Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
20 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
แรงเร้ามรณะ

แรงเร้ามรณะ


มีคนเคยบอกว่าความฝันสามารถบ่งบอกได้ถึงจิตใต้สำนึกของเรา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น มันคือสิ่งที่เราปรารถนาอยู่ลึกๆ ผมไม่เคยแน่ใจว่ามันใช่หรือเปล่า เพราะถ้าเป็นดังว่า ผมก็คงจะมีแนวโน้มของบุคคลที่อาจเป็นอันตรายต่อคนอื่น ในความฝันของผม มันเป็นฝันที่อยู่ในราตรีกาลอันมืดมิด ผมจะถือขวานขนาดเหมาะมือและจามลงบนร่างของคนให้ขาดเป็นท่อนๆ มีของเหลวอุ่นข้นนองพื้นและเปรอะเปื้อนตัวผม แต่ผมไม่อาจหยุดมือ ไม่สามารถคุมสติได้ มันเป็นภาพที่สยดสยองเป็นที่สุด ผมกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่เพราะผมฝันซ้ำๆกันทุกคืนเป็นเวลานานนับปี ไม่ใช่ความชินชา แต่ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เต้นเร่าอยู่ในกายต่างหาก สิ่งนั้นมันค่อยเติบโตขึ้นตามวันและเวลาที่หมุนผ่าน จากแรงสั่นสะเทือนเล็กๆก็รุนแรงขึ้นทุกที

ในสายตาของผม คนอื่นๆเป็นเพียงสิ่งเคลื่อนไหวที่อยู่รอบตัวและผมไม่อาจรับรู้ถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ต่อให้กำลังชมภาพยนตร์ชีวิตที่น่าจะชวนให้เศร้าใจอย่างสุดแสน ผมก็ไม่มีความรู้สึกคล้อยตาม อารมณ์และการรับรู้ของผมแปลกเปลี่ยนไป มันเริ่มตั้งแต่ผมรักที่จะเป็นศิลปินอิสระ เป็นความใฝ่ฝันนับแต่ผมเป็นวัยแรกรุ่นกระทั่งย่างเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย ผมไม่ได้เรียนจบสาขานี้โดยตรง แต่มันเป็นความชอบที่ทำให้ผมฝึกฝนและเพียรวาดภาพเรื่อยมา ศิลปินมักมีเอกลักษณ์เฉพาะตน มีความคิดที่แตกต่างจากใครๆ มุมมองก็แปลกออกไป

ระหว่างทุกวันที่ผมดูแลร้านกาแฟซึ่งเป็นกิจการส่วนตัว ลักษณะเป็นตึกแถวที่มีเนื้อที่ใช้สอยแนวลึก พ่อแม่เป็นผู้ลงทุนซื้อห้องหนึ่งให้ผมและผมก็พักอยู่ชั้นบน การทำอย่างนี้ผมย่อมมีเวลาให้กับงานที่ผมรักเพราะร้านกาแฟที่มีลูกค้าไม่มาก แต่แวะเวียนอย่างสม่ำเสมอแทบทุกวันช่วยเรื่องเวลาในการวาดภาพได้มาก ผมดูแลร้านด้วยตัวเองเกือบทุกอย่าง การตบแต่ง ข้าวของเครื่องใช้ โต๊ะและเก้าอี้ ลักษณะโดยรวมของร้าน การจัดวางชั้นและเรียงหนังสือเป็นหมวดหมู่ให้ค้นหาง่าย รวมถึงเบเกอรี่หลากชนิดที่จัดใส่ตู้กระจกที่รับมาจากร้านของคนรู้จัก จะจ้างก็เพียงเด็กสาวสองคนให้คอยช่วยงานทำความสะอาดเป็นหลัก ผมค่อนข้างหมกมุ่นกับภาพเขียนทำให้ยังดำรงตนเป็นโสด อีกอย่างเรื่องความรักใคร่ก็ไม่ได้อยู่ในสมองหรือหัวใจของผมเท่าใดนัก ด้วยต้องทุ่มเทเพื่อการตามล่าหาความใฝ่ฝันที่ผมต้องทนรับฟังถ้อยคำสบประมาทอยู่บ่อยครั้งและต้องอดกลั้นต่อความตึงเครียดที่ก่อเกิด

