Group Blog
 
 
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
16 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "รักแห่งสยาม" ... เรียนรู้ที่จะรัก แล้วจงรักที่จะเรียนรู้

โดย OncE UPoN'-'a MaN
//topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/11/A6071914/A6071914.html

เตือนล่วงหน้า : บทความรีวิวนี้ จะมีความยาวมากกกกกกกกกกเป็นพิเศษ ...ยาวกว่าที่ผมเคยเขียนรีวิวหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก่อนหน้า มิเช่นนั้นแล้ว ต้องขออภัยถ้าจะทำให้คุณรู้สึกใช้เวลากับมันนานจนเกินไปนะครับ... ถ้าคุณไม่อยากอ่านจะปิดกระทู้นี้ไปเลยก็ได้ ไม่่ว่ากันจ้ะ

และขอประทานอภัย ที่จะต้องขอพื้นที่อีกสักกระทู้หนึ่งที่จะมีชื่อของ "รักแห่งสยาม" อยู่ในหน้าหลักของเฉลิมไทยนะครับ...ผมขอสัญญาว่าจะตั้งกระทู้นี้เพียงกระทู้เดียวเท่านั้น (ยกเว้นกระทู้ข้างล่าง..อันนั้นมันเจ๊งเองนะ)

เรียนรู้ที่จะรัก...

การที่ในทุกวันนี้เรายังมีชีวิต และยังมีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่เราทำอยู่... 'การเรียนรู้' ก็คือ สิ่งสำคัญที่สุดเหนืออื่นใด ทำให้เรายังคงเป็นเราอยู่จนถึงวันนี้ที่ยังหายใจ

และก็อาจด้วยเพราะชีวิตของคนเรานั้น มันต้องเคลื่อนไหว และเราต้องเดินหน้าไปไม่มีวันจะให้หันหลังกลับ ...ฉะนั้นแล้ว การเรียนรู้ คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราได้เติบโต และพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ที่สูงยิ่งกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง

การเรียนรู้ สามารถนำมาแบ่งแยกออกมาเป็นบทเรียนต่างๆได้หลายหลากร้อยพันบริบท มีรูปแบบที่จะทำให้รู้ได้เป็นพันเป็นหมื่นวิธี ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะมีอีกหมื่นแสนผลลัพธ์ที่รอคอยเราอยู่ที่สุดทางของการเรียนรู้

อย่างเรื่องของ 'ความรัก' ก็เป็นหนึ่งในบทเรียนภาคบังคับตัวสำคัญ ที่มนุษย์ทุกๆคนจำเป็นจะต้องผ่านและได้รู้จักกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้วถ้าสมมติว่าเราไม่เคยได้ผ่าน และไม่ยอมคิดจะทำความรู้จักกับมันเลยล่ะ ...เราจะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ได้หรือเปล่า ?

ผลลัพธ์ที่จะเป็นคำตอบของคำถามนี้ก็คือ... ไม่มีทาง

ก็เฉกเช่นเดียวกัน กับที่ผมได้เรียนรู้มาจากหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนคิดเรื่องได้ตั้งคำถามกับความรัก ที่ชวนให้น่าค้นหาคำตอบ ว่า... "คนเราอาจสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินข้าว แล้วความรักล่ะ มันจำเป็นกับการมีชีวิตของเราด้วยหรือไม่ ?"

ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ได้นำคำถามโลกแตกที่ดูจะค้างคาใจของเขามาตลอด ต่อยอดให้กลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เขามีความคิดอยากจะทำให้มันเป็นความจริงมากที่สุด ...เรื่องราวจากคำถามคาใจ ได้กลายเป็นมาหนัง "รักแห่งสยาม" เรื่องราวของความรักที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ หัวใจของแต่ละตัวละครที่ต่างใจก็ต่างซึ่งรูปแบบกัน

ใจของ "มิว" ...อ้างว้าง โดดเดี่ยว และอยู่กับความเหงามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ที่เขาสูญเสียอาม่าอันเป็นที่รักที่สุดของเขาไป

ใจของ "โต้ง" ...สับสน ว้าวุ่น และอยู่อย่างกล้ำกลืน ด้วยสภาพแวดล้อมที่ครอบครัวและผู้หญิงคนรัก ไม่มีใครเข้าใจเขา

ใจของ "สุนีย์" ...เหนื่อยอ่อน และปวกเปียก แต่ก็ยังคงจำใจแข็งขืน และหนักแน่น เพื่อต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อที่เสียผู้เสียคน

ใจของ "กร" ...แห้งเหี่ยว หมดเรี่ยวแรง สามารถประคองชีวิตไปวันๆ ได้เพียงแค่การดื่ม ดื่ม และดื่มสุรา ไปจนกว่าจะถึงวันที่ชีวิตนั้นหาไม่

ใจของ "จูน" ...แจ่มใส ร่าเริง ในเปลือกนอก แต่ภายในกลับบอบช้ำไปด้วยความผิดบางอย่างที่เธออยากจะแก้ไข แต่มันก็สายเกินจะแก้ได้เสียแล้ว

ใจของ "หญิง" ...แอบซ่อน ปกปิด และไม่กล้าจะเปิดเผยว่าเธอหลงรักเด็กผู้ชายข้างบ้าน ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ

ใจของ "โดนัท" ...เย่อหยิ่ง ถือทนง และไม่เคยจะยอมใครตราบใดที่ใครคนนั้นจะยอมเธอก่อน

ใจของตัวละครทั้ง 7 ...ถูกโยงใยให้ต้องมาข้องเกี่ยวกันด้วย ภายใต้สภาพสังคมที่แวดล้อมไปด้วยความวุ่นวาย และวกวนของชีวิตอีกนับแสนล้านคน... ที่ทุกหนแห่ง ทุกซอกมุมมี ความรัก เป็นอากาศให้ได้หายใจ

