที่ประสงค์ร้ายก็มี แต่ก็สู้คุณงามความดีของเราไม่ได้ เราไม่มีอคติ ไม่โต้ตอบ มีแต่แผ่เมตตาให้ ก็มีแต่ความสุข ความเยือกเย็น วันแรกๆ นี่เขาจะมาทดสอบเรา วันต่อไปก็มีแต่เครื่องหอมมาให้ มาถวาย ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

อยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน มาวันแรก เขาก็มาเล่นงานอาตมาเหมือนกัน อยู่ที่ป่าช้า สมัยก่อนยังไม่มีอะไร ทั้งเผา ทั้งฝังเต็มไปหมด ระเกะ ระกะไปหมด ทั้งป่ารก ป่าหนา อาตมาอยู่องค์เดียว อยู่ตามโคนไม้ ตามหลุมศพ มาวันแรก เขาก็เล่นงานอาตมา กระโดดมาจะฆ่าอาตมาอย่างเดียว อาตมาแผ่เมตตาให้ เขาก็ไม่เอา ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีหนึ่ง ตีสอง ถึงได้หายไปเฉยๆ



โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:23:25 น.  

 
จิตเป็นธรรมตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก

สมัยก่อน จิตของวิญญาณต่างๆ ก็เป็นมิจฉาทิฐิ กว่าจะคลายลงไปได้ก็ลำบาก เราเหมือนกัน สมัยก่อนก็ไม่มีใครฝึกหัดปฏิบัติ มีอาตมาองค์เดียวที่ออกมาอยู่ป่า อยู่เขา เพราะว่าอะไร เพราะจิตของอาตมามันว่างตั้งแต่เป็นฆราวาส ว่างมาตั้งแต่เป็นเด็ก 6-7 ขวบ ก็ว่างแล้ว ก่อนที่จะออกบวช ก็ปลงขันธ์ห้าได้หมดแล้ว

แต่ไม่รู้ว่า จิตของตัวเองเป็นธรรม เพื่อที่จะมาแสวงหาธรรม พอบวชได้ประมาณ 17-18 วัน จิตก็เลยดีดออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ร้องอ๋อขึ้นมา เราลองใช้ความคิดแค่นี้เอง ให้จิตเราว่าง พอปลงผมวันแรก สติก็สั่งเลย ให้เราหาเครื่องอยู่ให้เจอ ถ้าหาเครื่องอยู่ไม่เจอ การบวชเป็นพระก็จะลำบาก

ก็เร่งทำความเพียรตั้งแต่วันแรก ยิ่งเห็นแล้วก็ยิ่งเข้าใจ แล้วก็ยิ่งสร้างความเพียร หนัก ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำตามความเข้าใจ เดินปัญญา ละกิเลส ตรงนี้สำคัญ การดับการละของพวกเราไม่มี แล้วจะไปแสวงหาแต่ธรรมจะได้ยังไง การแยกรูป แยกนามของเราไม่มี จะเข้าใจเรื่องจิตได้ยังไง

สติก็ยังไม่รู้จักสร้าง มันจะไปได้ยังไง สร้างสติให้ต่อเนื่อง รักษาสติให้ต่อเนื่อง รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักทำความเข้าใจ อยู่ตลอดเวลา แล้วเป็นคนขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถ้าคนเกียจคร้าน จ้างก็ไม่เข้าใจ ก็จะไม่รู้ ไม่เห็น อยู่คนเดียวก็หมั่นวิเคราะห์ แก้ไข ปรับปรุง ความทุกข์เกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต มันเป็นอย่างไร เราต้องศึกษา ค้นคว้าให้ละเอียด นิวรณ์ธรรมต่างๆ เป็นอย่างไร ความว่าง ความสงบเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษา ไม่ค้นคว้า แล้วใครจะทำให้เราล่ะ