"แกจะบ้าหรือเปล่าวะพงศ์" เพื่อนที่ชื่อเจตพูดสวนคำเมื่อผมบอกเล่าเป็นครั้งแรกถึงความปรารถนาที่ต้องการให้บรรลุผล

"คนบ้าเท่านั้นที่คิดอย่างแก" เจ้าของฉายาหมูตอนที่เป็นเพื่อนกันก็ซ้ำเติม

"เออ ฉันมันบ้า ฉันไม่ได้สามารถเหมือนแกสองคนที่ได้เป็นข้าราชการนี่หว่า" ผมแทบกัดฟันโต้ตอบ

"เปล่านะเว้ย ฉันสองคนไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น" เจตลดท่าทีขัดแย้งเป็นการประนีประนอม

"แต่ไอ้ที่แกวาดวิมานน่ะมันไม่ง่าย" เจ้าหมูตอนบอกขรึมๆ

"ฉันรู้"

"พงศ์ พี่สาวแกก็เป็นข้าราชการ น้องสาวก็ทำงานบริษัท สองคนนี้เขาทำให้พ่อแม่ชื่นใจไปแล้ว เหลือแต่แก ใจคอลูกชายคนเดียวของบ้านจะดันทุรังเป็นศิลปินให้ได้หรือไง" เจตทำท่าจะเกลี้ยกล่อม

"รู้สึกจะไม่มีใครเข้าใจฉันเลย" ผมตัดพ้อ

"พวกเรารักแก อยากให้แกก้าวเดินไปในเส้นทางที่สดใสกว่า" เจ้าหมูตอนเข้าใจพูด

"พวกแกคิดเหมือนพ่อแม่และสองสาวของบ้านฉันไม่มีผิด" ผมเบือนหน้าหนีเพื่อนร่วมโต๊ะ

"ก็มีแต่แกแหละที่คิดอะไรไม่เหมือนใครเขา" เจตบอกเสียงเรียบเรื่อย

ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับความรักความชอบของผม ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครพยายามยอมรับ อันที่จริงผมกลับเข้าใจว่าพวกเขาหวังอะไรในตัวผม แต่ผมฝืนความเป็นตัวเองไม่ได้เหมือนที่พวกเขาไม่คิดจะฝืนให้กำลังใจหรือผลักดันผม กลายเป็นผมที่โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางลมพายุที่กระหน่ำรอบตัวและต้องกล้ำกลืนต่อไปอย่างไร้ทางเลี่ยงหนี ความรานร้าวเป็นอีกสิ่งที่ต้องเผชิญ เมื่อผมยืนกรานจะล่าฝันให้เป็นที่ประจักษ์ ผมก็ต้องอดทนกับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบแม้จะสร้างบาดแผลในจิตใจและนานวันมันจะยิ่งลุกลามก็ตาม

"พี่ยังไม่เปลี่ยนใจเหรอ" เป็นถ้อยถามไถ่ของน้องสาวที่มาเยี่ยมเยียนพร้อมกับพี่สาว หล่อนมองหน้าผมเขม็งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจกึ่งเคืองขุ่น

"ให้เขาเปลี่ยนใจคงยากล่ะ" พี่สาวเหน็บแนมด้วยสีหน้าสีตาคล้ายดูแคลน

"พ่อแม่คงเสียใจน่าดู" น้องสาวทำหน้าสลด

"ถ้าฉันไม่ทำความฝันให้เป็นจริง ฉันก็เสียใจเหมือนกัน" ผมค้าน

"แกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้ง" พี่สาวตำหนิ

"รอให้ฉันสมหวังเสียก่อนเถอะ ฉันจะชดเชยให้พวกท่าน" ผมบอกหน้าตาเฉย

"พ่อแม่แก่ตัวลงทุกวัน รอวันนั้นของแกมีหวังพวกท่านคงไม่ไหว" พี่สาวเอ่ยทันควันอย่างเครียดเคร่ง

