Group Blog
 
 
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
16 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
รักแห่งสยาม (สปอยล์นิดหน่อย …แต่ไม่เป็นไรมากมั้ง หนังมันไม่มีหักมุมนิ)

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม

//topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/11/A6059499/A6059499.html

ความรักคืออะไร?

ความรักคือการได้พบเจอและผูกพันกับสิ่งอันพึงปรารถนาเท่านั้นหรือ…

แต่มีความผูกพันใดเล่าที่ไม่ลงเอยด้วยการพลัดพราก …มีหรือไม่?

เพราะทันทีที่เราผูกพันกับสิ่งอันเป็นที่รัก …ทันนั้นเราย่อมเริ่มนับถอยหลังรอเวลาที่จะพลัดพรากจากมัน

นี่คือสัจธรรม ความรักกับการสูญเสียคือด้านสองด้านของเหรียญๆเดียวกัน และการพลัดพรากนั้น…ทำให้ความผูกพันครบถ้วน …สมบูรณ์ …และงดงาม

” รักแห่งสยาม” คือหนึ่งในภาพยนตร์ไทยกระแสหลักสมัยใหม่ไม่กี่เรื่องที่พูดถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจนและซื่อสัตย์ มันอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีคุณค่าทางศิลปะสูงส่งมากมาย แต่มันก็กล้าหาญในสิ่งที่มันบอก และบอกอย่างซื่อตรงอย่างที่หาได้ยากในหนังไทย ไม่มีแม้แต่น้อยที่มันจะพยายามโกหกดั่งเช่นภาพยนตร์ประโลมโลกที่พูดถึงความรักเพียงแค่ด้านเดียว ที่ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการโกหกตนเองในด้านนี้ของคน ที่ทำมามอมเมาเพื่อขายเด็กอ่อนหัด แต่” รักแห่งสยาม”ทำขึ้นเพื่อเราทุกๆคนที่ยินดีกับการชื่นชมสัจธรรมข้อนี้

นี่คือหนังของมนุษย์ครับ ไม่ใช่แค่หนังของวัยรุ่น หนังY หนังเกย์ หรือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ตราบใดก็ตามที่คุณเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ไม่นิยมการโกหกตัวเองจนหน้ามืดตามัว คุณไปดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างมีความสุขแน่นอน

ผมเห็นกระทู้ข่างล่างมากมายโจมตีเรื่องการโปรโมตหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวผมไม่เห็นประเด็นนี้จะเป็นสาระ คนทำโปรโมตย่อมมีหน้าที่ทำงานของเขาให้ดีที่สุด หน้าที่ของเขาคือ”ขาย”มัน อะไรที่”ขาย”ได้ในสังคมหน้าไหว้หลังหลอกอย่างเราๆทุกคนก็ทราบกันดีอยู่ แล้วสังคมมันเป็นอย่างนี้เพราะเหตุใดหรือ…

ก็เพราะพวกเราทุกคนนั่นแหละ เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อความปลิ้นปล้อนของสังคมนี้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะด่า …กรุณาอย่าลืมด่าตัวต้นเหตุด้วย

1. บท

” รักแห่งสยาม” คือเรื่องราวของครอบครัวๆหนึ่งที่ได้รับบาดแผลจากการสูญเสียลูกสาว ที่แม้เวลาเนิ่นนานผ่านไป บาดแผลนี้ก็ไม่อาจเยียวยา แต่มันกลับยิ่งกลัดหนองบ่อนเซาะครอบครัวนี้และผู้คนรอบข้าง ก็เหมือนกระจกที่ถูกกระแทก แม้ไม่แตกในทันใด แต่ในที่สุดรอยร้าวก็ค่อยๆแผ่ขยาย…กัดกินไปทั่วทั้งผืนกระจก