ธรรมนั้นมีอยู่ประจำโลก จิตของเรานั้นคือองค์ธรรม

แม้แต่จับชายจีวรของพระพุทธองค์อยู่ ถ้าเราไม่ศึกษา ไม่สนใจ เราจะไปเข้าใจได้อย่างไร ธรรมะนั้น มีอยู่ประจำโลก พระพุทธองค์ ท่านเป็นคนค้นพบ เราถึงยกไว้สู่ที่สูง เป็นบรมศาสดา ท่านเอามาจำแนกแจกแจง ธรรมะนั้นก็มีอยู่ประจำโลกกัน จิตของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม

แต่เวลานี้ก็ยังหลงอยู่ ยังหลงเกิด ยังหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็ต้องพยายามคลายออกให้มันหมด พวกกิเลสที่มาทีหลัง เพราะจิตเดิมแท้นั้นมันไม่มีกิเลสหรอก สะอาด บริสุทธิ์ ก่อนที่จะคลายกิเลสได้ บารมีของเราต้องเต็มเปี่ยม ความเสียสละของเราต้องเต็มเปี่ยม เอาออกให้หมด อย่าไปกลัวอด กลัวลำบาก ยิ่งเอาออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเยอะ คลายออกให้มันหมด ก็จะรู้ความเป็นจริง แต่พวกเราไม่ยอมคลาย อาจจะคลายอยู่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่คลายหมด ต้องคลายออกให้มันหมด คลายความคิด คลายอารมณ์ คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายกิเลส สำรอกกิเลส ออกให้หมด ทีนี้ เราจะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ ก็ไปทำหน้าที่แทนทุกสิ่งทุกอย่าง

ปรารถนาให้ญาติโยมหมั่นปฏิบัติ

ญาติโยมท่านใดมีโอกาส อยากไปฝึกปฏิบัติ ก็ขอเชิญมาที่นี่ก็ได้ หรือจะไปที่มุกดาหารก็ได้ บนภูบ้านไร่ ที่นั่นบรรยากาศดีมากทีเดียว หรือจะไปที่เขาใหญ่ วัดถ้ำสันติธรรม อาตมาก็มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ที่นั่น ไปซื้อที่ ขยายที่เอาไว้ ให้ปลูกต้นไม้ครบ 4-5 ไร่ ตรงหน้าถ้ำก็น่าอยู่ เหมือนกัน

มีโอกาสจะไป พังโคน ได้สร้างวัดเอาไว้ที่พังโคน เลยพังโคนไปทางวานรนิวาส ประมาณ 15 กิโลฯ พระฝรั่งท่านซื้อที่ถวาย เอาไว้ประาณ 300 กว่าไร่ ก็สร้างวัด สร้างอะไรอยู่ที่นั่น ซึ่งก็น่าปฏิบัติเหมือนกัน


ปกติอาตมาไม่ค่อยอยากจะพูด พูดน้อย แต่เหตุการณ์สมมุติให้พูดถึงได้พูด ไม่อยากจะพูดเลย ถ้าพูดตามความจริง อยากจะดูอยู่เฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

วันนี้ก่อนที่จะรับประทานอาหาร จิตนิ่งหรือเปล่า หรือว่าจิตเกิดความอยาก กายหิว จิตเกิดความอยากไหม จิตถึงบ้าน วันละกี่เที่ยว เราปรับปรุงแก้ไข ตัวเราเองได้แล้วหรือยัง เราเคยใช้อารมณ์กับแม่บ้าน กับหมู่ กับคณะ กับเพื่อนฝูง เรารู้จักสงบ รู้จักนิ่ง มีเหตุผลหรือไม่ เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์แก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง

วันนี้อาตมาขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญ


โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:24:43 น.  

