The world around us: My perspective
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
20 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
ทิ้งไปก็เสียดาย - plot ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีแอ็คชั่นและตลก - งานเขียนมันส์ๆ ของผมเอง

ช่วงที่ผ่านมามีการประกวด plot ภาพยนตร์ 2 รายการ งานแรกเป็น Thailand Script Project เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา และงานสองเป็นของโก๋ฟิล์ม ... ด้วยความที่ผมอยากเห็นหนังแฟนตาซีแบบไทยๆ เชิง Indiana Jones กับสมบัติโบราณของไทยมานานเหลือเกิน ผมก็เลยคิดพล็อตขึ้นมาเอง เอามันส์เข้าว่า แถมได้เล่นกับวัตถุโบราณทั้งในวรรณคดีและในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก

แม้ว่าผมจะพลาดรางวัลจากการประกวดทั้งสองรายการ แต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกรักเจ้าพล็อตหนังอันนี้น้อยลงไปแม้แต่น้อย มันอาจไม่ดีพอในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผมแล้วมันคือก้าวแรกแห่งความฝันของผม ผมสนุกไปกับการนึกไอเดีย สนุกไปกับการเขียน และก็หวังว่า ใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาอ่านตรงนี้ ก็น่าจะสนุกไปกับการผจญภัยของเจิดและแมนในพล็อตอันนี้ด้วย ... เชิญอ่านกันเลยครับ

---------------------------------เริ่มเรื่อง----------------------------------

ตำรวจกำลังไล่ตามผู้ร้ายคนหนึ่ง ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบคดีต้องหา รู้แต่เพียงว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนให้จับกุมพร้อม “ยึดของกลาง” ให้ได้ ตำรวจไม่ทราบรูปพรรณสัณฐานของผู้ร้ายแน่ชัด แต่ของกลางนั้นเป็นปี่โบราณอันหนึ่ง ผู้ร้ายเปลี่ยนพาหนะในการหลบหนีหลายต่อหลายครั้ง ทั้งเครื่องร่อน รถตู้ มอเตอร์ไซค์ และสุดท้ายกระโดดร่มลงแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีเรือหางยาวรอรับอยู่ แม้จะดูเหมือนว่าเขาหลบหนีได้สำเร็จ แต่ในขณะที่เรือเข้าเทียบฝั่ง พวกเขากลับพบชายหนุ่มชื่อว่า “แมน” มานอนรอพวกเขาอยู่นานแล้ว การต่อสู้เกิดขึ้นและจบลงในเวลาไม่นาน แมนใช้เพียงมวยไทยก็สามารถสยบผู้ร้ายสองคนได้อย่างง่ายดาย แม้ผู้ร้ายทั้งสองคนจะหนีไปได้ แต่แมนก็ได้ปี่โบราณมาไว้ในครอบครอง

ต่อมาไม่นานนัก แมนนำตำรวจกลุ่มหนึ่งเข้าบุกสำนักเจ้าพ่อแห่งหนึ่งที่มี “เจิด” เป็นคนทรงเจ้า ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายของเจิดร่วมแรงร่วมใจกันขัดขวางตำรวจเต็มที่ พร้อมทั้งยืนยันว่าเจิดไม่ใช่พวกต้มตุ๋นเนื่องจากพวกเขาต่างเคยถูกหวยเพราะเจิดกันมาแล้ว นอกจากนั้นชาวบ้านละแวกนั้นยังให้ความช่วยเหลือกับเจิดจนตำรวจหัวปั่นและทำให้เจิดหนีออกมาจากชุมชนนั้นได้อย่างหวุดหวิด เมื่อไม่เห็นมีใครตามมาแน่นอนแล้ว เจิดก็ก้าวขึ้นรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้าน พอเขานั่งลงข้างๆ ชายคนหนึ่งบนรถเมล์ ชายคนนั้นกลับเป็นแมน เจิดตกใจมากแต่ยังพูดเสียงแข็งว่าเขาไม่ได้หลอกลวง แมนตอบกลับว่า แม้เขาจะรู้ว่าเจิดไม่ใช่คนทรงเจ้าอย่างแน่นอน แต่เจิดก็ไม่ใช่คนหลอกลวงเช่นกัน แต่ที่เขามาหาเจิดครั้งนี้ก็เพราะว่าเขารู้เรื่องพลังพิเศษของเจิด และ “อยากได้เจิดมาร่วมทีม” -- เหอๆๆ อะไรกันฟะ เอ็งจะตั้งทีมฟุตบอลรวมเจ้าพ่อหรือยังไง เจิดคิด!!!