นี่ไม่ใช่แค่หนัง coming of age อะไรอย่างที่ว่ากัน แต่ผมก็ไม่ทราบว่าจะไปบัญญัติว่ามันเป็นหนังอะไรไปเพื่อเหตุใดเช่นกัน เอาเป็นว่าบทมันดีน่ะนะ เขาเลือกเล่าเรื่องแบบ first person โดยเล่าเรื่องจากตัวเอก คือลูกชายที่ชื่อ โต้ง เป็นหลัก สลับกับเรื่องราวของผู้คนที่อยู่รายรอบโต้ง ตัวหลักๆก็มี

พ่อ – ผู้ถูกบาดแผลกัดเซาะจนล่มสลายทางจิตวิญญาณ
แม่ – ผู้พยายามประคับประคองครอบครัวด้วยการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้
มิว – เพื่อนของโต้ง …ผู้โหยหาความรัก

บวกด้วยตัวโจ๊กเกอร์อีกหนึ่งตัวคือ จูน เทพธิดาแห่งความโดดเดี่ยว ผู้ที่จะมาทดสอบความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของครอบครัวนี้ มาให้โอกาสครอบครัวนี้กล่าวลา…เพื่อทำความรักให้สมบูรณ์

บทมันง่ายมากเลยครับ แต่ในความง่ายนั้นคือความโคตรยาก เพราะคนทำเขาเลือกวิธีเล่าเรื่องที่จ๊าบมั่กๆสำหรับผม คือตัวละครรู้อะไรเห็นอะไรแค่ไหน เราก็รู้ก็เห็นแค่นั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเรื่องทั้งเรื่องคือการโกหกตัวเองของตัวละคร เราก็จะมีความหวังลมๆแล้งๆตามตัวละครไปด้วย ทั้งๆที่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าไอ้ตัวลูกสาวน่ะ…ตายห่าไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราก็ยอมหลอกตัวเองตามไปกับตัวละครด้วย

แล้วทีนี้คนทำบทเขาเจตนาที่จะเล่าเรื่องแบบ linear คือเล่าไปเรื่อยๆ ไม่มีสลับเวลาแบบหนังทั่วไป อาจจะเพื่อโชว์ว่าข้าไม่บ้าพลังแล้ว แต่เมื่อพยายามจะไม่บ้าพลัง มันก็เลยกลายเป็นความบ้าพลังที่จะไม่บ้าพลังขึ้นมา …เอิ๊กกก เขาก็เลยต้องประดิษฐ์ไอ้ตัวโจ๊กเกอร์จูนนี่ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่นำเอาปมในอดีตมาจำแลงแผลงฤทธิ์อีกครั้งในปัจจุบัน แทนที่จะใช้การย้อนเวลากลับไปสอบสวนปมในอดีตแบบหนังทั่วไป …ก็ดี เท่ห์ไปอีกแบบ

ที่ผมชอบอีกอย่างสำหรับบทหนังเรื่องนี้คือบทพูดครับ ผมว่ามะเดี่ยวเขียนบทพูดเก่ง เขาเข้าใจ cinematic function of dialog คือรู้ว่าบทพูดในภาพยนตร์มีหน้าที่อะไร ไม่ใช่สักแต่จะยัดบทพูดใส่ปากตัวละครเพื่อเล่าเรื่องมั่งล่ะ เพื่อใช้แทนการกระทำมั่งล่ะ แบบที่เราเจอว่าเป็นปัญหาสามัญของหนังไทย เขาเขียนบทพูดได้ดีมีศิลปะมั่กๆ ซึ่งมันยากนะทั่นผู้ชม สำหรับผมนี่ บทพูดเป็นอะไรที่เขียนยากที่สุดของบทหนังแล้วครับ

