Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
10 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
กุญแจไขสู่...!

กุญแจไขสู่…!

ชายวัยสามสิบตอนต้นผู้หนึ่งลงจากรถยนต์ที่จอดภายในลานของอาคารคอนโดมิเนียมใหญ่ แต่ด้วยท่าทางละล้าละลังอย่างคนที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาดทำให้ไม่กล้าเดินไปขึ้นลิฟต์ที่เห็นแต่ไกล เขาเกิดความลังเลใจเอาตอนที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ทั้งที่ทีแรกตั้งใจว่าจะต้องมาและต้องพบใครบางคนอย่างที่เคยใคร่ครวญหลายครั้งกว่าจะกลายเป็นความมุ่งมั่นที่เกือบมั่นคง พอเหยียบย่างยังสถานที่กลับปล่อยให้ความขลาดรุกคืบสู่จิตใจ เขารู้สึกตื่นเต้นขณะเดียวกันก็กระดากอายและคิดวิตกหนักสารพัด เหงื่อพลันผุดซึมทั่วร่าง มือเท้าเย็น และกิริยาแปรเปลี่ยนเป็นกระวนกระวายอย่างยากต่อการควบคุม กระทั่งรปภ.หนุ่มที่แลเห็นชายแปลกหน้ายืนอยู่ข้างรถยนต์คันสีเงินด้วยท่าทางเหมือนมีพิรุธส่งให้ต้องไปเอ่ยถามตามหน้าที่

"ขอโทษครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า"

ผู้มาเยือนเหลียวมองต้นเสียง รปภ.หนุ่มก็สังเกตเห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความยุ่งยากระคนลำบากใจของอีกฝ่าย

"ผม…มาหาคนครับ" ตอบไม่เต็มเสียง

รปภ.หนุ่มมองชายแปลกหน้าด้วยสายตามีคำถามแกมไม่ไว้วางใจ

"คือ…คนที่อยู่ห้อง 606 ครับ"

คำพูดที่ได้ยินทำให้คนฟังคลายความหวาดระแวงและยิ้มออก

"คุณมาหาดอกเตอร์เชียรโชติใช่ไหมครับ"

"ครับ"

รปภ.หนุ่มรู้ทันทีว่าชายผู้นี้ก็เหมือนใครหลายคนที่มาหาดร.ผู้ดัดแปลงห้องพักให้กลายเป็นสถานที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้มีปัญหากับตนเอง นี่เป็นนิยามที่ดร.เชียรโชติเคยบอกกล่าวและอธิบายให้ฟังว่าใครๆก็มีปัญหากันได้ทั้งนั้น จะหนักบ้างเบาบ้างแตกต่างกันไปและมีบ้างที่มีปัญหาถึงขนาดที่ต้องขอรับคำปรึกษาเป็นการส่วนตัว ที่หนักเกินเยียวยาก็ต้องนำส่งจิตแพทย์ แต่จงอย่าได้มองคนเหล่านี้ว่าน่ากลัว หรือเป็นอันตราย หรือสติไม่ดี เพียงแต่ผู้ที่มาหาเขาต้องการที่ระบายความอัดอั้น ความกังวลสูงสุด และต้องการคำแนะนำในการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปัญหาเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข

'ถ้าเจอใครก็ตามที่มาพบผม ขอให้ต้อนรับเขาด้วยท่าทางเป็นมิตร ถ้าเขาไม่กล้าขึ้นมาก็ขอให้คุณช่วยเกลี้ยกล่อม ถ้าเขาจะกลับให้ได้ก็ขอให้คุณรั้งเขาไว้ และโทร.ตามผม ผมจะลงไปรับเขาเอง'

