Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2557
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
8 มิถุนายน 2557
 
All Blogs
 
เปิดใจ "จา พนม" ในวันที่เป็น "โทนี่ จา"

เปิดใจ จา พนม ในวันที่เป็น โทนี่ จา

  เรียกได้ว่าโกอินเตอร์ไปแบบ "เต็มตัว" แล้วสำหรับนักแสดงหนังแนวแอ็กชั่นชื่อดังชาวไทย "จา พนม ยีรัมย์" ไม่ว่าจะเป็นการได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหนังแอ็กชั่นมหากาพย์สุดฮิต "The Fast And Furious 7", ประกบกับดาราคนดัง "ดอล์ฟ ลันด์เกรน" ใน "Skin Trade" รวมถึงล่าสุดกับการได้มีโอกาสแสดงคิวบู๊กับดารากังฟูชาวจีนแผ่นดินใหญ่ "อู๋จิง" ในภาพยนตร์ฮ่องกง "SPL 2"

        นี่คือคือบทสัมภาษณ์ครั้งแรกของผู้ชายคนนี้นับจากวันที่เปิดตัวเป็นนักแสดงระดับอินเตอร์ที่คนทั่วโลกจะได้มีโอกาสเห็นผลงานของเขาในชื่อของ "โทนี่ จา"

เชื่อว่าคนไทยโดยเฉพาะคอหนังทั้งประเทศ ยินดีกีบพี่จากับการโกอินเตอร์ ส่วนตัวรู้สึกอย่างไร ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้สำหรับเราคิดว่ามาถึงวันนี้เพราะอะไร?
        "ผมว่ามันเป็นความตั้งใจที่ได้เก็บเกี่ยวมากกว่า เรามีกำลังกายกำลังใจที่มีความมุ่งมั่น และมีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าเราฝันว่าอยากทำอะไร คือตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก...ผมฝันตั้งแต่เด็กแล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิตอยากเป็นนักแสดง พอเป็นนักแสดงแล้วเราก็อยากสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ...ตอนนี้คนรู้จักมวยไทยมากขึ้น และรู้จักภาพยนต์ไทยมากขึ้น แถมยังรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงานของไทยด้วย ตรงนี้ครับมันเป็นสิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นกำลังกายและเป็นกำลังใจสำคัญที่สุด ที่ทำให้ผมไปถึงจุดๆ นั้น และไม่ก็ทำให้ไม่ยอมที่จะลดความพยายามตรงนี้"

เท่าที่ได้สัมผัส คิดว่าคนต่างประเทศเขาชอบมวยไทยมากแค่ไหน?
        "เมื่อคุณดูหนังกังฟูคุณจะรู้จักบรูซ ลี รู้จักแจ็คกี้ ชาน แต่เมื่อคุณดูหนังองค์บากหรือดูหนังไทยเรื่องหนึ่งที่นำเสนอมวยไทยต่างชาติเขารู้จักว่าองค์บากตั้งท่ามวย ตอนนี้คือมวยไทยเป็นที่เลื่องลือมาก ประสบความสำเร็จมาก มีการตั้งค่ายมวยต่างประเทศทวีปยุโรป อเมริกา เอเชีย ทุกที่ที่ผมไปเขาจะบอกว่า "โทนี่จา ฟอร์มไทยแลนด์ มวยไทย" หรือแม้กระทั่งคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเขาจะบอกว่าขอบคุณมากคุณจา พนม ที่ทำให้คนเคารพ พอเขาเห็นว่ามวยไทยสวัสดีครับคือการไหว้ การไหว้คือการนำศิลปะของไทยเข้าไปตรงนี้ มันทำให้ต่างประเทศสื่อถึงว่าให้เกียรติเรามากขึ้น"

ระหว่างที่ถ่ายทำ "Fast & Furious 7" เห็นมีการสอนมวยไทยให้ "วิน ดีเซล" ด้วย
        "คือต้องขอบคุณมวยไทย ขอบคุณสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเราที่ทำให้ไปถูกตาของนักแสดงฝีมือระดับพระเอกอย่างวิน ดีเซล ไม่ใช่เฉพาะวิน ดีเซล ยังมี เดอะร็อค ยังมี พอล วอล์คเกอร์ และยังมี เจสัน สเตแฮม ที่ชื่นชอบมวยไทย ชื่นชอบสไตล์ของเรา อย่างวิน ดีเซล พอเขาได้ดูเขาอยากให้เราโชว์ แบบเข่าลอย เข่าคู่อะไรพวกนี้มันดูแปลกดี เพราะเขาเป็นคนที่รูปร่างใหญ่ แต่พอผมลองให้เทคนิคบางอย่างให้ไปทำ เขารู้สึกชอบมาก แล้วเขาก็ทำได้ดีด้วย ตรงนี้เป็นการเชื่อมระหว่างมิตรภาพที่ดี แบบไร้พรมแดนเราเอาเรื่องของศิลปะการต่อสู้เข้าไปตรงนี้ เพราะเขารู้ว่าโทนี่ จา ทำไมคุณสามารถกระโดดเตะสูงๆ ได้ เราก็มีเทคนิคที่พิเศษให้เขา พอเขาทำได้เขาก็ใส่เทคนิคมวยไทยเข้าไป หนังเรื่องต่อไปเขาก็จะมีเข่าลอย มีท่าแม่ไม้มวยไทยอีกมากมาย"