บทพูดตอนเดียวที่ผมไม่ค่อยชอบคือตอนที่จูนสารภาพอดีตของตัวเองกับแม่ ผมว่ามันย้วยไปหน่อย แต่พอมาทบทวนดูอีกที มันมีฟังค์ชั่นกึ่งๆเมจิคัล มันจึงมีสิทธิ์ย้วยได้ถ้ามันได้อารมณ์ ฉะนั้นปัญหาจึงอาจจะเป็นนักแสดงในบทนี้ซึ่งก็คือพลอย ไลลา ตีบทไม่แตกก็ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็ต้องโทษผู้กำกับ ที่ช่วยเขาไม่พอให้เขาเข้าถึงบท เพราะพลอยไม่ใช่นักแสดงขรี้ๆ (ถึงแม้จะขี้เกียจมั่งก็เหอะ…เอิ๊กกก) ยังไงก็ตามแต่เนื่องจากคนทำบทกับผกก.มันคนๆเดียวกัน ความย้วยในฉากนี้จึงโทษใครไม่ได้เลย …รับไปนะทั่นนะ กั่กๆๆๆ

(ไม่ได้เนรคุณทั่นนะ แม้ทั่นเคยชมงานผมไว้ แต่ตอนนี้ผมทำตามหน้าที่นะครับ จะให้ตะบี้ตะบันชมทั่นคืนอย่างเดียว เดี๋ยวคนจะติฉินว่าฮั้วกัน ทั้งๆที่เราไม่ได้รู้จักสักหน่อย …เอิ๊กกก)

2. ภาพ

หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพไม่”สวย”นะครับ แต่ถ่ายออกมา”งาม”ครับ ถ่ายสวยกับถ่ายงามมันต่างกันนะครับ เหมือนกับผู้หญิงนั่นแหละ ผู้หญิงบางคนก็สวย…แต่ไม่งาม บางคนไม่สวย…แต่งาม …ก็มี ภาพของหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน ถ่ายง่ายๆทั้งเรื่องครับ ไม่มีมุมกล้องหรือจัดแสงไรพิศดาร ไม่มีเซ็ตอะไรที่ประดิษฐ์ประดอยมากมาย ถ่ายกันแบบ”พอเพียง”ครับ ซึ่งผมชอบมาก มันสบายตาดี ไม่โดดเด่นจนไปแย่งความสนใจจากเรื่องราวที่นำเสนอ ภาพในหนังไม่มีพวกโชว์พาวอะไรแบบปกติหนังค่ายนี้เลยครับ(ปกติผผก.ค่ายนี้มันบ้าพลัง…เอิ๊กกก) จะมีเท่าที่จำได้ก็มีอยู่ฉากเดียว คือไอ้ช็อตสติดี้แคมลองเทคสโลโมชั่นตอนท้ายเรื่อง ที่ถ่ายคู่หนึ่งแล้วก็แพนไปรับอีกคน แล้วก็แพนไปรับอีกกลุ่มในสยามนั่นแหละ ที่บ้าพลังหน่อย แต่ก็มีเหตุผลครับ ทำออกมาแล้วก็ดูเนียนดีครับ ไม่โดดออกมาจากเรื่องแต่อย่างใด

ความสวยนั้นสัมผัสได้ด้วยตา แต่ความงามมันสัมผัสกันจากใจครับ

เห็นคนดูบางท่านบอกหนังเรื่องนี้ถ่ายสยามได้สวยมาก ส่วนตัวผมเฉยๆนะ ผมว่าภาพมันธรรมดานะครับ แต่ที่เราว่ามันสวย อาจจะเพราะหนังมันทำให้เรา”รู้สึก”ว่าสยามมันสวยก็ได้ครับ

ส่วนที่บกพร่องบ้างก็มีเล็กน้อยครับ แสงไม่พอมั่ง ถ่ายข้ามเส้นมั่ง แต่พอหยวนๆปล่อยผ่านได้ครับ …เห็นใจครับ ทีหลังอย่าทำบ่อยก็แล้วกัน (นี่เขียนอย่างเป็นกลางที่สุดแล้วนะ อย่ามาด่าผมอีกล่ะว่าเป็นพวกบาแรมยู ผมมันต๊กโกวไร้ค่ายครับ …เอิ๊กกก)