เป็นถ้อยความที่ดร.เคยบอกและยังจ่ายเงินพิเศษเฉพาะให้แก่เขาอีกด้วย ชายหนุ่มก็ยินดีปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพียงเพราะเงินที่ได้รับ แต่ดร.เป็นคนนิสัยดี มีน้ำใจและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ทั้งดร.เชียรโชติผู้ร่ำรวยก็ไม่เดียดฉันท์ผู้ต้องการพบ ไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นหรือฐานะ และคิดค่าบริการด้วยอัตราต่ำสุดรายชั่วโมงอย่างที่ผู้ขอรับคำปรึกษาจะสามารถจ่ายค่าบริการได้เพราะเงินไม่ใช่ปัจจัยที่ดร.ต้องการ การให้ความช่วยเหลือต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ ตัวเขาที่เข้าใจสภาวะของผู้มาพบดร.ไม่เคยนึกรังเกียจคนเหล่านั้น หรือแม้แต่การพูดคุยกับใครๆก็ไม่เคยกล่าวถึงผู้ที่มาขอรับคำปรึกษาจากดร.เชียรโชติ เขาต้องมีความนึกคิดเหมือนอย่างที่ดร.รักษาจรรยาบรรณเสมอมา

"ดอกเตอร์เก็บความลับส่วนบุคคลเสมอครับ ข้อนี้คุณเชื่อใจได้ และดอกเตอร์ก็เป็นคนใจเย็น เขาจะรับฟังคุณทุกเรื่อง"

ผู้มาเยือนทำทีลังเลและขยับตัวคล้ายเปลี่ยนใจหลบเลี่ยง รปภ.หนุ่มก็รีบพูดอย่างสุภาพ

"โปรดพบดอกเตอร์เถอะครับ เพื่อความสบายใจของตัวคุณ ผมขอให้คุณรอสักครู่ ผมจะตามตัวดอกเตอร์มาให้"

เห็นคนพูดล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อทำให้ชายแปลกหน้าต้องตัดสินใจอย่างกะทันหัน

"ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไร ผมจะขึ้นไปพบดอกเตอร์"

คนฟังเสนอตัวเป็นผู้นำทาง ฝ่ายหลังก็ยอมรับผู้ขันอาสาโดยดี

เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น เจ้าของห้องก็ละสายตาจากแฟ้มบันทึกการให้คำปรึกษาของแต่ละบุคคลที่เก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบระเบียบและลุกจากโต๊ะทำงานก่อนก้าวเท้าไปเปิดประตู

การพบกันครั้งแรกค่อนข้างเรียบง่ายและเป็นกันเอง ดร.หนุ่มวัยเกือบสี่สิบปีที่หน้าตาคมคายเชื้อเชิญผู้มาเยือนให้นั่งที่มุมรับแขกติดระเบียงซึ่งกั้นเป็นสัดเป็นส่วน นอกระเบียงจัดเป็นสวนหย่อมขนาดย่อมและติดตั้งน้ำพุช่วยเสริมด้านบรรยากาศ ผนังด้านหนึ่งติดวอลเปเปอร์ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติแลดูสบายตา นิตยสารหลากชนิดจัดวางบนชั้น ถัดมาเป็นหนังสือหลายประเภทที่เรียงตามลำดับอักษร มีเสียงดนตรีแนวคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆ และกลิ่นน้ำมันหอมระเหยอย่างอ่อนๆลอยตลบเข้าสู่สัมผัสดมกลิ่น ผู้มาเยือนที่เกร็งตัวอย่างตื่นๆก็ค่อยผ่อนคลาย

"โปรดทำตัวตามสบายนะครับ คิดเสียว่าเป็นบ้านของคุณ คุณอยากดื่มอะไรครับ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำหวาน" เจ้าของห้องที่นั่งโซฟานุ่มสีน้ำตาลเข้มที่ขัดขึ้นเงางามยิ้มอ่อนโยน

คนถูกถามที่ใช้สายตาสำรวจทั่วห้องก็หันมองอีกฝ่ายที่อยู่ด้านตรงข้ามและใช้เวลาคิดด้วยความเกรงใจอยู่เป็นครู่

"กาแฟครับ"

"ใส่น้ำตาลกี่ก้อนดีครับ หรือไม่ใส่" คำถามอย่างผู้รับใช้ผิดจากความเป็นนักจิตวิทยาระดับดร.ที่สวมใส่สูทอย่างดีเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

