Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 มกราคม 2551
 
All Blogs
 

[20] : มานาเท

ท่าเรือที่ครึกครื้นที่สุดของประเทศแห่งเกาะมิได้อยู่ที่เกาะหลักอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังกษัตริย์อย่างที่ใครหลายคนคาดคิด หากแต่ตั้งอยู่บนเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ...เกาะมานาเท

อ่าวน้ำลึกที่กว้างใหญ่และผืนน้ำทะเลที่แทบจะปราศจากหินโสโครกซึ่งเป็นอุปสรรคของนักเดินเรือทุกคนทำให้เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เรือสินค้าจากต่างแดนแวะมาจอดเทียบท่าเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเกือบเจ็ดในสิบของสินค้าทั้งหมดที่มีการค้าระหว่างทวีปเหนือและประเทศแห่งเกาะเลยทีเดียว

และหากผู้มาต้องการสินค้าแปลก ๆ จากเกาะอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ก็ยังมีท่าเทียบเรืออีกจำนวนมากที่สามารถเลือกใช้บริการเรือเล็กสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเกาะได้ไม่ยาก

แม้ประชากรบนเกาะจะมีเพียงไม่กี่พันคน แต่จำนวนของตลาดกลับมากมายอย่างยิ่ง เพราะแทบทุกท่าเทียบเรือต่างก็มีตลาดเป็นของตนเองทั้งนั้น เพื่อสะดวกในการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยไม่จำเป็นต้องขนสินค้าไปให้ไกลจากท่าเทียบเรือแต่ละแห่ง เป็นผลให้สินค้าที่วางขายในแต่ละตลาดต่างก็แตกต่างกันไป ขึ้นกับว่าเรือที่เทียบท่ายังส่วนนั้นของเกาะมาจากเกาะไหนนั่นเอง

แน่นอนว่ากฎหมายบังคับเอาไว้ว่า ห้ามมิให้มีการเก็บค่าระวางสินค้าเพิ่มเติมเมื่อเรือเทียบท่า เว้นแต่ภาษีที่รัฐจัดเก็บเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วแต่ละท่าเทียบเรือต่างก็มีเจ้าถิ่นของตนเองคอยควบคุมบรรดากรรมกรที่ทำหน้าที่เป็นแรงงานหลักในการขนย้ายสินค้า และยิ่งมีการเก็บค่าผ่านทางอย่างผิดกฎหมายให้ได้เห็นอยู่เนือง ๆ

เมื่อส่วนกลางส่งทหารออกมาปราบปรามจับกุมครั้งหนึ่ง พวกเจ้าถิ่นต่างก็พากันหลบหลีกเก็บเนื้อเก็บตัวกันไปพักใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า กลิ่นหอมหวนของเงินตราก็ชักนำพวกนั้นพากันออกมาหากินด้วยวิธีเก่า ๆ กันอีกครั้งหนึ่ง โดยหาได้เกรงกลัวผู้ปกครองเกาะไม่

มิใช่ว่าผู้ปกครองเกาะคนปัจจุบันจะไม่มีน้ำยาเอาเสียเลยจึงทำให้พวกเจ้าถิ่นไม่กลัวเกรงหรอกนะ ...แต่นับตั้งแต่ที่ผู้ปกครองเกาะคนเก่าถูกสำเร็จโทษจากส่วนกลางไปเนื่องจากกล้าตั้งด่านเก็บค่าผ่านทางระหว่างท่าเทียบเรือด้วยตนเองครั้งนั้น นาร์ดีน...ผู้ปกครองเกาะคนใหม่ก็ไม่กล้าที่จะใช้วิธีเดียวกันอีก

เมื่อไม่กล้าลงมือเองโดยเปิดเผย นาร์ดีนก็อาศัยบรรดาเจ้าถิ่นให้เป็นคนหาผลประโยชน์ให้แทน โดยละเลยไม่กวดขันจับกุมการเก็บค่าผ่านด่านอย่างผิดกฎหมายนั้น หากแม้นเจ้าถิ่นจะหักเงินบางส่วนนำส่งให้กับเขาเป็นการตอบแทน ด้วยวิธีนี้เงินจำนวนสามในสิบของค่าผ่านด่านที่ผิดกฎหมายจะถูกส่งไปยังคฤหาสน์ของผู้ปกครองเกาะเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งหากแม้นผู้ใดกล้าละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎที่ตั้งขึ้นเองนี้แล้ว คนผู้นั้นก็จะต้องถูกจับกุมตัวและลงโทษอย่างรุนแรง

แน่นอนว่า... ต่อให้คนผู้นั้นผิดเพียงเล็กน้อย นาร์ดีนก็จะช่วยหาความผิดอื่น ๆ มาสุมรวมให้ต้องรับโทษหนักอยู่ดี ดังนั้นเมื่อต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทางหนึ่งพวกเจ้าถิ่นก็ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับนาร์ดีน ขณะเดียวกันฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย สร้างความเดือดร้อนกับผู้ที่อาศัยเกาะมานาเทเพื่อค้าขายอย่างสาหัส

แต่เรื่องชั่วร้ายนี้หาได้แพร่งพรายไปถึงส่วนกลางไม่ ...เพราะจากบทเรียนของผู้ปกครองเกาะคนที่แล้วของมานาเท ทำให้นาร์ดีนเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากพวกเจ้าถิ่นมากไปกว่าแค่จัดหาผลประโยชน์ให้เท่านั้น ...คนเหล่านี้นอกจากจะเป็นหูตาให้กับเขาแล้ว ยังมีหน้าที่คอยเก็บกวาดพวกที่มีท่าทีไม่ยินยอม หรือมีความคิดที่จะร้องเรียนไปยังส่วนกลางให้พ้นทางไปอย่างถาวร