แมนอธิบายว่า เขาเป็นตำรวจพิเศษในหน่วยงานลับของประเทศไทย (ชื่อว่า TUT – Thailand Undercover Team – หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ตุ๊ด” ซึ่งแมนพยายามบอกให้หัวหน้าเปลี่ยนชื่อหน่วยมานานแล้ว “แม่ม กูชื่อแมนแต่กลับอยู่หน่วยตุ๊ดเนี่ยนะ”) หน่วยงานนี้มีหน้าที่สืบเสาะค้นหาวัตถุโบราณแบบพิเศษที่เป็นทรัพย์สินของประเทศไทย เพื่อไม่ให้บุคคลกลุ่มอื่นนำวัตถุนี้ไปใช้ในทางที่ไม่ดีได้ เมื่อถูกเจิดถามว่าวัตถุโบราณจะถูกใช้ในทางที่ไม่ดีได้อย่างไรกัน แมนจึงอธิบายต่อว่า วัตถุบางอย่างที่เราเคยได้ยินแต่ชื่อเสียงนั้นมีอยู่จริง และวัตถุบางอย่างมีพลังอำนาจพิเศษอยู่ด้วย ทางหน่วยตุ๊ดจึงต้องป้องกันไม่ให้ของไปอยู่ในมือคนชั่ว และในงานที่ผ่านมานี่เองที่เขาพึ่งนำวัตถุโบราณชิ้นล่าสุดมาให้ทางหน่วยงานเก็บไว้ ซึ่งเขาเรียกวัตถุชิ้นนั้นว่า “ปี่พระอภัยมณี”

เจิดสนใจในงาน พร้อมทั้งอยากรู้อยากเห็นถึงอำนาจลึกลับของปี่พระอภัยมณี แถมสงสัยว่าแมนรู้สถานที่ๆ จะมานั่งรอจับเขาได้อย่างไร เขาจึงตามแมนกลับไปที่ศูนย์ตุ๊ด และที่นี่เองเขาได้รู้จักกับสมาชิกในทีมงานที่เหลือ พร้อมกับคำเฉลยปริศนาทั้งหลายที่ค้างคาใจเขาอยู่ ซึ่งสมาชิกในศูนย์ตุ๊ดนั้นประกอบไปด้วย

1. อ้าย (หรือ The Eye) ชายชราผู้มีพลังจิตแห่งการรู้แจ้งในอนาคต พลังของอ้ายนี่เองที่ช่วยให้แมนสามารถไปรอเจิดที่รถเมล์ก่อนที่เจิดจะขึ้นเสียอีก (หรือไปรอผู้ร้ายที่ฝั่งแม่น้ำในกรณีของปี่พระอภัยมณีนั่นเอง) อย่างไรก็ตาม แม้อ้ายจะสามารถเห็นภาพในอนาคตได้ละเอียดชัดเจน แต่เขาจะสามารถเห็นได้เพียงวันละเรื่อง และเห็นได้เฉพาะในฝันเท่านั้น ดังนั้นเอง ก่อนนอนอ้ายจึงต้องนึกถึงแต่เรื่องที่ต้องการจะทราบ เพื่อจะได้บังคับตัวเองให้ฝันถึงเรื่องนั้นๆ ซึ่งอีกหน้าที่หนึ่งของแมนก็คือการออกไปทำงานข้างนอกเพื่อรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่มาให้อ้ายใช้สำหรับความฝัน

2. โน้ส (หรือ The Nose) ชายหนุ่มผู้มีความสามารถในการดมกลิ่นการโกหกได้จากสื่อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำพูด ภาพ วิดีโอ หรือบทความ ซึ่งหมายความว่า ทุกครั้งที่โน้สได้ยินคนพูด หรือดูข่าว หรืออ่านบทความ เขาจะรู้ทันทีว่าคนที่สื่อสารอยู่นั้นโกหกหรือไม่ และสื่อนั้นจะเป็นสื่อสดหรือสื่อแห้งก็ได้ นั่นคือ เขาสามารถนั่งฟังเทปและระบุได้ว่าคำพูดนั้นจริงหรือเท็จ แต่ข้อจำกัดของความสามารถของเขาก็คือ ถ้าคนที่เราต้องการให้บอกความจริงกลับไม่ยอมพูด ไม่ยอมสื่อสารก่อน โน้สก็จะไม่มีทางรู้เรื่องอะไรได้เลย – นอกจากนี้แล้ว การค้นหา “ปี่พระอภัยมณี” นั้นก็เกิดจากการที่โน้สบังเอิญไปเปิดอ่านวรรณคดีชิ้นเอกของสุนทรภู่ เลยได้ทราบว่านี่เป็นเรื่องจริง การค้นหาจึงได้เริ่มขึ้นนั่นเอง

