Japan Open-Air Folk House Museum
เมื่อวันอังคารที่แล้ว ฉันได้หลุดปากเผลอถามครูถึงจิตรกรภาพพิมพ์ที่มีชื่อเสียงสมัยเอโดะ เพราะลูกศิษย์คนหนึ่งของฉันนิยมชมชอบจิตรกรคนนี้มาก เขาเล่าว่าแม้กระทั่งVan Goghก็ชื่นชมจิตรกรผู้นี้ ลูกศิษย์ฉันซื้อหนังสือ 江戸百มา พร้อมกับใช้เวลาว่างในวันหยุดขึ้นรถไฟเข้าไปในโตเกียว ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนภาพพิมพ์นี้ เมื่อ 150 ปีก่อน
เออ...เข้าท่าดีแฮะ ฉันก็เลยเกิดอาการอยากไปบ้าง แต่มันติดที่ว่าฉันนึกชื่อของจิตรกรคนนี้ไม่ออก พอถามครู ๆ ก็ไม่แน่ใจ แต่ครูเหมาคิดไปว่าฉันสนใจอะไรที่เกี่ยวกับเอโดะ จึงแนะนำให้ฉันลองไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านญี่ปุ่นสมัยก่อนดู
พอเหมาะพอเจาะที่ว่าวันพฤหัสช่วงบ่ายฉันพอมีเวลา จึงตะแล๊ปแก๊ปชวนน้องTD น้องคานิ และเจ๊หลิงไปซิ่งด้วยกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีธุระกันช่วงเช้าทั้งนั้น เลยนัดเจอกันตอนบ่ายโมงครึ่ง ที่สถานี向ヶ丘遊園สาย小田急 งานนี้เจ๊หลิงซำบายที่สุด เพราะสถานีนี้ไม่ไกลจากบ้านเจ๊เท่าไร เรียกได้ว่าตดคนข้าง ๆ ยังไม่ทันสลบดี ก็ถึงแล้ว แต่จากบ้านฉันกับน้องคานินับว่าไกลหืดขึ้นคอน่าดู เสียค่ารถอยู่อักโข ตามแผนเดิม เราต่างคนต้องต่างกินข้าวมาแล้ว ๆ ค่อยมาเจอกัน หรือซื้อข้าวปั้น/ขนมปังติดกระเป๋ามากินระหว่างทาง เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา แต่น้องคานิทนไม่ไหว ชวนพี่ ๆ กินข้าว เพราะหิวเหลือเกิน ฉันเลยชวนให้ไปนั่งร้านอาหารจีนแบบfamily restaurant ชื่อ Bamiyan เพราะราคาสบาย ๆ บรรยากาศนั่งแบบไม่ไล่ไม่ลุกได้ กว่าจะกินเสร็จ และเดินไปถึงพิพิธภัณฑ์ก็เกือบ ๆ บ่าย 3 โมงแล้ว จึงรีบจ้ำ ๆ พรวด ๆ เพราะพิพิธภัณฑ์ปิด 5 โมงเย็น อากาศก็ช่างชวนรัญจวนใจ ร้อนตับแล่บ
ซื้อบัตรเข้าชมคนละ 500 เยน เมื่อเข้าแล้วก็เอาข้าวของเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์ น้องTDไม่ได้ถืออะไรมาเลยนอกจากขนมปังแผ่นบาง ๆ 1 แผ่นที่เจ้าตัวบอกว่า "พอกิน อิ่มพี่อิ่ม" กล้องถ่ายรูปก็ไม่เอามา แถมยังมาบอกอีกว่า "รู้ว่าพี่ต้องเอากล้องมา เดี๋ยวเอารูปจากพี่ก็ได้"มันน่าเขกหัวมั้ยเนี่ย ฉันกับน้องคานิหอบของมาพะรุงพะรัง จึงต้องฝากไว้ในล็อกเกอร์ (ฟรี) น้องแบกร่มกันฝนที่กะใช้เป็นร่มกันแดดมาด้วย แต่ก็ดันทิ้งไว้ในล็อกเกอร์ แล้วแบกมาทำไมละเนี่ย เจ๊หลิงไม่ฝากอะไรเลย เจ๊มีกระเป๋าผ้าทรงป้าใบเล็ก ๆ เอาคล้องแขนเดินนวดนาดเป็นคุณนาย