หากแม้นยังมีใครที่กล้าขัดขืน โดยที่คนผู้นั้นมิได้อยู่ในอาณัติของเกาะมานาเทโดยตรงแล้วล่ะก็ นาร์ดีนก็ยังมีแผนสำรองสำหรับชาวต่างถิ่นที่มีแนวโน้มอาจเป็นศัตรูของเขา

กองกำลังที่ซ่องสุมเอาไว้เงียบ ๆ บนเกาะมานาเท และเกาะเล็กเกาะน้อยรอบข้าง รวมไปถึงพันธมิตรที่มีข้อตกลงกับเขาอยู่อย่างลับ ๆ คือกำลังที่พร้อมจะกวาดล้างพวกที่คิดจะเปิดปากพูดความลับของเขาออกไปให้ส่วนกลางได้ยินได้ฟัง

หลายปีมานี้ทุกท่าเทียบเรือถูกสั่งให้เฝ้าระวังผู้ที่เดินทางมาจากส่วนกลางเป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะหากแม้นคนผู้นั้นมีทีท่าผิดปกติ หรือมีแนวโน้มอาจเป็นชนเผ่าเทพเจ้าเสือแล้วล่ะก็ จะต้องรีบรายงานไปยังคฤหาสน์ของผู้ปกครองเกาะในทันที !

แม้จะระวังตัวถึงเพียงนี้ ...แต่นาร์ดีนก็ยังคงคาดไม่ถึงว่าความโลภที่ครอบงำความคิดทั้งหมดของเขาเองนั่นล่ะ ที่จะนำพาหายนะมาสู่ความมั่งคั่งที่สร้างจากสายเลือดและน้ำตาของผู้บริสุทธิ์ !

เขาไม่เคยคาดคิดว่า จุดจบของเขาจะเริ่มต้นเมื่อเขาไม่ยอมเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากผู้ปกครองเกาะคนก่อนให้ซาบซึ้ง...ความละโมบนำมาซึ่งหายนะเสมอ !


*-*-*-*-*-*


“มีข่าวอะไรจากข้างนอกบ้าง ?”

น้ำเสียงเบื่อหน่าย ถามไปตามความเคยชินมากกว่าจะอยากรู้อะไรเป็นพิเศษ ...ไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่ทอประกายวาววับถูกหยิบขึ้นมาลูบคลำด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม... บางทีอาจทะนุถนอมยิ่งกว่าที่มือข้างเดียวกันนั้นจะไปสัมผัสสาวงามสักคนเสียอีก

ชายร่างผอมแห้งดวงตากลอกกลิ้งก้มตัวลงต่ำลงไปอีก ไม่กล้าที่จะเบิกตาจ้องสมบัติล้ำค่าในมือของอีกฝ่ายอย่างที่ใจต้องการ ด้วยรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดว่านาร์ดีนรักและหวงแหนไข่มุกดำที่ขู่กรรโชกมาจากชาวเกาะชาเลมากแค่ไหน

“มีข่าวลือจากพวกชาวเรือว่าพบเห็นวิงซ์เมื่อหลายวันก่อน มุ่งหน้าไปทางเกาะหลักครับนาย...”

มืออ้วนป้อมของผู้ปกครองเกาะมานาเทคนปัจจุบันชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงมีความสนใจมากกว่าเดิม

“พวกเทม่าอย่างนั้นหรือ ?”

ชายร่างผอมแห้งส่ายหน้า

“ไม่มีใครทราบครับ แต่ว่ากันว่าชาวเทม่าปิดผนึกตนเองอยู่แต่ในทวีปใต้ตั้งแต่หลายปีก่อน ไม่น่าที่จะมีใครออกมาจากที่นั่นได้อีก...”

“มาจากทิศไหนกัน ?”

คำถามนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจอีกเหมือนเดิม

“ไม่มีใครทราบครับ ผู้พบเห็นก็เพียงแต่เห็นแว่บเดียว เหมือนกับมันบินรอบหมู่เกาะก่อนที่จะบ่ายหน้าไปทางเกาะหลัก จึงจำแนกทิศทางไม่ได้เหมือนกัน”

นาร์ดีนมิได้รู้สึกผ่อนคลายลงกว่าเดิมแม้แต่น้อย มือลูบไปบนไข่มุกดำพลางส่งเสียงพึมพำ

“บางทีอาจส่งข่าวสารอะไรมาให้องค์กษัตริย์ ...นัยน์ตาแห่งเทม่านั่นร้ายกาจนัก ข้าไม่สบายใจเลย...”

ชายร่างผอมแห้งเสนอขึ้นว่า

“นายอยากให้ข้าส่งคนไปสืบบนเกาะหลักไหมครับ ?”

นาร์ดีนมองชายร่างผอมแห้งตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม

“เจ้าโง่ ! คิดว่าบนเกาะหลักนั่นปะปนเข้าไปได้ง่ายนักหรือ ? ข้าพยายามส่งคนของข้าเข้าไปที่นั่นมาหลายปีแล้ว แต่ก็เข้าไปได้เพียงแค่รอบนอกของเกาะ ..ไม่มีสักคนที่จะล่วงล้ำเข้าไปถึงพื้นที่ของพวกชนเผ่าเทพเจ้าเสือนั่นได้... และนั่นก็แปลว่าไม่มีทางจะได้รับรู้ข่าวสารที่สำคัญมากพอเช่นกัน...”

หยุดไปเล็กน้อยเพื่อครุ่นคิด ก่อนสั่งขึ้นว่า

“เจ้าส่งคนของเจ้าไปตรวจสอบเรือโดยสารทั้งหมดที่อาจผ่านเข้าออกเกาะเราโดยละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ...ข้าสังหรณ์ว่าไอ้นกบ้านั่นบินมาครั้งนี้อาจนำความยุ่งยากมาให้ข้าได้ ...โดยเฉพาะถ้าคนส่งมันมาเป็นนัยน์ตาแห่งเทม่าจริง ๆ แล้วล่ะก็...”

