[ไดอารี่เล่มเขียว]การกลับบ้านที่มีความหมาย...(ว่ากลับบ้านจริงๆ)
พ่อเคยบอกฉันว่า ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
ที่การห่างบ้าน ห่างพ่อห่างแม่ ไปเรียนต่อที่อื่นของฉัน
เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ค่อยเป็นค่อยไป และคล้ายมีลำดับ
เด็กบางคนกว่าจะจากบ้านไป ก็เมื่อขึ้นมัธยมปลาย
ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และอาจจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวค่อนข้างมาก
แต่สำหรับคนที่ได้อยู่กับที่บ้านตลอด ก็น่าอิจฉาในบางครั้งนะ
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา 19 ปี ของฉัน
ฉันใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่น
เริ่มตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้น ฉันเข้าเรียนในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง
ในอีกจังหวัดที่ห่างจากบ้านของฉันราว 2 ชั่วโมง
แต่ก่อนหน้านั้นช่วงประถม ฉันเคยไปเข้าค่ายยุวกาชาด
ที่พ่อถือว่าเป็นค่ายเตรียมความพร้อม สำหรับการ
อยู่ไกลบ้าน เป็นเวลานานถึง 7 วัน
7 วันสำหรับเด็กประถมนับว่าไม่น้อยเลย
เมื่อฉันอยู่โรงเรียนประจำที่กลับบ้านสัปดาห์เว้นสัปดาห์
มันจึงนานเป็นสองเท่า ของการเข้าค่ายยุวกาชาดเท่านั้น
สามปีผ่านไป สำหรับการกลับบ้านสัปดาห์เว้นสัปดาห์
ม.3 เทอมสุดท้าย ฉันกลับบ้านทุกสัปดาห์เพื่อไปเรียนพิเศษ
นั่นอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ฉันได้เรียนในโรงเรียน
ที่ไกลจากบ้านมากขึ้นอีก คราวนี้ฉันไปเรียนในกรุงเทพฯ
ระยะเวลาการเดินทางบ้านฉัน-กรุงเทพฯ, กรุงเทพ-บ้านฉัน
ก็ไม่ได้ยาวนานอะไรนัก เพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง
แต่การไปกลับทุกเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไป
แม้ฉันจะรู้สึกว่าไดนอนบ้านสองคืนก็คุ้มแล้ว
แต่พอกลับบ้านฉันมักจะไม่ได้ทำงาน และกลับไปก็เพลีย
เพราะการเดินทาง พ่อเลยไม่ค่อยอยากให้กลับนัก(ใจจริงก็อยากให้กลับ)
ฉันจึงเลือกกลับบ้านเฉพาะเมื่อมีวันหยุดติกันสามวันขึ้นไปเท่านั้น
การกลับบ้านในช่วงมัธยมปลายของฉันจึงลดความถี่ลงจากช่วงมัธยมต้น
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย คณะก็คล้ายเป็นบ้านอีกหลัง
ที่วันหนึ่งๆ ใช้เวลา อยู่ที่นั่นสิบกว่าชั่วโมง และเกือบยี่สิบชั่วโมงในบางวัน
ถึงแม้คณะจะเหมือนบ้านเพียงไร แต่เมื่อเราไปคณะเราก็ยังคง
ไม่พูดว่ากลับบ้าน ขณะที่การกลับหอ อนุโลมให้ใช้คำนั้น
เมื่อเลิกเรียน เพื่อนถามว่าไปไหนต่อ ฉันมักจะพูดว่ากลับบ้าน
