My Little Cabbage in Thailand Jan 04 - Feb 07, 2009 (revised version)
บล็อคกลับบ้านนี้ดองเอาไว้นานจนจะร่วมปีแล้ว ย่อรูปเซฟไว้นานปีดีดักแต่มัวแต่ยุ่งๆกับการเลี้ยงลูก ก็คิดว่าคงจะไม่อัพบล็อคเที่ยวเมืองไทยแล้ว พอได้อ่านของพี่หลิงก็รู้สึกฮึด ว่าควรจะทำ เพราะมันเป็นการกลับเมืองไทยครั้งแรกของน้องกะหล่ำ ครั้งเมื่อน้องอายุได้เพียง 2 เดือนเต็ม
แรงบันดาลใจเขียนบล็อคนี้มาจากพี่หลิงล้วนๆเลย ขอบคุณมากค่ะเจ๊
อย่างที่ฉันเคยเกริ่นไว้ในบล็อคก่อนๆว่า น้องกะหล่ำเป็นเด็กหลอดแก้ว เพราะฉันเป็นคนมีลูกยาก พอท้อง หมอสูติฯก็ไม่แนะนำให้เดินทางไกล โดยเฉพาะขึ้นรถขึ้นราขึ้นเรือบิน ถึงจะมีความเสี่ยงต่อการแท้ง 0.001% หมอก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ฉันจึงต้องเก็บอกเก็บใจอดทนไม่ได้กลับบ้านนานถึง 2 ปีเต็มๆ เลย ใจจริงอยากจะเอาน้องกลับบ้านตั้งแต่ครบ 1 เดือนเต็มด้วยซ้ำ แต่ปู่ย่าเค้าไม่ยอม นี่ต้องอ้างคำหมอว่าไม่เป็นอันตราย เอาเบบี๋ขึ้นเครื่องได้ ท่านถึงได้ปล่อยไฟเขียวผ่านโล่งให้
ใครที่กังวลกับการเอาเด็กอ่อนขึ้นเครื่อง พอได้อ่านประสบการณ์ฉัน อาจจะโล่งใจขึ้นเยอะค่ะ
วันที่ 4 มกราคม ปู่ย่า ตาอ้วน ฉัน และน้องกะหล่ำนั่งairport express จากบ้านไปสนามบิน เรื่องนี้ฉันแอบเคืองปู่ย่าเล็กน้อย อุตส่าห์เลือกวันเดินทางให้ตรงกับเสาร์อาทิตย์ เพราะอยากจะให้ตาอ้วนขับรถไปส่งที่สนามบิน ไม่อยากหอบกระเป๋าเดินทาง และของใช้มากมายก่ายกองของเด็กอ่อนขึ้นรถไฟ แต่ปู่ย่าเกิดอารมณ์คิดถึงหลานจับใจ ไม่ว่าจะห้ามยังไง ท่านก็ยืนกรานจะไปส่งหลานที่สนามบินให้ได้ (ทุกวันนี้หลานคนโตมาญี่ปุ่นทีไร ท่านก็ต้องไปรับ-ส่งที่สนามบินทุกครั้ง)
พอเช็คอินได้boarding passปุ๊บ ทางANAก็ส่งพี่เลี้ยงมาช่วยทันทีถึงฉันจะซื้อตั๋วTGก็ตาม เพราะครั้งนี้เป็นการเดินทางที่รีเควสต์family service เจ้าหน้าที่ช่วยหิ้วcarry on baggageเดินนำหน้าฉัน ผ่านขั้นตอนsecurity check ตรวจคนเข้าเมือง ไปจนถึงหน้าgate ฉันเพียงแต่หอบลูกใส่เป้เดินตามเท่านั้นเอง หน้าgateจนท.มีข้อมูลของฉันอยู่แล้วว่าเดินทางตามลำพังกับทารก พี่จนท.ผู้ชายคนไทยเป็นห่วงเป็นใยว่าฉันจะไปรอดมั้ย ถามฉันว่าที่เมืองไทยมีคนมารอรับหรือไม่ ฉันบอกว่าคุณพ่อคุณแม่จะมารับ แต่พี่ก็ช่วยรีเควสต์จนท.ให้มาช่วยเหลือหลังdeplaneให้ จนท.รีบกระวีกระวาดหาที่นั่งให้ฉันระหว่างรอboarding พอผู้โดยสารชั้นธุรกิจboardingหมด ฉันก็เป็นคนที่สองรองจากwheelchair paxที่ได้ขึ้นเครื่อง แอร์มาแนะนำตัวแล้ว นำlifevest และของเล่นเบบี๋มาให้ พร้อมกับบอกว่าหลังเครื่องขึ้นจะเอาbaby bassinetมาติดให้ ตลอดการเดินทางในเครื่องขลุกขลักเล็กน้อย เพราะน้องกะหล่ำอึแตก ฉันต้องเอาน้องไปทำความสะอาดในห้องน้ำแคบทุลักทุเลสุดๆ ยิ่งแย่กว่านั้นคือ อึของน้องเปรอะเปื้อนขึ้นมาถึงกลางหลัง แล้วฉันก็ไม่ได้พกเสื้อผ้าสำรองไว้ จึงต้องถอดเสื้อตัวใน ใส่แต่เสื้อตัวนอกให้น้อง โชคดีที่ช่วงนั้นหน้าหนาว น้องมีเสื้อผ้าหลายชิ้นหุ้มตัว ไม่งั้นฉันคงต้องขอผ้าห่มของสายการบินห่อตัวน้องกลับบ้านแน่ๆ น้องกะหล่ำไม่ยอมนอนในbassinet ฉันจับน้องวางลงได้ไม่เกิน 10 นาที น้องก็ร้อง ฉันก็ต้องยกออกมาให้นอนกับอก สลับกับการควักเต้าให้น้องดูด flightวันนั้นfull houseมากๆ ที่นั่งก็แคบ seatที่ติดกับฉันก็เป็นผู้ชายวัยราวช่วง 30-40 จะเปิดเต้าก็ต้องระวังปิดให้มิดชิด เสียงน้องร้องดัง จนฉันเกรงใจผู้โดยสารแถวนั้น โดยเฉพาะพ่อหนุ่มที่นั่งติดกัน ขอโทษขอโพยเค้าไป พี่แกก็บอกว่าไม่เป็นไร อย่าได้เกรงใจเลย เข้าใจธรรมชาติของเบบี๋ แอร์ทุกคนช่วยเหลือดีมากๆ เอาขวดนมน้องไปล้าง และใส่น้ำร้อนฆ่าเชื้อให้ น้องแอร์คนสวยว่าทำจนชำนาญ เพราะมีหลานเล็กๆแบบนี้เหมือนกัน
หากไม่พูดถึงความทุลักทุเลที่เกิดบนเครื่อง นอกนั้นทุกอย่างราบรื่นหมด จนท.บนเครื่องและภาคพื้นดินที่เจอ มีน้ำใจและช่วยเหลือเต็มกำลังจนฉันประทับใจ พอเครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีจนท.พี่ผู้ชายมารอรับที่งวง ช่วยถือสัมภาระของน้องกะหล่ำเหมือนเดิม ฉันก็แค่อุ้มน้องใส่เป้เดินตามพี่เค้า ผ่านตรวจคนเข้าเมือง ไปที่beltรอรับกระเป๋าเดินทาง เมื่อกระเป๋ามาพี่เค้าก็ช่วยยกกระเป๋าทุกใบใส่คาร์ทให้ แล้วเข็นผ่านเจ้าหน้าที่ศุลกากรออกประตูไปจนเจอคุณแด๊ด แม่ และน้องชายที่มารอรับเลย แล้วพี่เค้าก็หายตัวแว้บไปเร็วมาก แม่บอกว่าน่าจะมีของติดไม้ติดมือมาให้พี่เค้าตอบแทนน้ำใจดีๆ ตอนนั้นอารามมัวแต่ดีใจที่ได้เจอพ่อแม่ ก็ลืมนึกไปเลย
ขอบคุณจนท.น่ารักทุกคนมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เป็นการเดินทางกับเบบี๋ครั้งแรกในชีวิต แต่ก็รู้สึกดีสุดๆ ถ้าต้องเดินทางกับลูกสองคนอีกตามลำพังก็ไม่กลัว เพราะประสบการณ์ครั้งแรกประทับใจมากๆ
การเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เอาหลานไปให้อากงอาม่าชื่นใจเท่านั้น มีภาระที่สำคัญรออยู่ นั่นคือ เอาชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้านที่ไทย และทำหนังสือเดินทางไทยให้ลูก คุณแด๊ดกับแม่มีนิสัยที่ไม่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง(ตรงกันข้ามกับลูกสาวและลูกเขยของตัวอย่างสิ้นเชิง) ท่านบอกว่าให้รีบไปทำเรื่องต่างๆให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แต่ลึกๆฉันคิดว่า ท่านต้องการให้น้องกะหล่ำได้สัญชาติไทยโดยเร็วที่สุด เรื่องนี้เวลาเจอใครที่ไหนตาอ้วนจะรีบคุยให้ฟังว่า ปู่ย่าคิดว่าหลานเป็นคนญี่ปุ่น100% ในขณะที่ตายายก็รู้สึกว่าหลานเป็นคนไทย100%เหมือนกัน คิดแล้วขำดีเนอะ ตั้งแต่ก่อนกลับไทยแล้ว ฉันบอกแม่ว่าครั้งนี้ฉันจะกลับกับลูกตามลำพัง แล้วตาอ้วนจะบินตามมาทีหลัง ซึ่งจะมีเวลาอยู่ไทยราวไม่เกิน 1 อาทิตย์ กลัวว่าจะเสียเวลาทำเรื่องให้ลูกไม่ทัน เพราะโปรแกรมเที่ยวเล่นเดินสายรอแน่นขนัด ดังนั้นหลังจากที่คุยMSNกันเสร็จ ตั้งแต่ฉันยังไม่บินกลับไทย แม่ผู้เป็นนักจัดแจงและวางแผนประจำบ้านจึงรีบยกหูโทรศัพท์ไปหาเพื่อนร่วมคณะที่มหาลัยสมัยละอ่อน ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการกองหนังสือเดินทาง ถามไถ่ข้อมูลต่างๆทันที ได้ความมาว่า...