3. หัวหน้า (The Leader) บุคคลลึกลับที่คอยสั่งการผ่านจอทีวี สมาชิกในทีมเชื่อกันว่าเขาเป็นอดีตนักการเมืองที่ชอบซีรี่ส์ Charlie Angel เอามากๆ (แต่แมนแอบนินทาลับหลังว่า นางฟ้าชาร์ลีอะไรกันฟะ ในทีมดันมีแต่สมาชิกผู้ชายทั้งนั้น)
ในอดีตนั้น เพียงข้อมูลจากโน้สและอ้ายก็เพียงพอให้แมนออกไปทำงานเพียงลำพัง แต่หลังจากที่อ้ายแก่ตัวลง เขาก็นอนน้อยลงและแทบไม่ฝันเลย (หรือไม่ก็ฝันเปียกเป็นส่วนใหญ่) ซึ่งเจิดนั้นเป็น “ความฝันสุดท้าย” ของอ้ายที่จะหาคนมาทดแทนอ้ายนั่นเอง เนื่องจากเจิดมีพลังเห็นอนาคตเหมือนกับอ้าย (ซึ่งเจิดเอาไปใช้ใบ้หวยจนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย) แต่เจิดแตกต่างกับอ้ายตรงที่ เจิดไม่จำเป็นต้องฝันก็สามารถเห็นอนาคตได้ สามารถบังคับได้ด้วยว่าจะใช้ความสามารถนี้เมื่อไหร่ และยังสามารถระบุเนื้อหาของสิ่งที่ตนเองจะเห็นได้ แถมเมื่อเห็นอนาคตไปครั้งหนึ่งแล้ว กว่าเจิดจะใช้พลังพิเศษนี้ได้อีกก็ต้องรออีกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ดังนั้นการที่จะใช้พลังของเจิดนั้นจำเป็นต้องเลือกหัวข้อที่จะดูให้ดี และต้องใช้ในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าต้องการให้ผลลัพธ์ในการทำงานออกมาให้ดีที่สุด การทำงานค้นหาวัตถุโบราณชิ้นต่อไปนั้น เจิดจึงควรออกไปทำงานข้างนอกร่วมกับแมนด้วย

เจิดไม่แน่ใจว่าตัวเองจะออกไปทำงานเป็นสายลับได้ไหม เขาไม่ใช่คนเก่งด้านศิลปะการต่อสู้เหมือนกับแมน ชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นก็อาศัยความสามารถพิเศษบวกกับสติปัญญาผสมสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเท่านั้น การจะให้ไปเสี่ยงอันตรายแบบ 007 ก็ดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่หยอก ที่สำคัญคือเจิดมั่นใจว่าตนเองกำลังโดนหลอกหรือโดนอำในเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นเอง เพื่อเป็นพิสูจน์ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง หัวหน้าจึงบอกให้แมนพาเจิดไปเปิดเซฟลับเพื่อนำปี่พระอภัยมณีออกมาแสดงพลังอำนาจให้เจิดเห็น... แต่ทว่า…หลังจากที่แมนเปิดเซฟและนำปี่พระอภัยมณีมาถือไว้ ไฟฟ้าก็ดับทั้งศูนย์ เจิดได้ยินแต่เสียงต่อสู้กันเพียงสั้นๆ ไม่ถึง 3-4 นาที เมื่อไฟเปิดอีกครั้ง เขาก็ต้องตกใจที่เห็นว่า แมนผู้ชำนาญในการต่อสู้ที่สุดของศูนย์กลับถูกผู้บุกรุกในความมืดจับมัดไว้อย่างง่ายดาย พร้อมกับปี่พระอภัยมณีที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยให้ติดตาม ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจว่าปี่หายไปได้อย่างไร ลำโพงในศูนย์ทุกตัวก็ส่งเสียงกังวานของปี่ให้ทุกคนได้ยิน … และพวกเขาทั้งหมดต่างก็ผล็อยหลับกันไปทีละคน...ทีละคน

5 วันผ่านไป ....เจิดตื่นขึ้นมาพบเห็นทุกคนยืนรายล้อมอยู่รอบเตียง เขาตกใจเมื่อพบว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่ตื่นจากอำนาจมนต์สะกดของปี่ ในขณะที่ทุกคนต่างตื่นขึ้นมาในระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมงไล่เลี่ยกันหลังจากที่ฟังเสียงปี่ เจิดกลับตื่นทีหลังทุกคนเป็นเวลาถึง 4 วัน เจิดยิ่งตกใจหนักยิ่งขึ้นเมื่อแมนบอกให้เจิดทราบว่า ผู้ก่อเหตุการณ์ครั้งนั้นยังขโมยวัตถุโบราณอีกชิ้นหนึ่งไปด้วย ซึ่งก็คือ "พระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง" ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้ยิงในระยะไกลมากได้อย่างแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งทางหน่วยข่าวกรองเกรงว่านี่คืออาวุธที่จะถูกใช้ในการลอบสังหารผู้นำประเทศต่างๆ ที่จะมาประชุมอาเซียนที่กรุงเทพในเดือนหน้า

เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ปี่พระอภัยมณีต้องหายไป เจิดจึงตกลงเข้าร่วมทีมตุ๊ดในทันที หัวหน้าจึงบอกให้เจิดไปใช้บริการของหน่วยงานของตุ๊ดที่สร้างอุปกรณ์ไฮเทคให้สายลับนำไปใช้ พร้อมกับบอกเจิดว่า ในช่วง 4-5 วันที่เจิดหลับไปนั้น โน้สได้ตามอ่านหนังสือพวกอิทฤทธิ์ มหัศจรรย์ ใบ้หวย ฯลฯ เยอะแยะมากมายเพื่อที่จะตามหาเบาะแสของพระแสงปืน (ส่งผลข้างเคียงให้แมนได้เลขเด็ดมาหลายตัวอยู่ แถมได้รู้จักเจ้าพ่อเจ้าแม่เจ๋งๆ อีกหลายองค์) ซึ่งแมนพยายามเข้าไปสืบมาแล้วแต่ไม่สามารถหาตำแหน่งของเบาะแสได้ชัดเจนเสียที เมื่อได้ฟังว่าจังหวัดที่แมนเข้าไปสืบนั้นคืออุตรดิตถ์ เจิดก็บอกสมมุติฐานของตนให้กับแมนฟังว่า ที่แมนหาไม่เจอ ไม่ใช่เพราะมันไม่ได้อยู่แถวนั้น แต่มันอาจมีบางอย่างทำให้แมนมองไม่เห็นต่างหาก “เมืองลับแลไง” เจิดกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง ปฏิบัติการร่วมกันครั้งแรกของเจิดและแมนก็คือ “บุกเมืองลับแล”

พลังพิเศษของโน้สช่วยให้เจิดกับแมนเข้ามาในเมืองแม่ม่ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทั้งสองหลุดเข้ามาท่ามกลางปะรำพิธีบูชายัญประจำปีของเมืองลับแลพอดี แมนบอกกับเจ้าแม่เมืองลับแลว่าเขาจะไม่ทำร้ายผู้หญิงทั้งหลาย แต่พวกหล่อนควรบอกที่ซ่อนของพระแสงปืนพร้อมกับมอบตัวคนร้ายมาให้เขาเสียดีๆ แต่เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ แมนก็โดนเจ้าแม่เมืองลับแลต่อยเข้าเต็มหน้า แถมด้วยเตะซ้ำที่ชายโครงสี่ครั้งรวด และแมนก็ม่อยกระรอกอยู่ตรงนั้นด้วยฝีมือเจ้าแม่ลับแลคนงามนั่นเอง

แมนฟื้นขึ้นมาและพบว่าเขากับเจิดกำลังจะถูกบูชายัญด้วยไฟ ด้วยความที่พวกเขาเป็นชายที่มากันสองต่อสอง แถมยังมีชื่อหน่วยงานว่าตุ๊ด ทำให้เหล่าแม่ม่ายตั้งใจจะใช้พวกเขาเป็นตัวแทนในการทำพิธีบูชายัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แม้ว่าพวกเขาจะถูกแยกขัง แต่เจิดกับแมนก็สามารถคุยกันได้ผ่านวิทยุสื่อสารขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในซอกเล็บของพวกเขา ปัญหาก็คือ วิทยุมีขนาดจิ๋วเสียจนไม่มีพลังงานพอที่จะขับเสียงลำโพงให้ดัง ทำให้เจิดกับแมนต้องคอยเอานิ้วแยงหูตัวเองให้ฟังเสียงจากวิทยุได้ชัด และในเวลาที่จะคุยกัน ทั้งสองก็ต้องเอานิ้วเดียวกันนั้นจิ้มปากตัวเองเพื่อที่จะพูด (จะได้ไม่มีเสียงดังจนทำให้คนอื่นเอะใจ) ซึ่งนั่นก็ทำให้เหล่าแม่ม่ายขยะแขยงทั้งสองเพิ่มขึ้นไปอีก