เพราะการพูดว่ากลับหอ จะตามมาซึ่งคำถามที่ว่า
'อ่าวอยู่หอหรอ หอไหนอ่ะ แล้วบ้านจริงๆ อยู่ไหน
ทำไมไม่อยู่ที่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยมากกว่านี้'
ก็เพราะฉันอยู่หอนี้มาเกือบห้าปีแล้ว ความคุ้นเคยมีมากมาย
ทำให้ไม่อยากย้าย และที่สำคัญฉันคิดว่ามันเป็นบ้าน
ถึงแม้จะไม่ได้มีความอบอุ่นจากพ่อแม่รอต้อนรับกลับจากเรียน
แต่อย่างน้อยมันก็คือจุดหมายปลายทาง ที่ให้ความรู้สึกเป็นของเรา
ครั้งหนึ่ง ขณะคุยโทรศัพท์กับพ่อ พ่อถามว่ากำลังจะไปไหน
เราตอบแบบไม่ได้คิดอะไร ว่ากำลังจะกลับบ้าน
พ่อถึงกับตกใจว่าเราจะกลับ'บ้าน' อะไรกันตอนกลางสัปดาห์
บ้าน ณ จุดๆ นั้น มันก็คือ หอ ที่ฉันเรียกโดยไม่ได้คิดอะไร
แต่พ่อถามว่าทำไมไม่เรียกว่ากลับหอล่ะ ฉันจึงตอบไปว่า
มันก็เหมือนๆ กันล่ะน่า
ตอนนี้ความถี่ในการกลับบ้าน แทบจะลดลงจนใกล้ศูนย์
ฉันกลับบ้านในวันหยุดที่หยุดติดกัน 4 วันขึ้นไปเท่านั้น
ได้แก่ ปิดเทอมฤดูร้อน ปิดเทอมฤดูหนาว และปีใหม่
อาจจะกลับในวันพ่อ วันแม่บ้าง ถ้าโอกาสอำนวย
แต่ปีนี้ไม่ได้กลับ
วันนี้วันที่ 30 ธันวาคม 2551 ฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ
การเรียนช่วงเช้าผ่านไปด้วยดี แต่พอช่วงบ่าย
รู้สึกได้ว่าทุกคนเริ่มไม่มีสมาธิในการเรียน
เด็กต่างจังหวัดตั้งหน้าตั้งตารอเวลากลับบ้าน
ขณะที่หลายๆ คน รอเวลาไปดูหนัง เตียมเดินทางไปต่างประเทศ
หรือต่างจังหวัด ส่วนฉันน่ะรึ ใจไปถึง'บ้าน' ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
หลังเลิกเรียนวิชาสตูดิโอ ที่ปกติจะปล่อยช้ามาก
วันนี้อาจารย์ให้กลับบ้านเร็วเป็นพิเศษ(พร้อมการบ้านอีกเป็นกระตั้ก)
เพื่อนแต่ละคน ถามไถ่ว่าจะไปไหนกันต่อ
หลายคนไปดูหนัง หลายคนไปเดินชอปปิ้ง
หลายคนออกต่างจังหวัด หลายคนไปต่างประเทศ
ส่วนฉันตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'กลับบ้านน่ะ'
สวัสดีปีใหม่ เจอกันปีหน้านะ
-------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้อยู่บ้านที่ จ.สระแก้วแล้วค่า
นั่งรถตู้กลับมาวันนี้ คนแน่นมากๆ เลย
ปกติรถตู้นั่งกันประมาณ 13 คน แต่วันนี้
เก้าอี้เสริมอัดไปไป 17-18
อากาศแทบไม่พอหายใจ มึนหัวเอามากๆ
แต่พอได้เจอหน้าพ่อแม่ พี่สาวเท่านั้นแหละ
หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
'กลับบ้านเรา รักรออยู่ วู้...'
มีความสุขมากๆ นะคะทุกคน
เที่ยวปีใหม่ เดินทางปลอดภัยค่ะ
Create Date : 31 ธันวาคม 2551 |
|
24 comments |
Last Update : 31 ธันวาคม 2551 0:48:26 น. |
Counter : 784 Pageviews. |
|
|
|
(คราวนี้ย่ามาไม่ทันใช่มะ เอิ๊กๆๆ)