3. การแสดง

หนังเรื่องนี้มาตรฐานการแสดงสูงมากครับ อยากให้ GTH ดูไว้เป็นตัวอย่างว่านี่… หนังวัยรุ่นก็ใช่ว่าจะต้องแสดงกันสั่วๆเสมอไป อันนี้เครดิตส่วนหนึ่งต้องให้มะเดี่ยวครับ ผมว่าเขาพัฒนาไปอีกระดับแว้วว…เอิ๊กกก จากเดิมที่เป็นพวกบ้าพลังแบบผกก.หนุ่มๆทั่วไป ตอนนี้เขาเข้าถึงปรัชญาแห่งศาสตร์ของภาพยนตร์แล้วครับ เป็น actor’s director ได้เยี่ยมมั่กๆ ทีนี้ลองมาเจาะนักแสดงกันเป็นรายคนนะครับ

3.1 นก สินจัย – โอ้… เมื่อเทพ technical กลับมาเล่นหนังอีกครั้ง แรกๆก็ยังมีเกร็งนิดๆ
แต่พอปรับสภาพได้ …เธอคือเทพจริงๆครับ เป็นบทพิสูจน์ว่าหัวใจของการแสดงมันมีทางเข้าหลายทาง เล่นด้วย technical acting แบบเธอ แต่ถ้ามันแม่นยำ มันเข้มข้นพอ เธอก็ไปได้ไกลไม่แพ้พวก method acting เหมือนกัน ฉากที่เทพเจ้ามั่กของเธอไม่ใช่ฉากเธอร้องไห้นะครับ อันนั้นหมูสะเต๊ะมากครับสำหรับพวก technical แต่เป็นฉากที่ตัวละครโกหกตัวเองไม่ให้ร้องไห้ครับ! ฉากอย่างนี้ปรกติพวก technical จะแพ้ทางครับ จะดูออกว่าเฟค แต่นี้เธอทำได้แล้วครับ ตัวอย่างก็ฉากเธอกับโต้งช่วยกันแต่งต้นคริสต์มาสครับ …สุดยอดดดดดด โอ้… ช้านร๊ากกกกสินจัย

3.2 กบ ทรงสิทธิ์ – เซอร์ไพร๊ซ์มั่กๆ ปกติเห็นในทีวีหรือบนเวทีก็ธรรมดานิ ไหงพอมาอยู่ในหนังของมะเดี่ยวกลับกลายเป็นเทพไปอีกคนได้ นี่ก็พิสูจน์อีกอย่างว่าการแสดงนั้นเป็นงานของทีมครับ ถ้าคนนึงเล่นดีแบบจริงๆนะ ไม่ใช่ดีแบบกรูเด่นอยู่คนเดียว เขาก็จะพลอยเพิ่มพลังเทพให้ทีมนักแสดงคนอื่นไปด้วย ฉากที่กบตบสินจัยนี่ …สุดยอดอ่ะ แบบมันตบด้วยความรัก ด้วยความชัง ด้วยความสิ้นหวัง แบบ…สุดบรรยายอ่ะ …ขนลุก

3.3 พลอย ไลลา – ปกติเธอเป็นเทพ method นะ เป็นคนละพวกกับสินจัยครับ แต่เรื่องนี้ไม่วิจารณ์ได้ปะ ไม่เข้าใจเธอ …เอิ๊กกก

3.4 ไอ้หล่อที่เล่นเป็นโต้ง – สุดยอดอ่ะ มะเดี่ยวไปขุดมาจากไหนนี่ เด็กไรฟระสามารถมั่กๆ สามารถโคตรๆ สามารถ underact แล้วดูเหมือนมันอมน้ำตาเอาไว้ในหัวใจมาได้หลายๆปี โดยที่ตัวมันเองมันก็ไม่รู้ตัวว่ามันอมน้ำตาอยู่ ดูตามันดิ เด็กแค่นี้ …มันเล่นแบบนั้นได้ไงฟระนั่น …ดูแลกันดีๆเด้อ the star is born แล้วจ้า อย่าปล่อยให้เน่าไปอีกคนล่ะ