ชายผอมแห้งพยายามกล้ำกลืนโทสะที่บังเกิดทุกครั้งที่เขาต้องเข้าพบเจ้าอ้วนบ้าอำนาจนี่ ...ไม่เคยเลยสักครั้งที่นาร์ดีนจะชื่นชมต่อการทำงานของพวกเขาที่เป็นเจ้าถิ่น มีแต่จะกดเอาไว้เพื่อใช้งานและโขกสับเอาตามอำเภอใจโดยไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาเลยสักครั้ง

อยากรู้นักว่าหากไม่มีพวกเขาเจ้าถิ่นทั้งหลายคอยช่วยมันหาเงินทองเข้ากระเป๋า มันจะมีวันได้เสวยสุขในอำนาจได้แบบนี้หรือไม่ ? บางทีการที่พวกเขายอมทำตามมันเพื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับ ...อาจไม่คุ้มค่าอย่างที่คาดกันเอาไว้ในตอนแรกก็เป็นไปได้...

แต่มาจนถึงวันนี้แล้ว ...พวกเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะร่วมมือไปกับมันจนถึงที่สุด... ไม่คุ้มกันแน่หากส่วนกลางจะตรวจสอบทุกอย่างโดยละเอียดจนพบเห็นความผิดร่วมกันที่ทั้งพวกเจ้าถิ่นและไอ้นาร์ดีนร่วมมือกันสร้างขึ้น

ภาพที่ยังติดตาอยู่ถึงการลงโทษอย่าง ‘สาสม’ ของผู้ปกครองเกาะคนก่อนในน้ำมือของชนเผ่าเทพเจ้าเสือทำให้กายของเขาสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว...


กรงใบใหญ่ที่ขังผู้ปกครองเกาะคนก่อนถูกยกออกมาตั้งไว้ที่จัตุรัสกลางเมือง ...ซี่กรงหยาบใหญ่ แต่ก็ห่างกันพอที่จะให้คนที่ค่อนข้างจะผอมลอดผ่านออกมาได้ไม่ยากเย็น... ซึ่งเท่ากับเป็นการทรมานผู้ปกครองเกาะคนที่ผ่านมาอย่างเจตนา เพราะผู้ที่กินอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์นั้นต่อให้แขม่วหน้าท้องที่ล้นหลามออกมาเพียงใดก็ไม่อาจจะบีบตัวเองให้ลอดออกจากช่องนั้นมาได้เฉกเช่นชาวบ้านร้านถิ่น

สายตาเกลียดชังจากผู้คนทั้งจัตุรัสและเสียงด่าทอที่ดังระงมทันทีที่กรงใบนั้นถูกยกออกมาทำให้นักโทษในกรงได้แต่พยายามหดตัวให้ลีบเล็กที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาคนรอบข้างสักครั้ง

ทุกคนยังคงจำได้ดีถึงชายผมทองที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตร แต่กลับมีดวงตาเยียบเย็นน่าหวาดกลัวของสัตว์ร้าย ยิ้มที่ชายผู้นั้นมอบให้กับปวงชนมิใช่รอยยิ้มอันอบอุ่น แต่เป็นยิ้มที่กระหายเลือดจนน่าขนลุกขนพอง

“ข้ารับคำสั่งจากองค์กษัตริย์ให้มีอำนาจตัดสินคดีความที่อดีตผู้ปกครองเกาะมานาเททำผิดกฎหมาย จัดตั้งด่านเก็บค่าผ่านทางทั้งที่เป็นผู้รักษากฎเอง และยังข่มขู่คุกคามชีวิตของชาวเกาะชาเลเพื่อหวังประโยชน์จากไข่มุกดำ ...บัดนี้คนผิดได้ถูกจับตัวมาแล้ว และข้าขอพิพากษาโทษทัณฑ์ของมัน ณ บัดนี้...”

เสียงผู้คนรอบจัตุรัสเงียบสงบลงในทันใดที่ชายผมทองเริ่มกล่าว และยิ่งสงัดลงไปอีกเมื่อดวงตาแวววาวน่าหวาดกลัวนั้นกวาดมองไปรอบข้างก่อนจะกลับไปจ้องยังร่างสั่นเทาในกรงใหญ่

“นักโทษก่อความผิดต่อปวงชน ข้าจึงตัดสินให้ปวงชนเป็นผู้ลงโทษ ...ขังประจานไว้กลางจัตุรัสแห่งนี้สามวัน หากแม้นผ่านพ้นสามวันนี้ไปแล้วนักโทษยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะถือว่าให้พ้นโทษในทันที...”

ประกาศจบคำก็หมุนกายเดินห่างออกไปยังอีกทางหนึ่งโดยไม่มีทีท่าจะทำอะไรไปมากกว่านั้น ทำให้สรรพเสียงรอบข้างดังระงมขึ้นมาอีกครั้งทันที

ในตอนแรกเริ่มไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถึงกับมีคนกล่าวด้วยเสียงอันดังว่าการตัดสินนั้นไม่ยุติธรรมต่อผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมือของอดีตผู้ปกครองเกาะมานาเทผู้นั้น

แต่ชายผมทองยังคงมีสีหน้าสงบ ก่อนจะประกาศก้อง

“ข้าให้สิทธิต่อปวงชนลงโทษมันแล้ว ...การตัดสินนี้จะยุติธรรมหรือไม่ก็ขึ้นกับพวกเจ้าทั้งหลายจะลงโทษมันอย่างไรต่างหาก... ภายในสามวันนี้ หากนักโทษไม่คิดจะหลบหนีจากกรงขัง ข้าก็ไม่คิดจะเกี่ยวข้องเช่นกัน !”

