----------วันหยุด หรือตลาดพันธบัตร จะรุ่ง???ช่วงเวลาต่อจากนี้------
จากวันศุกร์ ราคาพันธบัตร อายุ30ปี ขึ้นไป 2.09 เหรียญ
ตามไปหากราฟมาดู USTB= ราคาพันธบัตรอายุ 30ปี UST= ราคาพันธบัตรอายุ 10ปี USTU = ราคาพันธบัตรอายุ 2ปี จะเห็นว่า ราคาพันธบัตรอายุยาว เพิ่มขึ้น
นั่นคือตรงข้ามราคา ยิล (Yield ผลตอบแทน)หรือ ดอกเบี้ย จะลดลง
มีการเก็งกำไรในราคาพันธบัตรอายุยาวว่าจะสูงขึ้น เพราะดอกเบี้ยจะลดลง ( รัฐบาลเมกัน จะต้องหาเงินมาไถ่ถอนพันธบัตร์ที่ครบอายุ ราว 4สิงหาคม ที่จะถึง จึงมีการมองทางออกไว้หลายทาง 1 1การแก้กฏหมาย สร้างเพดานหนี้ให้สูงขึ้น จะทำให้ออกดอลล่าร์ หรือออกพันธบัตรใหม่ได้) 2 โอบาม่า ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเองเลย ไม่ต้องแก้กฏหมาย ( น่าจะอำนาจฉุกเฉินแก้วิกฤต???) 3 การขายทรัพย์สินเช่นทอง ( คนเล่นทองคงหนาว??))
ส่วนของไทยงานนี้ มีสองเหตผล 1 เงินเยอะมากในตลาดต้องดูดออกไวไว (ไม่เข้าใจ???) 2 เงินรัฐบาลขาดมือต้องการเงินด่วน (อันนี้ อันตราย???ไม่รู้มีปัญหาอะไรบ้างแล้วข้างใน ???)
//www.bloomberg.com/news/2011-07-30/economy-in-u-s-vulnerable-to-relapse-with-gdp-short-of-pre-recession-peak.html
จากข่าววันวานเริ่มมีนักเศรษฐศาสตร์ ของธนาคาร ดอย แบงค์ และ บาร์เคลย์ แคปปิตอล เริ่มออกมา คาดการณ์ สถานะการณ์ ควอเตอร์ 3และ 4 ของปีนี้ เนื่องจากการตัดทอนงบประมาณลงของเฟดอย่างมาก
จากเหตการณ์วันศุกร์ พอจะบอก ความน่าสนใจของตลาดพันธบัตร์ ว่าเงินเริ่มไหลไปหา สิ่งที่จะมั่นคงกว่า กำไร มากกว่า
----------------------ใช่หรือเปล่า??? ------------
Create Date : 31 กรกฎาคม 2554 |
|
7 comments |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2554 6:57:57 น. |
Counter : 2263 Pageviews. |
|
|
|
จับตาจีน-อินเดียแรงจัดสะดุดไม่รู้ตัว
1เงินเฟ้อ
ล่าสุด เงินเฟ้อของจีนในเดือน มิ.ย. พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 6.4% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินกันไว้อยู่ที่ 5.5 และถือว่าพุ่งสูงที่สุดในรอบ 3 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของอินเดียในเดือนเดียวกันอยู่สูงกว่า 9.44% มากกว่าที่รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าไว้
2การขึ้นดอกเบี้ยแก้ไข
ในปีนี้ธนาคารกลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้ง ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของประเทศอยู่ที่ 6.56% ส่วนธนาคารกลางอินเดียก็เพิ่งจะปรับขึ้นเป็นรอบที่ 11 นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2553 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา จากเดิม 7.5% มาอยู่ที่ 8% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้
3 Hard Landing การโหม่งโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างวิตกกังวลกันมากที่สุดกลับไม่ใช่ปัญหาเงินเฟ้อ
แต่เป็นผลกระทบจากนโยบายควบคุมเงินเฟ้อที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตของจีนและอินเดียมีอันต้องหยุดชะงัก จนส่อแววว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า Hard Landing หรือภาวะเศรษฐกิจเกิดอาการสะดุดตัว โดย เซียะบิน คณะกรรมการด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน และดัฟวูรี ซับบาราว ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย ต่างพร้อมใจออกมายอมรับว่า หากประเทศยังคงคุมเข้มนโยบายทางการเงินต่อไป ก็มีสิทธิเสี่ยงกับภาวะ Hard Landing ได้ง่ายๆ
ทั้งนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลโดยตรงให้ภาคการส่งออกและภาคการผลิตของจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจของประเทศต้องชะลอตัวลง เนื่องจากต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้สินค้าส่งออกของประเทศราคาสูงขึ้น จนสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับตลาด
แม้ว่าตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมประจำเดือน พ.ค. ของจีนจะขยายตัวขึ้น 13.3% แต่ก็เป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. 2553
ส่วนประเทศอินเดียนั้นดูจะตรงข้ามกับจีน เพราะผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน พ.ค. ขยายตัวลดลงจาก 5.8% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 5.6% ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่น้อยที่สุดในรอบ 9 เดือน และแสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จจากมาตรการคุ้มเข้มด้านการเงิน
มองไกลแล้วค่อยย้อนมองตัวเอง พรุ่งนี้ครับ