 
ตัวอย่างคำสอนหลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร
ที่ควรใช้โยนิโสมนสิการ (การพิจารณาโดยแยบคาย) และนำไปปฏิบัติ
- ให้กำหนดดูลมหายใจเข้า ออก กระทบปลายจมูก ทั้งผ่านเข้า และผ่านออก
- อย่าส่งจิตออกนอก ถ้ามันออกไป ให้รีบดึงกลับคืนมา
- ถ้าควบคุมจิตยากลำบาก ให้ใช้สมถะข่มไว้ (สร้างสติตามรูปแบบ)
- ให้ดูอาการของจิต (สิ่งที่เกิดกับจิต) ตลอดเวลา (ใช้ตาปัญญา)
- เมื่อมีความอยาก ความต้องการ อย่าเพิ่งเอาทันที ดูให้เห็นชัดก่อนจึงเอา (ดูจนกว่าจะหายอยาก)
- การเสียสละที่ดีกว่า คือการสลัดกิเลส (สิ่งเศร้าหมอง) ออกจากจิต
- ต้องเป็นผู้ให้ หรือเป็นผู้ไม่เอา จึงจะเป็นผู้ได้ ถ้าอยากเอาจะไม่ได้
- สมมุติ กับวิมุติต้องไปด้วยกัน คือกายทำตามหน้าที่สมมุติ แต่จิตใจไม่หลงยึดติดในสมมุติ (ปล่อยวางทางใจ เพื่อให้จิตว่าง โดยมิได้วางมือ)
- ให้แยกรูป แยกนาม หรือแยกจิตออกจากขันธ์ห้า โดยไม่ให้ขันธ์ห้า มีอำนาจเหนือจิต (ไม่มีอุปาทานยึดมั่นในขันธ์ห้า)
- การปฏิบัติ ต้องปฏิบัติตลอดเวลา ไม่เลือกเวลาและสถานที่ โดยทำบ้านให้เป็นวัด ทำจิตใจให้เป็นพระ ทำอยู่ที่ไหน เมื่อไรก็ได้
- ผู้เห็นจิตจึงเห็นธรรม ผู้เห็นธรรม จึงเห็นพระพุทธเจ้า (เห็นด้วยปัญญา)
- ตำราและอาจารย์ตัวจริง คือตัวเรา ส่วนตำราและอาจารย์อื่น เป็นเพียงผู้บอก ผู้แนะ ถ้าหากตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ไม่เห็นตัวเอง ก็ยังไม่รู้อะไรเลย
- สิ่งที่เห็น ที่ได้ยินเป็นต้น มิใช่เขามารบกวนเรา ที่จริงจิตของเราวิ่งออกไปรับมาเอง (แก้ปัญหาที่จิตเรา)
- การเดินต้องเห็นขา และเท้าตัวเองทุกก้าว โดยมิได้ก้มดู
- ขณะมาอยู่วัด ให้สังเกตดูจิต เขาไปเยี่ยมบ้านหรือเปล่า ถ้าเขาไปกี่ครั้ง พยายามควบคุมไว้ ไม่ให้เขาไป
- ไม่ควรสนใจงานอื่น หรือบุคคลอื่น ที่เป็นเหตุให้เสียเวลา ดูจิตของตน
- เวลาจะเข้าห้องน้ำ ให้ตรวจดูก่อน จึงเลือกเข้าห้องที่สกปรกที่สุด เพื่อจะได้มีงานทำเพิ่มขึ้น และอย่าลืมนึกขอบคุณ ผู้ที่สร้างงานไว้ให้เราได้มีงานทำ (เราเป็นคนไม่ตกงานเพราะเขา) ฯลฯ



โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:26:24 น.  

 
คุณสมบุญ นามวงศ์
หลวงพ่อผู้มีแต่ให้
รู้จักหลวงพ่อมานานแล้วค่ะ รู้จักตั้งแต่เป็นฆราวาส หลวงพ่อท่านมีพี่น้อง 5 คน แต่ตายไปคนหนึ่ง พี่มาอยู่ปฏิบัติกับท่าน 20 กว่าปี ได้ซาบซึ้งในธรรมของท่าน แล้วปฏิปทาท่านเป็นผู้เสียสละ มีแต่ให้ แล้วก็มีแต่ทำ

ทำอะไรก็ไม่เคยหวัง จะได้ จะเอาอะไรจากใคร แล้วก็ไม่เก็บสะสมอะไร ใครเอาของมาบริจาค มาถวาย ท่านก็ทำทานต่อ แรกๆ ที่ท่านมาที่นี่ เป็นป่ารกมาก เพราะเป็นป่าช้า ท่านชอบความสะอาด ความเป็นระเบียบ มันถูกกับจริตของพี่