แมนบอกให้เจิดใช้ระเบิดเหลวที่อยู่ในเจลใส่ผมของเจิดเอง ใช่แล้ว อยู่ที่ผมเยิ้มๆ ของเจิดนั่นแหละ ซึ่งระเบิดนี้จะทำงานต่อเมื่อผสมกับน้ำ เจิดบ่นอุบอิบกับแมนว่าทางหน่วยตุ๊ดแอบทำอะไรกับเจลของเขาโดยไม่ยอมบอกเขาก่อนเลย “ถ้าฝนตกขึ้นมา อั๊วจะทำยังไงวะ” จากนั้นเจิดก็ใช้ฝ่ามือป้ายเอาเจลออกมาจากเส้นผม แปะมือไปที่ซี่กรง และถุยน้ำลายใส่ จนเขาทำลายกรงออกมาได้ แต่เมื่อหลุดออกมาแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าแม่ม่ายทั้งหลาย เจิดพยายามกระเสือกกระสนฝ่าวงล้อมของแม่ม่ายไปจนถึงกรงขังของแมน แต่กลับโดนล็อคตัวไว้ก่อนที่เขาจะสามารถเอื้อมมือไปแตะซี่กรงได้ …. “ถุย” เสียงดังก้องออกมาจากปากของแมน แน่นอนว่ามันออกมาพร้อมน้ำลาย แม่ม่ายที่เคยโดนมือของเจิดป้ายและโดนละอองน้ำลายของแมนต่างก็ถูกระเบิดร่างกระจุยกันไปตามๆ กัน เจิดร้องตกใจเสียงหลง พร้อมถามแมนว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงกล้าทำร้ายผู้หญิงขึ้นมา … แม้แมนจะหลุดออกมาจากกรงได้ แต่ทั้งสองก็โดนกระชับวงล้อมเข้ามาโดยเหล่าแม่ม่าย ทีละนิดๆ

“เมื่อกี้ก่อนเราจะคุยกัน ข้าได้วิทยุกลับไปขอกำลังหนุนที่หน่วยตุ๊ด” แมนตอบ
“แล้วไงพี่” เจิดถาม
“ก็ตอนที่ข้ากำลังเอารายงานสถานการณ์อยู่ นังแม่ม่ายคนหนึ่งก็มาดึงนิ้วข้าออกจากปากแล้วเอาไปดูดเอาๆ… จากนั้นก็พึมพำๆ บอกว่า สาวๆ ที่นี่เสียดายหนุ่มล่ำๆ อย่างข้า”
“แล้วประเด็นอยู่ไหนเนี่ยพี่”
“ไอ้โน้สคงพึ่งได้ฟังเทปเสียง มันถึงได้วิทยุมาบอกข้าเมื่อกี้เองว่า ยัยแม่ม่ายมันโกหก”
“หืม... ตกลงคือมันไม่เสียดายพี่งั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ว่ะ ที่มันโกหกน่ะคือเรื่องที่พวกมันเป็นสาวต่างหาก”
“เฮ้ย”
“เออ พวกแม่งทั้งหมดนี้เป็นกระเทยแปลงเพศทุกตัวเลยว่ะ”
“อ้ากกกกกกกกกกก”

จากนั้นเจิดและแมนต่างก็ช่วยกันต่อสู้เพื่อฝ่าวงล้อมเหล่ากระเทยแปลงเพศออกมา โดยแมนจะตั้งใจออกแม่ไม้มวยไทยมากเป็นพิเศษเมื่อมารู้ความจริงเรื่องเพศของเหล่าแม่ม่าย ส่วนเจิดก็เน้นการป้ายๆ ถุยๆ ไปเรื่อยๆ แต่ก่อนที่สองคนจะหลุดออกมาจากวงล้อมนั้น แมนกลับสังเกตเห็นผู้ร้ายสองคนที่เขาเคยต่อสู้ด้วยเมื่อครั้งแย่งชิงปี่พระอภัย เขาจึงตกลงที่จะตามผู้ร้ายสองคนนั้นไปเผื่อที่จะสามารถเชื่อมโยงไปถึงพระแสงปืนที่ถูกขโมยไปได้ ส่วนเจิดนั้นทำวิทยุขนาดจิ๋วในเล็บหลุดหายไป ซึ่งคาดว่าน่าจะติดไปกับเจลที่ถูกป้ายกับแม่ม่ายคนใดคนหนึ่ง แมนจึงยกวิทยุของตนเองให้เจิดไว้ใช้ เผื่อที่จะได้ใช้ดักฟังวิทยุที่ติดไปกับแม่ม่ายคนนั้น (นึกภาพคนสองคนเอานิ้วที่ติดขี้หูกับเปื้อนน้ำลายของอีกฝ่ายมาป้ายกันเอาเองก็แล้วกัน)