คุณมะเดี่ยว เป็นอีกหนึ่งในผู้กำกับหนังไทย ที่ผมไว้ใจและเชื่อมือ โดยยังไม่ต้องไปพิจารณาว่า ตัวหนังจริงๆจะเป็นเช่นไร... เพราะถึงจะยังคงคาดหวังทุกๆครั้งว่าหนังเขาต้องดี แต่กระนั้นมันก็เชื่อใจในมาตรฐานที่เขาตั้งเอาไว้สูงในทุกงานที่เขาจับ ...ไม่ว่าจะ "คน ผี ปิศาจ" "12 (เกมสยาม)" "13 เกมสยอง" ที่เขากำกับ จนกระทั่งล่าสุดกับบทหนังสุดล้ำลึกของ "บอดี้ ศพ #19" ทุกๆเรื่องก็ล้วนแต่รับการกล่าวขวัญในทางที่ดี อีกทั้งยังสามารถเอามาเป็นต้นแบบให้กับหนังเรื่องใหม่ๆ ที่จะมีออกมา ภายใต้สไตล์เรื่องที่ใหม่ ยังไม่มีใครคิดจะแหวกขนบทำ

แล้วกับงานชิ้นล่าที่ริจะพลิกรูปแบบ และการทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความรักเป็นหลักใหญ่เช่นนี้ ...มันก็ยิ่งทำให้ผมกล้าจะรู้สึกว่า เขาต้องมีของอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้ ที่ทำให้เขาแน่ใจจะทำหนังที่แตกต่างจากแนวทางเดิมๆที่เราคุ้นเคย

ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยกับ ทุกฉากที่ได้เห็นจาก รักแห่งสยาม ในเวลา 2 ชั่วโมงกับอีกราวๆ 30 นาที ...ทุกๆภาพ ล้่วนเป็นผลิตผลแห่งความประทับใจ และมันก็ตราตรึงเสียยิ่งกว่า หนังไทยเรื่องอื่นใดในรอบปีนี้ที่ผมได้ดูมา

ตัวหนังและเรื่องราว เดินหน้าอย่างเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน... การให้รายละเอียดในตัวเรื่อง มียิบย่อยให้ต้องขยันตามเก็บไปในทุกๆฉาก รวมกับการวางเหตุ และให้ผลของแต่ละพลอต ก็ยังมีความต่อเนื่องทอดสะพานไปถึงกันและกัน ในแบบที่เราแทบไม่เห็นรอยต่อที่ขัดแย้งกันเลย ...คุณมะเดี่ยว ยังคงยอดเยี่ยมกับบทบาทของนักเขียนบท ที่เพลิดเพลินในความคิด จับใส่สัญลักษณ์ อะไรต่อมิอะไรไปหลายอันให้คนดูต้องคอยสังเกตสังกากันอย่างสนุก ...แล้วกับในส่วนที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นความบันเทิงหรรษา ก็ล้วนกลายเป็นแง่มุมอันน่ารักที่สร้างความสดใสให้เราเจริญใจ ...และเป็นกลวิธีการประโลมใจอันชาญฉลาดที่ทำให้เราตกอยู่ภวังค์แห่งความเพ้อฝัน ก่อนจะได้ตบหน้าเราให้ตื่น ด้วยภาพแรงๆ ดรามาเจ็บๆ ที่จะโถมซัดเข้ามาแบบไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว

บทหนังของ รักแห่งสยาม ตีกรอบสร้างประเด็นที่สะท้อนสังคมในยุคนี้เอาไว้ด้วยแง่มุมอันหม่นหมอง แข็งกร้าว และหนักหน่วง ที่สอดคล้องกับ ความรัก ของคนเราที่มีให้แก่กันและกันในวันนี้ที่โลกเรายิ่งหมุนก็ยิ่งน่าเวียนหัวมากกว่าเดิม ...แนวคิดของเรื่องอาจจะดูมีความคล้ายคลึงกับ Love Actually อยู่ แต่มันก็ต่างซึ่งรูปแบบที่เจาะลงลึกยิ่งไปกว่า เรื่องหลังที่ยังจำเป็นแตะต้องอย่างพอดี วางน้ำหนักเรื่องให้สมดุลพอๆไปด้วยกัน ...แล้วกับ รักแห่งสยาม ก็ได้เวลาที่ยาวนานช่วยเอื้อให้หนังได้แตกปลายแง่มุม ตกผลึกความคิด คุณมะเดี่ยวแตกพลอตหลักทั้งสองส่วน ให้ประกอบกับพลอตย่อยอีกหลายๆส่วน แล้วจึงจัดการถ่ายโอนงานให้เราคนดูเป็นผู้มีหน้าที่ที่รวมเอาชิ้นส่วนทุกชิ้นมาหลอมกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พร้อมกันกับการเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องราวอันเป็นชิ้นส่วนต่างๆของพลอตหลัก