บ้านหลังแรกที่เราเข้าไปดูเป็นบ้านของครอบครัวซูซูกิจากจังหวัดฟุกุชิม่า บ้านแต่ละหลังจะมีชื่อเจ้าของบ้านปิดไว้หน้าบ้าน เพื่อบอกให้รู้ว่าครอบครัวไหนจากจังหวัดอะไรบริจาคมา ที่เราเลือกเข้าชมบ้านนี้ก่อนเพราะว่าทางที่ขายบัตรบอกมาว่าอาสาสมัครที่มาบรรยายประจำบ้านหลังที่ 1 และหลังที่ 23 จะกลับบ้านตอนบ่าย 3 โมงนี้แล้ว ประกอบกับบ้านคุณซูซูกิก็อยู่ใกล้ที่สุดด้วย ฉันไม่ได้ถ่ายรูปเรียงตามลำดับ เอาสะดวกเข้าว่า แล้วก็จำไม่ได้แล้วว่าบ้านหลังไหนในรูปเป็นของใคร มาจากจังหวัดอะไร แต่ฉันจะเล่าประวัติย่อ ๆ ของบ้านบางหลังให้ฟังอย่างรวบรัดที่สุด ที่เหลือให้เพื่อน ๆ ไปดูด้วยตัวเอง
- บ้านซูซูกิ เป็นโรงเตี๊ยมสำหรับพ่อค้าขายม้า ถูกสร้างขึ้นต้นศตวรรษที่ 19 ในจังหวัดฟุกุชิม่า พ่อค้าขายม้าจะใช้โรงเตี๊ยมนี้เป็นที่พักระหว่างทางของการนำม้าไปประมูลขาย ม้าจะถูกล่ามไว้ชั้นล่าง ส่วนแขกจะพักชั้นสอง(ไม่เปิดให้ขึ้นไปดู)
ผนังของบ้านจะใช้ดินเหนียวป้ายทับโครงไม้ไผ่เพื่อป้องกันลมหนาวลอดเข้ามา น้องคานิสงสัยถามป้า ๆ(อยากจะเรียกว่ายายด้วยซ้ำ)ว่าเวลาดินแห้ง มีรอยแตกดินมันไม่หล่นลงมาเหรอ
"ไม่ล้น ไม่หล่น ฯลฯ ฯลฯ" ฉันก็ไม่รู้ว่าป้าอธิบายอะไรบ้าง เพราะมัวแต่หงุดหงิดใจปรับโฟกัสถ่ายรูปครัวท้ายบ้าน แสงมันน้อยมาก ๆ ในบ้านมืดสุด ๆ ยังดีที่ทางพิพิธภัณฑ์เอาหลอดไฟสีส้มเป็นดวง ๆ มาติด
"ไม่หล่นได้ไง ก็ไอ้ช่องที่มันแหว่งไปนี่ล่ะ" น้องคานิแอบนินทาป้าเป็นภาษาไทย ป้าฟังไม่ออก 5555 - บ้านอิโอกะ เป็นบ้านของพ่อค้า สร้างขึ้นสมัยปลายศตวรรษที่ 17 ต้นศตวรรษที่ 18 เดิมทีตั้งอยู่ที่จังหวัดนารา บ้านนี้ขายน้ำมันเติมตะเกียงมาหลายชั่วอายุคน ก่อนจะกลายมาขายธูปหอม-กำยานในที่สุด
- บ้านมิซาวะ สร้างขึ้นช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เดิมทีอยู่ในจังหวัดนากาโน่ เป็นที่พำนักสถานของผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านมาหลายรุ่น และยังเป็นร้านยาอีกด้วย