แมนติดตามผู้ร้ายทั้งสองมาถึงบ้านแห่งหนึ่ง และได้เข้าต่อสู้กับผู้ร้ายทั้งสองคนนั้น ผู้ร้ายทั้งสองฝีมือดีมากจนทำให้แมนต้องคอยตั้งรับอย่างเดียว ขณะที่ต่อสู้กัน แมนก็ถามด้วยความสงสัยว่าทำไมผู้ร้ายทั้งสองถึงต้องแกล้งทำเป็นฝีมือห่วยในตอนที่สู้กับแมนครั้งแรก แล้วพลันฉุกคิดได้ว่าคงเป็นเพราะผู้ร้ายทั้งสองต้องการให้แมนเอาปี่พระอภัยมณีเข้าไปยังหน่วยงาน เพื่อที่จะให้ใส้ศึกข้างในใช้ปี่กล่อมให้ทุกคนหลับแล้วขโมยพระแสงปืนมาอีกที ด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน แมนจึงมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาและพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นต่อจนได้ แต่ในขณะที่แมนกำลังใกล้จะเผด็จศึกผู้ร้ายทั้งสองได้ เจ้าแม่เมืองลับแลก็กระโดดเข้ามาในบ้านจากทางหน้าต่างและเข้ารุมต่อสู้กับแมนด้วย สถานการณ์ของแมนจึงกลับมาคับขันอีกครั้ง การต่อสู้สามรุมหนึ่งดำเนินไปอย่างถึงพริกถึงขิง แม้ว่าแมนจะเสียเปรียบอยู่มาก แต่เขาก็อาศัยหลบหลีกตามซอกมุมของบ้านและพาตัวเองออกจากสถานการณ์คับขันได้อยู่เสมอๆ เจ้าแม่รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถกำจัดแมนได้เสียที จึงเพิ่มพลังเข้าไปในหมัดและลูกเตะของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แรงอันมหาศาลของเจ้าแม่ส่งผลให้สิ่งของภายในบ้านถูกทำลายเละเทะ รวมถึงเสาบ้านหลายต้นก็ถูกลูกเตะเจ้าแม่ฟาดขาดเป็นท่อนๆ ไม่มีชิ้นดี

บ้านที่ถูกเตะทำลายเริ่มโงนเงน เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสี่คนที่ต่อสู้กันอยู่ต่างถอยห่างออกจากกัน เนื่องจากทุกคนต่างรู้ว่าบ้านกำลังจะถล่ม และรู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถวิ่งออกจากบ้านได้ทันแน่ เสาต้นอื่นๆ เริ่มทยอยกันล้ม หลังคาเริ่มยุบกันเป็นส่วนๆ เศษสิ่งของกระเด็นฟุ้ง... ท่ามกลางอันตรายที่คืบคลานเข้ามาอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แมนกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด สายตาที่จ้องออกไปข้างหน้า มองเห็นบ้านเริ่มยุบใกล้มาหาตัวเขาเป็นภาพสโลว์โมชั่น ภาพฝุ่นทรายปลิวคุ้งไปทั่ว จนกลายเป็นม่านทรายบางๆ กั้นแสงแดดจากหน้าต่าง ... หน้าต่างที่มีเงาจางๆ เคลื่อนใกล้เข้ามาทีละน้อยๆ ... หืม เงาคนนี่นา … แมนเพ่งสายตาไปที่หน้าต่างในทันที และมองเห็นหน้าคุ้นเคยของเจิดผ่านเศษกระจกของหน้าต่างบานนั้น ปากของเจิดอ้ากว้างพร้อมขยับไปมา แต่สำหรับแมนแล้ว ทุกอย่างกลับดูเงียบสงบ เวลาเหมือนว่าจะหยุดนิ่ง ปากของเจิดขยับขึ้นๆ ลงๆ วนไปวนมา เอ มันกำลังพูดอะไรนะ แมนคำนึงด้วยความสงสัย … ทรายเม็ดหนึ่งลอยเข้ามากระทบตาของแมน ความเจ็บจี๊ดๆ แล่นขึ้นมาในหัว ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น และเสียงของเจิดก็ดังก้องแทรกเสียงทุกอย่างเข้ามาในโสตประสาทของแมน … “ถอยหลังไปสามก้าวววววววว!!!”

ไม่มีความคิดอื่นใดแล่นเข้ามาในหัวแมน นอกจากกระทำตามสิ่งที่เจิดบอกในขณะนั้น ขายาวๆ ของแมนก้าวย้อนหลังแทบจะทันทีที่เขาได้ยินเสียงของเจิด ... 1 2 3 … โครมมม!!! เสียงอึงคะนึงรายล้อมรอบตัวแมนในขณะที่ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาโดนบ้านถล่มลงมาทับ ผงธุลีฟุ้งกระจายแทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศที่แมนหายใจจนเขาเจ็บที่หน้าอก แต่ที่นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขากลับไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิดเดียว บ้านถล่มลงมาทับทุกอย่างในอาณาบริเวณนี้ ยกเว้นเพียงจุดที่แมนยืนอยู่เพียงจุดเดียว … นี่คือพลังพิเศษของเจิด เขาใช้การมองเห็นอนาคตเพื่อมองหาจุดปลอดภัยจากบ้านถล่มและช่วยชีวิตแมนเอาไว้ได้