ก่อนอื่นให้รีบไปแจ้งเกิดลูกที่สถานทูตไทยไว้ก่อน เพื่อเอาใบสูติบัตรของลูกมาดำเนินเรื่องที่เมืองไทย การเอาชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้านนั้น แม่สามารถดำเนินการคนเดียวได้ โดยที่พ่อไม่ต้องมา เอกสารของพ่อก็ไม่ต้องใช้ ให้เอาเจ้าบ้าน ทะเบียนบ้านตัวจริง บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าบ้าน สูติบัตรลูก รูปถ่ายลูก และหนังสือเดินทางญี่ปุ่นของลูก (จำรายละเอียดเอกสารไม่ค่อยได้แล้ว ต้องขออภัยค่ะ) พอทำเรื่องเอาลูกเข้าทะเบียนบ้านเสร็จ ก็ให้เจ้าหน้าที่เอาเรื่องบันทึกลงฐานข้อมูลออนไลน์ของมท.เลย เพราะเวลานั้นลูกจะได้เลขประจำตัวประชาชนแล้ว เพื่อที่ว่าเวลาไปทำหนังสือเดินทาง สังกัดกต. ถึงต่างหน่วยราชการกันก็จริง ทางกต.ก็สามารถดึงเอาหมายเลขประจำตัวประชาชนของลูกจากฐานข้อมูลออนไลน์ตรงนี้ มาทำหนังสือเดินทางให้ได้
หมายเหตุ : เผื่อคนที่ยังไม่ทราบเรื่องนะคะ เด็กเกิดบนแผ่นดินไหน ต้องแจ้งเกิดให้เค้าบนแผ่นดินที่เกิด หากเป็นที่ต่างประเทศ ต้องกระทำผ่านสถานทูต/สถานกงสุลไทยประจำประเทศนั้นๆ กลับมาแจ้งเกิดที่เมืองไทยไม่ได้ค่ะ เรื่องนี้สำคัญมากเลย คุณพ่อคุณแม่อย่าได้นิ่งนอนใจนะคะ เพราะหากขาดเอกสารใบแจ้งเกิดของลูก การดำเนินเรื่องต่างๆจะติดขัดไปหมด
ขั้นตอนการแจ้งชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้านนั้นง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แป๊บเดียวก็เสร็จ ตามปกติทำวันนี้ วันรุ่งขึ้นข้อมูลของลูกก็อยู่ในฐานข้อมูลออนไลน์ของมท.แล้ว แต่กรณีของฉัน นายทะเบียน(ผู้อำนวยการเขต)ท่านลาประชุมนอกสถานที่ แฟ้มงานที่เสนอไปจึงยังไม่ได้เซ็น ก็รอเรื่องราว2วัน และอาจจะต้องรอต่อไปถ้าทางเราไม่ได้ท้วงติง แม่...ตามประสาข้าราชการกระทรวงเก่ารู้สึกหงุดหงิดกับการทำงาน ที่ว่า หากนายทะเบียนไม่อยู่สักคน เอกสารที่รอเซ็นก็ค้างเติ่งเลยหรือ ตามหลักการทำงานของราชการแล้ว ท่านควรต้องตั้งคนประจำการแทน ซึ่งอาจจะเป็นรองฯ หรือ ผู้ช่วยฯ พอแม่ติงไปแบบนี้(ทางโทรศัพท์) วันรุ่งขึ้นจนท.รับเรื่องก็รีบโทรมาให้ไปรับเรื่องได้ทันที พร้อมกับคำขอโทษขอโพยอย่างสุภาพอีกกระบุงโกย คุณแด๊ดดีใจหน้าบาน อุ้มน้องกะหล่ำบอกว่า นับแต่วันนี้ไปหนูเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้วนะ คุณแด๊ดของฉันชาตินิยมเจรงๆ
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็รีบไปทำหนังสือเดินทางให้น้องกะหล่ำโดยทันที ขั้นตอนการทำหนังสือเดินทางของไทยต่างกับญี่ปุ่นนิดนึงตรงที่ ที่ญี่ปุ่นในกรณีที่ลูกยังเล็ก ตอนไปยื่นเรื่องให้พ่อหรือแม่ดำเนินการแทนได้ โดยเอาเอกสาร และรูปถ่ายของลูกไป (รูปถ่ายเองก็ได้ แต่ต้องได้ตามระเบียบที่กำหนดไว้...น้องกะหล่ำใช้รูปถ่ายที่แม่ถ่ายเองที่บ้าน) แต่ตอนไปรับเล่ม ต้องเอาลูกไปด้วย ให้จนท.ดูหน้านิดนึง ส่วนขั้นตอนการทำหนังสือเดินทางไทย ลูกต้องไปด้วยตอนแรก เพราะจะต้องถ่ายรูปและพิมพ์ลายหัวแม่เท้า(ถ้าจำไม่ผิด) แต่ตอนไปรับเล่ม ลูกไม่ต้องไปก็ได้ ที่สำคัญ คือ หากคู่สมรสเป็นต่างชาติ ต้องพาพ่อ/แม่ที่เป็นชาวต่างชาติไปยืนยันด้วย