คำพูดนี้ดูเหมือนจะทำให้ใครหลายคนเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น ก่อนที่หินก้อนแรกจะถูกขว้างเข้าใส่ร่างที่เบียดซุกอยู่ตรงมุมของกรงขังนั้น

เพียงไม่นานก้อนหินก็เริ่มถูกขว้างเข้าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงตะโกนด่าทออย่างหยาบคายดังสนั่นไปทั้งบริเวณจัตุรัสกว้าง โดยที่ชายผมทองก็เพียงแต่ยืนนิ่งดูโดยไม่ทำอะไรจริง ๆ

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของนักโทษในกรงขังดังขึ้นจนแหบแห้ง แต่ไม่ว่าจะหลบไปทางใดก้อนหินก็ยังคงประดังกันเข้ามาไม่ขาดสาย ร่างอวบอ้วนจึงพยายามเบียดออกจากกรงเพื่อหลบหนีจากโทสะของฝูงชน

และทันทีที่แขนขาของนักโทษเบียดออกจากกรงมาได้สำเร็จ เสียงร้องราวกับสัตว์ถูกเชือดก็กรีดก้องไปทั้งบริเวณทันที ห่าก้อนหินหยุดชะงักลงในบัดดลเมื่อทุกคนเห็นชัดตาว่าแขนข้างที่ยื่นออกมาจากกรงก่อนนั้นบัดนี้มิได้เชื่อมติดอยู่กับตัวบุคคลอีกต่อไปแล้ว

รอยขาดที่ราบเรียบเสมอกันนั้นราวกับมีมีดคม ๆ เล่มหนึ่งฟันแขนข้างนั้นออกมาด้วยกำลังแรง แต่ในความจริงแล้วไม่มีอาวุธใดที่ใช้ในการลงมือ นอกจากกรงเล็บข้างเดียวเท่านั้น

เสียงคำรามที่ดังกระหึ่มจากส่วนลึกของลำคอ และดวงตาสีเขียวแวววาวจ้องไปยังนักโทษที่แผดร้องครวญครางอยู่บนพื้นกรงอย่างไม่ปรานี

“ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่ยุ่งหากเจ้าไม่คิดจะหลบหนีออกจากกรงนี้ ! คราวหน้าข้าอาจไม่หยุดแค่แขนข้างเดียวก็เป็นได้ อย่าบอกว่าข้าไม่เตือนเอาไว้ก่อน...”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาพของนักโทษหลังจากสามวันนั้นผ่านไปจะเป็นอย่างไร ...หากมิใช่ก้อนเนื้อแหลกเหลวจากความเคียดแค้นของปวงชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดือดร้อนจากการกระทำของผู้ปกครองเกาะนั่น

เดิมทีเขาเองก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีใครกล้าทำผิดอีกหลังจากได้เห็นการลงโทษครั้งนั้น ...แต่ดูเหมือนความเย้ายวนของเงินทองจะมีมากกว่าความหวาดกลัวที่ฝังลึกในจิตใจของพวกเขา ...คำพูดชักจูงของนาร์ดีนทำให้ทุกคนต้องคล้อยตามอย่างช่วยไม่ได้...


“หากกลัวการถูกลงโทษก็อย่าให้ส่วนกลางได้รู้สิ ...ผู้ปกครองเกาะคนก่อนรวบทุกอย่างไว้กินคนเดียว ผู้ที่ไม่พอใจเขามีมากมาย จะมีใครสักคนไปฟ้องกษัตริย์ก็ไม่แปลก... แต่หากพวกเราทั้งหมดร่วมมือร่วมใจกันแล้วล่ะก็ ข้าเชื่ออย่างแน่นอนว่าความลับจะยังคงเป็นความลับ ใครก็ตามที่จะทำให้ความลับแพร่งพรายไปก็เท่ากับเป็นเนื้อร้ายที่ต้องเร่งกำจัดอย่างเร่งด่วน ...พวกท่านไม่คิดเหมือนกับข้าหรอกหรือ ? นึกถึงเงินทองที่เราควรจะได้ในอาณาเขตของพวกเราเองแท้ ๆ ไม่ใช่มีเท่าไหร่ก็ต้องเชือดเนื้อจ่ายเป็นภาษีไปจนหมดแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้...”


มานึกถึงตอนนี้แล้วชายผอมแห้งก็ต้องยอมรับว่าภาษีมันก็ไม่ได้มากมายจนอยู่กันไม่ได้หรอก ...แต่เมื่อเทียบกับเงินที่อาจจะได้มากกว่านั้นอีกมาก ทำให้ทุกคนคล้อยตามอย่างง่ายดาย จนกระทั่งพวกเขากลายเป็นฝ่ายที่ขึ้นขี่บนหลังเสืออย่างทุกวันนี้

“แล้วท่านจะแบ่งให้พวกข้าเท่าไหร่หากพวกข้าร่วมมือกับท่านด้วย ?”

“หากจริงใจที่จะร่วมมือ ข้าก็ยินดีจะรับไว้เพียงส่วนน้อย แค่สามในสิบก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว ...แต่นั่นหมายความว่าต้องไม่มีการปกปิดบัญชีกับข้าหรอกนะ...”

“สามในสิบ ! นั่นมันมากยิ่งกว่าผู้ปกครองเกาะคนใดเคยเรียกร้องกับพวกเรามาเลยนะ !”

“แต่ก็ไม่เคยมีผู้ปกครองเกาะคนไหนที่ยินดีเจรจาเปิดช่องทางให้กับทุกคนแบบตรงไปตรงมาอย่างข้า แถมด้วยการรับประกันเรื่องความปลอดภัยอีกต่างหาก ...แค่เงื่อนไขข้อนี้ข้อเดียวก็เรียกได้ว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มแล้ว... ข้าเรียกแค่สามในสิบต้องถือว่าเห็นแก่ความร่วมมือในอนาคตของเราเป็นสำคัญแล้ว...”