ใครบางคนอาจจะมองว่า คุณมะเดี่ยว เป็นเจ้าของความคิดที่หลอกลวงคนดูให้หลงเข้าใจว่าเป็นหนังรักใสๆหัวใจกิ๊กกั๊กเฉกเช่นเดียว Seasons Change หากความเป็นจริงกับซ่อนแอบอะไรเอาไว้ในนั้นด้วยซะงั้น ...ทั้งหมดนี้ ขอให้โทษไป กับวิธีการโปรโมตของ พีอาร์ค่าย จะดีเสียกว่า แล้วอีกอย่าง ตัวอย่างหนัง ก็เหมือนจะแทงกั๊กอะไรบางอย่างเอาไว้ กับฉากบางฉากที่ดูเพียงฉาบฉวยก็พอรู้ว่ามันต้องมีอะไรที่หนุนนำให้เรื่องมันต้องแรงกว่าที่รู้สึกแน่นอน (เช่น ฉากที่โต้งกอดรัดเชิงขืนใจหญิง) เห็นแค่นั้น ผมก็ตัดสินได้ว่า มันย่อมไม่ใช่หนัง Feel Good อย่างเช่น Seasons Change เป็นแน่แท้

แม้มันจะไม่ใช่ Seasons Change แห่งปีนี้ ก็ตามทีเถอะ... แต่กระนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับที่ รักแห่งสยาม ได้กลายมาเป็น หนังไทยอันดับ 1 แห่งปีนี้ของผมคนนี้ (ในตัวเลขที่ๆเคยเป็นอันดับของ หนัง GTH เรื่องนั้นในปีก่อนนั่นเอง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ได้รู้ในสิ่งที่รัก...

ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไปจะมีการ SPOILER เนื้อหาสำคัญของหนัง ...สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและไม่อยากรู้เรื่องที่ผู้กำกับแอบๆเอาไว้ ก็ขอให้อย่าเพิ่งอ่าน แล้วข้ามไปที่ "จงรักที่จะเรียนรู้" (ความคิดเห็นที่ 4) เลยครับ ...

(แต่จะว่าไปไอ้ที่ว่าแอบๆ เขาก็คงรู้กันหมดแล้วมั้ง อิอิ)



ถึงมนุษย์เราอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสบายได้ด้วยการกินข้่าว การหาอะไรเข้าท้องให้เกิดกระบวนการสร้างพลังงานแก่อวัยวะในร่างกาย ...หากแต่ เราก็คงจะไม่มีทางอยู่รอดได้ ตราบใดที่อวัยวะส่วนสำคัญ ที่เรียกว่า หัวใจ ไม่มีความรักเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชีวิตที่หายใจได้

และก็เพราะ ความรัก คือ ยาใจที่ช่วยชูกำลังให้คนที่ได้กินอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และความรัก ก็ยังคือ วิตามินที่ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับทุกชีวิตที่ได้เสพติดมัน ...มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องมีความรัก เพื่อไว้คอยยึดเหนี่ยวหัวใจให้คงอยู่กับเราตลอดไปทั้งชีวิตนี้ที่ยังเหลืออยู่

สิ่งที่ผมคิดออกไปนั้น ไม่ได้อยากจะให้เกินเลยไปด้วยคำที่สวยหรูเหวินเว่อร์ เพราะถึงมันยังจะเป็นสิ่งที่ผมประดิษฐ์ฺประดอยขึ้นมาอย่างเจตนา แต่กับความตั้งใจที่จะพูด มันก็เป็นเฉกเช่นที่ รักแห่งสยาม ได้บอกกับเราเอาไว้ ในทุกๆเรื่องราว ทุกๆแง่มุม ที่หนังเสนอเอาไว้ตั้งแต่้ต้นจนจบเรื่อง...

กับประเด็นหลักทั้ง 2 ส่วน ที่หนังดำเนินเรื่องราวให้ตีคู่เคียงขนานกันไปตลอดเวลาที่เรากำลังเอาสายตาจับที่จอหนัง ...มันต่างก็ล้วนเป็นประเด็นที่กำลังเป็นปัญหากับความรักของคนในสังคมปัจจุบัน แบบที่เรื่องบางเรื่องอาจจะมองดูเฟคเหมือนละครน้ำเน่า แต่มันก็คือความจริง และมันก็ไม่ใช่ละครที่ถูกจัดฉากเสียด้วย

รักของวัยรุ่น...ใน รักแห่งสยาม

'โต้ง' และ 'โดนัท' ...ฉากรักของคนคู่นี้ อยู่ในช่วงที่กำลังเกิดภาวะสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ...มันอาจจะเป็นไปด้วยเหตุผลง่ายๆที่คนทั้งสองไม่เข้าใจกันก็หนึ่ง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกหนึ่ง คือ การที่โต้งและโดนัทกำลังค้นหาตัวเอง และต่างค้นหาว่าความรักที่แท้จริงของเขาและเธอ มันเป็นอย่างไร

ฝ่ายชาย ...คือ คนที่เงียบๆ ไม่ชอบทำตัวโอเว่อร์ และไม่มีความต้องการจะคอยประคบประหงม เอาอกเอาใจแฟนอะไรมากนัก ...เพราะเขาเชื่อมั่นว่า เขารักในแบบที่ตัวเขาเป็น คือวิธีการที่ดีที่สุดแล้วอันต่างกันกับฝ่ายหญิง ...ที่เธอไม่ชอบทำตัวเงียบๆ ออกจะแคร์กับการพรีเซนต์ตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด (แคร์ไม่แคร์ วัดกันจากการได้รับตำแหน่ง สวยเลือกได้ ประจำโรงเรียน) แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ก็ยังจะต้องการความแคร์จากผู้ชายที่เธอคบหาอยู่ด้วยทุกคน โดยไม่สนว่าเขาคนนั้นจะใช้คำว่า แฟน ด้วยหรือไม่ก็ตามที ...ด้วยคุณลักษณะของคุณหนูไฮโซที่ยึดมั่นถือมั่นกับความเห็นแก่ตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทำให้เธอรับไม่ได้กับวิธีการแสดงออกของโต้ง ที่ไม่เหมือนชายคนอื่นๆที่เธอแอบกิ๊กกั๊กด้วย