ในกองถ่ายสนิทกับใครมากที่สุด?
        "คือมันเยอะครับ ไม่ว่าจะเป็นที่สนิทตอนนั้นคือวิน ดีเซล ก็ไปซ้อมมวยด้วยกัน แล้วเขาก็ชวนเราไปดูกลุ่มมาร์เชียลอาร์ตที่บ้านเขา แล้วก็มี "มิเชล โรดริเกซ" มี "ไทรีส กิ๊บสัน" มีดาราอีกหลายคนก็มีชวนกันไปดูปาเกียวต่อย อย่าง "มิเชล โรดริเกซ" ผมก็ประทับใจ ได้คุย ได้ตีปิงป้องด้วยกัน แล้วเขาชอบนั่งสมาธิ ซึ่งเหมือนผมเวลาผมจะทำอะไร ซ้อม หรือแสดงหนังผมจะนั่งสมาธิก่อน แล้วเขาชอบวัฒนธรรมไทยมาก เขามาสักยันต์ เขาก็ถามว่าผมสักยันต์ไหม ผมก็เปิดเสื้อให้ดูว่าผมไม่ได้สัก แต่ว่าผมนับถือ"

        "เขาบอกผมว่าเวลาเขานั่งสมาธิเพราะเขาต้องการคลีนตัวเองเพื่อที่จะให้เอาคาแรกเตอร์ของเขาเข้ามา มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เราก็เลยได้เทคนิค เหมือนกับวิน ดีเซล เขาก็สอนผมว่าคุณมาอยู่ที่ฮอลลีวูด คุณต้องเป็นคาแรกเตอร์ของคุณเลย ทุกคนรู้จักวิน ดีเซลแบบตัวบิ๊กๆ เดินแบบฮิปฮอพ แต่พอเวลาเข้าฉากคนละอย่างกันเลย เป็นเทคนิคที่คลีนตัวเองเพื่อให้เอาคาแรกเตอร์นั้นๆ เข้ามา พอเสร็จก็ให้คาแรกเตอร์นั้นหายไป ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เขาบอกว่าคุณอยู่นี่คุณสามารถสร้างคาแรกเตอร์ของคุณให้ยิ่งใหญ่ ให้คนได้รู้จักได้ คือเขาเปิดหมด"

เก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างจากหนังเรื่องนี้
        "Fast 7 มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ซึ่งตรงนี้เราได้เรียนรู้ทุกระเบียบนิ้ว อันนั้นคือโรงเรียนผมเลยครับ ยิ่งใหญ่มาก ไปหาเรียนหรือหาซื้อที่ไหนไม่ได้ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเราไปเปิดตัวเอง ผมไปรู้จักตั้งแต่เด็กเสิร์ฟน้ำ เพราะว่าเคยทำอาชีพแบบนี้มาก่อน เราเคยเป็นคนวิ่งน้ำ เราไปคลุกคลีกับเขาว่าเป็นยังไง เราก็เข้าได้ไปถึงฝ่ายอาร์ต ฝ่ายสตันท์แมนเขาคิดยังไง นี่คือโรงเรียนที่หาซื้อไม่ได้ ตรงนี้มันเป็นกำไรชีวิตที่เราได้มองเห็นที่เราไม่เคยได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตตรงนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เราไปยืนอยู่ตรงนั้นเราได้สิ่งนั้นกลับมา"

ถึงตรงนี้เป็นนักแสดงคิวบู๊ระดับโลกแล้วต้องมีอะไรที่เราต้องฝึกฝนใหม่อีกไหม?
        "การเรียนรู้ไม่มีวันที่สิ้นสุด โดยเฉพาะการที่เราได้คิดว่าเราได้ทำแล้วเรามีความสุข ยิ่งเราได้ครีเอทท่าชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าเราทำได้ พอเรารู้สึกว่าเราทำได้แล้วออกมาอยู่ในหนัง แล้วเราก็แบ่งบันความสุขนั้นให้กับคนดูมันเป็นสิ่งที่เหมือนกับการให้ด้วยศิลปะที่เราคิดค้นขึ้นมาจากจิตวิญญาณของเราออกมา เราก็ใส่ไปในรูปแบบของศิลปะของภาพยนต์ พอคนดูได้สัมผัสคนดูได้อิ่มกับมัน ได้เสพได้มีความสุขกับมัน มันก็ทำให้ชีวิตวันหนึ่งที่เขาได้ไปนั่งดูหนังแล้วเขาจดจำแล้วเขาได้เกิดแรงบันดาลใจในสิ่งที่ผมทำนั้นคือสิ่งที่เขาได้รับ