หึ... ตอนนั้นใครเลยจะคาดคิดว่า สิ่งที่เรียกว่าความปลอดภัยที่เจ้านาร์ดีนเสนอให้หมายถึงการที่พวกเขาที่เคยเป็นเจ้าถิ่นต้องยอมก้มหน้ารับคำสั่งของมันในทุกกรณีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แถมต้องคอยวิ่งรับใช้มันในทุกเวลาตราบเท่าที่มันต้องการ...

...ความร่วมมือในอนาคตอย่างนั้นหรือ ? ถูกมันลากลงเหวลึกลงเรื่อย ๆ สิไม่ว่า...

บางครั้งเขาก็อยากจะหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตนเอง... บางทีพวกเขาคงจะโง่จริง ๆ อย่างที่เจ้านาร์ดีนมันคอยจิกด่าเป็นกิจวัตรถึงได้ยอมรับเงื่อนไขของมันในครั้งนั้น

ชายผอมแห้งได้แต่ย้ำกับตนเองอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามของเจ้านาร์ดีนที่ใช้มองเขา ...มันสายไปแล้วที่จะถอยหลัง ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากเดินไปข้างหน้าเท่านั้น !


*-*-*-*-*-*


เรือลำเล็กถูกกระแสน้ำพัดพาไปข้างหน้าอย่างราบรื่น แม้คลื่นจะโยนตัวสูงด้วยลมมรสุมที่เริ่มพัดในแถบนี้ของประเทศแห่งเกาะ แต่คนบนเรือยังคงสามารถนั่งอยู่ได้อย่างมั่นคงโดยไม่รู้สึกเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ

แน่นอนว่าทุกคนบนเรือไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลใด ๆ ในการเดินทางกลางมรสุมเช่นนี้ ในเมื่อสี่จากห้าคนบนเรือสามารถใช้เวทควบคุมทั้งกระแสน้ำและสายลมรอบข้างได้อย่างใจตั้งแต่แรกแล้ว

ในไม่ช้าเงาตะคุ่มของผืนดินก็ปรากฏท่ามกลางความมืดข้างหน้า ชายหาดแคบ ๆ มุมหนึ่งของเกาะเป็นจุดที่พวกเขาเลือกจะนำเรือเทียบฝั่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายของทั้งหมดลงจากเรือ แล้วจึงยอมเสียเวลาทำการกลบฝังเรือน้อยเอาไว้ใต้ผืนทรายอย่างตั้งใจ

ในดินแดนของศัตรูเช่นนี้ พวกเขาไม่ต้องการจะให้มีสิ่งใดเป็นเครื่องเตือนภัยแก่ฝ่ายตรงข้ามว่าบัดนี้ได้มีผู้บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของพวกมันแล้ว !

“สภาพรอบข้างเป็นอย่างไรบ้าง ?”

สตรีเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มถามขึ้นลอย ๆ รู้ดีเกินกว่าจะอาศัยเพียงแค่ประสาทการรับรู้ของตนเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในชนเผ่าเทพเจ้าเสือต่างก็มีประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าเธอและเกเบรียลทั้งสิ้น

เนโรสบตากับน้าและหลานชายของเขาที่ร่วมทางมาด้วยเพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบ

“ทุกอย่างยังคงสงบเงียบดี ...คิดว่าไม่มีใครจะคาดคิดว่าเราจะอาศัยมรสุมในคืนเดือนมืดลอบเข้ามาถึงที่นี่ได้... แต่หลังจากนี้ไปพวกเราต้องระวังกันให้มาก อย่าลืมเป็นอันขาดว่าชีวิตของพวกชาวเกาะชาเลแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่นับพวกเด็ก ๆ ที่เรายังไม่รู้ว่ามันจับตัวไปไว้ไหนอีกด้วย...”

ทุกคนพยักหน้ารับทราบโดยไม่ลังเล พวกเขาได้ใช้เวลาสามวันเต็ม ๆ ในการวางแผนการเดินทางในครั้งนี้ พร้อมกับอาศัยช่วงเวลานั้นเตรียมตัวให้กับเกเบรียลที่ไม่คุ้นเคยกับประเทศแห่งเกาะเท่ากับพวกเขาทั้งหมดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงเวลาค่อนข้างสั้น

มีเวลาอีกเพียงไม่เกินหนึ่งเดือน ก่อนที่ทูตจากสมาพันธรัฐจะมาถึงประเทศแห่งเกาะ นับเป็นเส้นตายที่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องหาพยานและหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพียงพอที่จะยืนยันกับทูตจากสมาพันธรัฐว่าแท้จริงแล้วเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศแห่งเกาะและสมาพันธรัฐนั้นเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคน ๆ เดียวกันทั้งสิ้น

ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีภาระหน้าที่โดยตรงที่จะต้องช่วยเหลือชาวเกาะที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะความโลภของคนเพียงคนเดียวโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งสืบหาความเชื่อมต่อระหว่างนาร์ดีนกับจอมพลวิคเตอร์ออกมาให้ได้

เวลาหนึ่งเดือนจะว่าน้อยก็ไม่ใช่ จะว่านานก็ไม่เชิง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ตามที่คาดหวังเอาไว้หรือเปล่ามากกว่า

และคืนนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาเลือกเดิน ...จากคำบอกเล่าของฮิวจ์และประสบการณ์ที่ผ่านมาบนเกาะชาเล ของเนโรคือสิ่งที่นำทางพวกเขาในวันนี้