'ความแตกต่าง' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า... 'การปรับตัวปรับใจเข้าหากันเป็นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในความรัก'

เราคงเคยได้พบได้เห็นชีวิตคู่ของคนหลายต่อหลายคนต้องล่มสลายลง เพียงเพราะความไม่เข้าใจในกันและกัน เมื่อมีปัญหากันเมื่อไหร่ ก็ทำได้แต่โทษอีกฝ่าย ว่าเป็นผู้ผิด ไม่ได้ย้อนคิดถึงความเป็นจริงว่าคนผู้ว่ากล่าวนั้นเองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดขึ้นมา จนเมื่อสุดท้ายที่ความรักของทั้งสองคนไม่มีทางได้เคลียร์กันให้จบ เรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านพ้นจึงจบความเข้าใจกันลงไปตรงที่การเลิกรา ...และนั่นจึงเป็นเรื่องของความแตกต่าง ที่หนักหนาสาหัสมากกว่าเรื่องอื่นใดในสารบบปัญหาความรัก

ถึงผมจะรู้สึกรำคาญ และไม่ชอบอุปนิสัยอันดื้อดึงของโดนัท เฉกเช่นเดียวกับโต้ง ก็จริงเถอะ...แต่กระนั้น มันก็ถือว่าน่าเห็นใจเธออยู่้เช่นกัน ที่สิ่งที่เธอเป็น ไม่สามารถเข้ากันได้กับ สิ่้งที่โต้งเป็น หากเพียงถ้าเธอรู้จักจะปรับตัวปรับใจแก้ไขอะไรที่เธอเป็นให้มาจูนกันกับโต้งได้ ความรักของคนทั้งสองก็คงไม่จำเป็นต้องจบลงที่คำพูดอันชวนน่าหมั่นไส้ของโดนัทเช่นนั้นหรอก

'มิว' และ 'หญิง' ...ฉากรักของคนคู่นี้ ไม่ได้มีฉากที่ลึกซึ้งของคำว่า 'แฟน' จำกัดความเอาไว้ เฉกเช่นโต้ง กับ โดนัท ...แต่กระนั้นนี่ก็คืออีกแง่มุมของความรัก ที่คนหนึ่งต้องพยายามปกปิด ด้วยคำว่า 'แอบชอบ' ส่วนอีกคนก็คือผู้ที่โดนปกปิดไม่ให้รู้ว่า มีคนอีกคนที่แสดงออกด้วยคำว่า 'ห่วงใย' คอยเฝ้าจับตาดูอยู่อย่างชิดใกล้

ฝ่ายชาย ...คือ คนที่มีชีวิตอยู่เพียงตัวคนเดียว และชอบการอยู่กับตัวเองมาตลอดนับแต่วันที่เหลือเขาเป็นคนสุดท้ายในบ้านหลังที่เขาไม่เคยได้ย้ายจากไปไหน ...ตอนนั้นเขาก็คือเด็กผู้เดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในละแวกบ้านที่ไม่มีเด็กวัยเดียวกับเขาอาศัยอยู่ (ตอนนั้นคือตอนที่โต้งย้ายบ้านออกไปแล้ว) และเขาก็ไม่เคยคิดบากบั่นจะไปหาใครคนอื่นมาเป็นเพื่อนของเขาอีกเลย (นอกเหนือไปจากโต้งเพียงคนเดียวเท่านั้น) แต่ในที่สุดแล้ว การเข้ามาสู่ละแวกบ้านเดียวกันแห่งนี้ของเด็กผู้หญิงที่รักการจะมีเพื่อน ก็ได้ทำการเปิดประตูต้อนรับให้เขาได้รู้จักกับการมีเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง หากแต่ในความรักแบบเด็กร่วมหมู่บ้านของหญิง ก็มีความนัยซ่อนอยู่ ...นัยที่ว่าเธอรักเขาคนนี้มากกว่าคำว่า 'เพื่อน' โดยที่ มิว ก็ยังไม่เคยจะรู้ได้ว่า เขาคือคนที่หญิงห่วงใยยิ่งไปกว่าใครต่อใครที่เป็นเพื่อนเธอทั้งหมด

แต่จนเมื่อเรื่องราวมันเดินหน้ามาจนถึงจุดที่ มิว ได้รู้จักความรักที่แท้จริงแล้ว ...เขาก็ได้พบความจริงที่แอบซ่อนไว้ และสิ่งที่ใจเขาปรารถนาอยู่นั้น ก็ย่อมไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนแถวบ้าน ผู้ที่ปรารถนาเขามาตลอด คนนี้เป็นแน่แท้ ...และเพราะ มิว ก็ยังคงเห็นแก่คำว่า 'เพื่อน' มากกว่าคำอื่นใด เขาจึงได้มอบนิยามของคำว่า 'เข้ากันไม่ได้' เป็นเหมือนของรางวัลปลอบใจ แด่เพื่อนสาวที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของเขาผู้นี้

'ความเข้ากันไม่ได้' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า... 'ความเป็นแฟน ย่อมไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตที่อยากจะมีความรัก'

มันก็อาจจริงอยู่ที่ว่า การที่มีคนที่เรารักและรักเรา เป็นสิ่งที่ดีที่สุัดที่ชีวิตเราควรจะหามาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการได้เกิดมาเป็นคน ที่ยังมีสิ่งอื่นให้เห็นว่าจำเป็นกว่ากันอีกมากมาย... อย่าลืมไปว่า บนโลกกลมๆใบนี้ก็ยังมีผู้คนอีกนับหลายแสนหลายล้าน ที่เขียนสถานะความเป็นโสดห้อยคอเอาไว้ให้เราได้เห็นกันไปทั่ว และผู้คนเหล่านั้นที่เป็นหนึ่งในนั้น ก็มีมากมายที่ไม่ได้เห็นสถานะความเป็นแฟน จะคือ สิ่งสุดท้ายที่ในชีวิตเขาจะต้องมีกันให้ได้

