Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

We like Hong Kong, that's the place for you

ไม่ได้เขียนบล็อคมาเป็นปีแล้ว กลับเข้ามาอีกที จำรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยได้เลย นั่งเง็งอยู่ราว 10 นาที ก่อนจะคลิ๊กนู่นคลิ๊กนี่ได้ตามปกติ ตอนนี้สิงอยู่แต่ในfacebookค่ะ เพราะว่าชอบเล่นเกมส์ แค่ทักทายเพื่อนๆ เล่นเกมส์ และง่วนกับลูก ก็หมดเวลาไปวันๆแล้ว (จะเห็นได้ว่าไม่ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์เล้ย แฮ่ๆๆ)

ที่เข้ามาปัดฝุ่นบล็อคครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาอัพเดทขีดๆเขียนๆแบบที่เคยทำมาในอดีตน่ะค่ะ เพียงแต่อยากจะใช้พื้นที่เขียนบันทึกความทรงจำดีๆอะไรบางอย่างที่เพิ่งประสบมา แล้วไม่อยากให้ความทรงจำนี้ลืมเลือนหายไปตามกาลเวลา เพื่อนๆที่ตั้งใจเข้ามาอ่าน หรือ เผอิญเข้ามาอ่าน อย่าขุ่นเคืองกันนะคะ ถ้าหากว่าออยจะไม่ได้เข้ามาทักทาย และขอบคุณ...จริงๆอยากจะเขียนลงfacebookมากกว่า แต่รูปที่ถ่ายมามีเกือบๆ 100 ใบ ถ้าจะเล่าเรื่องราวผ่านfacebookคงทำลำบาก

ขอบคุณpantipมากๆที่ให้ใช้พื้นที่เพื่อเก็บบันทึกความสุขและความทรงจำที่ดีๆครั้งนี้ค่ะ

ออยเคยอยู่ฮ่องกงมาก่อนที่จะย้่ายมาญี่ปุ่น แต่งงานกับป่าป๊าปี2000 พอดี แต่งเสร็จก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย เพราะป่าป๊าย้ายไปประจำที่นั่น 6 เดือนก่อนหน้าวันแต่งแล้ว ชีวิตหลังแต่งงานลั้นลันลามากค่ะ เพราะป่าป๊าเป็นexpatriateถึงเงินเดือนจะไม่ได้สูงติดเพดาน แต่บริษัทก็มีบ้านให้อยู่ มีเงินให้ใช้อย่างสุขสบายตามอัตภาพ แต่ความสุขก็ไม่จีรัง ราวปลายปี 2002 พวกเราก็ต้องย้ายกลับมาญี่ปุ่นอย่างถาวร เพราะบริษัทของป่าป๊ามีการปรับเปลี่ยนองค์กรภายในเพื่อให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น...

จากวันนั้นเป็นต้นมา ออยและป่าป๊าไม่เคยกลับไปเยือนฮ่องกงอีกเลย ถ้าจะใช้ข้ออ้างว่าไม่มีเงินก็คงไม่ใช่ เพราะการเดินทางไปเที่ยวฮ่องกงไม่ใช่ว่าต้องใช้เงินอะไรมากมาย น่าจะเป็นเพราะออยคิดแต่จะทำงานเก็บเงิน และตั้งใจมีลูกให้ได้มากกว่าค่ะ ปณิธาน 2 ข้อนี้ จึงทำให้ออยและป่าป๊าไม่เคยคิดที่จะเที่ยวตปท.เลย นอกจากกลับเมืองไทยปีละครั้งเท่านั้น

ครั้งนี้เราสองคนกลับไปฮ่องกงอย่างมีจุดมุ่งหมาย 2 ข้อ คือ ข้อแรก เพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน และข้อสอง ไปเยี่ยมเพื่อนเก่่า โดยเฉพาะ น้องโม ที่มีปัญหานิดหน่อยเลยย้ายกลับไปเมืองไทยได้ปีกว่าแล้ว น้องว่า ราวเดือนเมษาจะเอาลูกกลับมาต่อพาสปอร์ตฮ่องกง อย่ากระนั้นเลย จัดทริปไปฮ่องกงช่วงที่น้องโมกลับมาทำธุระที่ฮ่องกงพอดีๆกว่า

* การเดินทางครั้งนี้ ใช้กล้องมือถือบันทึกภาพทุกภาพเพราะไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปค่ะ คุณภาพของรูปจึงไม่ค่อยดีนัก แล้วไม่ได้ไปเพื่อท่องเที่ยว จึงไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆเลย...จริงๆต้องพูดว่าไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนถึงจะถูก เพราะเคยเที่ยวมาหมดแล้วอ่ะค่ะ*

Photobucket

หลังจากโทรคุยกับน้องโมหลายรอบ จนแน่ใจว่าน้องจะกลับมาช่วงที่ว่าแน่ๆ ก็ให้ป่าป๊าจองตั๋วเครื่องบิน ตั๋วค่อนข้างราคาแพง เพราะเป็นช่วงโกลเด้นวีค แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่น พอจองตั๋วเสร็จก็เริ่มหาโรงแรม ออยและป่าป๊าใจตรงกัน อยากได้โรงแรมบนฝั่งฮ่องกง และถ้าจะให้ดีขอเป็นแถวละแวกNorth Pointที่ๆเราเคยอยู่ด้วย เป็นโชคดีสุดๆ คุยMSNกับน้องเล็ก (เพื่อนรักอีกคนที่รู้จักมาเกือบ 10 ปี ตอนนี้น้องเล็กก็ยังอยู่ฮ่องกง) น้องว่าสามารถช่วยจองโรงแรมราคาพิเศษให้ได้ เพราะน้องทำงานอยู่travel agencyมีcontactกับโรงแรมหลายโรงแรม โดยเฉพาะถ้าเป็นโรงแรมบนฝั่งเกาลูน จะได้ราคาถูกเป็นพิเศษ แต่ออยก็ยืนยันว่าอยากจะได้โรงแรมบนฝั่งฮ่องกงมากกว่า เพราะคุ้นกับฝั่งนี้มากกว่า น้องเล็กที่แสนดีก็ช่วยจองโรงแรมให้ พร้อมกับจ่ายเงินไปให้ก่อนด้วย