จำฉากมันกับเด็กผู้หญิงบนระเบียงคอนโดสูงๆได้มะ ที่มันโกรธเลยพยายามปล้ำเด็กผู้หญิงอ่ะ โห… แบบแมร่ง ทุกสิ่งอย่างอ่ะ มันหมดแล้วไง มันรั่วเร้ย มันเล่นได้ร้ายมั่กๆ

GTH ไม่มีวันทำอะไรอย่างนี้ได้แน่นอน…ไม่มีวัน ยืนยัน เขาไม่คิดทำ คิดก็ไม่มีปัญญาทำ เขาไม่มีแม้แต่จินตนาการถึงอะไรอย่างนี้ด้วยซ้ำครับ

3.5 ไอ้หล่อที่เล่นเป็นมิว – เค้าเล่นดีในแบบของเขานะครับ คนละแบบกับโต้ง แต่มันเล่นน่ารักอ่ะ …เอิ๊กกกก น่ารักโคตรๆ ดูแล้วอยากเป็นเกย์เร้ยยย ก๊ากกกกกส… มันเนียนอ่ะ ร้ายเนอะ ตาโคตรเจ้าชู้เร้ยยย

อยากทำหนังเกย์มั่งอ่ะ คิกๆๆ

3.6 ไอ้สวยที่เล่นเป็นเด็กผู้หญิงทีแอบชอบมิว – แรกๆผมก็ว่าเล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ แบบโดดๆออกมาจากคนอื่น ดูแอ๊บแบ้วแบบเฟคๆไงพิกล ไม่ชอบที่เขา overact แต่พอดูๆไปผมเข้าใจว่าผกก.อาจจะขอให้เขาเล่นอย่างนั้น เพราะพอครึ่งหลังของเรื่องที่เขาต้องเล่น”จริง”ขึ้น เขาก็ดีขึ้นแบบโดดเด่นเลยครับ เล่นดีมั่กๆ อย่างฉากที่เขาปล่อยมือให้โต้งไปหามิวนี่ …จี๊ดเลยนะ เขาเล่นแบบพอดีๆ ชอบอ่ะ …เอิ๊กกกก

3.7 ไอ้สวยที่เล่นเป็นโดนัท – ไม่ได้เรื่อง …ผ่าน

4. ตัดต่อและโพสต์

เรื่องนี้ตัดต่อดีมากกกก…ครับ เป็นหนังบาแรมยูที่ตัดต่อดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาในชีวิตเลย โอ้…พระเจ้ากล้วยทอดมันยอดมาก ใครตัดเนี่ย …ไม่รู้จริงๆนะเนี่ย (เอิ๊กกกก) คือผมมีความเชื่อส่วนตัวนะครับว่าหนังยิ่งเล่าเรื่องง่ายๆนี่ยิ่งตัดยากครับ ไอ้พวกเล่าแบบหวือหวาสลับเวลา 28 ตลบ 200 คัตอะไรพวกนั้นหมูสะเต๊ะมากครับ เพราะมันโดนบังคับครับ ยิ่งตัดเร็วๆบางทีมีมั่วคนดูก็ตามไม่ทันหรอกครับ แต่หนังเล่าเรื่องเรื่อยๆแบบนี้ ต้องใช้ฝีมือตัดจริงๆ แบบหนังมัน”เปลือย”น่ะครับ ตัดไม่ดี จังหวะอารมณ์ไม่ได้ มันจะโป๊…เห็นสาหร่ายชาเขียวหมดเลยครับ คือการดูว่าหนังตัดดีไม่ดีนี่มัน paradox นะครับ ถ้าเราไม่รู้สึกถึงการตัดต่ออย่างนี้ถือว่าดีครับ แต่ถ้าเรารู้สึกถึงการตัดต่อเมื่อไหร่ ต่อให้รู้สึกว่ามันดีก็เหอะ อย่างนี้…ก็แปลว่ามีปัญหาแล้วครับ