แน่นอนที่ผมเอง(ผู้มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อนค่อนข้างโชกโชน) ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวดกระเทือนใจแทนตัวหญิง ในสิ่งที่เธอได้รับคืนมาเป็นรางวัลปลอบใจอยู่ ...แต่กระนั้น นั่นก็คือวิธีการสั่งสอนเตือนใจที่ดีที่สุดที่ผมเห็นควรด้วย นอกไปเสียจากมันจะทำให้เธอได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ที่สำคัญกว่าอื่นใด ก็คือ นี่คือความรักครั้งแรกที่จะช่วยสอนสั่งเพาะบ่มความเป็นคนให้เข้มแข็งขึ้นในครั้งต่อๆไปที่เธอ(หญิง) หรือเรา(คนดูเอง)มีความรัก

'โต้ง' และ 'มิว' ...ฉากรักของคนคู่นี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากความเป็นเพื่อน ...หนึ่ง คือ เพื่อนบ้าน , สอง คือ เพื่อนร่วมโรงเรียน

ในวัยเด็กของพวกเขาทั้งสอง ...ความรักที่เขาและเขามีให้ต่อกัน ยังสามารถเรียกคำว่า เพื่อนสนิท ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ...เพื่อนสนิทที่คอยให้การช่วยเหลือกันและกัน ในเวลาที่อีกคนกำลังเดือดร้อน ...เพื่อนสนิทที่มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็ต้องมานั่งขลุกมาเล่นสนุกตามประสาของเด็กผู้ชายที่ลิงโลด ...เพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เพื่อนที่มีใครทำอะไร อีกคนก็ยินดีจะยอมทำตามโดยไม่อิดออด (ตัวอย่างในหนัง ก็คือ การแสดงละครเวที ...ที่มิว มีบทเด่น แต่กับ โต้ง เป็นแค่ตัวประกอบฉากซะงั้น)

แต่เมื่อถึงวันที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมาเจอกับโลกใบที่ใหญ่และกว้างกว่าเคยมองเห็นในวัยเด็ก ...ความรักที่เขาและเขามีให้ต่อกัน ก็เหมือนจะมีเจตนาอะไรบางอย่างที่ทำให้คำว่า เพื่อนสนิท อาจจะมีคุณค่าน้อยเกินไปเสียแล้ว

ถ้าจะไปกล่าวโทษถือผิดให้เป็นภาระของโลกใบนี้ที่นับวันก็ยิ่งทวีมีกลุ่มมีก้อนของคนสีม่วงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ Non-sense มากกว่าจะ Make-sense ...แล้วกับ นิยามของความรักในวันนี้ มันก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ความรักที่คนสองคนมีให้ต่อกัน ไม่ได้มีข้อบังคับใดๆบีบให้ต้องเป็น ชาย กับ หญิง เพียงเท่านั้น

ความรักของ โต้ง กับ มิว ยังนับว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ และดูสดใสมากไปกว่า คำพูดของคนอื่นคนนอกที่ยัดเยียดว่า So-mom ...เมื่อลองได้หยิบเอากรณีของคนคู่นี้ไปเปรียบเทียบกับความเป็นจริงของสังคมสีม่วงในวันนี้แล้ว ก็จะยิ่งเห็นได้เด่นชัดที่ โต้ง กับ มิว ก็ยังคงห่างไกลซึ่งคำว่า So-mom อีกยาวไกล

แต่ถึงมันจะยังคงความบริสุทธิ์ใสๆเช่นรักในวัยรุ่นใสๆ เอาไว้เช่นไรก็ตามที กับสุดท้ายแล้วในสายตาของคนอื่น(โดยส่วนใหญ่)ก็ยังคงเลือกจะมองความรักวิปริตเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทุเรศ เป็นการกระทำที่สิ้นคิด และยุว่าส่งเสริมการทำลายล้างวัฒนธรรมความเป็นคนให้เหลวแหลกขึ้นกว่าเดิม

เพราะฉะนั้นแล้ว โต้ง กับ มิว ก็จึงไม่มีทางอาจหนีไปจากความเป็นจริงของสังคมที่ยัดเยียดให้เขาและเขาต้องจบลง ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทเช่นที่เคยเป็นกันมา ได้เพียงเท่านั้น

'ความรักที่ไม่สมหวัง' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า... 'สังคมนี้ยังคงต้องการความรักที่บริสุทธิ์แบบชายหนุ่มและหญิงสาว มากกว่าจะยอมยินดีเปิดช่องทางให้คนเพศเดียวกันชอบพอและเบี่ยงเบนกันเองได้'

แม้ผมจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยมีความคิดจะมีความรักแบบนี้เลย (อาจจะมีบ้างก็เฉพาะตอนที่หยอกล้อขำๆกับเพื่อนฝูงบ้าง ฮาๆกันไป) แต่กระนั้นผมก็ไม่เคยจะมีความคิดต่อต้านโดยใดๆ ...และถึงผมจะมีความยินดีเห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว ก็คงมิอาจไปมีกำลังโต้เถียงขอความเรียกร้องใดๆ ให้คนทุกคนบนโลกเห็นดีเห็นงามในรักแบบนี้ดูบ้าง ...เพราะเรื่องแบบนี้ มันยังคงละเอียดอ่อน และเต็มไปความหวั่นไหว ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งจะกลายเป็นการสร้างเครื่องหมายลบในใจมากกว่าเดิมเท่านั้น