ฉะนั้น ในระหว่างที่ตาอ้วนยังไม่บินมาเมืองไทย พวกเรา 3 คน แม่ ตาและยายจึงไปยื่นเรื่องไว้ก่อน สะดวกรวดเร็ว สามารถจอดรถไว้หน้าตึกได้เลย ทำเรื่องราวครึ่งชั่วโมงเสร็จ แล้วก็ฝากหนังสือเดินทางไว้ที่นั่น จวบจนตาอ้วนบินตามมา ก็ให้พ่อเอาหนังสือเดินทางของตัว และหน้าอูมๆไปยืนยัน และรับหนังสือเดินทางไทยของน้องกะหล่ำมาได้เลย ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเสร็จ รวดเร็วมากค่ะ ไม่เสียเวลานาน เดี๋ยวนี้สถานที่ราชการบ้านเราทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพมาก
ตอนนี้น้องกะหล่ำก็เป็นคนไทยสมบูรณ์100%แล้ว เอกสารสำคัญของทางราชการน้องก็มีตามกฏหมายทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อไทย น้องก็มี เพราะแม่กับคุณแด๊ดยืนยันว่าน้องต้องมีชื่อไทย ท่านก็ไปจัดการให้ โดยที่ฉันบอกวัน-เดือน-ปีเกิดตามเวลาไทยของน้องไปตอนคุยMSN ทางสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ให้ชื่อมา 3 ชื่อ พร้อมความหมาย ให้ทางเราเลือก
1 ชนวิตต์ อ่านว่า ชะ-นะ-วิด แปลว่า ผู้เป็นที่รัก 2 ชวินธร อ่านว่า ชะ-วิน-ทอน แปลว่า ผู้มีเชาวน์ปัญญาเป็นเลิศ 3 โชติวัฒน์ อ่านว่า โช-ติ-วัด แปลว่า ผู้มีความเจริญรุ่งเรือง เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่ชื่อ 3 ชื่อ ที่ทางสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชให้มา ล้วนขึ้นต้นด้วย ช ช้างทั้งหมด ชื่อญี่ปุ่นที่ตาอ้วนตั้งให้ลูกไว้อยู่ก่อนแล้ว คือ ชิน (Shin/伸) ก็ขึ้นต้นด้วย ช ช้างเช่นกัน ฉันให้ตาอ้วนเลือกชื่อไทยด้วย ตาอ้วนถามว่าออกเสียงยังไง ฉันก็อ่านให้ฟัง แต่ติดปัญหาที่ว่า ชนวิตต์ นั้น อ่านว่า ชะ-นะ-วิด หรือ ชน-นะ-วิด กันแน่ ตาอ้วนบอกว่าหากอ่านตามแบบแรก ก็จะให้ลูกชื่อนี้แหล่ะ แต่ถ้าอ่านตามแบบสองก็คงไม่เอา เพราะคนญี่ปุ่นออกเสียงยาก ฉันก็เลยconfirmกับแม่ ได้ความว่า อ่านแบบแรก น้องกะหล่ำก็เลยมีชื่อไทยอย่างเป็นทางการว่า ชนวิตต์ ซึ่งหมายถึง ผู้เป็นที่รัก หลังจากคลอดออกมาไม่ถึงเดือน
พอภาระกิจที่ตั้งใจทำเสร็จสิ้นลง ก็มีเวลาหายใจหายคอเป็นของตัวเอง แรกเริ่มงานแรกที่ไปถึงเมืองไทยด้วยการไปฉลองปีใหม่กับญาติพี่น้องทางด้านแม่ ทุกปี ครอบครัวของฉันจะมีการฉลองปีใหม่ 2 ครั้ง คือ ฉลองด้านแม่ กับฉลองด้านคุณแด๊ด ครั้งนี้กลับเมืองไทยวันที่ 4 มกรา ซึ่งก็เลยปีใหม่มาแล้ว ญาติๆทางคุณแด๊ดจึงจัดงานปีใหม่กันไปแล้ว ส่วนทางด้านแม่ กำหนดวันหลังปีใหม่ไปอาทิตย์นึง ก็เลยทันได้พาน้องกะหล่ำไปเปิดตัว...ครั้งแรก....ในร้านอาหารคาราโอเกะ หลานๆของแม่(ลูกพี่ลูกน้องของฉัน)ชอบร้องคาราโอเกะกันมาก จัดปีใหม่ทีไรเรียกร้องร้านอาหารที่มีคาราโอเกะทุกที งานนี้น้องกะหล่ำงานเข้าเลย นึกสภาพเด็ก2เดือนไปทนฟังเสียงคาราโอเกะดังๆออกไหมคะ....ครั้งแรกในเมืองไทย จากนั้นน้องกะหล่ำก็มีภูมิต้านทานเสียงดังเลย