ออยกับป่าป๊าไม่เน้นความหรูหรา ไม่เน้นว่าต้องเป็นโรงแรมระดับ5ดาว แต่ขอให้สะอาด และไปมาสะดวกก็พอ ขอให้น้องเล็กโค้ดราคามา 3-4 แห่ง สุดท้ายก็มาลงเอยที่Newton Hotel Hong Kongอยู่ใกล้สถานีMTR Fortress Hill ที่ต้องพ่วง Hong Kong เพราะบนฝั่งฮ่องกง มีโรงแรมนิวตั้นอีกที่นึง เรียกว่า Newton Inn Hotel อยู่ใกล้สถานีMTR North Point ใจจริงออยอยากได้นิวตั้นอินน์มากกว่า เพราะใกล้North Pointและเรทถูกกว่า แต่ว่าเต็มหมดแล้ว

Photobucket

จากราคาหน้าเวบ คืนละ $ 1400 HK สำหรับstandard room น้องเล็กจองให้เราได้คืนละ 780 เหรียญ (28-30 เมษา) และ 580 เหรียญ (1-2 พฤษภา) ขอบคุณน้องเล็กมากๆนะจ๊ะ

ไม่เพียงแต่เป็นธุระเรื่องโรงแรมให้เท่านั้น น้องเล็กยังช่วยติดต่อคุณเวสลี่ บอกเรื่องที่ออยและป่าป๊าจะกลับไปฮ่องกงด้วย น้องโมบอกสโลแกนเกี่ยวกับน้องเล็กว่า "ทุกอย่างจบที่น้องเล็ก" หมายถึง ไม่ว่ามีปัญหาอะไร บอกน้องเล็ก แล้วทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เพราะน้องเล็กจะจัดการให้หมด...พี่ก็เห็นด้วยกับน้องโมนะ

ออยเป็นคนเช็คอิน เพราะน้องเล็กย้ำนักหนาว่า "พี่ออยต้องใช้หนังสือเดินทางไทยเช็คอินนะ ถ้าใช้หนังสือเดินทางญี่ปุ่นของพี่ด้งจะไม่ได้เรทนี้" ป่าป๊าพอใจกับสภาพและขนาดของห้องเลยหล่ะ บอกว่าถ้าคราวหน้ากลับมาฮ่องกงอีก และได้เรทนี้ ก็อยากจะพักโรงแรมนี้อีก เพราะสะดวกสบายมากค่ะ เดินถึงสถานีMTR 2 นาที ถึงป้ายairport bus 1 นาที มีร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต ตลาดสด และเดินถึงสถานีNorth Point และNorth Point ferry pierไม่เกิน 10 นาที

วันแรกที่ไปถึง (28 เมษา) ก็รีบไปกินข้าวหน้าห่านทันที แบบว่าอยากกินมานานมาก ที่ฮ่องกงจะมีทั้งเป็ดย่าง(ซิ้วหงอ) และห่านย่าง(ซิ้วหงาบ)นะคะ ออยชอบห่านย่างมากกว่า เพราะเนื้อเยอะกว่า ถ้าใครไม่ทานห่าน ต้องสั่งซิ้วหงอนะคะ ป่าป๊าสั่งไก่นึ่ง และไก่ซีอิ้วมาในจานเดียวกัน และที่ขาดไม่ได้ คือ ชามะนาวเย็น (ตงเหล่งม้งฉ่า) ชามะนาวของฮ่องกงมีเสน่ห์ตรงที่ จะฝานมะนาวมาให้เยอะมาก เวลาเสริฟจะเสริฟทั้งหลอดและช้อนยาว เพราะคนฮ่องกงจะเอาช้อนยาวกระทุ้งจิ้มๆๆให้ความเปรี้ยวของมะนาวออกมาผสมกับน้ำชาที่หวาน อร่อยสุดยอดค่ะ

ยังค่ะ อาหารเย็นของเรายังไม่จบเพียงแค่นี้ ป่าป๊าชวนเดินไปNorth Point(ปั๊กก่อก) ย้อนความหลังสมัยเกือบ 10 ปีที่แล้ว ที่เราเคยอยู่กันตรงนี้ ป่าป๊าเลยเข้าไปนั่งสั่งหมูแดง(ชาซิ้ว) และผัดซีอิ้ว(ก้อนฉาวเหง่าหอ)ร้านประจำกินต่ออีก ก่อนกลับโรงแรมก็ซื้อเงาะ และมังคุดเข้าไปกินด้วย วันแรก...หลับฝันดีไปเลย