"เอ่อ…" ผู้มาเยือนเริ่มกระอักกระอ่วนใจกับการเสนอบริการของดร.เชียรโชติ

เจ้าของห้องก็รอคอยคำพูดพลางสังเกตอากัปกิริยาท่าทีของคนที่เกิดอาการเกร็งตัวอีกครั้ง

"ผมชงเองดีกว่าครับ คือ…ได้ไหมครับ"

"งั้นรอสักครู่ เดี๋ยวผมจะแยกน้ำตาลกับกาแฟมาให้คุณ ส่วนนิตยสารกับหนังสือบนชั้น คุณอ่านได้ตามสบายครับ"

หลังจากที่ผู้มาเยือนชงกาแฟด้วยมือที่ติดจะสั่นๆ ดร.ก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยเพื่อคลายความอึดอัดใจให้แก่ชายหนุ่ม ความร่วมมือเป็นสิ่งที่ดร.ต้องการเพราะหากผู้มาขอรับคำปรึกษาไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเบื้องลึก คนให้คำปรึกษาอาจคลำผิดทางและให้คำแนะนำไม่ตรงกับประเด็นปัญหา ท้ายสุดจะเป็นการเสียเวลาและสูญเปล่าที่ดร.เชียรโชติไม่ปรารถนาให้ผู้มาขอรับคำปรึกษาต้องเสียเงินค่าบริการอย่างเปล่าประโยชน์

และเมื่อท่าทางของชายหนุ่มบ่งบอกว่าสนิทใจที่จะพูดคุยอย่างไม่ปิดบังใดๆและสามารถไว้วางใจที่จะบอกเล่า ดร.เชียรโชติก็เริ่มเข้าสู่ประเด็นด้วยสุ้มเสียงเรียบเรื่อย

"เราเคยคุยกันผ่านระบบห้องสนทนาจากการที่คุณบอกว่าอ่านพบเว็บไซต์ของผมจากหนังสือพิมพ์ที่ผมลงโฆษณาไว้ และคุณเกิดความสนใจก็เลยเข้ามาชม พอเราคุยกันสักพัก คุณก็อยากมาพบผม"

"ครับ ผมคิดว่าผมมีปัญหาพิลึกๆที่ตัวเองรู้สึกชอบกล"

"อันที่จริงรับคำปรึกษาทางเว็บไซต์ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ทำไมคุณถึงเลือกจะมาพบผม"

"อาจเป็นการดีกว่าถ้าพบกันตัวต่อตัว"

"ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มต้นกันใหม่ เอาอย่างละเอียดนะครับ"

ผู้มาเยือนพยักหน้าแทนการรับคำและดร.ก็เตรียมพร้อมจดบันทึก

"ผมอยากทราบชื่อ เอาแค่ชื่อครับ และอายุกับอาชีพของคุณ"

"ผมชื่อวิทยา อายุสามสิบสองปี เป็นข้าราชการครับ"

"คุณแต่งงานหรือยัง"

"โสดครับ" ตอบอย่างเก้อเขิน

"ผมก็โสด ผมชอบชีวิตอิสระและไม่อยากปวดหัวเพิ่ม เป็นโสดแสนสบาย" คนพูดหัวเราะและเป็นการจงใจสร้างความคุ้นเคย

วิทยาก็พลอยประสานเสียง

"ผมแค่คิดถึงเรื่องอนาคตที่มั่นคงก็เลยยังไม่แต่งงาน" เขาบอก

"แสดงว่าคุณจะคบหาดูใจกับแฟนไปเรื่อยๆ"

"โธ่ ดอกเตอร์ ผมห่วงแต่งาน ผมไม่กล้ามีแฟนหรอกครับ"

"คุณนี่แปลกคน" ดร.เชียรโชติพูดเท่านั้น เขาตระหนักดีถึงการวิพากษ์วิจารณ์ที่ควรหลีกเลี่ยง

"จริงๆครับ"

"อืม ผมจะขออนุญาตถามอะไรที่ค่อนข้างส่วนตัว เรื่องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของคุณ" คนถามมองหน้าชายหนุ่มตรงๆ