ทำไมท่านมีแต่ทำ ปกติพี่ก็เห็น ก็อยู่กับพระธุดงค์มาเยอะ ก็สังเกตว่า ท่านทำอะไร ทำไมท่านดูแปลกกว่าทุกองค์ที่ผ่านมา ในป่าช้านี้ ทำความสะอาด เก็บใบไม้กิ่งไม้ ใบหญ้ามันรกมาก แล้วก็มีแต่หลุมศพ เต็มไปหมด เรียงรายกันอยู่ ท่านก็ทำของท่านไป แล้วเวลาสอนธรรมะ ท่านก็สอนแต่ธรรมชาติ

หลวงพ่อท่านจะรักต้นไม้ ปลูกต้นไม้ แต่ที่นี่ปลูกอะไรก็ไม่ค่อยโต เพราะมันแห้งแล้งกันดาร ปลูกกี่ชุด กี่ชุด ก็ไม่เหลือ หลังๆ ท่านก็ปลูกต้นไผ่ ทำแต่งาน พี่ไม่ค่อยเห็นท่านเดินจงกรมนะ แต่ก็มีแต่หลักธรรมมาสอน สอนธรรมะแบบธรรมชาติมาตลอด ญาติโยมมาก็สอนคำเก่านี่แหละ หลายปี หลายชาติ ก็สอนแบบนี้

ท่านบอกว่าธรรมของท่านมันทำง่าย เพราะตัวท่านก็ทำมาแต่เด็กๆ ท่านให้ทาน ใครมาขออะไรท่านให้หมดถึงไม่ขอ ท่านก็ให้ แล้วก็ไม่เก็บสะสมอะไร ที่กุฏิท่าน ไม่มีอะไรเลย มีแต่ผ้าสบง จีวรที่จำเป็นต้องใช้ คือมันผิดกับองค์อื่น ที่พี่เคยเห็น หรือ เคยสัมผัสมา ท่านมีแต่เสียสละ แล้วประทับใจหลวงพ่อตรงที่ ท่านไม่ให้พูดเรื่องคนอื่น ให้ดูตัวเอง ให้พิจารณาดูตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้น

ถ้าตาเห็นรูปข้างนอก อย่าไปอคติ อย่าไปเพ่งโทษ ให้ดูตัวเองว่า จิตไปเพ่งโทษเขาไหม จิตมันมีอคติไหม จิตมันมีรอยมลทินไหม ประทับใจที่สุดคำนี้ เพราะดูๆ ไป มันก็จริงอย่างที่ท่านสอน เรายังติดขัดตรงไหน ท่านก็แก้ ท่านก็บอก ช่วงเช้า ท่านจะเทศน์ทุกเช้า ก่อนที่จะฉันข้าว จะอบรมธรรมะก่อน ให้ทำสมาธิแบบธรรมชาติ ทำอะไรก็ตามธรรมชาติ ให้ธรรมชาติที่สุด เดินก็ให้เป็นธรรมชาติ

ให้รู้อริยาบถ รู้กาย รู้จิต แล้วก็ให้หันมาดู ความปกติของจิต ทำยังไงถึงจะปกติ สอนการให้อภัยทาน อโหสิกรรม เมตตา เพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกัน ทุกคนเสมอภาคกันหมด มีธรรมชาติหมดทุกคน เพียงแต่เขา ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ฝึกสติของเขาเท่านั้นเอง

ให้สงสารเมตตาเขา เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านให้ความเมตตา เหมือนกันหมด ไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง ถ้าเข้ามาในวัดนี้ ท่านให้ละอัตตาตัวตน ตรงนี้แหละ มันถูกกับจริตพี่ พี่อยู่วัดประจำทุกวัน เป็นโยมอุปัฏฐากท่าน


โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:27:48 น.  