Photobucket

วันที่สอง(29 เมษา) ป่าป๊าตื่นมาแต่เช้า ออกไปหิ้วปาท่องโก๋ โจ๊ก น้ำเต้าหูเข้ามากินในห้อง ออยกับโปเนียวยังแข่งกันนอนก้นโด่งอยู่ พอกินเสร็จก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพราะมีภาระกิจที่ต้องรีบทำให้เสร็จ นั่นคือไปปิดบัญชีธนาคารHSBC ที่สาขาปั๊กก่อก อยากจะเอามือโขกกะโหลกตัวเอง ที่ควรจะขอเข้าห้องส่วนตัว ไม่น่ามายืนปิดบัญชีที่หน้าเคาน์เตอร์เลย เพราะนอกจากคนที่ยืนต่อคิวจะส่งสายตาพิฆาตเพราะใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว ยังเสี่ยงต่ออันตรายจากมิจฉาชีพ(ถ้ามี)อีกด้วย มีบัญชีที่ต้องปิด 3 บัญชี คือ บัญชีฝากประจำ บัญชีออมทรัพย์ และบัญชีที่ฝากเป็นสกุลดอลล่าร์สหรัฐ

Photobucket

1. โจ๊ก ปาท่องโก๋ น้ำเต้่าหู้
2. Island Place(ก๋องหว่านเส่ง) คอนโดที่พวกเราเคยอยู่
3. HSBC สาขา North Point
4. ตลาดสดNorth Point


จริงๆตั้งใจว่าจะถอนเป็นดอลล่าร์สหรัฐออกมา เพราะเงินดอลล่าร์ฮ่องกงตกมาก(ดอลล่าร์สหรัฐก็ตก...ง่ะ) แต่HSBCจะเก็บค่าธรรมเนียม 18 ดอลล่าร์ ก็เลยต้องยอมให้convertเป็นดอลล่าร์ฮ่องกง เพราะไม่เสียค่าใช้จ่าย

หลังจากใช้เครื่องนับแบงค์ นับธนบัตร2ปึก เรียบร้อย พนักงานคนเดิมก็ขอให้เราตรวจสอบว่ายอดเงินกับจำนวนเงินตรงกันมั้ย

"คุณต้องการเงินเป็นธนบัตรอะไรบ้างคะ" พนักงานแบ้งค์ถาม
"ขอเป็นแบงค์พันทั้งหมด ว่าแต่ว่าคุณมีใบละหมื่นเหรียญฮ่องกงด้วยมั้ยคะ" คิดในใจ นี่มาปิดบัญชีนะ ไม่ได้มาเบิกเงินไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ จะเอาแบงค์ย่อยไปให้หนักกระเป๋าทำไมล่ะ
"ไม่มีค่ะ" พนักงานยิ้มแห้งๆ

"เอ่อ...เงินนี้แค่บัญชีดอลล่าร์ฮ่องกงใช่มั้ยคะ ยังไม่รวมดอลล่าร์สหรัฐใช่มั้ยคะ" ออยถามไป เพราะว่าใบแจ้งยอดเงินฝากที่ทางHSBCที่ฮ่องกงส่งมาให้ที่ญปทุกเดือนระบุไว้ไม่ใช่จำนวนที่อยู่ตรงหน้า
"รวมหมดแล้วค่ะ" พนักงานตอบกลับ
"เอ๊ะ...คุณรวมเงินของสามีดิฉันด้วยหรือเปล่าคะ ปีที่แล้วเค้าโอนเงินบัญชีเค้ามาใส่บัญชีดิฉันด้วย" ออยเริ่มเอ๋อนิดๆ...

ดูคอมพิวเตอร์แว้บนึง "ใช่ค่ะ รวมหมดแล้วน่ะค่ะ"
!?!
!?!
!?!
"โอ๊ะ...คุณมีบัญชีฝากประจำด้วยนี่ ขอโทษนะคะ รอแป๊บนึงค่ะ"
"คุณต้องเสีย 200 เหรียญฮ่องกงนะคะ เงินจำนวนทั้งหมด คือ XXXค่ะ ถูกต้องมั้ยคะ"
"ถูกต้องค่ะ ว่าแต่ว่า ทำไมดิฉันต้องจ่าย 200 เหรียญด้วยคะ"
"เพราะว่าบัญชีฝากประจำจะถึงdue dateวันที่ 12 พฤษภาค่ะ"
"โอเคค่ะ เพราะดิฉันปิดบัญชีก่อนที่จะถึงdue dateก็เลยต้องเสียค่าธรรมเนียมตรงนี้ใช่มั้ยคะ"
"ถูกต้องแล้วค่า"

สุดท้ายเราก็ปิดบัญชียอกอกนี้ได้อย่างราบรื่น พนักงานแบงค์เอาซองสีน้ำตาลขนาดA4ใส่เงินให้เรา เหมือนในทีวีเลย ป่าป๊าต้องเอาของในกระเป๋าสะพายออกหมด แล้วยัดซองสีน้ำตาลนี้ลงไปแทน

ต่อไปนี้ตั้งปณิธานว่า จะไม่ทิ้งบัญชีเงินฝากไว้ในประเทศที่ป่าป๊าจะถูกส่งไปประจำอีกแล้ว เพราะมันยุ่งยากมากจริงๆ ขากลับป่าป๊าไม่ยอมตรงดื่งกลับโรงแรมทั้งๆที่กอดเงินในกระเป๋าตุงขนาดนั้น บอกว่าบทสนทนาที่ออยคุยกับพนักงานธนาคาร ถ้ามีมิจฉาชีพฟังอาจจะแอบตามเราไปที่โรงแรม(คิดไปนู่น) ก็เลยแวะกินข้าวก่อน(ทำเนียน)