- บ้านซาซากิ เป็นบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านในจังหวัดนากาโน่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1731 มีห้องรับแขก 2 ห้อง ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำด้านหลัง ถูกต่อเติม 15 ปีให้หลังไว้สำหรับรับแขกพิเศษ - บ้านเอมุไก สร้างแบบหลังคาทรงพนมมือ (Gassho zukuri ทรงเดียวกับหมู่บ้านที่ชิราคาวาโกะ) สร้างขึ้นปลายศตวรรษที่17 ต้นศตวรรษที่ 18 ในหมู่บ้านในจังหวัดโตยาม่า เนื่องจากแถบนี้หิมะตกหนัก จึงจำเป็นต้องสร้างหลังคาให้ลาดมาก ๆ เพื่อกันไม่ให้หิมะทับถมบนหลังคา * จ.โตยาม่ามีชื่อในเรื่องบ้านทรงgassho zukuri
- บ้านยามาดะ / บ้านโนะฮาระ (ชื่อยังกะครอบครัวชินจัง) / บ้านยามาชิตะ สร้างแบบGassho Zukuriทั้งหมด ยกเว้นบ้านยามาชิตะ นอกนั้นสร้างที่จังหวัดโตยาม่า ส่วนบ้านยามาชิตะนั้นสร้างขึ้นในหมู่บ้านชิราคาวะโกะ จังหวัดกีฝุ - บ้านซาคุตะ สร้างขึ้นราวปลายศตวรรที่ 17 ในหมู่บ้านชาวประมงของจังหวัดชิบะ เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นของหัวหน้าชาวประมง สร้างขึ้น แบบที่เรียกว่าBetsumune Zukuri
- บ้านคิตะมูระ เป็นบ้านชาวนาที่สร้างขึ้นในเมืองฮาดะโนะ ของจังหวัดคานากาวะ เมื่อบ้านนี้ถูกรื้อแยกส่วนเพื่อย้ายมาประกอบใหม่ตั้งไว้ในเขตพิพิธภัณฑ์ ได้ค้นพบเจอข้อความที่ระบุปีที่สร้างบ้านขึ้น ค.ศ. 1687 ลักษณะเด่นของบ้านหลังนี้คือ พื้นเรือนของห้องรับแขกสร้างด้วยไม้ไผ่ และได้รับการออกแบบให้ระบายอากาศได้ดี พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนี้ตั้งอยู่ในป่าย่อม ๆ ถูกล้อมด้วยภูเขา ดูจากทางเข้าไม่คิดว่าจะมีสิ่งก่อสร้างทั้ง 23 หลังซ่อนไว้อย่างมิดชิด ยิ่งเดินตามเส้นทางที่ป้ายปักบอก ก็ยิ่งปีนขึ้นเขาเรื่อย ๆ ต้นไม้ครื้มไปหมด บางพุ่มมีแมงมุมมาชักไยไว้แผ่นไหญ่ กิ่งไม้แทงยอดอ่อนสูงขึ้นมาเหนือพุ่มระเกะระกะ ดูก็รู้ว่าไม่มีมือมนุษย์มาแตะต้องนาน น้องTDเคลิ้มไปกับบรรยากาศ บอกว่าหากได้มาอยู่ในบ้านทรงโบราณแบบนี้ เช้า ๆ ตื่นขึ้นมาคงมีความสุข ฉันกับน้องคานิผู้ไม่นิยมของโบราณโดยเฉพาะโบแบบกันดารรีบส่ายหัวไม่เห็นด้วย
"หากโครงบ้านเป็นแบบนี้ แต่ภายในบ้านขอสิ่งอำนวยความสำดวกทันสมัยทุกอย่าง พี่คงพออยู่ได้"
"แหมพี่" ฉันขู่น้องTDว่าระวังเหอะนอน ๆ อยู่ดี ๆ หมัดเห็บเรือดไรมันจะโดดเข้ามาสูบเลือด ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกคันคะเยอไปทั้งตัว เดินไปคุยกันไป เจ๊หลิงโต้วาทีกับน้องTDเล็กน้อยเรื่องระบบการศึกษาของญี่ปุ่น ทำไมรัฐบาลไม่ยอมให้เด็กญี่ปุ่นเรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่ชั้นประถม 1 หรือว่าท่านรมต.กระทรวงศึกษามีอคติกับภาษาอังกฤษตามที่ข่าวบ้านเราลงหรือเปล่า งานนี้น้องTDต้องรีบชี้แจงปกป้องเป็นพัลวัน 555 ฉันกับน้องคานิก็ยืนขำ ฟัง 2 เซียนคร่ำหวอดวงการศึกษาเถียงกัน - เวทีคาบุกิ สร้างขึ้นปี 1857 ในหมู่บ้านชาวประมง บนคาบสมุทรชิม่า จังหวัดมิเอะ ใช้เป็นที่แสดงละครคาบุกิกันในกลุ่มวัยรุ่นของหมู่บ้าน