เจิดยิ้มเผล่และเดินตรงเข้ามาหาแมน เขาบอกแมนว่า เขาแอบฟังจากวิทยุจิ๋วจนทราบว่าแมนกำลังต่อสู้กับเจ้าแม่อยู่ เนื่องจากวิทยุจิ๋วของเขานั้นติดมากับตัวเจ้าแม่นั่นเอง และนั่นทำให้เขาตามมาช่วยเหลือแมนได้ทันเวลาพอดี จากนั้นเขาจึงบอกแมนอีกว่ากำลังเสริมของหน่วยตุ๊ดได้มาถึงแล้วพร้อมกับชี้ไปยังอ้ายที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก และเล่าว่าเป็นอ้ายนี่แหละที่แนะนำให้เจิดช่วยแมนเมื่อกี้นี้ แมนหันไปมองอ้าย ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดออกไปว่า

“ทำไมถึงทำอย่างนี้”
…???...
“ทำไมแกถึงทรยศต่อหน่วย”
เจิดตกใจกับคำพูดของแมนมาก แต่เป็นอ้ายที่ดูตกใจมากกว่า “แกรู้ได้ยังไง”… คำถามของอ้ายกลับทำให้เจิดยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่

แมนบอกว่าเขาสงสัยตั้งแต่ตอนที่มีผู้บุกรุกเข้าไปในศูนย์ตุ๊ด ผู้บุกรุกคนนั้นสามารถเอาชนะแมนได้ง่ายดายเกินไป แถมยังสามารถเคลื่อนไหวได้ในความมืด เหมือนกับรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง … “และนั่นทำให้ข้าเริ่มสงสัยแก … แต่มันไม่ใช่หลักฐานชัดเจนอะไรนักหรอกนะ จนกระทั่ง…”

แมนอธิบายต่อว่า การที่ผู้ร้ายทั้งสองคนแกล้งยอมแพ้เขาในตอนที่แย่งชิงปี่พระอภัยมณีนั้น ก็เพื่อที่จะให้เขาเอาปี่เข้าไปที่ศูนย์ นั่นยิ่งยืนยันว่าหน่วยตุ๊ดมีหนอนบ่อนไส้ และใครกันล่ะที่สามารถจัดการให้แมนไปพบเจอปี่ และนำปี่เข้ามาในศูนย์ได้ “มันก็มีแต่แกคนเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ อ้าย!!” … ปี่พระอภัยมณีเป็นของสำคัญที่ไม่สามารถนำไปวางไว้ในที่ๆ มีโอกาสจะโดนคนอื่นจะเข้าไปพบเจอ ดังนั้นจึงต้องทำการให้เสมือนกับการส่งมอบให้แมนโดยตรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และคนที่สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ ก็มีเพียงอ้ายคนเดียวจริงๆ

“แล้วที่แกทำเหมือนกับเข้ามาช่วยฉันนี่ ก็เพราะแกอยากให้เจิดใช้พลังพิเศษไปซะ เขาจะได้ไม่สามารถใช้พลังพิเศษมาสู้กับแกได้อีกในตอนนี้”
“หึๆๆ แกฉลาดกว่าที่คิดมากเลยนะแมน แต่ก็แค่นี้แหละ พวกแกแพ้แล้ว แกไม่เหลือแรงที่จะสู้กับฉันแล้ว ส่วนเจิดก็ใช้พลังพิเศษไปแล้ว พวกแกสองคนต้องตายที่นี่แหละ และชั้นจะกลับไปบอกหัวหน้าเองว่าพวกแกตายในหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรี ฮ่าๆๆๆ”
“แต่แกแพ้แล้วล่ะอ้าย” แมนบอก
…???...
“ฉันสังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนที่ฉันแพ้แกง่ายๆ ในศูนย์ ดังนั้นในตอนนั้นฉันเลยให้เจิดใช้พลังพิเศษไปก่อนหนึ่งครั้งแล้ว... การใช้พลังพิเศษในช่วงก่อนที่จะโดนพลังของปี่กล่อมให้หลับ ทำให้นายเพลียอย่างมาก นายจึงหลับไปนานกว่าคนอื่นยังไงล่ะเจิด" คำพูดตอนท้ายนั้นเป็นคำที่แมนหันไปพูดกับเจิดนั่นเอง จากนั้นเขาจึงอธิบายต่อว่า

"ตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ก็เป็นเวลา 7 วันพอดี เมื่อกี้เจิดถึงใช้พลังพิเศษได้อีกครั้งไงล่ะ … และในการใช้พลังพิเศษครั้งแรกของเจิดนั้น ทำให้เราทราบแล้วว่า พระแสงปืนอยู่ที่ไหน .. ที่ฉันกับเจิดบุกเข้ามาที่เมืองลับแลนี้ ไม่ใช่เพราะจะมาหาพระแสงปืนหรอก เราเข้ามาที่นี่เพราะเรารู้ว่า หนอนบ่อนไส้ภายในหน่วยตุ๊ดจะต้องตายใจและนึกว่าพวกเราคือกำลังหลักที่จะมาหาพระแสงปืน … ซึ่งก็ได้ผลเสียด้วย... พวกแกคงมัวแต่กังวลอยู่กับฉันและเจิด จนไม่รู้ตัวว่าโน้สได้นำกำลังอีกส่วนเข้าไปชิงเอาพระแสงปืนคืนกลับมาแล้ว และถ้าฉันคาดเดาไม่ผิด ตอนนี้โน้สก็กำลังเล็งพระแสงปืนมาที่หัวแกอยู่ ดังนั้นจงยอมมอบตัวและสารภาพโดยดีซะ”

“โกหกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
อ้ายคลุ้มคลั่งจนตาแดงฉานเป็นสายเลือด แมนต้องโกหกแน่ๆ มันต้องเป็นการลักไก่แน่นอน จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะถูกไอ้ชนชั้นแรงงานอย่างแมนเอาชนะได้ด้วยการใช้สมอง เป็นไปไม่ได้เสียหรอก มันต้องโกหกแน่ๆ ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะยอมให้ทุกอย่างที่วางแผนไว้อย่างดีต้องมาพังทลายไปเพราะคำลักไก่บ้าๆ พรรณ์นี้ อ้ายยกปืนสั้นขึ้นเสมอไหล่ และเล็งไปยังที่หัวของแมน

“เปรี้ยง” เสียงปืนดังขึ้นสั้นๆ เลือดสีแดงตกลงมากระทบแขน ความอุ่นของเลือดแผ่ซ่านไปทั่วกาย หัวของอ้ายผงะหงายไปด้านหลัง พร้อมกับความคิดสุดท้ายสั้นๆ “ข้าแพ้แล้วจริงๆ”

แมนหลับตายืนนิ่งไว้อาลัยกับอดีตเพื่อนร่วมงาน พร้อมกล่าวคำพูดสุดท้ายว่า “จริงๆ แล้วแกฉลาดกว่าฉันมากนะอ้าย แต่แกประเมินความมั่นใจที่ฉันมีต่อความสามารถในการต่อสู้ของตัวฉันเองต่ำเกินไป ไม่มีทางที่จะมีใครชนะฉันได้ง่ายดายอย่างนั้นหรอกนะ ถ้ามันไม่โกงโดยการใช้พลังพิเศษอย่างแก”

“อย่าลืมสิ ว่าฉันคือ หัวหน้าหน่วยบุกทะลวงของตุ๊ด!!!!” …...... จบบริบูรณ์

หมายเหตุ เนื้อเรื่องนี้สามารถนำไปทำเป็นหนังบู๊ปนขำนิดๆ โดยอาจเน้นทางบู๊แฟนตาซีไปเลยก็ได้ แต่ถ้าสนใจจะทำเป็นหนังแบบฮากลิ้ง ผมขอแนะนำดังนี้

1. แมน - ควรเป็นพี่ค่อม ชวนชื่น (ลองนึกภาพพี่ค่อมด่าตุ๊ดสิครับ "แม่ง มันเป็นกระเทยแปลงเพศกันหมดเลยนี่หว่าา") ผมว่าน่าจะขำมากๆ
2. ถ้าพี่ค่อมเป็นแมน โก๊ะตี๋ก็ต้องเป็นเจิด
3. ส่วนอ้ายนี่น่าจะเป็น จตุรงค์ ม๊กจ๊ก ครับ ลองนึกภาพตอนอ้ายใช้พลังพิเศษนะครับ ถ้าเป็นจตุรงค์ ม๊กจ๊ก เราก็ให้เขาทำตาเหล่ตอนใช้พลังพิเศษ ขำแน่นอนครับผม :-)

แต่ถ้าสนใจที่จะทำเป็นหนังเน้นบู๊ มันส์ แฟนตาซี แมนนี่ต้องล่ำๆ หน่อยครับ :-)

--------------------------------------------------------------------------------

จบแล้วครับ พล็อตที่เขียนไปทั้งหมด มีแค่นี้เลย ไม่มีเพิ่มเติม ลดทอน หรือตกแต่งอย่างใดทั้งสิ้น ถ้าชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ก็ติชมกันได้ตามสบายครับ ไม่ต้องเกรงใจ :-)


Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2554 15:01:09 น. 0 comments
Counter : 1347 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

MrET_TK
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




วิศวกรคอมพิวเตอร์โดยปริญญา แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นอาจารย์ในที่สุด (แถมเป็นคณะวิทยาศาสตร์ด้วย ฮะๆๆ) ปัจจุบันเป็นวิทยากรด้านการตลาดออนไลน์ให้กับสถาบันในเครือกรุงเทพธุรกิจและเว็บ exitcorner รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ให้บริษัทเอกชน

ปัจจุบันผมเขียนบทความใน fan page เป็นประจำ (http://www.facebook.com/dr.ekkasit กับ http://www.facebook.com/InspireRanger)
Friends' blogs
[Add MrET_TK's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.