Photobucket

พอกินข้าวกลางวันเสร็จ ก็นั่งแท๊กซี่กลับโรงแรม ช่วงบ่ายฝนเริ่มลงเม็ด ก็เลยนั่งMTRไปสถานีTaikoo Shing(ไทกู๋เส่ง)หาที่หลบฝนที่City Plaza ได้เสื้อและกางเกงH&Mมาอย่างละสองตัว และได้เสื้อ+กางเกงยีนส์Espritมาอีกชุดนึง เดินเข้าไปดูเสื้อผ้าที่Marks&Spencer แต่ป่าป๊าว่าดีไซน์มัน中途半端ชอบกล ดูเหมือนทำมาครึ่งๆกลางๆไม่เสร็จสมบูรณ์ อยากจะเดินดูของต่อ แต่ไม่มีเวลาเพราะว่าตอนเย็นมีนัดกินข้าวกับน้องเล็กและคุณเวสลี่

ฝนเทลงมายังกะฟ้ารั่ว ออกมาจากCity Plazaอยากจะเรียกรถแท๊กซี่ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะคิวคนเรียกรถแท๊กซี่ยาวหลายเมตร เลยต้องนั่งMTRมาลงสถานีปั๊กก่อก แล้วเดินฝ่าสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเดินไปที่ตลาดปั๊กก่อก(ปั๊กก่อกก้ายสี่) น้องเล็กกับคุณเวลสี่นั่งกระสับกระส่าย เพราะนัดกันไว้ทุ่มครึ่ง แต่เราสองคนไปสาย 15 นาที

Photobucket

น้องเล็กกับคุณเวสลี่รีบสั่งอาหารทันที ออยอยากกินไก่มะนาว(เหล่งม้งไก๊) แต่ที่ร้านไม่มี แต่ก็ไม่ผิดหวังค่ะ อาหารอร่อย แต่ก่อนออยกับป่าป๊ามากินที่นี่บ่อยๆ เพียงแต่ไม่ใช่ร้านนี้ บนชั้น3ของตลาดสด มีร้านอาหารขาย หลายตลาดสดก็เป็นแบบนี้ แต่ที่ปั๊กก่อกร้านจะค่อนข้างมีฝีมือ อาหารอร่อย แขกเลยมากินกันแน่น จริงๆออยว่าแน่นทุกร้านนะ แต่คุณเวสลี่ว่าร้านนี้ดังที่สุด มื้อนี้เราได้เจ้าภาพทางฮ่องกงจ่าย

คุณเวสลี่นี่เป็นเพื่อนคนฮ่องกงคนแรกที่ออยรู้จักค่ะ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งครู และทั้งเจ้านาย คือ คุณเวสลี่ทำงานให้กับองค์กรCaritasที่เป็นคล้ายๆ NGO เคยสอนภาษาจีนกวางตุ้งให้ออย และออยก็เคยทำงานเกี่ยวกับเอกสารให้คุณเวสลี่ก่อนน้องเล็กจะมารับช่วงต่อ เพราะต้องย้ายกลับญี่ปุ่น ก็เลยซี๊ปึ่กนิดนึง...

Photobucket

เช้าวันที่30 เมษา เราตื่นสายกัน เพราะภาระกิจที่ตั้งใจมาทำเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่เมื่อวาน พอตอนสายๆก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปหยำฉ่า ร้านนี้เมื่อวานคุณเวสลี่แนะนำให้ ไม่ผิดหวังเลย อร่อยเกือบทุกอย่างยกเว้นปลาหมึกเผ็ดๆนั่น ที่ออยชอบมากที่สุดก็เป็นตีนไก่น้ำแดง ไม่รู้ว่าภาษาไทยเค้าเรียกอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเวลาสั่งก็จะสั่งว่า "ฝ่งจ๋าว" แล้วก็ได้ที่อยากกินทุกครั้ง กินหยำฉ่าที่ญี่ปุ่นมาหลายร้าน ๆไม่มีร้านไหนถูกใจเท่ากับร้านที่ฮ่องกงเลย ออยกินแต่ร้านธรรมดานะคะ ไม่เคยกินร้านระดับ5ดาว...ป่าป๊าว่า ติ่มซำร้านฟลอร์ๆของญี่ปุ่นใช้ขนมจีบแช่แข็งมาเสริฟ ความเหนียวนุ่มของแป้ง และความกรอบเด้งดึ๋งของกุ้งถึงไม่ค่อยมี

คนฮ่องกงนิยมหยำฉ่ากันมาก โดยเฉพาะผู้แก่ผู้เฒ่า บางร้านเปิดตั้งแต่หกโมงเช้า ใครอยากได้ราคาถูกก็ต้องมาหยำกันตั้งแต่เช้าจนถึงก่อน11โมง เพราะหลัง11โมง จะเปลี่ยนเป็นอีกราคานึง แต่บางเมนูจะไม่เสริฟตอนเช้า...สั่งไว้ก่อนได้ แต่จะมาเสริฟให้หลัง11โมงไปแล้ว

จากนั้นก็นั่งรถราง(ตี่นเช้)ไปที่Causeway Bay(ถ่งหล่อว้าน) เพราะป่าป๊าอยากไปซื้อชาที่เจ้าจำนำกัน งานนี้ออยเหนื่อยโฮก เพราะต้องคอยจับโปเนียวไม่ให้เอามือไปจับถ้วยชา กาชา หรือสิ่งของแตกหักในร้าน ป่าป๊าซื้อชาPu er(โผวเหล)กลับมา 4 แผ่น แบบแผ่นละ 400 เหรียญฮ่องกง รีบบอกใหญ่เลยว่าเพื่อนที่ทำงานสองคนฝากซื้อด้วย เพราะงานนี้ขอตังค์เมียไปซื้อ

