ถึงแล้ว....พิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ. หนองบัวลำภู

เตรียมตัวเอารถจักรยานขึ้นรถสองแถว ...เราจะไปเที่ยวกันต่อที่ภูหินลาดช่อฟ้า ระยะทางประมาณ 20 กม. แต่เป็นทางขึ้นเขา ...

เดินทางกันต่อ...เส้นทางก็จะเป็นเขา เนินขึ้น-ลง...คนนั่งก็หลับตลอดเส้นทาง

ถึงจุดจอดรถ...เจ้าหน้าที่เลยให้เราลงไปชมวิว แล้วก็นั่งทานอาหารกลางวัน เมนูสหาย ...เป็นอย่างไรดูภาพเลยจ๊ะ

สหายท่านหนึ่ง มาจัดการอาหารให้เรา...

น่ากินมากๆ ....ส้มตำ ข้าวเหนียวก็พร้อม 

สหายสองท่านนี้ (ขออภัยค่ะจำชื่อไม่ได้) เคยร่วมรบในพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งอยู่ที่ทำการบนภูหินลาดช่อฟ้า ก็มาพูดคุย เล่าเรื่องอดีตให้เราได้ความรู้... 

"ด้วยอุดมการณ์แน่วแน่ที่จะแก้ไขสังคมแบ่งชนชั้น กดขี่ผู้ยากไร้และปราบปรามประชาชนไม่ให้มีสิทธิมีเสียง เมื่อเมืองไม่มีที่ให้อยู่ให้ยืน พวกเขาจึงหันเข้าสู่การต่อสู้ในเขตป่าเขา ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย" 

ระหว่างทางที่เดินไป สหายทั้งสองท่าน ก็จะเล่าเรื่องระหว่างการรบที่นี่ การอยู่อาศัย มีทั้งยิงสู้กับเ้จ้าหน้าที่รัฐบาล ระเบิดลง คนเจ็บ คนตาย...

กำเนิดนักปฏิวัติแห่งภูช่อฟ้า

 

แนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์ฯเริ่มแพร่ขยายไปตามหมู่บ้านชนบท รวดเร็วราวไฟลามทุ่ง ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2501 ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งทำรัฐประหารยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 แล้วใช้มาตรการรุนแรงปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่าง สั่งประหารชีวิตและจับกุมบุคคลแบบเหวี่ยงแห โดยใช้ข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2504 รัฐบาลเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่หนึ่ง ซึ่งเน้นการสร้างถนนหนทางทั่วประเทศ ด้วยหวังว่าหนทางที่สะดวกสบาย จะทำให้ทางการสามารถเข้าถึงประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารได้มากขึ้น และถนนที่เป็นตัวนำทางความเจริญทางวัตถุ จะทำให้คอมมิวนิสต์หายไป แต่ความคาดหวังดังกล่าวกลับพลิกผันโดยสิ้นเชิง การสร้างถนนหนทางกลับยิ่งเหมือนปูทางสะดวก ให้กับการเผยแพร่แนวความคิดของพรรคคอมมิวนิสต์

ช่วงที่สร้างถนนสายอุดรธานี – หนองบัวลำภู ได้เปิดรับคนท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาเข้ามาเป็นกรรมกรสร้างทาง ทำให้ชาวนาที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายได้มีโอกาสรวมกลุ่มกัน ได้มีโอกาสใกล้ชิดผู้ปฎิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นนายช่าง จึงได้เรียนรู้เรื่องการเมือง ได้มองเห็นโครงสร้างสังคมทั้งระบบ เข้าใจแจ้งว่าความทุกข์ยากของตัวเองเกี่ยวกับการเมืองเช่นไร ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองอย่างกว้างขวาง

ก่อเกิดทับ จากระยะแรกที่ทำงานความคิดกับมวลชนตามหมู่บ้าน ศึกษาการเมืองกันตามหัวไร่ปลายนา ครั้นทางการเริ่มได้กลิ่นและเหวี่ยงแหปราบปราม จึงเปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวในลักษณะ “กึ่งป่ากึ่งบ้าน” โดยขึ้นไปศึกษาและพักพิงบนภูช่อฟ้าเป็นระยะ ต่อมาทางการยิ่งโหมปราบปรามหนักขึ้น บางครั้งจับชาวบ้านไปขังคุกและทรมาน ทำให้ชาวบ้านทยอยหนีเข้าป่าเพิ่มจำนวนมากขึ้น เขตงานภูช่อฟ้าจึงขยายใหญ่ คนมากขึ้น ภารกิจเพิ่มขึ้น จึงเกิดทับต่างๆเพื่อรองรับเหล่าสหายใหม่

ทับ ภาษาถิ่นอีสาน  หมายถึงที่พักชั่วคราว   ยามเอาวัวควายออกไปเลี้ยงกลางทุ่งกลางป่า   ก็จะปลูกเพิงพักไว้พำนักเฝ้าวัวควาย   แต่ทับในความหมายของสหายนักปฏิวัติ   คือที่พำนักกลางป่าเขา   บางครั้งเป็นที่เรียนรู้ทฤษฎีปฏิวัติ   เป็นที่ฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเอง  เป็นที่ฝึกการรบ   เป็นที่จัดงานบันเทิง  รวมทั้งเป็นสมรภูมิจริงให้ฝึกปรือการสู้รบ

หลักการใหญ่หัวใจสำคัญที่ทำให้พรรคดำรงอยู่ได้ พื้นฐานคือความลับ ต้องทำทุกประการไม่ให้เสียลับ แม้อยู่ในป่าจะเดินเป็นแถวเป็นแนว แต่ยามใดที่ต้องโยกย้ายข้ามทางใกล้เขตเมือง จะต้องแยกย้ายกันข้ามคนละที่ เพื่อปิดบังร่องรอย

 

เขตงานภูช่อฟ้าไม่มีทับถาวร มีแต่ทับชั่วคราว เพราะอยู่ใกล้ชุมชนไม่สามารถตั้งถาวรเป็นเดือนเป็นปีอย่างเขตงานภูซาง ภูช่อฟ้าเป็นพื้นที่จรยุทธ์ พร้อมจะเคลื่อนไหวได้ทุกเวลา เป็นเหมือนปากประตูรับสหายใหม่ ก่อนจะส่งไปเขตงานภูซางสหายใหม่จะต้องมาแวะพักที่ภูช่อฟ้า เมื่อครั้งที่คนเดือนตุลาทยอยกันเข้าป่า ส่วนหนึ่งก็ได้มาแวะพักอยู่ที่ภูช่อฟ้าแห่งนี้เป็นด่านแรก ก่อนจะแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นๆตามความเหมาะสม

(ขอบคุณข้อมูล oknation.net)

ถ้าไปหน้าฝนคงจะเย็นสบาย ไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ แน่ๆ เลย..

ลานหินแตก...

ลานยอดภูหินช่อฟ้า ...สามารถมองเห็นเมืองหนองบัวลำุภู

สาวคนนี้...เป็นสาวลาวจากเมืองเวียงจันทน์ มาทำงานให้กับบริษัททัวร์เมืองหนองบัวลำภู ..สวย น่ารัก แบบนี้ใครใจไปเที่ยวด้วยบ้าง 

จบโปรแกรม "ส่องน่อง ท่องเที่ยว ตามรอยสหาย ทักทายไดโนเสาร์ ดินแดนภูเก้า เขาคีรีวงกต"   คุณคิดว่าเราไปครบมั๊ย...