รู้สึกกดดันบ้างมั้ย?
        "คือผมไปต่างประเทศผมไม่เคยไปคนเดียว แต่นี่คือภาษาอังกฤษเราก็ค่อยเรียนรู้ไป ก็ไปอยู่ที่นั่นเลยเราก็อยู่ที่นั่นลองใช้ชีวิตคนเดียว เราก็อยู่ได้ เพราะหนึ่งคือเรามีความเชื่อมั่นที่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าพลังมันเกิดมาจากคือเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะเป้าหมายที่ชัดเจนมันจะไม่มีอะไรที่จะมาขวาง อะไรที่จะมากดดัน เราฝ่าไปให้หมด มีเป้าหมายแล้วมีจุดยืนของเราคือเป็นตัวแทนของคนไทยนะ เรามีโอกาสตรงนี้แล้วเราไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ"

        "เหมือนเรามีกุญแจดอกหนึ่งเสียบแล้วเปิดประตูฮอลลีวูด แล้วอ้าแขนออกอย่างสง่างาม อย่างวิน ดีเซลตอนจเอผมครั้งแรก เขาเรียก "โทนี่" เราก็ใครเรียกเรา งงมาก จากนั้นเขาเดินล่ำมาเลย แล้วมากอด เราไม่คาดฝันเลยว่าดาราระดับ วิน ดีเซล จะเข้ามากอดแบบไม่ยอมปล่อยเลย เราดีใจมาก รู้สึกขนลุก เป็นสิ่งที่เมมโมรี่ผมจดจำในใจตลอดไป มันเป็นโอกาสของเรา เป็นโอกาสของเมืองไทย เป็นโอกาสของคนไทย เป็นโอกาสของหนังไทยในอนาคตที่จะเกิดสิ่งที่ดีๆ"

มองผู้ชายที่ชื่อ "จา พนม หรือ โทนี่" จา อีก 10 ปี ข้างหน้าไว้อย่างไร?
        "ผมมองสิ่งที่ทำว่าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วก็ทำแบบมีความสุข แล้วทำด้วยจิตวิญญาณที่เรานับถือสิ่งไหน แล้วเราโฟกัสสิ่งนั้น อย่างผมเป็นนักแสดง ผมรักอาชีพนี้ ผมก็โฟกัสในสิ่งนี้ ผมก็ทำในสิ่งนี้แล้วก็เคารพมัน ด้วยจิตของเราโดยไม่คิดว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไร ผมมองแค่ว่าวันนี้กับวันพรุ่งนี้ และหนึ่งปีที่ผมทำหนัง สิ่งที่ผมวางไว้ก็คือผมขอทำตรงนั้นให้ดีที่สุด พอทำหน้าที่ให้ดีที่มันก็ไม่กดดัน เพราะว่าเราเปิดใจเรา เราทำตัวให้บริสุทธิ์ เราสนุกกับมัน แค่นั้น แล้วสิ่งอะไรต่างๆ มันจะถูกจัดการโดยอัตโนมัติของมัน"

วันนี้ "จา พนม" ยังเป็นคงเป็น "จา พนม" อยู่มั้ย หรือว่าเป็น "โทนี่ จา" ไปแล้ว?
        "ผม จา พนม ยีรัมย์ ผมก็ยังเป็นจา พนม ยีรัมย์ แต่ว่าคนทั่วโลกรู้ในนามของ โทนี่ จา ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความตั้งใจจริง ที่จะเปิดตลาดฮอลลีวูด และนี่เป็นโอกาสอันสำคัญ และเป็นโอกาสอันดี ที่ผมได้เปิดตรงนั้นแล้ว และผมก็มีกุญแจตรงนั้นแล้ว และผมก็ทำได้สำเร็จตรงนั้น ต่อไปในอนาคตอยากให้คนไทย มีความภาคภูมิใจกับคนไทย กับทีมงานไทยไม่ว่าจะเป็นผลงาน Fast & Furious 7, Skin Trada ที่มีทีมงานคนไทยกับต่างประเทศที่มาร่วมมือกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้คนทั่วโลกได้เห็นศักยภาพของคนไทยว่าคนไทยก็ทำได้ครับ"

       (เรียบเรียงจากรายการ viewfinder ทางช่อง "Super บันเทิง")



Create Date : 08 มิถุนายน 2557
Last Update : 8 มิถุนายน 2557 10:11:53 น. 0 comments
Counter : 1494 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

MR.ITANRICH
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




ผมเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย
Friends' blogs
[Add MR.ITANRICH's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.