พอซื้อชาเสร็จ พี่แกเกิดอยากเข้าห้องน้ำกระทันหัน ตอนอยู่ร้านชานาน 2-3 ชั่วโมงไม่รู้จักขอเค้าเข้า พอออกมานอกตัวตึกกลับต้องรีบหาร้านอาหารเข้า แล้วไม่ยอมส่งซิกมาก่อน ออยก็เลยสั่งอาหารไป ตอนนั้นบ่าย 4 โมงเอง ยังอิ่มจากหยำฉ่าอยู่เลย ป่าป๊าบอกว่ากะจะสั่งน้ำมากินเฉยๆ อ้าว...ใครจะไปรู้ แล้วเด็กเสริฟ(จริงๆเป็นลุง)ก็มาถามจ่อรดต้นคอว่า "ลื้อจะกินอะไรๆ" ทำไงได้ ก็เลยต้องสั่ง กลายเป็นว่าวันนี้ไม่ได้กินมื้อเย็นร้านที่ตั้งใจ เพราะไปเสร็จมื้อบ่ายแก่ๆซะก่อน

Photobucket

กลางคืน ไม่มีอะไรทำ ก็เลยนั่งรถรางเล่น กะจะนั่งไปให้สุดSheung Wan(เซิงหว่าน) แล้วนั่งกลับ(เพื่อ?) แต่นั่งไปได้แค่แถวCentral(จ๊งหว่าน) ก็รีบลง เพราะเปลี่ยนใจอยากไปLan Kwai Fong(หล่านไกว่ฟ่ง) ย่านที่คนต่างชาติ โดยเฉพาะพวกฝรั่ง ชอบไปสิงกัน แถวนั้นบาร์และร้านอาหารเยอะ

ทายสิคะว่าไปถึงหล่านไกว่ฟ่งหรือเปล่า?

ตอบ...ไม่ถึงค่ะ เพราะตอนเดินผ่านร้านรองเท้าJoy & Peace พนักงานขายก็ปราดเข้ามารุม ปกติจะเคยชินกับคำพูดที่ว่า "เชิญดูก่อนนะคะ" หรือไม่ก็"สนใจคู่ไหน ลองใส่ได้นะคะ" แต่นี่เจอแบบ "คุณใส่ไซส์อะไรคะๆ" พูดกรอกหูประมาณ 4-5 ครั้งได้ พนักงานขายเก่งมากกกกก โอย...ขายแบบส่งมุขส่งลูกล่อลูกชงกันสุดริด อวยกันเข้าไป พอบอกว่าจะขอลองใส่คู่นี้ ไซส์นี้ คุณน้องเธอไม่เพียงแต่หยิบคู่ที่เราบอกมา แต่พ่วงติดมือมาอีก 2 คู่ที่เราไม่ได้บอก แล้วเชียร์สุดชีวิต

สุดท้ายก็ได้มาสองคู่ เป็นรองเท้าที่ซื้อแพงที่สุดในชีวิต แพงยิ่งกว่าFerragamoที่ซื้อจาก Duty Free Gallerie ที่ฮาวายอีก เพราะนั่นมันลดราคาตั้ง 80% แต่นี่ร้านลดให้ 10% เท่านั้น คู่นึงMade in Italyราคาตั้ง $ 1,9xx HK ตอนลองก็รู้สึกเฉยๆไม่ได้อยากได้เลย พยายามส่งสายตาไปทางป่าป๊าว่าให้พูดว่าไม่ค่อยถูกใจ พี่แกมัวแต่หัวเราะร่าเพราะโดนสาวๆรุม ยิ้มแก้มตุ่ยไปมา เมียเลยโดนเชือดนิ่มๆ

Photobucket

ขากลับโรงแรมก็นั่งรถรางกลับเหมือนเดิม ออยชอบมากเลยนะคะนั่งรถรางตอนกลางคืนเนี่ย ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวนะสุดยอด ลมเย็นๆมาปะทะกาย นั่งดูตึกสูงๆที่ประดับไฟนีออนจ้าสองข้างทาง ผู้เดินเดินขวักไขว่บนท้องถนนไปมาอย่างเร่งรีบ นี่แหล่ะ คือ เสน่ห์ของฮ่องกง เมืองที่ไม่เคยหลับ

แวะกินแมงโก้พุดดิ้งร้านเจ้าประจำด้วย แต่เป็นสาขาที่Fortress Hill(พาวถ่อยซ้าน) เจ้าประจำอยู่ที่ปั๊กก่อก ร้านไฮเทคทันสมัยขึ้นเยอะเลย คงความอร่อยไว้เหมือนเดิม