มิฉะนั้้นแล้ว ...เรื่องของวันเวลา จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ที่จะช่วยพิสูจน์ให้ใครต่อใครผู้นั้นได้เห็นกับ เรื่องบางเรื่อง มันก็ควรจะมองข้ามระบบระเบียบกันได้ ...ถ้าตราบใดที่ความรักแบบนี้ ไม่ได้ไปทำให้โลกใบนี้ต้องมีปัญหา (เฉกเช่นที่คนบางคนอาจกำลังทำอยู่ในวันนี้)

รักของผู้ใหญ่...ใน รักแห่งสยาม

'สุนีย์' ...ฉากรักของเธอคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เธอยินยอมปล่อยผ่านให้มันเกิดขึ้นมา... การหายตัวไปของ 'แตง' ลูกสาวคนโตของเธอ ทำให้ครอบครัวที่เคยอบอุ่น กลายเป๊นอีกหนึ่งครอบครัวที่จำทนอมเศร้าเพียงกับความทรงจำอันเลวร้ายของอดีต... สุนีย์ต้องแบกรับกับความรู้สึกที่ย่ำแย่ของสมาชิกแต่ละคนที่ต่อกันไม่ติด ทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็เหมือนไม่ใช่คนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

สุนีย์ -> กร : พยายามทุกวิธีการที่จะทำให้กรเลิกเจ็บปวดกับความจริงอันเลวร้ายที่ตัวเขาก่อ เธอทำได้โดยไม่เคยสนว่าวิธีนั้น จะทำได้จริงหรือไม่ ...ทั้งๆที่จริงแล้ว เธอเองก็เลือกจะสนแต่การหลอกลวงตัวเองไปวันๆ กับการพร่ำบอกว่า แตง ทำตัวของตัวเองให้ต้องจากพวกเขาไป

'กร' ...ฉากรักของเขาคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เขาเป็นผู้เริ่มก่อโดยมิรู้ตัว... การหายตัวไปของ 'แตง' ลูกสาวคนโตของเขา ทำให้ความสุขที่เคยอบอวลในวันก่อน กลายเป็นวันแห่งความทุกข์ที่ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์... กรยังคงเจ็บปวดกับความคิดและการกระทำของเขา ที่มีส่วนทำให้สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวต้องลาลับ ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ ...นอกเหนือไปจากความผิดติดตัว สิ่งที่เขาเหลืออยู่ในชีวิตนี้ก็มีเพียง 2 สิ่ง คือ เหล้า และอดีต

เขาเลือกเหล้ามากกว่าเมีย และเลือกจะจมกับอดีตมากกว่าการอยู่กับปัจจุบันที่ วันนี้มันควรจะดีกว่าวันนั้น

กร -> จูน : ความรู้สึกดีๆกลับคืนมา เมื่อเขาได้เจอหน้าลูกสาวที่เขารักและรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ...หากแต่ในความจริงแท้ จูน ก็คือ คนอื่นที่ได้รับการว่าจ้างจากสุนีย์และคำขอร้องจากโต้ง ให้มาช่วยบั่นทอนความรู้สึกเศร้าของกรให้ลดน้อยถอยลงไป

'จูน' ...ฉากรักของเธอคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะก่อ หากแต่เธอก็ล่วงเกินทำมันมานาน จนสุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่สายเกินแก้ ...เธอเลือกจะเดินจากครอบครัวออกมา เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตอันน่าจะสุขสบายในเมืองใหญ่ จูนคาดหวังที่จะทำงาน งาน และงาน เพียงเพื่อหวังจะได้ส่งเสียเงินทองไปยังพ่อแม่ที่รอคอยการกลับไปของเธอ ...แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ จูนก็พบว่าไม่ได้มีใครต้องการจะรอคอยเธออีกต่อไปแล้ว และในวันนั้นก็คือ วันที่ทำให้วันนี้ เธอเลือกจะรักตัวเอง มากไปกว่าจะรักใครคนอื่นให้เท่าเทียมคนที่เธอเคยรัก

จูน -> สุนีย์ : ถูกดึงเข้ามาเพื่อต้องการให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวสุนีย์ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ...หากแต่ในทางกลับกันแล้ว จูนกลับเป็นคนที่พยายามดึง สุนีย์ กร และโต้ง ให้กลับมามีความเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ...ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะ ความผิดที่เธอเคยทำให้ครอบครัวตัวเองล่มสลายละมั้ง มันจึงเป็นเหมือนการได้รับโอกาสที่ดีที่จะช่วยแก้ให้ครอบครัวของคนอื่น กลับมาเป็นครอบครัวที่น่ารักเป็นที่สุดอย่างที่เธอพยายามพร่ำบอก

เรื่องราวความรักที่เกี่ยวเนื่องกันของ คนทั้งสาม ทำให้เราได้รู้ว่า ...'ความผิด มันอาจจะได้ชื่อว่าเลวร้าย แต่กระนั้นมันก็ยังจะมีแง่มุมดีๆอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน หากแค่เราสามารถดึงเอาแง่มุมนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์'

ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ มันล้วนแต่มี 2 มุมด้วยกันทั้งนั้น ...ซึ่งในบางสิ่งที่คนมองว่าดี ก็อาจจะกลับกลายเป็นร้ายได้ถ้าเราใช้มันแบบผิดๆ และทางกลับกันกับบางสิ่งที่มันดูแย่ ก็ใช่ว่าจะแย่ไปซะหมด ตราบใดถ้าเราเอาสิ่งที่แย่เหล่านั้น มาแปรรูปให้มันเป็นสิ่งดีๆที่จะช่วยให้ชีวิตเจริญเติบโตขึ้นกว่าเดิม

