ผ่านอ.ผักไห่ไปประมาณ 3 กม. เจอป้ายบอกทางเลี้ยวขวาเข้าวัดอมฤต จะมีทางแยกซ้ายมือเดินเข้าไปประมาณ 200 เมตร แต่เราต้องจอดรถไว้ที่บริเวณลานวัด แล้วก็เดินกันไป ...จะผ่านโรงสีเก่า ตอนนี้เหลือแต่ปล่องไฟ
ทางที่เราเดินมา เห็นปล่องไฟใหญ่ๆ เคยเป็นโรงสีเก่าตอนนี้เหลือแต่ปล่องไฟ ด้านซ้ายจะเห็นบ้านขุนพิทักษ์ฯ ที่มีต้นไม้บังอยู่ ทางที่เราเดินมาคือถนนหลังบ้าน หน้าบ้านจะติดแม่น้ำน้อย
บ้านของขุนพิทักษ์บริหารเป็นบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 อายุเกินกว่า 100 ปีสถาปัตยกรรมเป็นบ้านไทยที่ได้รับ อิทธิพลทางตะวันตก(ภรรยาขุนพิทักษ์ได้ยกให้เป็นของหลวงเมื่อ พ.ศ. 2505)
สมัยรัชกาลที่ 5 ขุนพิทักษ์บริหาร(พึ่ง มิลินทวนิช) เป็นนายแขวงเสนาใหญ่คืออำเภอผักไห่ในปัจจุบัน (เคยเข้ารับใช้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ด้วย) ภรรยาคือนางจ่าง มิลินทวนิช
ขุนพิทักษ์ฯเป็นเจ้าของกิจการเรือสองชั้นที่เรียกว่า เรือเขียว ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ (มีจำนวน 10 กว่าลำ)รับส่งผู้โดยสารระหว่างผักไห่-ท่าเตียน กรุงเทพฯ และผักไห่-ปากน้ำโพจังหวัดนครสวรรค์ ทำให้การค้าขายบริเวณนี้ เจริญรุ่งเรือง (เมื่อมีการทำประตูทดน้ำในแม่น้ำ เรือจึงไม่สามารถแล่นได้ ประกอบกับถนนหนทางเจริญขึ้น กิจการเดินเรือจึงเลิกไป)
สมัยที่ขุนพิทักษ์ฯมีชีวิตอยู่ ได้จัดทอดกฐินและแข่งเรืออย่างใหญ่โตทุกปี ในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 (วันงานไหว้วัดอมฤต)
บริเวณที่ตั้งมี เนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่ 72 ตารางวา ด้านหลังบ้านที่ติดกับถนนปักป้ายประกาศว่าเป็นที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ลักษณะบ้านเป็นบ้านทรงปั้นหยา สองชั้นยกพื้นสูง ปลูกสร้างด้วยไม้สัก(บางส่วนเป็นตึก) ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "บ้านเขียว"(เพราะเดิมทาสีเขียว เนื่องจากขุนพิทักษ ์เกิดวันพุธ) หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม สภาพภายในยังแข็งแรง แต่สภาพภายนอกทรุดโทรม
มีบันทึกในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ในการเสด็จประพาสต้นลำน้ำคลองมะขามเฒ่า ได้กล่าวถึงช่วงหนึ่งว่าพระองค์ทรงเสด็จประพาสมาตามลำแม่น้ำน้อยนี้และได้ทรงประทับที่บ้านของ นางจ่าง มิลินทวนิช ซึ่งก็คือภรรยาของขุนพิทักษ์ฯ
ดูจากภายนอกก็ทรุดโทรมมากจริงๆ เสาของบ้านน่าจะสร้างใหม่เพื่อให้รับน้ำหนักของบ้าน เพราะดูเป็นปูนหมดเลย...
เราเข้าไปดูด้านในกันบ้างว่าสภาพเป็นเช่นไร...
ชั้นล่าง..
หน้าบ้าน...ที่มีแม่น้ำน้อยอยู่ด้านหน้า
ไกด์ กำลังอธิบายว่า ด้านข้างๆ ก็มีระเบียง แต่ได้พังไปแล้ว มีหญ้าขึ้นเต็มมาแทนที่
บ้านข้างๆ ที่มีสะพานเดินไปถึงแม่น้ำน้อย ด้านหน้า...
เราไม่ได้มาถ่ายทำรายการคนอวดผี หรือพิศวงลึกลับ อะไรนะจ๊ะ แต่บรรยากาศเป็นใจมากๆ ถ้าให้มากลางคืนคงไม่มาหรอก แค่กลางวันก็เสียวแล้ว...
ไกด์ บอกว่ามีรายการเกี่ยวกับลึกลับ วิญญาณ หลายรายการมาถ่ายทำ เพราะเสียงลือ เสียงเล่าว่า ชาวบ้านเคยพายเรือในแม่น้ำน้อย ผ่านหน้าบ้านขุนพิทักษ์ฯ ยามค่ำๆ ก็เห็นมีผู้คนมากมายเดินกันเยอะแยะไปหมดบนบ้าน
แต่ที่ได้อ่านมา....เรือนหลังใหญ่ไม่ปรากฏว่า เคยมีผู้เสียชีวิตในเรือน แม้แต่ขุนพิทักษ์ฯเมื่อชราภาพใกล้สิ้นอายุขัย ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯระยะหนึ่ง จึงเดินทางกลับบ้านทางเรือ และสิ้นชีวิตในเรือระหว่างเดินทาง (แม้แต่ลูกหลานก็บอกว่าไม่เคยได้พบเห็น)
หลังจากขุนพิทักษ์ฯสิ้นชีวิตแล้ว ลูกหลานย้ายไปอยู่ภูมิลำเนาอื่น ส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ แม่จ่างภรรยาท่านขุนจึงได้ยกบ้านให้หลวง เป็นที่ราชพัสดุกรมธนารักษ์ เมื่อ พ.ศ.2505 โดยกระทรวงมหาดไทย ได้มอบเข็มชั้นเครื่องหมายทองประดับเพชรให้กับนางจ่างด้วย
ขึ้นไปชั้นสองกัน...ชอบบันไดมากๆ เลย มีหน้าต่าง เปิดให้ลมพัดเย็นสบายจัง
เดินออกมาที่ระเบียงด้านหน้า...
บ้านข้างๆ ก็เก่าเหมือนกันนะ ไม่รู้ยังมีคนพักอาศัยอยู่หรือปล่าว ...ตอนแรกว่าจะลองเดินไป แต่ไม่มีเวลาแล้ว..
มองไปรอบๆ คนเหลือน้อยแล้ว....
ลมเย็นๆ เสียงเงียบๆ เริ่มมาแล้วบรรยากาศที่ไม่ต้องการเจอ...เสียงอะไรดังแกร๊กๆ ข้างหลังอ่ะ ...ลงดีกว่า
ฝนทำท่าจะตกแล้ว บรรยากาศครึ้มๆ
ถ่ายรูปนี้เสร็จ ...วิ่งแบบเร็วจี๋ ไปลานจอดรถเลยทีเดียว 555+
รถเราจอดไหนน๊า...เตรียมตัวไปตลาดลาดชะโด อ.ผักไห่ ชมขบวนแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ...
แล้วมาชมขบวนแห่เทียนพรรษาทางน้ำ กับเจ้าเงาะ และชูชก !!!!