สัมภาระที่ทุกคนพกติดตัวมีไม่มากนักเพื่อความคล่องตัวสูงสุด เงื่อนไขสำคัญในการดำเนินการบนเกาะชาเลคือการช่วยพวกชาวบ้าน ขณะเดียวกันก็ต้องทิ้งพวกคนร้ายเอาไว้สอบถามบ้างโดยที่ต้องไม่ทำให้คนบนเกาะมานาเทรู้ตัว หรือที่ยิ่งร้ายกว่านั้นคือต้องไม่ทำให้มีสิ่งใดที่จะทำให้จอมพลวิคเตอร์ได้ทราบข่าวเป็นอันขาด

จากคำบอกเล่าของฮิวจ์ก่อนที่จะออกจากลาครูซมาได้อธิบายคร่าว ๆ ถึงตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านและจุดเฝ้าระวังทั้งหลายของพวกโจรร้าย

แต่ที่ยังขาดอยู่ก็คือ พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกโจรร้ายนั้นยังคงเหลืออยู่บนเกาะทั้งสิ้นกี่คน ? และสถานที่รวมพลของพวกมันแท้จริงแล้วอยู่ที่ใดบนเกาะกันแน่ ?

อีกอย่างที่ต้องระวังไว้เป็นพิเศษคือ พวกโจรยังมีวิธีอะไรบ้างที่จะส่งข่าวออกไปจากเกาะชาเลที่เงียบสงบนี้ ? รวมไปถึงจำนวนเรือทั้งหมดและลู่ทางที่จะเดินทางออกจากเกาะของพวกมันยังมีอะไรบ้าง ?

ดังนั้นพวกเขาจึงแยกกันออกเป็นสองสาย ทางหนึ่งเลจจ์ที่เป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มและมากประสบการณ์ที่สุดอีกด้วยจะพาเกเบรียลและเอลซ่าตรงไปยังเทวาลัยของเทพเจ้าเสือเพื่อสืบข่าวคราวก่อน

ส่วนเนโรและบิสโก้ซึ่งฝากหน้าที่ผู้พิทักษ์กษัตริย์เอาไว้กับโบโรผู้เป็นหัวหน้าเผ่าชั่วคราวต้องเป็นฝ่ายตรวจสอบทางเข้าออกจากเกาะทั้งหมด รวมถึงทำลายช่องทางที่พวกโจรจะหนีออกจากเกาะนี้ได้เป็นอันดับแรก

ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องปรึกษาแผนการอะไรให้มากความอีก เพราะทุกอย่างได้ผ่านการพูดคุยมาโดยละเอียดหลายต่อหลายครั้ง ทุกคนจึงเริ่มลงมือตามหน้าที่ของตนเองอย่างรวดเร็ว

เพียงเวลาไม่นาน ชายหาดแคบ ๆ นั้นก็คงเหลือไว้แต่เพียงความว่างเปล่า ...ไม่มีร่องรอยใด ๆ ที่จะบอกได้ว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตใดผ่านบริเวณนี้มาก่อน โดยเฉพาะเมื่อเกลียวคลื่นสาดซัดขึ้นมาบนฝั่งกลบฝังรอยเท้าทั้งหมดให้เหลือเพียงแต่เม็ดทรายขาวสะอาดราบเรียบเสมอกันเท่านั้น


*-*-*-*-*-*


ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าที่ตะวันจะสาดส่องผืนน้ำอีกครั้ง เกาะชาเลที่เคยสงบเงียบยามนี้คงเหลือไว้เพียงแค่ภาพเงาของอดีตให้ได้เห็น

เงาตะคุ่มของเทวาลัยขนาดย่อมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความศรัทธาของชาวเกาะปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า ครั้งหนึ่งมันเคยสง่างามและดูทะนุบำรุงอย่างดีจากชาวบ้าน แต่ในวันนี้ที่ทางรอบข้างต่างรกเรื้อไปด้วยไม้เลื้อยจากราวป่า หลายแห่งมีร่องรอยของการต่อสู้ปรากฏให้ได้เห็นโดยรอบ

ภายในเทวาลัยเคยมีดวงไฟจากตะเกียงที่ถูกจุดเอาไว้เพื่อบูชาต่อเทพเจ้าเสือตลอดทั้งวันและคืน รวมไปถึงการเผากำยานและเครื่องหอมต่าง ๆ เป็นประจำ แต่ในเวลานี้รอบข้างมืดสนิท ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตในบริเวณรอบข้างของเทวาลัย

แต่ทั้งเลจจ์ เอลซ่าและเกเบรียลต่างคิดแตกต่างออกไป พวกเขาได้รับการยืนยันจากคำบอกเล่าของฮิวจ์ว่า แม้พวกโจรร้ายจะสั่งห้ามชาวบ้านมิให้ย่างกรายมายังเทวาลัยแห่งนี้อีกต่อไป แต่ก็ยังคงเหลือผู้เฝ้าเทวาลัยที่ขาพิการคนหนึ่งอาศัยอยู่ในที่นี่

ด้วยขาที่พิการจากอุบัติเหตุในป่า จามาลผู้เฝ้าเทวาลัยจึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องออกไปทำงานหนักและงมหาไข่มุกดำให้กับพวกโจร แต่ต้องเป็นผู้รับหน้าที่ในการจัดสร้างหีบห่อบรรจุไข่มุกดำเหล่านั้นให้เรียบร้อยงดงามตามแบบแผนเดิมของชาวเกาะชาเลซึ่งเคยส่งเป็นสินค้าออกสำคัญเมื่อกาลก่อน แล้วจึงค่อยส่งไปยังเกาะมานาเทอย่างลับ ๆ