คุณแด๊ดกับแม่ พาฉันกับน้องกะหล่ำไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อากาศร้อนมาก แดดแรงมากด้วย แต่ดีที่ลมพัดความเย็นของน้ำในเขื่อนมาลูบไล้ตัวให้คลายร้อนนิดหน่อย กลับเมืองไทยเที่ยวนี้ ฉันไม่ได้แบกกล้องของตัวเองไปด้วย เพราะลำพังสัมภาระของลูกก็เต็มกระเป๋าแล้ว ไหนจะผ้าอ้อม 2 แพ๊คใหญ่ นมผงอีก 3 กระป๋อง แล้วเดินทางโดยลำพัง น้องชายเอาnikon D70ตัวเก่ามาทิ้งไว้ให้ฉันยืม แต่ฉันไม่คุ้นกับค่ายนิกร ถนัดใช้หนอนมากกว่า แล้วให้แบกทั้งลูกแบกทั้งกล้อง ไม่ไหวๆ...ก็เลยเอาคืนน้องไป ขอยืมกล้องคุณแด๊ด (กล้องcanon powershot pro1อันเก่าที่ฉันเคยใช้ แล้วให้คุณแด๊ดไป) สลับกับกล้องมือถือง่อยๆของตัวเองถ่าย
ฉัน คุณแด๊ด แม่ขึ้นรถไฟเที่ยวชมบนสันเขื่อน แต่ด้วยความที่กลัวว่าน้องกะหล่ำจะทนร้อนไม่ไหว ก็เลยฝากน้องไว้กับพี่เลี้ยงในศาลาริมเขื่อนแทน
แม่กับคุณแด๊ดเคยมาที่เขื่อนนี้แล้ว โดยเฉพาะแม่ ที่มาตั้งแต่เขื่อนยังก่อสร้างไม่เสร็จ ตอนนั้นเพื่อนแม่เป็นหัวหน้าคุมโปรเจคก่อสร้างเขื่อนนี้ ก็เลยพาแม่ทัวร์เขื่อนอย่างปรุโปร่ง
เขื่อนนี้สวยมากค่ะ ร่มรื่นด้วย แล้วคุณแด๊ดก็พาไปกินข้าวร้านแถวๆเขื่อน ร้านซำเหมาๆหน่อย ออกแนวเพิงๆ น้องชายเป็นคนแนะนำร้านนี้ให้กับครอบครัว จากนั้นก็เป็นร้านที่ต้องแวะเสมอ หากมาแถวนี้ ฉันจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว เพราะไปกินเป็นครั้งแรก และคงไม่ได้ไปกินอีกนานเลยเพราะนานๆทีถึงจะกลับเมืองไทย
ปลาที่นำมาปรุงอาหารเป็นปลาที่จับมาจากในเขื่อน ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยเขื่อนเริ่มก่อสร้าง อร่อยโฮกกกกก
แล้วก็ไปตลาดน้ำ...แต่ที่ไหนฉันจำไม่ได้แล้วจริงๆ ผ่านมาจะครบปีแล้ว จำได้ว่าเป็นกึ่งๆตลาด แล้วให้ลงในแพใหญ่ๆ บนแพมีร้านอาหารขายเยอะ มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งทานเป็นสัดเป็นส่วนด้วย อาหารพอทานได้ ไม่ถึงกับอร่อยเลิศ ข้อดีคือ หลากหลายมีให้เลือกมากอย่าง แต่ที่ฉันติดใจ คือ ตลาดขายของมากกว่า ยังซื้อน้ำตาลมะพร้าวแท้กลับมาญี่ปุ่นด้วยโลนึงเลย กำลังเดินดูของกินอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงใสๆลอยมาตามลม
"คุณแม่คะๆ"
ฉันไม่เอะใจอะไรเลย เพราะหยุดสถานะตัวเองไว้แค่ "พี่" เอ๊ย...ไม่ช่าย...เพราะกำลังสนใจมองโครงกระดูกขี่จักรยานอยู่กลางน้ำ ส่วนแม่ ได้ยินแล้ว แต่ไม่หัน เพราะไม่รู้ว่า"แม่"ที่ว่านั้น แม่ใคร แถวนั้น คนที่มีสถานะเป็น"แม่" มีเป็นสิบๆคนนี่นา ฮ่า...