"อย่างน้อยพี่น่าจะไปหาพ่อแม่เสียหน่อย นี่เล่นทำอย่างกับหนีออกจากบ้านแน่ะ" น้องสาวกล้าติง

"ฉันไม่อยากไปให้พ่อแม่เห็นหน้าแล้วไม่สบายใจ และฉันก็ไม่อยากคิดมากด้วย แต่ถึงฉันไม่โผล่ไปบ้านโน้น พี่กับยัยพรก็เคยพาพวกท่านมาหาฉันไม่ใช่เหรอ ทำเป็นจำไม่ได้" ผมมองหน้าสองสาวสลับกันก่อนพูดต่อ

"ผลเป็นไง… ก็เครียดกันทั้งบ้านใช่ไหม"

พวกหล่อนเงียบเสียงแทนคำตอบ

"ถ้าไม่สนับสนุนก็อย่าคัดค้าน และขอร้อง อย่ามาสนใจกันนัก ฉันเครียดมากพออยู่ละ ไม่อยากเครียดหนักกว่าเดิม" คำพูดของผมเหมือนคนที่ปราศจากจิตสำนึกและไร้หัวจิตหัวใจ

"พี่พงศ์" น้องสาวเรียกขานเสียงอ่อน

"ดื้อด้านซะจริง แกคิดเหรอว่ามีแกคนเดียวที่วาดรูปได้ คนที่เก่งกว่าแกก็ยังมี พรสวรรค์ของแกมันมีแค่ไหน ฮึ เลิศเลอหรือก็เปล่า ฉันดูก็งั้นๆ แกน่าจะหยิบจับอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นหลักประกันให้แก่ชีวิตมากกว่า" พี่สาวพูดเสียงห้วนด้วยแรงอารมณ์

"พี่พรรณ" พรพยายามปรามพี่สาว

หากผมรู้สึกเจ็บลึกระคนฉิวและสองความรู้สึกก็คละเคล้ากันอย่างแยกไม่ออก

"อย่างร้านกาแฟเนี่ยจะไปรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ฉันจะคอยดูน้ำหน้าวันที่แกบากหน้ากลับไปตายที่บ้าน"

ผมจ้องหน้าพี่สาวที่ทำท่าทางเหมือนจะเยาะหยันและทำให้ผมต้องประกาศกร้าว

"ฉันจะทำให้ทุกคนได้เห็น"

"เออ ฉันจะตั้งตารอ ไป ยัยพร" พูดประชดจบ พี่สาวก็กึ่งลากกึ่งจูงแขนน้องสาวออกจากร้านของผม

ผมรู้สึกถึงความเหน็บหนาวที่เกาะกุมใจเพราะความเดียวดายที่ไร้คนเคียงข้าง ไม่มีใครที่จะหนุนส่ง ไม่มีคนคอยปลอบประโลมใจ ผมต้องหยัดยืนเพียงลำพัง ลูกจ้างสองคนก็ได้แต่แอบมองและกระซิบกระซาบอยู่หลังบานประตูกระจกด้านหลังร้าน

ถ้าไม่ต้องทนเจอและรับฟังถ้อยประโยคของเพื่อน ก็เป็นพี่น้อง ไม่ก็คนรู้จักที่ล่วงรู้เรื่องราวของผม ที่หนักกว่าก็จะเป็นพ่อแม่ที่มาหาผมถึงร้าน

"ถ้าแกทำงานที่มั่นคง พ่อแม่ก็จะวางใจ พี่กับน้องแกเป็นผู้หญิง พอแต่งงานออกไปก็ต้องยุ่งอยู่กับการดูแลสามีดูแลลูก" แม่บอกผมตรงๆ

"ผมเป็นผู้ชาย มีมือมีเท้า ไม่อดตายหรอกแม่" ผมแค่นหัวเราะ

"ยังไงก็เป็นลูก" พ่อเอ่ย

"อย่าห่วงผมนักเลย พ่อแม่น่าจะหาเวลาเที่ยวบ้าง พี่พรรณกับยัยพรก็ทำงานเป็นหลักแล้ว"