ยกตัวอย่างเช่น... สิ่้งที่สุนีย์ทำให้กร มันก็ยังอาจจะดูเป็นวิธีการที่เหมือนแก้ไขที่ปลายเหตุอยู่ แต่กระนั้นถ้ามันจะช่วยประคับประคองให้คนรักยังคงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ย่อมดีซะกว่าไม่ยอมทำอะไรเลย
...หรือกับสิ่งที่กรทำให้จูน ก็คือ การสร้างความรู้สึกดีๆที่ช่วยทดแทนความผิดครั้งอดีตที่เธอเคยทำให้พ่อแม่ต้องเจ็บช้ำ กับการได้อยู่ช่วยดูแลรักษา(ที่แลกด้วยอามิตสินจ้าง) นอกไปจากจะทำให้ กร มีชีวิตที่ดีขึ้น (และยังทันเวลาที่จะไม่ทำตัวเองให้ต้องตาย) จูนก็ยังได้ประโยชน์ที่ช่วยลบล้างที่เธอไม่ทันไปดูใจคนที่เธอรักที่สุดได้ทันเวลาเช่นกัน
...หรือกับสิ่งที่จูนทำให้สุนีย์ ที่เหมือนจะเป็นการก้าวก่ายคนอื่นก็เถอะ แต่ถ้าเธอก้าวก่ายแล้วทำให้ครอบครัวของคนอื่นกลับมาปรองดอง รักมั่น เช่นที่เคยเป็นได้ ก็คงจะดียิ่งซะกว่าการยุ่มย่ามแล้วสักแต่มาเอาประโยชน์เพื่อตัวเงินหรือตัวเองเพียงอย่างเดียว เฉกเช่นเดียวกับที่คนบางคนในสังคมนี้คิดอยู่

รักของทุกคน... ใน รักแห่งสยาม เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ มีคุณค่า และช่วยเหลือเพาะบ่มความเป็นคนให้มันเติบโต เปลี่ยนแปลง ทำให้คนหนึ่งคนได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไร ได้เปิดใจที่จะยอมรับในสิ่งที่มันต้องเกิดขึ้น ...ความเป็นไปทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นใน รักแห่งสยาม จึงเป็นเรื่องที่จริงซะยิ่งกว่าจริงในแบบที่มีหนังเพียงน้อยเรื่องที่จะจริงจังและจริงใจกับคนดูได้มากเท่าเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่ได้เห็นได้ชมอยู่นี้

จงรักที่จะเรียนรู้...

บทหนังที่ร่ายกันมาจากข้างบนนั้น อาจจะว่ายอดเยี่ยมในเนื้อหาและการนำเสนอแล้ว ...แต่กับส่วนอื่นๆ ที่รวมเป็นหนังทั้งเรื่อง ก็ไม่ต่่างอะไรกันไปเลย แถมจะส่งเสริมให้หนังที่จริงจัง และจริงใจ เข้มข้น และสนุกน่าติดตาม โดยไม่มีช่วงเวลาใดใน สองชั่วโมงครึ่งอันยาวนาน ที่น่าเบื่อเลย

งานกำกับของคุณมะเดี่ยว ก็เช่นกันกับบท ...นำพาอารมณ์คนดูให้คล้อยไปตามภาพโดยไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกสะดุดตา สะดุดใจ กับจังหวะเรื่องที่เนิบนาบ ก็ไม่ชวนให้อยากหลับ

การแสดงของนักแสดงรุ่นใหม่... ดูใช่ในคาแรกเตอร์ ดูเหมาะกับภาพจำที่ทำให้เราเชื่อในตัวละครที่เขา/เธอเป็น และการแสดงที่เขา/เธอทำ ..."พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล" เป็น มิว ได้น่ารัก หน่อมแน้มได้ใจ แล้วกับฉากที่เป็นดรามาจริงจัง เขาก็เอาได้อยู่ ที่สำคัญ ร้องเพลงเพราะจนอากู๋น่าจะชวนไปทำอัลบั้ม , "มาริโอ เมาเร่อ" เหมือนจะดูแข็งๆ แต่เปลือกนอกที่เห็นก็ทำได้ดูจริง สอดคล้องบทบาท แล้วก็เด็ดขาดกับการใช้สายตา ที่มองมาทีไรก็บริหารหัวใจให้คนดูสาวๆได้ขยับเต้นๆตุ๊บตั๊บ พอๆกันกับหนุ่มๆ(แต๋วแตก) ที่กรี๊ดกร๊าดกันจนน่าหมั่นไส้ (เฮ้อ! ก็ตูมันไม่หล่อเท่าเขาเองนี่) , "ตาล-กัญญา รัตนเพชร์" น่ารักน่าเลิฟมากกับความแก่นๆใสๆของเธอ แต่ที่มากไปกว่าความสวย
ก็คือ ฝีไม้ลายมือความอินที่ไม่ด้อยไปกว่าหน้าตาเลยทีเดียว , "เบสท์-อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์" เป็นคนเดียวของหนังที่ทำได้น่าผิดหวัง ทั้งในแง่ของลักษณะตัวละครที่ต้องว่า สวยเลือกได้ แต่กลับดูธรรมดามากๆที่จะให้หนุ่มๆต้องเหลียวตามอง อยากรักอยากจีบ แล้วกับการแสดงก็ดูจะแข็ง เสียจนชวนหมั่นไส้ในความร้ายกาจที่มีอยู่มิติเดียวของโดนัท

