หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
เดียร์ มายลอร์ด...04



เดียร์ เฟรยา

ดอกไม้ที่วังข้างามนัก ข้าจึงสั่งให้คนตัดมาให้เจ้า
เพิ่งสังเกตว่าในวังมีสวนพฤกษศาสตร์ซึ่งมีพืชแปลกๆ เต็มไปหมด

เจ้าสนใจจะมาดูไหม หรือถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะชมห้องหนังสือก็ได้
ห้องหนังสือของวังข้ามีหนังสือจาก...



เฟรยาอ่านจดหมายไม่ทันจบก็ต้องรีบพับใส่ซองเหมือนเดิม ถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้ง บรรยายความโอ่อ่าหรูหราของพระราชวัง
ทุกอย่างล้วนแสดงถึงความหรูหราของเจ้าของจดหมาย...องค์ชายรัชทายาท เฟรยาบอกจนอ่อนใจว่าหล่อนแต่งงานแล้วแต่ดูเหมือนเขาไม่ฟังเสียง


‘เขาว่ากันว่าตอนที่แต่งงานดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทก็เมาสุราอยู่นี่ การแต่งงานที่รวดเร็วราวการกับการเปลี่ยนองค์ของละครเช็คสเปียร์’
องค์ชายรัชทายาทกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ
เฟรยาไม่เข้าใจเลยว่าองค์ชายผู้สูงด้วยยศศักดิ์เช่นเขา จะเขียนจดหมายถึงหล่อนด้วยจิตปฏิพัทธ์ได้อย่างไร แค่เพียงเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง


ครั้งแรกหล่อนนั่งอยู่บนกิ่งต้นแอ๊ปเปิลเพราะแอบคนรับใช้ขึ้นไปเก็บ เฟรยาทำรองเท้าหล่นใส่ศีรษะของเขา ตอนนั้นหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
แถมยังไล่เขาออกจากอาณาเขตคฤหาสน์อีก

ครั้งที่สองก็ริมลำธารตอนที่เฟรยากำลังคุยเล่น กับสาวชาวนาเรื่องระบบการปกครองของประเทศนี้
‘น่าเศร้าจริงๆ ประเทศของเรา กษัตริย์คือหุ่นเชิดของศาสนจักร คำสอนของพระผู้เป็นเจ้านั้นดี แต่มนุษย์ผู้กินแอ๊ปเปิ้ลบาปอย่างเรานี่แหละที่ทำคำสอนเสียไปหมด อาศัยช่องทางหาประโยชน์ให้ตัวเอง’


ตอนนั้นหัวข้อสนทนากำลังกล่าวถึงการล่าแม่มด ซึ่งแพร่กระจายราวกับเชื้อโรคร้าย
‘ทำไมนะจึงมีแต่ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ทั้งๆ ที่คนทำชั่วแล้วสำเร็จจริงๆ น่ะ คือเพศชายเสียมากกว่า’


‘แต่ต้นเหตุที่ทำให้อดัมกินแอ๊ปเปิ้ลก็เพราะคำชวนของอีฟนี่’
นั่นเป็นคราวที่ได้ปะทะคารมหนักๆ กับเขาอีกคราวหนึ่ง แล้วก็ครั้งสุดท้ายที่หล่อนได้รู้ว่าเขาเป็นองค์ชายก็คือ

ตอนที่มีการจับตัวหญิงชราอัปลักษณ์คนหนึ่งในตลาด โดยกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
ทหารจะจับนางไปลงโทษท่าเดียวเพราะคำปรักปรำของสาธุคุณรูปหนึ่ง ไม่มีใครคิดจะสอบสวนอะไรเลย
พอหล่อนไปช่วยไว้ด้วยความสงสารก็โดนสาธุคุณรูปนั้นตำหนิไปด้วย