คนเรียกก็ยังเรียกต่อ
"คุณแม่คะๆ" แล้วเสียงก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขึ้นๆ แม่เลยหันไปมอง สรุปว่าเป็น หนูนา กับน้องเจ (ผู้จัดการFountain Tree Resortที่เขาใหญ่) เพื่อนสุดซ๊๊สมัยเรียนมหาลัยของน้องชายฉันเอง ไม่ได้เจอน้องเจสองปี โอ้ว...หน้าละม้ายคล้ายAnpanmanเข้าไปทุกที...แต่น่ารักนะจ๊ะน้องเจ พี่ชอบอังปังแมนน่ะ ส่วนหนูนาไม่เปลี่ยนเลย ผอมสเลนเดอร์ยังไงก็สเลนเดอร์อยู่อย่างนั้น น้องเจกับหนูนามาเที่ยวตลาดน้ำแห่งนี้ด้วย ก็เลยมาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย หนูนาเข้ามาดูน้องกะหล่ำใหญ่ สงสัยว่าจะชอบเด็ก คงอยากมีตัวเล็กไว้อุ้มแล้วหล่ะ แต่น้องเจยังรั้งรอ...เหมือนน้องชายฉันเปี๊ยบ เมื่อไหร่จะพร้อมแต่งก็ไม่รู้ ฉันก็รอจะเป็นป้าอยู่นานแล้ว ไม่มีวี่แววเลย
คุยกับน้องเจ+หนูนาแป๊บนึง ก็ร่ำลา เพราะก่อนกลับคุณแด๊ดอยากจะแวะสวนกล้วยไม้ แม่ก็อยากให้ฉันไปดู ท่านมาที่สวนกล้วยไม้แห่งนี้บ่อยๆ คุณแด๊ดซื้อไปหลายต้น เพราะว่าชอบปลูกกล้วยไม้(กิจกรรมคนแก่...เนอะ) แล้วน้องเจ กับหนูนาก็ตามมาเจอกันที่ Air Orchidแห่งนี้อีก วันนี้โลกกลมอีกแล้ว
ก่อนกลับญี่ปุ่น ฉันกับตาอ้วนก็ยังได้เจอน้องเจ กับหนูนาอีกรอบ เพราะน้องชายพาไปเลี้ยงข้าวเย็น ก็ชวนน้องเจมาด้วย เดี๋ยวนี้น้องเจว่างมีเวลาซิ่งเยอะเลย รีสอร์ทอยู่ตัวแล้ว แถมน้องอีกสองคนที่จบมาก็มาช่วยบริหารอีก ไม่เหมือนสมัยแรกเริ่มทำรีสอร์ทใหม่ๆราว 15 ปีก่อน... คุณแด๊ดกับแม่ พาฉันไปหาของอร่อยกินแถวๆวัดมะขาม สงสารตาอ้วนจัง มาไม่ทัน พลาดของกินอร่อยๆไปเยอะเลย น้องกะหล่ำก็กินแทนพ่อไม่ได้เสียด้วย...งานนี้แม่ฟาดทุกอย่าง กินซะพุงปลิ้นกลิ้งกลับญี่ปุ่น คุณแด๊ดชอบไปงานออกบู้ธเที่ยวทั่วไทยที่ศูนย์สิริกิตต์ จะซื้อvoucherแพ้กเกจที่พักไว้ติดบ้านประจำ แล้วก็ไปเที่ยวกันสองคนกับแม่บ้าง บางทีก็ชวนเพื่อนร่วมแก๊งค์ที่ชอบเที่ยวกันประจำไปพักบ้าง กลับเมืองไทยคราวนี้ คุณแด๊ดให้ฉันเลือกว่าจะพักที่หัวหิน หรือเขาค้อ เพราะท่านมีแพ้กเกจของสองที่นี้
ส่วนแม่เพิ่มfountain tree resortขึ้นมาอีกช้อยส์นึง อยากให้ฉันไปมาก เพราะตั้งแต่ทางน้องๆของน้องเจมาช่วยบริหาร เห็นว่ามีกิจกรรมเล่นสนุกๆมากมาย รีสอร์ทครึกครื้น แม่อยากให้ฉันไปดูว่ารีสอร์ทต่างจากสมัยเมื่อ10กว่าปีก่อนมากแค่ไหน น้องเจก็ชวนตลอด ประมาณว่า อยากไปเมือไหร่ก็โทรศัพท์บอกแล้วก็ไปเลย ไม่ต้องแพลนล่วงหน้า..