ส่วนเรื่องเสียง เอาเรื่องเพลงก่อนนะครับ เห็นโปรโมตกันจังว่าเพลงเพราะ แต่ผมกลับเฉยๆอ่ะครับ แต่อันนี้คงว่ากันไม่ได้ มันเป็นรสนิยม ผมอาจจะไม่ชอบฟังเพลงป๊อพอยู่แล้วก็ได้ ก็เลยเฉยๆกับมัน แต่ก็ยังนับว่าใช้ได้นะครับที่ยังรู้สึกว่าเพลงมันกลืนไปกับเรื่องได้ …แบบทำทุกอย่างเพื่อหนังจริงๆ ไม่มีการหมกเม็ดทำหนังเพื่อขายเพลง หรือเพื่อเอาไปทำคอนเสิร์ตแต่อย่างใด

ดนตรีประกอบกับเสียง …อืมม รึนี่เป็นปัญหาโลกแตกของหนังบาแรมยู มีปัญหามันได้ทุกเรื่อง ขนาดหนังที่ตั้งใจทำที่สุดแล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องนี้อีก ดนตรีประกอบไม่อยากจะพูดถึง เฮ๊าส์ที่ทำดนตรีให้บาแรมยูนี่ไม่ใช่ขรี้ๆนะครับ ทำสป็อตทำไรออกมาอย่างเทพ แต่กับหนังของบาแรมยู มันอะไรของมันฟระ…อึดอัดโว้ยยย

เสียงก็ไม่อยากจะบรรยาย ฟิล์มรีลแรกนี่น๊อยซ์กระจาย ที่เหลือทั้งเรื่องก็เสียงบางโคตร …ดูแล้วเซ็ง

อยากจะขอด่าทีได้มะ…

5. การกำกับ

อัจฉริยะคือคนที่ไปถึงยังดินแดนที่เราก็ไม่เข้าใจครับว่าเขาไปถึงได้ยังไง อัจฉริยะทางเลข เราก็อาจจะงง แบบ…มันคิดได้ไงฟระนั่น อัจฉริยะทางกีฬาก็อย่างซีดาน อืมม…มันเล่นอย่างนั้นได้ไงอ่ะ อัจฉริยะทางอารมณ์ก็อาจจะแบบแม่ชีเทเรซา …คนอะไรจะมีความเมตตาได้ปานนั้น

เช่นกันครับ… มะเดี่ยวเป็นอัจฉริยะทางศิลปะครับ(สาขาภาพยนตร์) เขาจึงทำในสิ่งที่เราไม่มีวันเข้าใจ ว่าเขาทำได้ยังไง คือถ้ามะเดี่ยวอายุ 48 แล้วทำ “รักแห่งสยาม” ออกมานี่… ผมยังพอเข้าใจได้นะครับ มันธรรมดาครับที่คนที่ผ่านโลกมาระดับนั้น จะมีมุมมอง จะมีความเข้าใจต่อชีวิตมนุษย์ได้อย่างนั้น

…แต่มะเดี่ยว อายุ 28 นะครับ!!!