"พงศ์ ที่พ่อแม่ไม่อยากไปไหนก็เพราะแกนะ"

ถ้อยคำของแม่ทำให้ความขื่นแล่นจุกอกผม มันน่าเศร้าใจมากที่ความรักความห่วงใยกลายเป็นแรงกดลงบนตัวผมเต็มที่

"ผมจะทำสิ่งที่ผมชอบให้ดีที่สุด" ผมพูดได้เท่านี้

สองใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามวัยมีความรู้สึกผิดหวังกึ่งขัดใจปรากฏให้เห็นและส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผมทีเดียว

ผมไม่เพียงเผชิญหน้ากับผู้คัดค้านที่แนะนำให้หางานอื่นทำ ผมยังต้องเปิดโสตสดับถ้อยระคายหูที่ก่อกวนอารมณ์ความรู้สึกอย่างร้ายกาจอีกด้วย การพบปะและทนเปิดหูเปิดตาอยู่เนิ่นนานไม่ทำให้ผมคุ้นชินสักครั้ง ตรงข้ามกลับยิ่งกระตุ้นเร้าสิ่งที่อยู่ภายในที่ส่งผลถึงความฝันยามนิทราของผม ว่ากันว่าสิ่งที่ทนกดมันเอาไว้จะยังดิ้นรนอยู่ในส่วนลึกของคนเรา ถ้าควบคุมมันได้ก็จะยังคงเป็นปุถุชนสามัญและเป็นปกติชน ถ้าทำไม่ได้อาจเกิดเรื่องที่ร้ายแรงเกินคาดเดา และสภาพจิตใจของผมก็ทวีความผิดเพี้ยนตามสภาพการณ์ที่เผชิญในหลายครั้ง

ผมต้องยอมรับความจริงที่ว่าสัญชาตญาณดิบเถื่อนค่อนข้างเร้าใจ เวลาอยู่ในความฝัน ผมจะปลดปล่อยความรุนแรงอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ยามที่ใช้ชีวิตในโลกกลมๆเหมือนผู้คนโดยทั่วไป ผมต้องควบคุมความดิบเถื่อนอย่างสุดความสามารถ กับวันเวลาที่ผันผ่านแรงกระตุ้นก็ช่างรุมเร้าและทารุณความรู้สึกของผมเหลือเกิน การวาดภาพไม่อาจบรรเทาสัญชาตญาณเหี้ยมได้ดังเคย ผมพยายามประคับประคองตน แต่มันใกล้จะไม่เป็นผล และผัสสะในโลกฝันก็เสมือนจริงเสียจนผมจวนเจียนจะทานทนต่อแรงเร้าใจไม่ไหว ความยับยั้งชั่งใจกำลังจะสูญสลายไปในไม่ช้า สำนึกผิดชอบชั่วดีก็ถดถอยเช่นกัน

ที่ต้องท่องจำให้ขึ้นใจคือการควบคุมและพยายามรู้สึกตัว เมื่อใดก็ตามที่ผมสูญเสียมันย่อมหมายถึงโอกาสที่สัตว์ร้ายสามารถจะหลุดออกมาอาละวาด ผมรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการควบคุมสัตว์ร้ายที่ตะเกียกตะกายอย่างลนลาน มันต้องการอิสรภาพ แต่ผมยังไม่เสียการควบคุมและมันต้องรอเวลาที่เหมาะสม

ในช่วงเวลาที่ผมหลงอยู่ในหมอกทึบสีเทาและมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้า ใครบางคนก็ช่วยฉุดดึงผมด้วยการชี้แนะหนทาง ท่านเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะที่ผมเคยรบกวนให้ท่านช่วยแนะนำและวิจารณ์เรื่องการวาดภาพ ท่านบอกว่าให้ผมลองส่งภาพเข้าประกวด ที่บอกเช่นนี้เพราะคิดเห็นว่าฝีมือของผมพัฒนาดีแล้ว และผมก็ลองส่งภาพวาดตามคำแนะนำของท่าน ถึงแม้รางวัลที่ได้รับจะเพียงแค่รองชนะเลิศอันดับสอง แต่ผมก็มีแรงใจขึ้นมาก หากความรู้สึกที่ควรยินดีและมีความสุขในระดับหนึ่ง ผมกลับไม่อาจสัมผัสถึงความรู้สึกเช่นว่าเท่าที่ควรจะเป็น ความรู้สึกที่ผมมี… มันค่อนไปทางก้นบ่อโคลนสีดำที่ยิ่งดึงดูดให้ผมดำดิ่งลึกลงไป