Photobucket

วันต่อมา(1 พค)กำลังคิดๆว่าจะพาลูกไปว่ายน้ำดีมั้ย อุตส่าห์หอบหิ้วชุดว่ายน้ำไปจากญี่ปุ่น เพราะชั้น24ของโรงแรมมีสระว่ายน้ำด้วย แต่ป่าป๊าบอกว่าอากาศเย็น(ราว 24-25 องศา) กลัวโปเนียวจะไม่สบาย ก็เลยนั่งMTRไปจ๊งหว่าน เพราะครั้งนี้ตั้งใจจะไปซื้อกระเป๋าLouis Vuittonรุ่นที่เล็งไว้ราวปีกว่า แถวสถานีCauseway Bayก็มีร้านLVที่Lee Gardensแต่ป่าป๊าว่าเป็นร้านเล็ก ของน่าจะไม่เยอะ ก็ไปCentralแทน ที่ฮ่องกงถูกกว่าที่ญี่ปุ่นราว 1 หมืนเยนค่ะ ถูกตาต้องใจอีกใบนึงด้วย แต่ราคาเกินงบ ก็เลยตัดใจเอามาใบเดียวก่อน แล้วถ้าคราวหน้าป่าป๊ามีbusiness tripไปยุโรป มีเวลามากพอที่จะไปซื้อให้ได้ ก็จะฝากป่าป๊าหิ้วมาให้ แต่ไม่ซีเรียสเลย ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เอา ออยไม่เคยรู้สึกอยากได้ของพวกนี้ถึงขนาดทนไม่ได้ ต้องรีบไปซื้อมาให้ได้ในทันที...เพราะคิดเสมอว่าตราบใดที่เงินยังไม่ออกจากกระเป๋าเรา เราเป็นเจ้าหนี้ แต่ถ้าเงินออกจากกระเป๋าปุ๊บ เรามีสภาพเป็นลูกหนี้แล้ว จึงพอใจที่จะเห็นเงินอยู่ในกระเป๋ามากกว่าต่อไป...

พอซื้อกระเป๋าเสร็จ ก็เดินต่อไปที่ร้านMarks & Spencer ได้ของกิน และสบู่ล้างมือมานิดหน่อย อยากจะขนซื้อมามากกว่านี้อีกสัก10เท่า แต่ขนไม่ไหว อยากให้โยโกฮาม่ามีร้านMarks & Spencerที่ขายราคาเท่าฮ่องกงจัง

ตอนนี้ป่าป๊าเริ่มงอแง บอกว่าของหนัก (แทบจะไม่ได้ซื้ออะไรเลยนี่นะ?) บอกว่าถ้าจะกลับโรงแรมเลยจะนั่งแท๊กซี่กลับ ถ้าจะให้นั่งMTRกลับ ก็จะต้องพักเหนื่อยก่อน แล้วพี่แกก็เดินนำไปที่Stanley Streetไปนั่งจิบชาที่ Luk Yu Tea Houseเฉยเลย คนต่างชาติชอบมานั่งกินติ่มซำที่นี่นะ เพราะเสริฟชาดี แต่ป่าป๊าว่าชางั้นๆ เพราะถ้าเป็นชาดีจริง ต้องดื่มได้ 7 ครั้ง ของที่นี่เข้าครั้งที่ 3 ก็ออกรสขมแล้ว แต่ออยว่ามันก็ยังอร่อยอยู่นา(ลิ้นจระเข้ไปหรือเปล่า?)

Photobucket

กลับมาโรงแรมตอนบ่ายๆ ป่าป๊าบอกว่ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะมีไข้ อยากนอนพัก ออยเลยเอาโปเนียวใส่รถเข็นออกไปเดินข้างนอก ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ เดินละแวกนั้นแหล่ะ ดูโน่นดูนี่ฆ่าเวลา เพื่อให้ป่าป๊าได้นอนพัก พาโปเนียวไปสวนสาธารณะเล็กๆใกล้ๆกับตลาดCauseway Bay แม่บ้านอินโดนีเซียมานั่งจับกลุ่มคุยกัน เพราะวันนี้เป็นวันแรงงาน แม่บ้านหยุดงาน โปเนียวเลยกลายเป็นหนุ่มน้อยเนื้อหอม มีสาวๆเรียก บี่บี๊ๆ(baby)กันไม่ขาดเสียง

ตอนกลางคืน ป่าป๊าค่อยยังชั่วขึ้น เราเลยเดินไปสถานีTin Hau(ถินฮ่าว)ไปล่าลายแทง ตามหาร้านขายเนื้อตุ๋นที่คุณเวสลี่แนะนำไว้ แถวนี้คุณเวสลี่รู้จักดี เพราะเป็นคนฝั่งฮ่องกง ที่ทำงานก็อยู่ฝั่งฮ่องกง ร้านเป็นร้านเล็กๆ คนนั่งในร้านได้ไม่เกิน 30 คน ร้านเห็นเรามีเด็กเล็กและรถเข็น จึงกางโต๊ะให้ริมทางเดิน นั่งกินกันนอกร้านฮาร์ดคอร์ไปเลย

Photobucket

เนื้ออร่อยสุดๆ อยู่ฮ่องกงมาเกือบสามปี ไม่เคยไปกินเลย เสียดายมาก ต่อจากนี้ถ้าไปฮ่องกง รับรองป่าป๊าไม่พลาดแน่ๆ โปเนียวเหนื่อยจากที่เล่นตลอดบ่าย ก็หลับนานระหว่างที่ป่าป๊าหม่าม้ากินข้าวเย็น พอตื่นมาก็หิวซก ออยเลยแวะซื้อข้าวผัดที่ร้านอาหารไทยใกล้โรงแรมให้ พี่แม่ครัวก็แสนดี เห็นโปเนียวร้องหิว รีบลัดคิวให้เลย เมนูเขียนว่าข้าวผัดเริ่มที่ราคา 35 เหรียญ แต่ขอโปเนียวผัดไข่อย่างเดียว พร้อมซุปอีกถ้วย พี่เค้าคิดแค่ 25 เหรียญ พี่เอ็นดูโปเนียวเป็นพิเศษ เพราะเจอกันกันทีไร(เดินผ่านหน้าร้านไปมา) พี่จะต้องออกมาจับโปเนียว คราวหน้าไป จะแวะไปทักทายพี่แน่ๆค่ะ