‘อะไรกัน บ้านเมืองมีกฎ ไม่ใช่ว่าพูดว่าผิดแล้วคนโดนกล่าวหาจะต้องโดนลงโทษเลยเสียหน่อย’
ผู้คนย่อตัวลงทำความเคารพเขา เฟรยาจึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
‘ข้าชอบเจ้าจริงๆ เฟรยา เจ้าฉลาดมีความคิดต่างจากหญิงทั่วไป’
เขาชมยิ้มๆ


‘ผู้หญิงทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละเพคะ องค์ชาย’
หล่อนตอบเสียงเรียบ ระมัดระวังคำพูดเต็มที่เพราะเคยได้ยินข่าวลือมาหนาหูนักว่าองค์ชายรัชทายาทเจ้าชู้ และก็เป็นจริงเสียด้วย...

เขามาวนเวียน ใกล้ชิด ส่งดอกไม้มาให้ ส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยถ้อยคำหวานหยด แต่แปลกเฟรยากลับไม่รู้สึกใจเต้นเลย
หล่อนชอบจดหมายสั้นๆ ของ ‘มายลอร์ด’ จากสนามรบมากกว่า


เฟรยาเคยถามเขาตรงๆ เรื่องความเจ้าชู้ องค์ชายรัชทายาทเพียงแต่ตอบสีหน้าเศร้าๆ
‘ก็อย่างที่เจ้าเคยว่าไว้นั่นและเฟรยา กษัตริย์คือหุ่นเชิดของศาสนจักร แต่ยังดีที่หุ่นเชิดตัวนี้มียศศักดิ์ มีทรัพย์สมบัติ คนรอบข้างเข้ามาใกล้ชิดข้าเพราะเหตุนี้’
ฟังเช่นนี้แล้วหล่อนก็ได้แต่ทอดถอนใจ

ความทุกข์นี่ช่างยุติธรรมเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นยาจกยากไร้หรือแม้แต่กษัตริย์
ทุกคนมีความทุกข์กันทั้งนั้น คนละแบบ คนละเรื่อง แต่ทำให้จิตใจเศร้าหมองได้เหมือนกัน


“ท่านเฟรยาคะ มีจดหมายถึงท่านค่ะ”
หญิงรับใช้พานายทหารผู้หนึ่งเข้ามาด้วย เฟรยารีบเก็บจดหมายจากองค์รัชทายาทโดยพลัน

ตอนนี้ผู้คนในคฤหาสถ์หรือแม้แต่ในอาณาเขตของดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ท ทุกคนสมัครใจจะเรียกหล่อนว่า ‘ท่านเฟรยา’ กันหมด
เพราะความเอื้ออารีของหล่อนนั่นเอง


เดียร์ มายเลดี้

เจ้าสบายดีไหม ที่เมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ข่าวว่าเจ้าพบกับองค์ชายรัชทายาทบ่อยครั้ง หมายความว่าอย่างไร

เดวิส



หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีเมื่ออ่านจดหมายด่วนจบ แล้วก็กลับมาน้ำตาซึมนิดๆ
เขาเรียกหล่อนว่า...มายเลดี้ ถ้อยคำที่บุรุษสูงศักดิ์ใช้เรียกภรรยาของตนเอง


“ท่านเดวิสแจ้งว่าให้ท่านเขียนตอบทันทีเลยครับ”
ทหารสำทับด้วยถ้อยคำของเจ้านายที่ส่งผ่านมา เฟรยาใช้นิ้วกรีดน้ำตาถอนหายใจอีกครั้ง

ข่าวลือนี่ช่างแพร่สะพัดได้ไกลเหลือเกิน ราวกับลมในอากาศ พัดไปทางโน้นที ทางนั้นที ทั้งๆ ที่เป็นข่าวไร้สาระ
องค์รัชทายาทแม้จะรูปงามแต่ก็ไม่ทำให้ใจเต้นเท่าเจ้าของจดหมายฉบับบนี้หรอก



เดียร์ มายลอร์ด

ข้าสบายดีเช่นเดียวกันค่ะ สำหรับคำถามของท่าน ข้ารู้จักกับองค์ชายรัชทายาทก็จริงอยู่ แต่เป็นไปแบบผิวเผินเท่านั้น