ผมควรภาคภูมิใจ ทว่าผมตระหนักดีว่าเป็นเพียงก้าวแรกของความฝันที่เป็นผลสำเร็จ มันยังมีอะไรที่ต้องทำอีกมาก เส้นทางยังอีกยาวไกล และสรรพเสียงปรามาสของผู้คนรอบข้างจางหายไปบ้าง แต่สัมผัสถึงแรงกดทับและความกังวลด้วยความรู้สึกที่อ่อนไหวอย่างประหลาดผิดธรรมดาก็ไม่เคยลบเลือน ทั้งแรงเร้าใจยิ่งทวีความรุนแรงจนผมไม่อาจหักห้ามความต้องการที่จะปลดปล่อยสัตว์ร้ายได้ อันส่งผลให้ผมต้องกระทำเรื่องที่แสนจะเลือดเย็นและโหดร้ายอย่างยิ่งต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก รวมถึงเนื่องด้วยจิตใจที่บิดเบี้ยวผิดรูปเสียจนไม่ว่าสิ่งใดหรือใครก็ไม่อาจเยียวยาให้คืนสภาพดังเดิม

มันไม่ควรเกิดขึ้น แต่… มันจำเป็นต้องเกิดเพื่อผ่อนคลายความสั่นสะเทือนในตัวผมที่เกินจะต้านทานไหวและผมก็ใช้ความเป็นศิลปินในการล่อหลอกนัดพบเหยื่อด้วยการกล่าวอ้างถึงการวาดภาพเหมือนแนวเปลือยเปล่า แถมด้วยค่าจ้างที่คนฟังต้องตอบรับปาก ทุกอย่างต้องเป็นความลับ ต้องไม่มีใครพบเห็นแม้จะเป็นยามค่ำคืน และเหตุร้ายก็เกิดขึ้นในบ้านที่ผมซื้อต่อจากเจ้าของบ้านคนเดิม มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากพื้นที่ชุมชนหรือบ้านหลังอื่นๆ และฟิล์มกรองแสงสีทึบที่ติดกระจกรถยนต์ก็ช่วยเรื่องการอำพรางได้ดี ถึงจะเป็นเวลากลางวันก็จะไม่มีผู้พบเห็นหญิงสาวมากับผมเพราะไม้ยืนต้นที่ปลูกเอาไว้ช่วยบังตา จะไม่มีผู้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านสองชั้นที่ผมจ้างผู้รับเหมาให้กั้นห้องชั้นล่างเป็นสัดส่วน จะไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดเพราะวัสดุบุผนังช่วยเก็บเสียง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมเตรียมการอย่างรัดกุมมาแล้วก่อนหน้า

"คุณอยากดื่มอะไรหน่อยไหม" ผมถามนางแบบที่นั่งกวาดสายตาสำรวจห้องหนึ่งที่ใช้สำหรับทำงานศิลปะ หล่อนเป็นเหยื่อรายที่สิบห้าที่ผมล่อลวงเป็นประจำทุกเดือน

"ก็ดีค่ะ" หล่อนยิ้มละไม

ผมเดินออกจากห้องไปเปิดตู้เย็นที่ตั้งอยู่ด้านนอก แต่ดวงตาลอบแลหญิงสาวอย่างเงียบๆขณะหล่อนลุกไปเปิดดูอัลบั้มภาพถ่ายที่เป็นภาพชุดสะสมสุดรักของผม และผมก็สาวเท้าอย่างย่องกริบโดยที่ไม่ถือแก้วน้ำหรือขวดน้ำกลับเข้าห้อง สองมือที่ว่างเปล่าพร้อมสำหรับสิ่งอื่น