แต่ฉันก้ำๆกึ่งๆ จริงๆไม่คิดว่าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัด อยากรอให้ตาอ้วนมาก่อน แล้วพาตาอ้วนไปด้วย แต่แม่บอกว่า "เป็นไปไม่ได้ หากจะรอด้งมาเมืองไทยล่ะก็ ไม่ต้องไปไหนกันพอดี" เพราะด้งมีเวลาอยู่เมืองไทยแป๊บเดียว...
สุดท้ายคุณแด๊ดฟันธงว่า น้องกะหล่ำยังเล็กนัก ไปเที่ยวเขา จะมียุงชุกชุม พาน้องไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ชายทะเลดีกว่า เราสามคน+น้องกะหล่ำก็เลยไปหัวหิน ใจจริงแม่อยากพาพี่เลี้ยงมาให้ช่วยดูน้อง แต่ติดที่คุณยายไม่ยอมช่วยดูหลานให้(น้องสตางค์ลูกสาวพี่เลี้ยง) พี่เลี้ยงก็ร้องไห้ตุ๊บป่อง เพราะอยากมาเที่ยวทะเลด้วย ฉันไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะตอนอยู่ญี่ปุ่นก็เลี้ยงลูกคนเดียว ไปไหนก็เอาไปด้วย ต้องอยู่กับลูก 24 ชั่วโมง/วัน เป็นเรื่องปกติ ต่อให้ไปต่างจังหวัดก็ไม่รู้สึกเป็นภาระ เพราะชินแล้ว
เราพักกัน 1 คืน ที่นี่...อาหารก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารของรีสอร์ท ทำรสชาติอร่อยใช้ได้เลย จึงนับเป็นครั้งแรก ที่น้องกะหล่ำเที่ยวทะเลเมืองไทย ตั้งแต่น้องอายุได้ 2 เดือนกว่าๆเอง
ที่นี่สวย บรรยากาศดี บ้านบังกะโลสองชั้น สองห้องนอน 1 น้องนั่งเล่น มีห้องครัวข้างล่าง+อุปกรณ์ทำครัว แต่เราไม่ได้ใช้ กินที่ร้านอาหารตลอด เพราะราคาไม่แพง
เห็นว่าตอนหลังบ้านบังกะโลไม่อนุญาตให้แขกพักแล้ว เปิดแต่ส่วนคอนโดให้พ้กเท่านั้น แม่กับคุณแด๊ดติดใจที่นี่ไปเลย...เห็นว่าซื้อแพ้กเกจมาพักกันสองคนที่นี่บ่อยๆ เพราะโทรไปเมืองไทยทีไร พี่เลี้ยงรับ...คุณลุงคุณป้าไม่อยู่ค่ะ ไปหัวหิน ตลอด....
รถเข็นคันนี้ คุณแด๊ดยืมเพื่อนบ้านมาให้ พี่ชายของเค้าเอามาฝากทิ้งไว้ที่บ้าน เพราะลูกชายโตไม่นั่งแล้ว เพื่อนบ้านเลยเอามาให้คุณแด๊ดยืม...สบายน้องกะหล่ำไปเลย กิจกรรมสุดท้ายก่อนที่ตาอ้วนจะเดินทางมาถึงเมืองไทย ถ้าไม่รวมการเดินสายเจอญาติๆ นั่นก็คือ การไปงานเกษตรแฟร์ กับคุณแด๊ด...แม่ไม่ชอบเดินงานแบบนี้ ก็เลยอยู่บ้าน ฉันก็เลยฝากน้องกะหล่ำไว้กับแม่ และพี่เลี้ยง ออกไปซิ่งกับคุณแด๊ดสองคน งานนี้ใช้กล้องมือถือถ่าย แถมกล้องด๊อกด๋อย แบตเสื่อม ชาร์จเท่าไหร่ ไฟก็ไม่เข้า (กลับมาญี่ปุ่นไปที่ศูนย์softbank อยากจะเทิร์นเอาเครื่องใหม่มาใช้ สรุปติดสัญญาทาสอีก 9 เดือน ศุนย์ส่งโรงงานซ่อมให้ฟรี ระหว่างนั้น ให้เครื่องอื่นมาใช้แทน) รูปก็เลยถ่ายมาได้ไม่กี่ใบ
วันที่ตาอ้วนมาถึงสนามบิน ฉันกับคุณแด๊ดไปรอรับ ฝากน้องกะหล่ำไว้กับแม่ และพี่เลี้ยง ทันทีที่ขับรถกลับมาถึงบ้าน ตาอ้วนรีบปราดเข้าไปกอดลูก ที่นอนหลับอยู่ในเปลผ้าขาวม้าของคุณแด๊ด จูบกอดลูกเท่านั้นไม่พอ จ้วงอุ้มลูกขึ้นมาจากเปล กอดจูบอีกเป็นสิบครั้ง แม่กับคุณแด๊ดเห็นแล้วก็สงสารตาอ้วน เข้าใจว่าคิดถึงลูกสุดหัวใจเลย ส่วนน้องกะหล่ำที่ถูกปลุกให้ตื่นกลางครันกลับร้องจ้า