Photobucket

เมื่อคืนน้องเล็กโทรมาบอกว่าน้องโมมาถึงฮ่องกงแล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่Kowloon City(เก๋าหล่งเส่ง)ตอน 11 โมงนะ

แต่พอตอนเช้า (2 พค) น้องเล็กก็กริ๊งกร๊างมาบอกว่า ตอน9.30มีนัดหยำฉ่ากับน้องโม ที่ร้านแถวHung Hom(ห่งฮำ)แถวๆบ้านน้องเล็ก ออยได้ยินก็หูผึ่งเลย เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ฮ่องกง อยากใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆให้มากที่สุด พอวางหูจากน้องเล็กก็รีบปลุกป่าป๊าให้ตื่น อาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินไปขึ้นเรือferryที่ท่าที่ปั๊กก่อก เรือมาทุกครึ่งชั่วโมง พอถึงท่าห่งฮำน้องเล็กก็มารอรับ น้องโมไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ นอกจากดูอวบขึ้นนิดหน่อย ตามประสาแม่ลูกหนึ่ง แต่น้องโมว่าพี่ออยดูเป็นป้าไปเลย ฮ่า...เราหยำฉ่ากัน คะน้าฮ่องกงราดน้ำมันหอยอร่อยเทพมาก...ปกติจะชอบสั่งแต่ผักบุ้งผัดกับเต้าหู้ยี้ขาวมากิน ไม่เคยคิดกินคะน้าเลย พลาดของอร่อยอย่างแรง...ต่อจากนี้เสร็จเราแน่ๆ

Photobucket

หยำฉ่าเสร็จก็นั่งแท๊กซี่ไปเก๋าหล่งเส่ง สมัยทำงานกับคุณเวสลี่ออยมาที่นี่ทุกวันอาทิตย์เลย ขนาดเปิดร้านอินเตอร์เนตร่วมหุ้นกับน้องโม ก็ยังเปิดแถวนี้ เพราะย่านนี้เป็นย่านคนไทย คนไทยในที่นี้หมายถึง คนไทยที่มีอาชีพแม่บ้าน(maid) อาชีพแม่บ้านที่ฮ่องกง จะมีคนฟิลิปปินส์ คนอินโดนีเซีย และคนไทยเป็นหลัก (ตอนนี้คงต้องเพิ่มคนจีนแผ่นดินใหญ่เข้าไปด้วย) คนไทยจะมารวมกลุ่มกันที่เก๋าหล่งเส่ง ส่วนแม่บ้านฟิลิปปินส์จะรวมกันที่จ๊งหว่าน ในขณะที่แม่บ้านอินโดนีเซียรวมกันที่Victoria ParkแถวCauseway Bay แต่เห็นคุณเวสลี่ว่าแถวYuen Long(หยู่นหลอง)ก็มีแม่บ้านอินโดนีเซียที่ถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบอยู่กันเยอะเหมือนกัน

เมื่อสมัย 8-9 ปีก่อน คนไทยมาทำงานแม่บ้านที่ฮ่องกง มีราว 6-7000 คน แต่วันนี้เหลือเพียงราว 3000 กว่าคนเท่านั้น ย่านเก๋าหล่งเส่งที่เคยคึกคัก ดูเงียบเหงาลง ร้านค้าก็ดูไม่อึกทึกเหมือนเคย สมัยก่อนเคยได้ยินว่าคนไทยชอบไปนั่งแถวใต้สะพานกัน ทำกิจกรรมเล่นไพ่เล่นโป พูดง่ายๆคือเล่นการพนัน หลายคนก็ถูกตำรวจจับ ปรับเสีย 400 เหรียญ (สมัยออยเป็นล่ามในศาลที่นี่ เจอคดีแบบนี้บ่อยๆค่ะ) ปรับก็ไม่เข็ด มาเล่นกันต่ออีก คนไทยกับการพนันนี่เป็นของคู่กันจริงๆ ผิดกับแม่บ้านฟิลิปปินส์ พวกนี้รักเพื่อนพ้อง และเคร่งศาสนา(คริสต์) วันหยุดวันอาทิตย์จะเข้าโบสถ์ จากนั้นก็จะร้องรำทำเพลงกัน หลายคนแบกกระเป๋าเดินทางใบย่อมๆมาด้วย เปิดออกมามีข้าวของเครื่องใช้จากฟิลลิปปินส์เอามาฝากเพื่อนบ้าง เอามาขายบ้าง แต่ไม่เล่นการพนันเหมือนพี่ไทย

Photobucket

บอกกับน้องเล็กก่อนไปฮ่องกงแล้วว่า อยากกินอาหารไทยแบบฮาร์ดคอร์นะน้อง...น้องเล็กว่างั้นต้องไปใต้สะพานเลยพี่ออย...มาเก๋าหล่งเส่งบ่อยๆ แต่เพิ่งจะมีโอกาสไปนั่งใต้สะพานเป็นครั้งแรกเนี่ยแหล่ะ มีแม่ค้าขายส้มตำ 2 เจ้า ที่ยกครกมาตำกันสดๆ ปูเสื่อนั่งกับพื้น ได้อารมณ์ประมาณชายหาดบางแสน สั่งส้มตำปูใส่พริกแห้ง ขอรสชาติหวานเปรี้ยวนำ...แม่ค้าตำได้แซ่บสุดๆ หุบปากไม่ลงเลย...เพื่อความยุติธรรม สั่งมาลองกินทั้งสองร้านเลย แม่ค้านั่งประจันหน้าตำแข่งกันซะ...ถามว่ามาขายอย่างนี้ผิดกฎหมายมั้ย...ผิดค่ะ...ก็คอยหนีตำรวจ แต่น้องเล็กว่าส่งสัยจะเลี้ยงตำรวจ ถึงยังขายได้อยู่จนทุกวันนี้...