- บ้านซูกาวาระ สร้างขึ้นปลายศตวรรษที่18 เดิมทีเป็นของชาวนาในเขตภูเขาของหมู่บ้านอาซาฮี ในจังหวัดยามางาตะ หลังคาบ้านถูกสร้างขึ้นในสไตล์Yosemune Zukuri หน้าต่างที่หลังตาสร้างแบบHappo และช่วงที่หิมะตกหนัก ผู้อยู่อาศัยยังใช้หน้าต่างใต้หลังคานี้เป็นประตูออกไปนอกบ้านด้วย ฉันสังเกตดูลักษณะของบ้านแต่ละหลัง เห็นความแตกต่างระหว่างบ้านคนมีตังค์กับบ้านชาวนาอย่างชัด บ้านคนมีอันจะกินจะมีห้องรับแขกอย่างสวยงาม สร้างอย่างได้สัดส่วนโอ่โถง ในขณะที่บ้านชาวนาจะค่อนข้างอับ ห้องนั่งเล่นปูเสื่อตาตามิเน่า ๆ (ตามกาลเวลา) และค่อนข้างแคบ เป็นที่น่าแปลกใจที่ว่าแทบทุกหลังคาเรือน คอกม้าจะถูกสร้างไว้ในบ้าน เป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ยังคุย ๆ กันว่า เค้าไม่เหม็นขี้ม้ากันหรือไง
"โหยพี่...คนสมัยก่อนน่ะ เค้าไม่มาสนใจเรื่องกลิ่นหรอก ลำพังตัวเองจะอาบน้ำทุกวันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย" น้องคานิให้ข้อสังเกต ฉันชี้ส้วมหลุมหน้าบ้านให้เจ๊หลิงดู เจ๊แกรีบชักภาพไว้เป็นที่ระลึกใหญ่เลย เป็นส้วมที่ขุดหลุมอย่างง่าย ๆ (คงคล้าย ๆ กับประเทศจีน) ไม่มีกำแพงกั้น มีเพียงไม้กระดานแผ่น ๆ ยึดติดกันปูปิดทับลงไป สำหรับให้คนถ่ายทุกข์เหยียบนั่งยอง ๆ แล้วคนญี่ปุ่นสมัยก่อนมักจะสร้างส้วมไว้หน้าบ้าน
"เนี่ย...บ้านนี้มีลูกสาวแน่ ๆ เลย" เจ๊หลิงหันมาขำกับคำพูดของฉัน บอกว่ากำลังคิดอย่างเดียวกันเลย
ฉันไม่ได้เห่อถ่ายส้วมมา ต้องไปดูที่บล็อคเจ๊ เพราะเจ๊ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แทบทุกบ้านจะต้องมีภาชนะใส่สำหรับทำมิโสะในครัวเรือน บางบ้านมีโม่สำหรับโม่ข้าวสารให้เป็นแป้ง บางบ้านมีครกไม้ขนาดใหญ่ พร้อมสากไม้ที่มีด้ามยาวไว้สำหรับทำโมจิ มุมทำครัวจะอยู่บนพื้นดิน และในบ้านจะมีที่เก็บม้าเป็นของตัวเอง ทำให้เดาความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยนั้นได้ว่าไปไหนมาไหนต่างเมืองคงจะขี่ม้าไป ไม่ยักเห็นคอกวัว-ควายแบบของเมืองไทย หรือว่าเค้าไม่ใช้ควายไถนากัน?