องค์ชายท่านชอบสตรีโฉมงาม ไยเลยจะมาแลข้า คำสาบานในพิธีแต่งงานของเรายังก้องอยู่ในหัวข้าเสมอ
ขอท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ข้าห่วงท่านเสมอ

เฟรยา




หลังเขียนจดหมายจบ หล่อนเอาเครื่องหอมจากโพ้นทะเลสองสามอย่างใส่ลงไปในจดหมาย ก่อนที่จะส่งให้ทหารเอากลับไปยังสนามรบ
ส่วนจดหมายที่ระบุว่า...เดียร์ มายเลดี้ เฟรยาจะเอาเก็บไว้ใต้หมอน หวังว่าความหวานของคำนี้จะกล่อมหล่อนให้นอนหลับฝันดี


“เจ้าชื่อนางรึ...เจ้าเชื่อนาง”
เฮนรี่และริชาร์ดร้องเมื่อเขาเล่าเนื้อความในจดหมายให้ฟัง
“ใช่! ทำไมข้าจะต้องไม่เชื่อด้วยล่ะ ก็ในเมื่อนางเป็นเมียข้า สามีภรรยาควรเชื่อใจกันมิใช่รึ?”
เดวิสตอบเต็มปากเต็มคำ
“แต่ว่าองค์ชายรัชทายาทเคยแย่งเจเน...”
เฮนรี่กำลังจะพูดถึงเลดี้เจเนเวียอดีตคนรักเก่า ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทมองคนพูดด้วยสายตากร้าว


“เฮนรี่ นางไม่เหมือนกับเจเนเวีย เฟรยาแตกต่างกับเจเนเวียมาก”
ใช่แล้ว! นางแตกต่างจากเจเนเวียจริงๆ ทหารของเขาที่ไปส่งจดหมายเล่าว่าเฟรยาผมดำ ดวงตาก็สีดำ ใบหน้าสดใส
หล่อนผิวขาวราวกับหิมะ จิตใจก็ดีงาม


‘นางถามว่าข้าเหนื่อยไหมที่ขี่ม้ามาทั้งคืน นางจัดอาหารอย่างดีให้ข้า มีของฝากมาให้หลายอย่าง
นอกจากนั้นนางยังพาลูกเมียข้ามาเจอด้วย คนในคฤหาสน์ล้วนรักนางทั้งนั้น’
เดวิสฟังแล้วอยากเจอกับเฟรยาเหลือเกิน ตอนนี้ในหัวของเขามีความคิดคำนึงถึงนางวุ่นวายเต็มไปหมด


ดยุคหนุ่มรู้สึกราวกับตกหลุมรัก ...รักผู้หญิงที่จำหน้าแทบไม่ได้ เขารู้จักนางผ่านเพียงตัวอักษร รู้จักนางจากคำบอกเล่าของคนอื่น
แต่กระนั้นความรักก็ยังส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นมาให้เขาเสน่หา
เฟรยา...ทำอย่างไรหนอจึงจะได้เจอ เดวิสพร่ำถามกับตัวเองทุกครั้งยามอ่านจดหมายจากหล่อน
ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมประหลาดจากพืชพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นต้น เขากำลังอยู่ในห้วงรักกับภรรยาตนเอง


“เดวิส”
สองสหายร่วมรบเฮนรี่และริชาร์ด รีบเข้ามาในเต็นท์พักทันทีเมื่อเขากลับจากลาดตระเวนในบ่ายวันหนึ่ง มือของทั้งสองมีจดหมาย
เดวิสนิ่วหน้านึกใจใจว่าเพื่อนคงไม่ได้แอบเปิดอ่านจดหมายเฟรยาของเขา
“ภรรยาเจ้าถูกจับ นางถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด!”