"เอ่อ ถ้าเกี่ยวข้องกับการรับคำแนะนำ ผมก็จะตอบครับ" ใบหน้าของวิทยามีสีเรื่อ

"ขอบคุณมาก เอาละ คุณมีความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"

"ราวๆสามเดือนก่อนครับ กับนักศึกษาสาวที่เพิ่งพบกันในสถานบันเทิง"

"เป็นไปด้วยดีไหมครับ"

"ก็ดีครับ แต่เราไม่ได้จริงจัง"

"เป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยชั่วคืน" พูดเป็นเชิงถาม

"ก็…ครับ"

"ช่วงที่คุณห่างเรื่องเพศสัมพันธ์ คุณเคยเกิดอารมณ์บ้างไหม"

"มีบ้างครับ"

"คุณปลดปล่อยยังไง"

"เข้าห้องน้ำอาบน้ำเย็นๆครับ"

"แสดงว่าควบคุมเอาไว้"

วิทยาพยักหน้าแทนคำตอบ ดร.เชียรโชติก็จดบันทึกด้วยลายมือสวยที่อ่านง่าย

"คุณไม่คิดจะปลดปล่อยกับผู้หญิงบ้างเหรอ"

"ผมแทบไม่คิดเรื่องนั้น อารมณ์ความรู้สึกของผมเหมือนเปลี่ยนไป" ดวงตาของคนพูดติดเหม่อลอยและลักษณาการของเขาอยู่ในสายตาของผู้ตั้งคำถามโดยตลอด

"แต่ไม่ถึงกับตายด้านใช่ไหมครับ"

"ครับดร."

"มีบางอย่างในความรู้สึกของคุณสินะ"

"ผมคิดว่ามี แต่มันคลุมเครือ ผมอธิบายไม่ถูก"

"ถึงเวลาของเรื่องครอบครัวของคุณ ผมจะขอให้คุณบอกเล่าเท่าที่คุณอยากบอก" และเขาจะเป็นผู้ฟังที่ดี ทั้งคอยอ่านท่าทางของชายหนุ่มเพื่อวิเคราะห์

วิทยาเป็นบุตรชายคนที่สามในบรรดาพี่น้องหกคน เขามีพี่ชายและพี่สาวอย่างละคน น้องสาวอีกสองคนและน้องชายคนเล็ก เป็นครอบครัวใหญ่ที่ห่วงเรื่องหน้าตาและความภาคภูมิใจในการโอ้อวดเพื่อนบ้านหรือคนรู้จัก ดูเหมือนมีแต่เขาที่อ่อนด้อยกว่าพี่น้องทำให้พ่อแม่มักละเลยที่จะพูดถึง แต่กลับชอบที่จะเปรียบเทียบเขากับพี่น้องหรือลูกของครอบครัวอื่นและกล่าวถ้อยคำปรามาสอยู่เนืองนิจ กลายเป็นแรงบีบคั้นที่เขาต้องทนเก็บกดแต่เล็กจนเติบใหญ่ กอปรกับความรู้สึกผิดหวังที่หยั่งรากฝังลึกในตัวเองอยู่เสมอทำให้ชีวิตเหมือนมืดมน ไม่ว่าจะสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐบาลก็พลาดหวังจนต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิด ช่วงที่เข้าสู่วัยทำงานเป็นอีกช่วงที่วิทยารู้สึกหวาดกลัวและใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าจะสมดังตั้งใจ ทว่าความสัตย์ซื่อที่ไม่ทันคน ไม่รู้จักเอาใจเจ้านาย ได้แต่ทำงานตามหน้าที่ก็ทำให้ก้าวหน้าช้ากว่าใครอื่น ผิดกับบรรดาพี่น้องที่ต่างเป็นที่เชิดหน้าชูตาครอบครัวและมีเงินทองมากกว่าเขา ชีวิตที่ผ่านหลายร้อนหนาวจนถึงบัดนี้ที่ยังอยู่ร่วมกับครอบครัว วิทยาก็ไม่เคยล่วงรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ

"เท่าที่ฟังคุณพูด คุณค่อนข้างเก็บกดทีเดียว แต่ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณเคยระบายความรู้สึกบ้างไหม คุณเล่าให้ใครฟังบ้างหรือเปล่า"

"ผมจะเล่าให้เพื่อนสนิทฟังครับ"

"พวกเขาปลอบใจคุณใช่ไหม และให้คำแนะนำบ้างไหม"

"ส่วนใหญ่บอกให้ผมอดทน หางานดีๆทำเป็นการพิสูจน์ความสามารถและลบคำสบประมาท" สายตาของวิทยาฉายความขมขื่นกึ่งเลื่อนลอย

"ฮื่อ เวลาที่ใครๆสบประมาทคุณ คุณทำยังไง"

"ผมจะวาดฝันสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ"

"เป็นกลไกการป้องกันทางจิต ปกป้องตัวเองให้รู้สึกปลอดภัย บิดเบือนและหลีกหนีจากความเจ็บปวด จากเรื่องสะเทือนใจ ว่าแต่คุณวาดฝันบ่อยไหม ใช้มันบ่อยหรือเปล่า" ปากพูด มือก็ลากเขียน

"บ่อยครับ"

"แล้วอะไรที่คุณรู้สึกว่าเป็นปัญหา" ดร.เชียรโชติเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้มของความเห็นใจ

"ผมเคยรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่คิดฝันทั้งที่ยังตื่นและเป็นโลกจริง ผมเกิดความสับสน บางทีฝันอยู่แท้ๆ แต่นึกว่าเป็นจริง ผมรู้สึกมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งโตก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนและบ่อยมาก"

"เคยแยกแยะไม่ออกบ้างไหม"

"เกือบครับ"

เจ้าของห้องสังเกตพบท่าทางคล้ายคนมีสติเพียงครึ่งเดียวของเป้าสายตาก็ทำให้ต้องออกปากอย่างช่วยเรียกสติสัมปชัญญะของผู้มาเยือนให้กลับคืนอย่างเต็มตัว

"วิทยา ผมอยู่ที่นี่ นั่งตรงหน้าคุณ คุณอยู่ที่ไหน"

ชายหนุ่มจึงหลุดจากห้วงภวังค์ครึ่งฝันครึ่งจริง

"ขอโทษครับ"

"ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณอยู่ในโลกที่คิดฝันทั้งที่มันเป็นโลกจริง คุณเคยคิดอยากทำอะไร"

"คงไม่ใช่เรื่องดีครับดอกเตอร์" วิทยาสารภาพด้วยดวงตาฉายประกายวาววูบหนึ่ง

"คุณยังไม่ได้ทำจริงๆนี่นา" ดร.พูดกลั้วหัวเราะ

ชายหนุ่มก็ยิ้มน้อยๆ

"สาเหตุที่คุณรู้สึกอย่างนี้ก็เพราะคุณใช้กลไกการป้องกันทางจิตมากเกินไป คุณพึ่งพามันเพื่อบิดเบือนและหลีกหนีความเป็นจริงที่มากระทบความรู้สึกของคุณ ทดแทนในส่วนของความผิดหวัง เติมเต็มความสุขที่ขาดหาย บ่อยเข้าก็เหมือนเป็นส่วนนึงของชีวิตและคุณติดมันเข้าให้"

คนฟังไม่ปริปากด้วยตริตรองคำพูดของดร.เชียรโชติที่เขาคิดเห็นพ้อง

"คุณสับสนถี่หรือเปล่า"

"ครับ จนผมกลัวจะหลุดโลก"

"คุณต้องลดการคิดฝันลง หมกมุ่นให้น้อยหน่อย พยายามไม่ขังตัวเองไว้ในโลกส่วนตัว ต้องเปิดโลกของคุณให้คนอื่นเข้าไป หากิจกรรมลดเวลาว่าง และมีสติสัมปชัญญะกับทุกการกระทำ แปลงเรื่องร้ายๆให้กลายเป็นแง่ดี ลองทำได้ไหมครับ"

"ผมจะพยายาม"