ยิ่งแย่กว่านั้นน้องจำป่าป๊าไม่ได้ งานนี้ตาอ้วนเศร้าเลย พอตาอ้วนมา ฉันก็เกี่ยวก้อยตาอ้วนไปเจอะเจอเพื่อนเก่าๆ อย่าง นั่งรถไฟฟ้าไปเจอกับก้อยจังแถวที่ทำงานก้อยจังที่สีลมบ้าง ขึ้นเรือไปเจอพี่รัชที่แบงค์กรุงศรีฯ สาขาสำนักงานใหญ่ แถวพระราม3บ้าง ด้วยความที่บ้านฉันค่อนข้างไกลคนละมุมเมืองกับที่ทำงานพี่รัช ก็เลยคิดว่า ไปทางเรือท่าจะดีกว่า เพราะเหมือนกับเที่ยวไปในตัว คุณแด๊ดก็ขับรถมาส่งที่ท่าน้ำบางโพ ซึ่งเป็นท่าที่ใกล้บ้านสุด (บ้านฉันอยู่เขตบางซื่อ ใกล้ๆโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ หน้าปากซอยมีร้านขายข้าวหมูแดงชื่อดังอยู่...แถวๆนั้นแหล่ะค่ะ) ฉันกับตาอ้วนก็ล่องเรือด่วนเจ้าพระยาไปจนสุดสาย...โอ้ย เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากกกกก...ก เพื่อนคนไหนไม่เคยลอง...แนะนำมากๆเลยค่ะ วิวสองข้างทางริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาสวย ดูเพลิน ผู้โดยสารทั้งชาวไทยชาวต่างชาติขึ้นเรือกันแน่นลำ เรือใหญ่ค่ะ รับผู้โดยสารได้เป็นร้อยคน
ก่อนกลับมาญี่ปุ่น น้องชายและน้องเหมียว(แฟน)พาตาอ้วน ฉัน และน้องกะหล่ำไปไร่องุ่นSilver Lake แล้วต่อด้วยไปนั่ง-นอนเตียงผ้าใบอยู่แถวๆบางแสน กินอาหารอร่อยๆ ทานเค้ก(the Tide)รสชาติธรรมดา รูปก๊อปโหลดมาจากกล้องของน้องไรท์ลงแผ่นมา แต่ไม่รู้ว่าเอาแผ่นไปไว้ไหนแล้ว ก็เลยหารูปไม่เจอค่ะ
ประทับใจทริปกลับเมืองไทยพร้อมลูกครั้งนี้มากๆ ได้อยู่นานร่วมเดือนกว่า (4 มกรา-7 กุมภา 2009) อยู่บ้านเราแสนสุขสบาย มีคนช่วยเลี้ยงลูก คุณแด๊ดกับแม่early retirementจากการทำงานทั้งคู่ จึงมีเวลาว่างมากพอที่จะเอาใจใส่ดูแลหลานคนแรก โดยเฉพาะคุณแด๊ดที่ก่อนนอน และหลังตื่นนอนทุกวัน ต้องมาเคาะประตูห้องนอนฉัน เพื่อดูว่าหลานตื่น หรือนอนแล้วหรือยัง แม่หลุดปากออกมาว่า คุณแด๊ดหวังอยู่ลึกๆว่า ฉันจะทิ้งน้องกะหล่ำไว้กับอากงอาม่าเลี้ยงให้ เพื่อที่ฉันจะได้กลับไปทำงาน(ที่ญี่ปุ่น)ต่อ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณแด๊ดดี ท่านรักเด็กมาก แล้วรอหลานคนแรกคนนี้มานาน แต่ฉันก็อยากเลี้ยงลูกเอง ส่วนตาอ้วนนั้นไม่ต้องพูดถึง...หวงลูกยิ่งกว่าจงอางหวงไข่
คุณแด๊ดกับแม่ไม่เคยบังคับและเข้ามาก้าวก่ายวิธีการเลี้ยงลูกของฉัน ท่านได้แต่แนะนำว่าน่าจะทำแบบนี้แบบนั้น แต่หากฉันไม่ทำ อย่างดีท่านก็บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง แต่ไม่เคยตำหนิและล่วงล้ำสิทธิ์ของการเป็นแม่ของลูกของฉันเลย แต่ท่านก็พร้อมที่จะช่วยเหลือหากฉันขอความช่วยเหลือ คิดแล้วอยากกลับเมืองไทยเร็วๆจังเลย อยู่แล้วสุขกายสบายใจที่สุด อยู่ที่ไหนๆก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเรา
Create Date : 13 กันยายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 13 กันยายน 2552 16:28:35 น. |
Counter : 2885 Pageviews. |
|
|
|