การแสดงของนักแสดงรุ่นใหญ่... ใส่กันเต็มสตรีม อินกันเต็มพิกัด กับบทบาทที่เฉือนกันได้คม เข้มข้นด้วยความเป็นดรามาเรียกน้ำตา ..."นก-สินจัย" แค่หวังจะมาดูพี่เธออย่างเดียว ก็คุ้มค่าเป็นยิ่งๆแล้ว กับคุณภาพตัวแม่ที่เธอยังคงทำให้ประจักษ์ความสุดยอดเหมือนเคย ฉากที่เธอต้องมีน้ำตา ก็ยังกระชากน้ำตาผมได้เช่นกัน , "กบ-ทรงสิทธิ์" อมความทุกข์ไว้ภายในสีหน้าและแววตาได้จริงจัง น่าสงสารและเห็นใจ , "พลอย-เฌอมาลย์" อาจยังไม่ถึงขั้นชั้นเยี่ยมเฉกเช่นสองคนหน้า แต่ความเป็นตัวเธอ ก็สร้างเสน่ห์ และดึงใจคนดูให้มาอยู่กับเธอ ในทุกครั้งที่กล้องจับภาพจูน

เพลงประกอบหนัง (Soundtrack) จากฝีมือเขียนของคุณมะเดี่ยว (ด้วยประสบการณ์ที่เคยเขียนเพลงมาก่อนหน้าจะเขียนหนัง) ก็ล้วนแต่เพราะหมดทุกเพลง แถมยังเหมาะเจาะกับการเอามาใช้ในแต่ละฉากอย่างลงตัว ...กับการถ่ายภาพก็ออกมาดูสวย มีมิติและมุมมองที่แฝงอารมณ์ของฉากนั้นๆให้จับต้องได้ ยิ่งกับฉากต่างๆที่เกิดเหตุในสยามสแควร์ ก็ช่างช่วยยกระดับให้ดูน่าเที่ยวมากกว่าภาพที่เป็นอยู่จริงๆเสียอย่างมากมาย

คนหลายๆคนอาจจะนึกสงสัยว่า ทำไมหนอ ผกก. มะเดี่ยว ถึงต้องตั้งชื่อหนังว่า "รักแห่งสยาม" ทั้งที่ความเป็นจริง หนังมีฉากที่เกี่ยวกับที่นี่ เพียงนานไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ...?

สำหรับมุมมองของผม ผมมองว่า มันเป็นชื่อที่เหมาะที่สุดที่จะเอามาตั้งแล้ว ...เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่าที่นี่ เป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้

การเรียนรู้ในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ การมีมหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดของประเทศตั้งอยู่ข้างๆ ,การมีโรงเรียนที่รวบรวมเด็กหัวกระทิระดับประเทศเกาะอยู่เคียงๆกัน หรือกระทั่งการมีสถาบันกวดวิชามากมายหลายสิบเจ้า มาเปิดหวังพึ่งใบบุญของแหล่งรวมวัยรุ่น ...แต่ผมจะหมายถึงว่าที่นี่ยังเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวความรักมากมายให้เราได้ศึกษาเรียนรู้

คนหนุ่มคนสาว หลายต่อหลายรายมาพบรักกันที่นี่ ...คนหลายคน เชื่อว่าการมาบอกรักกันในบรรยากาศแบบนี้ จะเป็นใจให้อีกฝ่ายยินดีพร้อมรับ ...และกับคนอีกบางคู่ ก็เลือกจะมาทะเลาะ มาตบหน้า หรือกระทั่งขอเลิก ในสถานที่อันแสนวุ่นวายแห่งนี้มาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ...ฉะนั้นแล้ว สยามสแควร์ จึงถือเป็นสถานที่ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักมากมายที่น่าได้มารู้ได้มาลองมอง ก็จะได้เห็นความเป็นจริงของคนในสังคมอันกว้างใหญ่ที่มีต่อมุมมองของคำว่า 'ความรัก'

แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ที่นี่แล้ว มันก็ยังจะมีที่อื่นอีกเช่นเดียวกัน ที่จะมีอะไรแบบนี้ให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้สัมผัส ...ซึ่งที่อื่นที่ว่า มันก็คือ ทุกๆที่ทุกๆแห่งที่อยู่บนโลกกลมๆเบี้ยวๆของเราใบนี้ นี่เอง

และเราพร้อมจะเรียนรู้กับมันได้อยู่เสมอ ในทุกๆที่ ทุกๆเวลา ...ในตราบใดก็ตามที่เรารักที่จะเรียนรู้ เรารักที่จะอยากรู้จักกับมัน ...เรารักใน ความรัก ที่ทำให้เราทุกคนได้เกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ...สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'มนุษย์'

"รักแห่งสยาม" ... หนังรักที่จบลงด้วยความสมบูรณ์แบบของทุกองค์ประกอบ แต่อารมณ์ความรู้สึกของผมและคนดูหลายต่อหลายคนไม่สิ้นสุดลงแค่ตรงนี้ ...และมันจะยังคงรัก ที่จะพูดถึง ที่จะกลับเอามาคิดถึงไปได้อีกเนิ่นนาน ตราบใดก็ตามที่ผมยังรักที่จะเรียนรู้ เรื่องราวของความรัก ที่โลกใบนี้จะสอนให้เราได้รู้อย่างไม่ที่สิ้นสุด

ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A

ส่วนที่ขีดเส้นใต้เน้นข้อความ... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี-ดูด้อยในหนังครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดี มีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมขีดเส้นใต้ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลงความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของ จขกท."

ขอบคุณครับ รักคนอ่าน...




Create Date : 16 มีนาคม 2551
Last Update : 16 มีนาคม 2551 21:25:43 น. 0 comments
Counter : 247 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แดดออก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แดดออก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.