 

ในความทรงจำของศิษย์คนหนึ่ง
อ.คำดี จุลโสม (พ่อครู)

วัดป่าหรือสำนักสงฆ์ธรรมอุทยาน ตั้งอยู่ที่ป่าช้าของหมู่บ้านสำราญ และบ้านเพี้ยฟาน ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เรื่องเดิมก่อน พ.ศ.2527 ข้าพเจ้าไม่ทราบชัด จึงไม่สามารถ จะนำมาเล่าได้ ทราบเพียงว่า ช่วง พ.ศ.2527 ที่ป้าช้าของหมู่บ้านนี้ มีพระธุดงค์ มาพักเป็นประจำ แต่ไม่ถาวร มาอยู่เพียงเวลาสั้นๆ

ในปีแรกที่ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อสำราญ เป็นช่วงเวลาที่ท่านกลับจากจำพรรษาที่วัดถ้ำแสงเพชร จังหวัดอำนาจเจริญ แล้วเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ได้กลับมาเยี่ยมญาติในหมู่บ้านเพี้ยฟาน และได้มาพักในป่าช้าแห่งนี้ตามนิสัยของพระธุดงค์ ในปี พ.ศ.2527 นั้น

ข้าพเจ้าเป็นประธานกลุ่มโรงเรียน กลุ่มสำราญ โดยสำนักงานตั้งอยู่ที่โรงเรียนบ้านสำราญ จึงได้นำคณะกรรมการกลุ่มโรงเรียนมาประชุมที่ศาลาพักศพในป่าช้านี้ และมีโอกาสได้พบท่านโดยบังเอิญ ต่อมาได้พยายามมาหาท่านบ่อยๆ เมื่อได้รู้จักท่านดีแล้วก็เกิดศรัทธาในตัวท่าน

คืนแรกที่ข้าพเจ้าได้มาพักค้างคืนในป่าช้าแห่งนี้ ท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปอยู่ในกระท่อมเล็กๆ กลางป่าช้า ภายในกระท่อมมีแคร่ไม้ไผ่ คร่อมหลุมศพที่เขาก่ออิฐก่อปูน มีรู และมีกลิ่นด้วย คงจะเป็นที่พักของท่านเพราะมีมุ้งกลดของท่านกางไว้ ท่านคงสละให้ข้าพเจ้าพัก ส่วนท่านไม่ทราบว่าไปพักที่ไหน ในคืนนั้น หลังเที่ยงคืนจึงได้หลับนอน เพราะเจอประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ข้าพเจ้ามีความตั้งใจอยากให้ที่นี่เป็นวัด จึงได้มาคลุกคลีกับท่าน เริ่มต้นบุกเบิกกับท่าน อยากให้ท่านอยู่เป็นหลัก ท่านเคยชักชวนให้ข้าพเจ้าบวชหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าไม่รับคำชวนจากท่าน เพราะเกรงว่าท่าน จะมอบงานให้แล้วท่านจะหนีไป

สำหรับคำว่า ธรรมอุทยาน แปลเอาความว่า สวนธรรม หรือสวนแห่งพระธรรม ขณะนี้เห็นเด่นชัดตามชื่อ เพราะในสวนธรรมแห่งนี้กำลังผลิดอกออกผลให้เหล่าพุทธบริษัททั้งไกล และใกล้ ได้เก็บหมากผลอย่างเต็มอิ่ม (ยกเว้นประเภทมดแดงเฝ้ามะม่วง)


สำหรับปฏิปทาของหลวงพ่อ มีดังนี้

1. ท่านเป็นผู้ให้ ไม่เป็นผู้เอา คือท่านไม่มีความโลภ ความอยากได้ มีแต่การให้ การเสียสละ ไม่มีความต้องการ เอาเฉพาะสิ่งพอดี และจำเป็นกับชีวิตเท่านั้น ท่านถือคติที่ว่า ผู้ชอบเอาจะไม่ได้ ผู้ได้ คือผู้ไม่เอา ผู้ให้คือผู้ได้รับ

ที่ข้าพเจ้าซึ้งมากอีกประการหนึ่งคือ ได้มาเห็นภาพปริศนาธรรม ที่ท่านทำติดไว้ ขณะนี้ ยังมีให้เห็น อยู่ที่ฝาผนังศาลาอเนกประสงค์ มีคติเตือนใจว่า “คนแบกโลก” ดูภาพแล้ว มันถูกกับชีวิตจริงๆ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ได้วางหน้าที่ทางโลกหลายอย่าง เหลือไว้เพียงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่อย่างเดียว ทำให้งานเบา สบายขึ้นเยอะ