เหตุผลข้อเดียวที่ทำให้พวกโจรไว้ชีวิตชายขาพิการที่แทบทำงานอื่นไม่ได้ เพื่อให้คนอื่น ๆ ในเกาะใช้เวลาทั้งหมดเท่าที่มีออกเสี่ยงอันตรายในทะเลเพื่อหาไข่มุกดำ โดยไม่ต้องมาเสียเวลากับงานพื้น ๆ อย่างการสร้างหีบห่ออีก ซึ่งจามาลก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานโดยไม่กล้ามีปากเสียง ในแต่ละวันเขาจะได้รับข้าวเพียงสองมื้อในตอนเช้ากับเย็นเท่านั้น ใครที่ป่วยไม่สามารถทำงานได้จะถูกลดอาหารให้เหลือเพียงแค่มื้อเดียว จนกว่าจะสามารถ ‘ทำประโยชน์’ ได้อีกครั้งหนึ่ง

แต่ไม่มีใครในพวกโจรที่จะล่วงรู้ว่า จามาลยังมีความสามารถพิเศษอีกประการหนึ่ง ...ชายขาพิการมิใช่มนุษย์ธรรมดาเฉกเช่นชาวเกาะคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ หากแต่เป็นผู้มี ‘เชื้อสาย’ คนหนึ่ง นานมาแล้วสมัยทวดของทวดของทวดของเขา สตรีชาวเทม่าได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลและคงสืบทอดสายเลือดนั้นลงมาจนถึงรุ่นของเขา แม้ว่าเลือดนั้นจะเจือจางลงไปเพียงใดก็ตาม

จามาลอาจใช้เวทไม่ได้เหมือนพวกเชื้อสายคนอื่น แต่เขามีประสาทสัมผัสที่ดีเลิศยิ่งกว่าผู้ใดในเกาะแห่งนี้ รวมไปถึงความทรงจำอันยอดเยี่ยมและมือที่คล่องแคล่วว่องไวคู่หนึ่งที่ทำให้เขากลายเป็นช่างที่มีฝีมือประณีตที่สุดเท่าที่จะหาได้ในดินแดนอันห่างไกล

หากจะมีใครสักคนบนเกาะชาเลที่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวทั้งหลายของพวกโจรได้ในระยะสองร้อยก้าว ก็มีแต่เพียงจามาลเท่านั้น !

ทั้งเลจจ์และเอลซ่าต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หากแม้นพวกเขาต้องการที่จะจำแนกระหว่างพวกโจรกับชาวบ้านให้ได้โดยละเอียด ก็จำเป็นที่จะต้องสอบถามเอากับชาวบ้านที่เขาแน่ใจได้ว่าไม่ใช่คนของศัตรู ดังนั้นจามาลจึงเป็นตัวเลือกแรกที่พวกเขาต้องการติดต่อด้วย เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักใบหน้าของอีกฝ่าย แต่การที่เขาเป็นชายขาพิการและยังมีเชื้อสายชาวเทม่าแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็ย่อมทำให้ง่ายต่อการจำแนกแยกแยะเป็นอย่างดี

เกเบรียลเองก็ไม่มีความเห็นคัดค้าน ชายหนุ่มรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ที่จำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อแยกแยะมิตรและศัตรู ตัวเขาเองจะมีประโยชน์แค่เพียงน้อยนิด เพราะผู้ที่ถือกุญแจดอกสำคัญไปสู่ความสำเร็จคือเลจจ์ผู้เป็นอาของเนโรต่างหาก

แต่นั่นก็มิได้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าหรือไม่เท่าเทียมผู้อื่นแต่อย่างไร ในเมื่อเขากำหนดหน้าที่ที่สำคัญที่สุดให้ตนเองตั้งแต่ครั้งแรกที่อาสาขอร่วมทางมาประเทศแห่งเกาะนี้แล้ว

เดอวินด์หนุ่มมิได้มาเพราะความสนใจอยากรู้ความจริงในประเทศแห่งเกาะ หรือเพราะสำนึกในหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันสงครามระหว่างประเทศแห่งเกาะและสมาพันธรัฐเท่านั้น หากแต่เขาต้องการที่จะได้อยู่ใกล้ชิด และคอยปกป้องเอลซ่าต่างหาก

ภาพของคารานิสต์สาวที่มีใบหน้าซีดขาวและอ่อนแรงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะได้เห็นอีกหากเป็นไปได้ ...ความอ่อนแอของเอลซ่าบอกให้เขาได้รู้ตัวว่าแม้จะเก่งกล้าสามารถเพียงใด แต่เธอก็ยังคงเพียงหญิงสาวที่ต้องการการปกป้องคุ้มครองเช่นเดียวกับสตรีอื่น

ดังนั้นเองเมื่อเงาร่างของคน ๆ หนึ่งปรากฏในความมืดของเทวาลัยที่รกร้าง เกเบรียลจึงเคลื่อนกายขวางอยู่หน้าเอลซ่าในทันที ดาบในมือถูกยกขึ้นป้องอยู่เหนืออกอย่างระมัดระวัง

ฝ่ายเลจจ์และเอลซ่าเองก็แตะไปที่อาวุธของตนเช่นกัน แต่สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่าผู้มาไม่มีเจตนาทำอันตรายต่อพวกเขา มีดสั้นในมือของเอลซ่าจึงยั้งไว้เพียงแค่หยิบออกมาซ่อนไว้ในมือข้างหนึ่งเท่านั้น

“พวกท่านไม่ใช่พวกมัน ...พวกท่านเป็นใครกัน ?”

วาจาไม่มีหัวไม่มีหาง แต่ก็คาดเดาได้ไม่ยากหากรู้ถึงเบื้องหลังของสถานการณ์บนเกาะนี้มาบ้าง เลจจ์จึงก้าวออกไปข้างหน้าพลางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“พวกข้ามาตามคำขอของฮิวจ์ ...ท่านใช่จามาลหรือไม่ ?”