"ขอพูดตรงๆนะคุณวิทยา ผมไม่ได้เก่งอะไรนักหนา หน้าที่ผมคือให้คำแนะนำ ชี้แนะหนทางให้คุณใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นทุกข์ แต่คนที่จะทำหรือไม่ก็คือตัวคุณ ขึ้นอยู่กับคุณเป็นสำคัญ เข้าใจใช่ไหมครับว่าคุณต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน"

"ผมเข้าใจ"

"ดีครับ ผมขอเอาใจช่วย วันนี้คงเท่านี้ ผมจะไม่นัดคุณ แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจ หรือต้องการพูดคุยระบายความคับข้องใจ โปรดบอกผมล่วงหน้า" มือวางปากกาและปิดหน้าสมุดบันทึกลงบนโต๊ะ

วิทยาที่รู้สึกใจชื้นขึ้นบ้างก็ทำท่าลุกยืน แต่เจ้าของห้องเอ่ยรั้งอย่างเพิ่งนึกได้

"จะเอาซีดีไปดูไหมครับ สารคดีธรรมชาติ ภาพสวยๆน่ะครับ ไม่ต้องรีบคืน จะคืนตอนไหนก็แล้วแต่คุณจะสะดวก"

"ขอบคุณครับ" ใบหน้าของชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อน

"ค่าบริการ…" พูดต่อ

ดร.เชียรโชติที่เดินส่งผู้มาขอรับคำปรึกษาที่หน้าห้องก็มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยความสุขใจที่ได้มีส่วนช่วยบรรเทาด้านความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับสิ่งที่คุกคามจิตใจ เป็นอย่างนี้กับทุกรายที่มาพบเพราะเป็นอาชีพที่เขารักและตั้งเจตนารมณ์ที่จะกระทำต่อไปจนกว่าจะเกินแรงล้า

ครั้นปิดประตูห้องเสียงโทรศัพท์ก็กรีดก้อง แหงนมองนาฬิกาแขวนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาของวันเสาร์และคนที่ติดต่อคงต้องการนัดเวลานั่นเอง

คืนนั้นวิทยานอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงในห้องนอนและเฝ้าครุ่นคิดถึงบทสนทนาภายในครอบครัวขณะร่วมโต๊ะทานอาหารเย็น คนที่เปิดปากถามเรื่องการเลื่อนขั้นของเขาคือน้องสาวที่เพิ่งได้เลื่อนอีกตำแหน่งในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แล้วก็ไม่พ้นเรื่องที่ต้องถูกเปรียบเทียบ เหน็บแนม และความด้อยกว่าที่เป็นข้อเท็จจริง ทำให้เขาจำต้องสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาปิดกั้นด้วยความที่ไม่อยากรับรู้สถานการณ์ที่ตนกำลังตกอยู่ในภาวะลำบากและกลายเป็นเป้าโจมตีของสมาชิกในครอบครัว

โลกที่คิดฝันของเขาช่างสวยงามซึ่งใครๆต่างพากันชื่นชมเขา ทุกคนให้ความสนใจและให้เกียรติ ไม่เหมือนตอนที่เขาอยู่ในโลกจริงที่แสนเหน็บหนาว อยู่ในที่ทำงานหรือที่บ้านก็ราวอ้างว้าง เขาจะหาความสุขได้จากที่ใดหากไม่ใช่โลกที่คิดฝัน แต่ดร.เชียรโชติแนะนำให้เขาหมกมุ่นน้อยลง มองโลกในแง่ดีบ้าง และหากิจกรรมทำ คิดถึงตรงนี้เขาน่าจะลองเปิดเครื่องเล่นซีดี