จากนั้นออยก็ไปแวะซื้อของไทยนิดหน่อย ของทุกอย่างถูกกว่าร้านขายของไทยในญี่ปุ่น และสดกว่าด้วยค่ะ เพราะเที่ยวบินจากไทยไปฮ่องกงแต่ละวันมีหลายเที่ยวมาก ฉะนั้นของจะลงใหม่ๆทุกวันเลย มีกับข้าวถุงมัดไว้เป็นถุงๆ ให้คนมาซื้อเหมือนกับไปตลาดสด หรือร้านขายข้าวแกงที่เมืองไทย ราคาตกราว 3-400 เยนต่อถุง ช่วงที่ใช้ชีวิตที่นี่ ไม่เคยรู้สึกอดอยากปากแห้งของไทยสักวันเดียว เพราะร้านอาหารไทยมีเยอะมาก ตั้งแต่หรูติดฟ้า ยันซำเหมาติดดิน ถ้าเป็นฝั่งฮ่องกง Thai Townจะอยู่แถว Wanchai(ว๊านใจ๋) แต่ไม่ใหญ่เท่าเก๋าหล่งเส่งค่ะ ถ้าจะซื้อผลไม้ไทย แบบ เงาะ ชมพู่ สละ ทุเรียน มังคุด ส้มโอ ลำไย พุทรา มะม่วงสุกซื้อร้านขายผลไม้ได้ทุกที่ในฮ่องกง สดและราคาถูก นำเข้าจากไทยมั่ง จีนมั่ง รสชาติเป็นหนึ่งเดียวกับที่เมืองไทย

อยากจะซื้ออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายจากที่เก๋าหล่งเส่ง แต่ ก็แบกกลับญี่ปุ่นไม่ไหว บวกกับกลัวศุลกากรยึดทิ้ง ก็เลยได้ของมานิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง ที่นี่ ป่าป๊าก็มีร้านชาเจ้าจำนำกันอีก...เป็นว่าเมียแยกไปทาง ผัวแยกไปทาง แล้วมาเจอกันได้สบาย ไม่ต้องรอกันไปรอกันมาให้เสียเวลา...

แล้วเราก็นั่งแท๊กซี่ไปที่ท่าเรือห่งฮำ เพื่อนั่งเรือเฟอร์รี่กลับฝั่งฮ่องกง คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ออยกับป่าป๊าจะอยู่ฮ่องกง น้องเล็กช่วยโทรหาคุณเวสลี่ นัดมาเจอที่โรงแรม แล้วเราทั้ง 5 คน (เด็กอีก 2) ก็ไปกินข้าวเย็นด้วยกันอีก

Photobucket

ออยได้กินไก่มะนาวสมใจ แต่ร้านนี้ทำไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ เพราะเปรี้ยวปี๊ดเลย ปลาหมึกชุบแป้งทอดอร่อยมาก เสริฟมาพร้อมเกลือพริกไทย และกิ๊บจั๊บ(ซอสสีดำรสเปรี้ยวๆหวานๆ) นั่งคุยกันเพลินไปหน่อย ตั้งใจจะไปซื้อของแห้ง เลยไม่ได้ซื้อ เพราะร้านรวงปิดหมดแล้ว
เสียดายที่มีเวลาอยู่ฮ่องกงน้อยไป 5 คืนกับ 6 วันผ่านไปเหมือนฝัน อยากอยู่สัก 2 อาทิตย์...

วันสุดท้าย(3 พค) รีบตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว เก็บข้าวของ เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เดินไปรอairport busที่ป้ายรถ...

ก่อนขึ้นเครื่องป่าป๊าได้ของขวัญวันแม่ไปฝากโอบ้าจังจากร้านShanghai Tang ได้ขนมหนวดมังกร(dragon beard candy)จากDuty Free shopไปฝากโอจี้จัง 1 กล่อง และได้ขนมเปี๊ยะโหลผ่อแป๋งจากDuty Free shopไปฝากเพื่อนที่บริษัท 1 กล่อง

ภาระกิจหน้า คือ การหอบเงินดอลล่าร์ฮ่องกง และเงินเยนกลับเมืองไทย งานหน้าป่าป๊าคงจะนั่งกระสับกระส่ายในเครื่องบินตลอดไฟลท์ ปณิธานของออย คือ เก็บเงินพาพาครอบครัวเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง อยากให้โปเนียวได้ดูโลกกว้างๆ เรียนรู้วัฒนธรรมหลากหลาย...

อีกสองปี จะกลับไปฮ่องกงอีก เพราะน้องโมมีธุระต้องกลับฮ่องกงช่วงนั้น...




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553
0 comments
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:28:32 น.
Counter : 2701 Pageviews.


fudge-a-mania
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add fudge-a-mania's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.