แม้จะอยู่ในเงามืด แต่เมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนไหวก็สังเกตออกได้ไม่ยากว่าในมือของอีกฝ่ายยังมีไม้เท้าคอยช่วยประคองร่างเอาไว้ น้ำเสียงที่ถูกลดลงจนแผ่วเบามีแววตื่นเต้นยินดี

“พวกท่านมาจากฮิวจ์อย่างนั้นหรือ ? พวกนั้นยังไม่ตายอีกหรือนี่ ?”

เกเบรียลลดดาบในมือลงช้า ๆ แต่ก็มิได้เก็บอาวุธเข้าฝัก ส่งเสียงตอบแผ่วเบาแต่หนักแน่น

“ฮิวจ์ปลอดภัยดี แต่คนอื่น ๆ ถูกจับกุมตัวอยู่ในมือของจอมพลวิคเตอร์ ตอนนี้สหายของข้ากำลังพยายามหาทางช่วยพวกเขาออกมา ...ส่วนพวกข้าทราบเรื่องจากเขาจึงได้รู้ว่าจอมพลวิคเตอร์ส่งคนมาไกลถึงที่นี่เพื่อไข่มุกดำ จึงได้อาสามายังที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกท่านอีกทางหนึ่ง...”

แม้จะมีความหวังบังเกิดขึ้น แต่จามาลก็ยังคงหวาดระแวง

“ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าพวกท่านจะมาช่วยพวกเราจริง ๆ ? หากแม้นที่ท่านมาก็เพื่อหวังไข่มุกดำแล้วล่ะก็ ไปถามเอากับเจ้านาร์ดีนที่เกาะมานาเทเถิด ...ที่เกาะนี้ไม่เหลืออะไรที่มีค่าให้ท่านอีกแล้ว...”

เกเบรียลส่ายหน้าด้วยความเห็นใจ

“พวกข้าไม่ต้องการของมีค่าใด ๆ จากพวกท่าน เพียงต้องการทราบความจริงของเรื่องทั้งหมด และต้องการที่จะช่วยพวกท่านตามที่ได้ให้คำสัตย์แก่ฮิวจ์เอาไว้เท่านั้น...”

น้ำเสียงจริงใจของเกเบรียลทำให้อีกฝ่ายสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง จามาลเพ่งมองคนทั้งสามอยู่นาน ก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงทั้งแววปิติและเจ็บช้ำรันทด

“ข้าขอบคุณพวกท่านที่ต้องการให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ...แต่พวกมันมีกันถึงสามสิบกว่าคน ทั้งยังมีฝีมือเก่งกาจนัก พวกท่านเพียงแค่นี้หากฝืนลงมือก็คงเหมือนเอาไข่ไปกระแทกหิน มีแต่จะเพลี่ยงพล้ำเสียเปล่า ...อีกอย่างหากแม้นเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันสักคนหนึ่ง ข่าวก็จะถูกส่งออกไปทันที... ข้าไม่อาจทนเห็นพวกเด็ก ๆ ต้องมาประสบเคราะห์กรรมได้อีกแล้ว...”

เอลซ่าและเลจจ์สบตากันด้วยความเศร้าใจ คำพูดนั้นบอกชัดว่าอย่างน้อยต้องมีเด็กหนึ่งคนที่พวกเขาต้องสูญเสียไปก่อนหน้านี้แล้ว

อาแท้ ๆ ของเนโรก้าวเข้าใกล้จามาลกว่าเดิม ด้วยดวงตาที่สามารถมองในที่มืดได้กระจ่างไม่ผิดไปจากกลางวันของทายาทเทพเจ้าเสือทำให้เขามองเห็นริ้วรอยแห่งความปวดร้าวและทุกข์ระทมของอีกฝ่ายได้ชัดตา ...ไม่เป็นที่คลางแคลงถึงฐานะของคนตรงหน้าอีกแล้ว

“ข้าเข้าใจว่าพวกท่านประสบเคราะห์กรรมจึงรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ...แต่พวกเรามากันครั้งนี้ยังมีพวกพ้องอีกหลายคนที่แน่ใจว่าสามารถรับมือกับพวกมันทั้งสามสิบคนได้แน่ ...เพียงแต่พวกเราจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากท่านเพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นหลายอย่าง ก่อนที่เราจะลงมืออะไรลงไป เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายกับเด็ก ๆ ที่เป็นตัวประกันเหล่านั้น...”

จามาลลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าตัดใจ ...อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็เป็นความหวังที่พวกเขารอคอย แม้มันจะริบหรี่เพียงใดก็ยังคงเป็นความหวังอยู่ดี...

“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านตามข้ามาข้างในก่อน ...เราคงมีเรื่องต้องคุยกันไม่น้อย...”

พวกเอลซ่าสบตากันอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าตามชายขาพิการที่อาศัยไม้เท้าค้ำตนเองเดินกระผโลกกระเผลกเข้าไปทางด้านในด้วยความระมัดระวัง




 

Create Date : 22 มกราคม 2551
2 comments
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2551 22:31:51 น.
Counter : 980 Pageviews.

 

 

โดย: รินบุญญา 9 กันยายน 2555 18:11:27 น.  

 

มีแค่ตอนที่ยี่สิบเองอ่ะ เดวนี้หาซื้อหนังสือไม่ได้แล้ว ทำไมไม่แต่งต่อตรงนี้จนจบล่ะค่ะ อยากอ่านมากมายค่ะ ได้โปรดเถิด

 

โดย: Sokenyo Chi-el IP: 58.181.200.89 23 พฤษภาคม 2556 15:45:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


noOne
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แก้ไขระบบคอมพิวเตอร์เป็นงานหลัก
เขียนนิยายเป็นงานอดิเรกค่า
ชอบเล่นเกมส์ และอ่านหนังสือ
ว่าง ๆ ใครชอบไฟนอลแฟนตาซีแวะมาคุยกันได้ค่า
Friends' blogs
[Add noOne's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.