มันเป็นภาพยนตร์แนวฆาตกรรมของฆาตกรจิตป่วยที่ชอบสังหารเหยื่อด้วยวิธีการอันสยดสยอง แต่ละฉากล้วนแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงอย่างแสนจะทารุณและสะเทือนขวัญเหลือประมาณ ความรู้สึกทีแรกที่ค่อนข้างตระหนกพลันผันเปลี่ยน วิทยาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เย้ายวนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เป็นแรงดึงดูดที่มีพลังมหาศาลจนไม่อาจละสายตาแม้สักนาที ทั้งเขายังรับรู้ถึงเลือดที่สูบฉีดทั่วร่างและความตื่นเต้นอันน่าท้าทายที่เต้นเร่าอยู่ในกาย ยิ่งชมภาพยนตร์ชายหนุ่มยิ่งซึมซับความเลือดเย็นของฆาตกรจิตป่วยกระทั่งจบเรื่อง แล้ววิทยาก็คิดว่าดร.เชียรโชติอาจหยิบผิดแผ่น ทว่าเขาไม่อยากคืนในเร็ววันเพราะต้องการเก็บไว้ชมซ้ำด้วยความติดใจ หนำซ้ำยังคิดหาเช่าภาพยนตร์ซีดีตามร้านมาชมอีกหลายเรื่อง

วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่ากับแรงเร้าใจที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งทวีความรุนแรง ชายหนุ่มพยายามใช้สติสัมปชัญญะเข้าควบคุมคลื่นความต้องการภายในของตนอย่างที่สุด แต่ช่างเกินหักห้ามใจและส่งให้เขาต้องหาทางลงมือทำอะไรสักอย่างกับความกระหายเลือดที่ชั่วร้ายนี้โดยลืมนึกถึงดร.เชียรโชติเสียสนิท

จากเหยื่อรายแรกที่วิทยาลงมือสังหารด้วยรูปแบบที่ชวนให้ใครก็ตามที่พบเห็นต้องรู้สึกขนพองสยองเกล้าเป็นอย่างยิ่ง เขาก็เริ่มหาประสบการณ์พร้อมๆกับการทดลองพัฒนารูปแบบจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ทำให้หนังสือพิมพ์ต้องพาดหัวบ่อยครั้ง และระหว่างที่กำลังจะลงมือชำแหละนักศึกษาสาวที่นอนอยู่กลางทุ่งหญ้าสูงในสถานที่ไร้ผู้คนสัญจรยามดึกเกือบค่อนคืนเช่นนี้ สมองก็พลันระลึกถึงดร.เชียรโชติที่ห่างหายมานานด้วยต้องการคืนแผ่นซีดี แน่นอนว่าเขาต้องคืนและคิดจะคืนวันรุ่งขึ้น แต่เวลานี้ต้องจัดการกับเหยื่อให้เรียบร้อย

วิทยาจ้องมองร่างบางที่นอนทับต้นหญ้าให้ราบ หล่อนแทบสิ้นแรงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเพราะโดนชกต่อยให้อ่อนระโหยโรยแรง ปากมีเทปพันท่อปิดแน่น มือและเท้าที่ไพล่หลังพันธนาการด้วยสายไฟ เขาส่องไฟตั้งโต๊ะที่ให้แสงพอเหมาะ แต่ไม่สว่างเกินไปยังร่างของนักศึกษาสาว ดวงตาของหล่อนฉายความหวาดกลัวสุดขีดและมีน้ำตาเอ่อท้น เสียงในลำคอที่หล่อนพยายามเปล่งก็แผ่วเบาเหลือเกิน

ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจกับสภาพของเหยื่อและวางไฟตั้งโต๊ะบนพื้นหญ้าก่อนฉีกกระชากเสื้อผ้าชุดบางของนักศึกษาสาวให้ขาดแล้วใช้สายตาโลมไล้หน้าท้องเนียนเรียบของหล่อนด้วยท่าทางคล้ายเคลิบเคลิ้ม

"สวยจัง"

มือใหญ่ข้างที่ว่างลูบหน้าท้องเหยื่ออย่างเบามือ ฝ่ายหลังกระตุกตัวหนี

"อื้อๆๆ" หล่อนส่งเสียงและร้องไห้ ร่างกายก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว

"คิดว่าผมหิ้วคุณมาทำไม หือ หลับนอนเหรอ ไม่ล่ะ ผมไม่สนเรื่องนั้นหรอก" วิทยาหัวเราะอย่างคนเสียจริต

น้ำตาที่นองใบหน้าสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางไม่มีผลต่อความเมตตากรุณาของชายหนุ่มสักนิด