ท้ายสุดของการเดินเที่ยวมาสิ้นสุดที่indigo workshop เจ๊หลิงกับน้องTD บอกว่าสมัยเป็นนักเรียนเคยเรียนทำผ้าบาติกด้วย เริ่ดค่า...ฉันไม่เคยเรียนว่ะ
จากนั้นเราก็เดินไปตามบันไดที่สุดจะชันลงเขา ระหว่างทางเดินสวนกับกลุ่มเด็กชั้นประถม ถือสวิงมาจับแมลงกัน เจ๊หลิงกรี๊ดกร๊าดกับต้นไม้ขนาดมหึมาต้นนี้ มีดอกเล็ก ๆ ยิบ ๆ สีขาวสะพร่างทั่วทั้งต้น มีกลิ่นด้วย แต่จะว่าเหม็นก็ไม่ใช่หอมก็ไม่เชิง ฉันทึ่งกับดงต้นสนนี้มากกว่า ไม่รู้มีอายุมากี่ร้อยปีแล้ว ลำต้นตรงแน่วชะลูดขึ้นไปในอากาศ สูงจริง ๆ ขนาดตึก 4-5 ชั้นได้ ใบสนแผ่ขยายช่วยกรองแดดทำให้บริเวณป่าโปร่งนี้ร่มครื้มไปหมด
เดินไปเดินมาทั้งร้อนทั้งหิวน้ำ มองหายางรัดผมที่ตกตามพื้นสักเส้นนึงก็ไม่มี ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้ารัดผมแทน สุดจะอนาถา ร่ำร้องขอนั่งพักจิบน้ำเย็น ๆ หน่อย โชคดีจริง ๆ ที่แถวนั้นมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แล้วติด ๆ กันนั่นเองมีร้านกาแฟเล็ก ๆ ชื่อ Taro น้องTDสั่งโค้กโฟลท์ มันโฟลท์สมชื่อ เพราะในทันทีที่น้องใช้ช้อนกดไอติมให้มันจม ฟองก็ดันขึ้นมาท่วมล้นแก้วทะลักออกมา เจ๊หลิงสั่งไอติม (กินเริ่ดอยู่คนเดียวนะเจ๊นะ) ดูท่าทางเจ๊เอ็นจอยไอติมสไตล์ญี่ปุ่นถ้วยนี้มั่ก ๆ ส่วนฉันกับน้องคานิสั่งเหมือนกัน ครีมโซดา บทเรียนจากโฟลท์ของน้องTD พอฟองมันทำท่าจะล้นฟู่ออกมา ฉันก็รีบเอาปากไปจ่อที่ปากแก้วดูดเขมือบฟองเข้าท้องไปหมด ได้เครื่องดื่มอร่อย ๆ นั่งตากแอร์เย็น ๆ เม้าซี่ประสบการณ์ในอดีตของแต่ละคนแบบนี้ ช่างเป็นเวลาที่แสนสุข มารู้ตัวอีกที พิพิธภัณฑ์ปิดแล้ว!! เท่านั้นแหล่ะรีบจ้ำพรวด ๆ กลับมาประตูหน้า ยังดีที่คุณยามรอพวกเราอยู่ คงจะรู้ว่า 4 ตัวนี้ทิ้งของไว้ในล็อกเกอร์
อำลา日本古民家園ไว้เบื้องหลัง งานหน้าเจอกันใหม่กับทริป江ノ島 หรือว่าจะไปท่องย้อนอดีตเอโดะกันก็ได้ เพราะฉันได้หนังสือ名所江戸百景มาแล้วเมื่อวานนี้ เตรียมตัวหาแหล่งเที่ยวแหล่งใหม่ แล้วเจอกันนะเพื่อนร่วมแกงค์ที่รัก
*หากจะฝากข้อความ เชิญที่ guest book นะคะ*
mahalo
Create Date : 24 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 24 มิถุนายน 2550 8:40:39 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2098 Pageviews. |
|
|