หล่อนก็กรีดร้องด้วยความตระหนกกับภาพถ่ายที่เห็น ความกลัวปรากฏชัดบนใบหน้าสวยที่เผือดซีด

"มีอะไรเหรอครับ" ผมถามยิ้มๆเรียกให้หล่อนหันมอง

"รูป…" นิ้วชี้ที่อัลบั้มติดสั่นเช่นเดียวกับริมฝีปาก เนื้อตัว และสุ้มเสียง

"ภาพศิลป์น่ะ" ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

"แต่มัน… ของจริงหรือเปล่าคะ" หล่อนแทบกลั้นใจเอ่ย

"คุณคิดว่าไง" ผมเลิกคิ้วสูง

"เอ่อ… ไม่ทราบสิคะ" คำตอบเลี่ยงทั้งที่ผมสังเกตเห็นอาการหวาดหวั่นของหล่อนยามผมเดินเข้าไปใกล้ คิดว่าหล่อนน่าจะจดจำรูปผู้ตายที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ได้บ้าง ผมหมายถึงถ้าหล่อนติดตามข่าวสารบ้านเมือง และสื่อมวลชนย่อมไม่ละเลยการลงรูปขณะยังมีชีวิตของเหยื่อที่กลายเป็นศพที่ผมทิ้งลงถังขยะ

"ผมควรจะพูดยังไงดีล่ะเนี่ย" ผมมั่นใจว่าหล่อนต้องอ่านข่าวคดีฆาตกรรมหฤโหด เพราะสายตาของหล่อนเหลือบแลยังประตูในชั่วอึดใจ ผมประเมินว่าหล่อนเป็นคนฉลาดอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ผมล็อคประตูเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งประตูหน้าบ้านผมยิ่งต้องรอบคอบ และอาวุธสังหารก็เก็บซ่อนอยู่ใต้เบาะเก้าอี้ข้างกายหล่อนนั่นเอง

"คุณต้องล้อเล่นแน่" หญิงสาวฝืนยิ้มที่ดูเหยเกชอบกล

"เกรงว่าจะไม่" ผมก้าวเท้ากึ่งวิ่งประชิดตัวอีกฝ่ายและรวบร่างบางด้วยแขนแข็งแรงที่หมั่นออกกำลังกายยามมีเวลาว่าง

"กรี๊ด"

เป็นเสียงที่น่ารำคาญใจเสียจริงๆและผมก็ไม่เคยทำใจให้ชอบโทนเสียงแหลมสูงสักที

"ต่อให้ร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครช่วยคุณได้"

ผมเหวี่ยงร่างของหญิงสาวให้ล้มลงบนพื้น ด้วยการเคลื่อนไหวที่แคล่วคล่องว่องไวก็ทำให้ผมเปิดเบาะและคว้าขวานด้ามไม้ออกมาถืออย่างกระชับสองมือก่อนยืนเกือบคร่อมตัวเหยื่อ

"ช่วยด้วย" หล่อนตะโกนสุดเสียงด้วยอาการของคนกลัวตาย

มันก็เท่านั้น ทันทีที่ผมจามขวานลงที่ท้องของหญิงสาว หล่อนก็ส่งเสียงอย่างเจ็บปวดระคนตื่นตกใจ และเลือดสีสดย่อมสาดกระเซ็นตามแรงกระทำของผมพร้อมกับปริมาณที่ไหลออกจากบาดแผลลึกที่ให้สีแดงฉานสดสวย

"เราจะสนุกกันให้เต็มที่เลย" ผมหัวเราะชอบใจด้วยสีหน้าคล้ายคนอารมณ์ดี แต่มีการรับรู้ที่บิดผัน และสองแขนก็เงื้อขวานเตรียมตัดลงยังท่อนแขนของหญิงสาว.


Create Date : 20 มีนาคม 2549
Last Update : 20 มีนาคม 2549 23:25:43 น. 0 comments
Counter : 431 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.