ทำไมเขาถึงเข้าใจความเจ็บปวดที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ครับ …รึว่าปล่าว เขาอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ เขาอาจจะไม่เข้าใจหนังที่เขาทำไปแล้วเท่าไหร่ก็เป็นได้ …เพราะเขาไม่จำเป็นครับ เขาคืออัจฉริยะทางศิลปะ ศิลปะคือความรู้สึกและจินตนาการครับ

ด้วยจินตนาการอย่างเดียว มะเดียวทะลุผ่านกำแพงได้ทุกกำแพง ทะลวงผ่านข้อจำกัดได้ทุกข้อจำกัด เขาไม่จำเป็นต้องอายุ 48 เขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรเลยครับ เพราะด้วยเพียงความรู้สึกและจินตนาการของเขา เขาถ่ายทอดอะไรก็ได้ที่เขาประสบมา จำแลงมันอย่างแยบยล อย่างลึกซึ้ง …ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะทำได้ครับ

เคยได้ยินว่ามะเดี่ยวบ้าเคียสโลวสกี้ ปรมาจารย์แห่งภาพยนตร์วิพากษ์มนุษย์ (ถ้าใครอายุไม่ถึง 25 แล้วดูหนังเคียสโลวสกี้เข้าใจ ผมยอมไหว้ทีนึง) ผมก็เลยดู “รักแห่งสยาม” แล้วมองหาว่ามีอะไรที่เป็น Kieslowskian มั่งรึเปล่า…

น้อยมากครับ… มะเดี่ยวอาจจะลองทำหนัง Kieslowskian ในแบบไทยๆของเขา ลดความแรงของการวิพากษ์มนุษย์ลง อ่อนน้อมลง ประนีประนอมมากกว่า …ผมไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่ามะเดี่ยวเริ่มหาสไตล์ของตัวเองเจอแล้ว อาจจะได้แรงบันดาลใจบางอย่างจากหนังของเคียสโลวสกี้บ้าง …อันนี้ผมสังเกตุจากวิธีจบของ “รักแห่งสยาม” นะครับ

มะเดี่ยวเลือกที่จะจบมันอย่างที่มันควรจะเป็นครับ ไม่มีการหักมุมใดๆทั้งสิ้น ในที่สุดครอบครัวในหนังเรื่องนี้ก็ล่มสลายลงจนเหลือแต่เศษซากแห่งความสุข แต่มันก็ยังดำรงอยู่ครับ ตัวละครทุกตัวถูกลงทัณฑ์ แต่ทุกคนก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ครับ

นี่คือความจริงของชีวิตครับ นี่คือความงดงามอย่างที่สุดของมนุษย์

เพราะเราไม่ได้อยู่ได้ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ หรือความฝันจอมปลอมใดๆ แต่เราดำรงอยู่ได้ด้วยการหล่อเลี้ยงจากความรักเล็กๆ และความกล้าหาญของเราครับ

สำหรับผม บทสรุปของครอบครัวพิการครอบครัวนี้จึงเป็นภาพที่งดงามของมนุษยชาติครับ

…นี่แหละที่ Kieslowskian …ซึ่งสำหรับผม…มันโคตรจะ happy ending เลย

ผมออกจากโรงด้วยความสุขมากๆ หนังเรื่องนี้ทำให้ผมยิ้มอย่างอิ่มเอิบใจได้ทั้งเรื่อง ใครบอกมันไม่ happy ending ผมเถียงตายห่า มันจบดีกว่าหนังโกหกอย่างพวกครอบครัวบีเวอร์เป็นไหนๆ เพราะมันจริง มันสะท้อนภาพของเรา มันรักมนุษย์มั่กๆครับ …ไม่ใช่รักความฝันจอมปลอม

ถ้าเรื่องนี้ท่านว่ายังไม่ happy ending อีก งั้นก็รออีก 2-3 ปี อาจจะมีหนังไทยอีกเรื่องที่โคตรจะ happy ending ยิ่งกว่านี้หลายเท่ามาให้ท่านดูก็ได้ครับ

………เอิ๊กกกกกกกกก--------หวัดดี----------




Create Date : 16 มีนาคม 2551
Last Update : 16 มีนาคม 2551 22:09:35 น. 0 comments
Counter : 335 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แดดออก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แดดออก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.