2. ท่านสอนให้ห่วงตัวเองก่อน จึงช่วยคนอื่นทีหลัง ขณะได้ฟังท่านครั้งแรก คิดว่าท่านสอนให้เป็นคนเห็นแก่ตัว หรือใจแคบ แต่เมื่อนำมาคิดให้ละเอียดแล้ว เป็นความจริง คือคนที่แก้ปัญหาตัวเองได้แล้ว จึงช่วยแก้ปัญหาคนอื่นได้ ตรงกับคติธรรมที่ว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ได้ดีกว่าการสอน การให้กระทำเองดีกว่า การให้พร จึงเห็นได้ชัดว่าท่านสอนโดยเน้นการปฏิบัติมากกว่า ให้ดูตัวเองตลอดเวลา ไม่ให้มองคนอื่น ใครชั่วดีช่างเขา ให้จิตของเราเย็นเป็นพอ ทำจิตของเราให้สะอาดดี แล้วจึงจะช่วยผู้อื่นได้ง่ายขึ้น

ท่านสอนธรรมะโดยไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีธรรมาสน์ นั่งเทศน์ตามดิน ตามร่มไม้ที่ไหน ก็ได้ ไม่เลือกที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ไม่จำกัดเวลา และสถานที่ สอนแบบเป็นกันเอง เรียบง่าย ท่านถือว่าคนมีธรรมะคือคนไม่มีปัญหา

4. ท่านสอนให้เอาทั้งวิมุติ และสมมุติ ทำจิตใจให้หลุดพ้นจากสมมุติ แต่ไม่ให้ยึดติดสมมุติ คือส่วนกายยังเป็นสมมุติอยู่ ให้ปล่อยวางเฉพาะทางจิตใจ ส่วนกายไม่ให้วางมือ ให้ทำตามหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด ศาสนาวัตถุก็ดี ศาสนาพิธีก็ดี ท่านให้เอา แต่ท่านไม่ให้เน้นหนัก ที่เน้นมากคือศาสนาธรรม เพราะพระธรรมสำคัญกับบุคคลมาก เมื่อบุคคลมีธรรมะ ทุกอย่างจะดีหมด ท่านจึงเน้น การฝึกจิต การพัฒนาจิตเป็นสำคัญ เพราะเป็นทางดับทุกข์ เป็นทางดับปัญหา และต้นเหตุของปัญหา จุดประสงค์ของท่าน ให้ดูแล ควบคุมจิต ดูอาการของจิตตลอดเวลา การควบคุมดูแลจิตอยู่ เป็นที่จะได้ผลกว่า ไปดูอยู่สถานที่อื่นทั่วไป ซึ่งตรงกับพุทธพจน์ ปัจฉิมโอวาท ที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสสั่ง เมื่อจะใกล้ปรินิพพานว่า ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท คือไม่ให้เผลอสติ หรือขาดสติ

5. ท่านมีความเกรงใจ ไม่รบกวนใคร การขอเรี่ยไร ไม่มีเลย ไม่เคยเห็นท่าน ทำใบบอกบุญมาจากที่อื่น ท่านก็มิได้แจก ท่านจัดการใส่ซองเอง แล้วก็นำส่งเขา

6. อีกประการหนึ่ง ท่านไม่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง เรื่องสมณะศักดิ์ การมียศ มีตำแหน่ง ท่านไม่ต้องการเลย แม้แต่ตำแหน่งเจ้าอาวาส ที่ทำหน้าที่อยู่ปัจจุบันนี้ ก็เป็นโดยบังเอิญ ไม่ได้เป็นเพราะความอยาก เพราะในเวลาเริ่มต้นสร้างวัด ท่านมิได้คิดจะสร้างวัด เพื่อจะได้เป็นเจ้าอาวาส ท่านตั้งใจมาพักผ่อนในป่าช้า ตามอุปนิสัยของพระธุดงค์เท่านั้น