"ผมจะลงมือล่ะนะ" พูดจบก็ลงคมมีดเล่มยาวที่สะท้อนแสงวาววับยังหน้าท้องของเหยื่อจากช่วงอกลากยาวลงเบื้องล่าง พร้อมกันนั้นเลือดก็หลั่งรินเป็นทางและส่งกลิ่นคาว

"อื๊อ…อ" เป็นเสียงร้องในลำคอด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสและดิ้นรน

วิทยาแหวกช่องท้อง เขาใช้ทั้งมีดทั้งมือควักเครื่องในนิ่มลื่นที่ชุ่มเลือดและส่งกลิ่นคาวคลุ้งออกมากองข้างนอก เหยื่อก็ยิ่งเคลื่อนไหวอย่างทรมานหนักด้วยดวงตาเหลือก ลมหายใจค่อยแผ่วลง ทว่ายังไม่สิ้นใจในทันที หากจะค่อยๆตายอย่างช้าๆและชายหนุ่มจะเฝ้ามองด้วยความตื่นตัวอยู่อย่างนั้นกระทั่งอารมณ์วิปริตสูญไปพร้อมกับชีวิตที่ดับสิ้นของเหยื่อ แต่เขารับรู้ว่าตลอดเวลาที่ลงมือทุกครั้งมักจะมีใครบางคนเฝ้ามองอย่างเงียบๆและไม่ต้องการแสดงตัว เขารู้อีกว่าคนๆนั้นต้องการเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ซึ่งปราศจากความมุ่งร้ายและมีบางอย่างที่คุ้นความรู้สึก วิทยาคิดว่าตนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

"ผมเอาแผ่นมาคืนดอกเตอร์" เขาเอ่ยอย่างสบายอารมณ์

"ดอกเตอร์ให้แผ่นผิดน่ะ" พูดต่อ

คนฟังไม่ปริปากเอ่ย

"ผมหาทางออกได้แล้ว เป็นวิธีที่ดีที่ผมไม่รู้สึกผิดอะไรเพราะสิ่งที่ผมทำ…ผมทำตอนอยู่ในโลกที่คิดฝัน ดอกเตอร์เห็นด้วยไหมครับ" คนพูดยิ้มละไม

"ถ้าคุณว่างั้นนะ" เจ้าของห้องยิ้มปานกัน

"ขอบคุณครับดอกเตอร์ เห็นทีผมคงต้องลาล่ะครับ"

หนนี้ดร.เชียรโชติไม่ส่งชายหนุ่มผู้มาพบเพราะอีกฝ่ายยอมรับกุญแจที่เขาเป็นผู้ถือ และวิทยาก็ได้ไขสู่ตัวตนที่ซ่อนเร้นมาเนิ่นนาน เป็นตัวตนที่เป็นอันตรายอย่างร้ายกาจ ใช่แน่นอนที่เขาเป็นเพียงผู้ถือกุญแจ ส่วนผู้มาขอรับคำปรึกษาจะรับไปหรือไม่ หรือแค่จะถือไว้เฉยๆ หรือจะไขสู่สิ่งใดนั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่เขาจะคอยติดตามผลระยะหนึ่ง เมื่อมั่นใจถึงหนทางที่บุคคลเป็นผู้ค้นพบ เขาจะปล่อยให้เป็นเรื่องของแต่ละคน อย่างหลายๆรายที่เคยพบเขาและเว็บไซต์ของเขาที่ชื่อ //www.KeyMan-CU.com ย่อมคงอยู่ตราบเท่าที่บุคคลผู้มีปัญหากับตนเองต้องการผู้ชี้แนะเช่นตัวเขาที่เก็บงำสิ่งผิดปกติอย่างแนบเนียน.


Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2549 13:21:31 น. 2 comments
Counter : 382 Pageviews.

 
อ่านจบแล้วค่า


โดย: Batgirl 2001 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:14:21:44 น.  

 
คุณBatgirl 2001 : ขอบคุณจ้า

และขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านนะคะ


โดย: กาญจน์ฏีบ่ได้ log in IP: 203.113.45.68 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:14:18:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.