แต่บัดนี้ คำว่า “ธรรมอุทยาน” ที่ท่านให้ข้าพเจ้า เอามาถวายเป็นชื่อวัดในครั้งนั้น ก็ปรากฏชัดแล้ว สมเป็นสวนธรรมจริงๆ กำลังผลิดอกออกผล ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่าน ดังที่เห็นในปัจจุบัน ถ้าไม่มีท่าน คงจะไม่เห็นผลิตผลในธรรมอุทยานแห่งนี้ และแห่งที่ 2 ที่ภูป่าไร่ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารด้วย ป่าช้าแห่งนี้ก็คงจะเป็นป่าช้าธรรมดา จึงขอแสดงความภาคภูมิใจในปฏิปทาโดยสังเขปของหลวงพ่อ ณ โอกาสนี้


//www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21552


โดย: เนเวอร์แลนด์ วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:30:00 น.  

ใจรัก Jairuk Channel
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 91 คน [?]








ติดตามดูต่อที่YouTube

ใจรักJairukChannel



ติดตามดูต่อที่Facebook

ใจรักJairukChannel



แนะนำให้ชม

บัวหิมะ
บัวหิมะ
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
ติดอันดับTOP Page Views
อาหารและการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็งและคนทั่วไป
เที่ยวขอนแก่น
Michael Jackson
คอนเสิร์ตบอย Peacemaker
คลิปเจ้าขุน
การกลับมาของX Japan

ท่องเที่ยว

UFOที่เคยเห็น
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
หาดใหญ่และปัตตานี
ไข่มุกอันดามัน
อะ พีพี
เกนติ้ง
กัวลาลัมเปอร์
หาลิงเข้าถ้ำทะเลภูเขาเลยจ้า นอนดูหมอกที่ปราจีนบุรี
เที่ยวปราจีนบุรีต่อ
เลยจะถึงไหมละนี่
พักค้างแรมที่เลย
เลยจนเกือบถึงลาว
ขุดกรุเขื่อนป่าสัก
บึงแก่นนคร ขอนแก่น
พระธาตุขามแก่น
เดินทางไปลพบุรี
กินข้าวอิงภูชัยภูมิ
ลาว เวียงจันทร์
ลาว2
ปิดทริปเที่ยวลาว
ล่องเรือเจ้าพระยา
รถไฟลอยฟ้า ฟ้า ไทย
รถไฟใต้ดินไทย
ทะเลน้ำจืดหาดวังโกขอนแก่น บ้านปราสาทโคราช
วังน้ำเขียวโคราช
ชอปปิ้งหนองคาย
ตัวเมืองขอนแก่น
น้ำผุดทับลาว ชัยภูมิ
สนามหลวง2
ไปดูงานศิลป
สายน้ำกับปลาที่ไปปล่อย
งานExpro
เขื่อนอุบลรัตน์
เที่ยวป่าวัดพรไพรวัลย์
ล่องแพอ่างเก็บน้ำห้วยไร่
ทะเลหมอกภูพานน้อย
วัดเจดีย์ชัยมงคล
ครั้งหนึ่งที่เคยโบกรถ
น้ำหนาว,เพชรบูรณ์
พระพุทธชินราช,พระธาตุลำปางหลวง
น้ำพุร้อน,วัดร่องขุ่น
มหาลัยแม่ฟ้าหลวง,น้ำตกก้างปลา
เวียงแก่น,ภูชี้ฟ้า
ดอยแม่สลอง
อุทยานฯขุนแจ
สวนโลกราชพฤกษ์
วัดเจดีย์7ยอด,วัดเจดีย์หลวง
ดอยสุเทพ,ทุ่งสแลงหลวง
โครงการครูบ้านนอก
วัดหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก
ที่พักปากช่อง
เลย-ลาว-ท่าลี่
ถึงระยองแล้วจ้า
ทะเลตอนเช้า
งานเที่ยวภาคใต้






Friends' blogs
[Add ใจรัก Jairuk Channel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.