เฟรยาถูกจับขังคุกมืดๆ แห่งนี้มาสามวันแล้ว เสื้อผ้ากรุยกรายของหล่อนเปลี่ยนเป็นสีมอซอ
ผมที่เคยดำยาวนั้นถูกกร้อนจนโล่งเลี่ยนเพื่อหาสัญลักษณ์แม่มดอันเป็นการทำสัญญากับซาตาน ตามเนื้อตัวมีร่องรอยการทรมาน
เล็บมือแตกเพราะถูกตอกและเต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง


‘นางใช้เวทมนตร์ล่อลวงองค์ชายรัชทายาท รวมถึงดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทด้วย’
ชายในชุดนักบวชกล่าวหาหล่อน คนเหล่านี้เป็นหนึ่งในคณะสำนักศักดิ์สิทธิ์ (INQUISITION)ซึ่งแต่งตั้งโดยองค์สันตะปาปา
คณะปราบปรามถูกตั้งขึ้นหลังจากเกิดเรื่องที่ชาวเมืองอัลบิ (Albi) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
เบื่อหน่ายคริสตจักรและหันไปแสวงหาแสวงหาสัจธรรมในลัทธิที่เรียกว่า ‘คาธาริ’
การเปลี่ยนไปนับถือลัทธิอื่นเป็นสิ่งที่สันตะปาปาแห่งกรุงโรมยอมไม่ได้
หลังจากปราบปรามพวกนอกลัทธิแล้วการล่าแม่มดก็เป็นงานต่อไป


‘ไม่จริง ข้าไม่ใช่แม่มด’
หญิงสาวร้องบอกคนสอบสวนจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยหล่อน
ผู้คนในคฤหาสน์ก็ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน เพราะกลัวจะโดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดตามไปด้วย
คนที่โดนข้อหานี้มักมีจุดจบที่ความตายอย่างทรมานทั้งสิ้น นี่เฟรยาจะต้องจบชีวิตลงด้วยความผิดที่ตนไม่ได้ก่อกระนั้นหรือ


เรื่องมันเริ่มจากจู่ๆ วันหนึ่งองค์ชายรัชทายาทก็รีบร้อนมาหาหล่อนที่คฤหาสน์
‘หนีไปด้วยกันเถอะเฟรยา ข้ารักเจ้านะ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทบังคับแต่งงาน
ข้าเข้าใจดี เพราะว่าท่านพ่อก็กำลังจะบังคับข้าแต่งงานกับเจ้าหญิงจากอาณาจักอื่นเหมือนกัน’
แม้หล่อนจะทั้งปฏิเสธทั้งร้องไห้อ้อนวอนว่าหล่อนไม่ไป แต่เจ้าชายรูปงามก็ไม่สน รวบตัวเฟรยาขึ้นม้าท่ามกลางสายตาคนรับใช้มากมาย
ทว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะเกรงจะถูกเจ้าชายลงโทษ


เขาพาหล่อนไปได้ไม่ไกลกลุ่มทหารและนักบวชก็มาดักรออยู่ที่หน้าคฤหาสน์
หล่อนถูกจับตัวขังคุก ทรมานให้รับว่าเป็นแม่มด
ส่วนองค์ชายถูกขังอยู่ในปราสาทเพื่อชำระล้างมลทินจากอำนาจมืดซึ่งนักบวชกล่าวหาว่ามาจากหล่อน


“เป็นอย่างไรบ้างนังแม่มด ทรมานเพราะอำนาจความบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ล่ะสิ”
คนเข้ามาใหม่เป็นชายในชุดนักบวชที่กล่าวหาหล่อนในห้องสอบสวนนั่นเอง
“ที่ข้าทรมานเพราะความอคติของพวกท่านต่างหากล่ะ ท่านกล่าวหาข้าลอยๆ พวกท่านทุกคนล้วนโกหก หลักฐานว่าข้าเป็นแม่มดก็ไม่มี”
เฟรยาก่นร้องด้วยเสียงแหบแห้ง


“หุบปากเสีย นังผู้หญิงนอกศาสนา หลักฐานคือมนต์เสน่ห์ที่เจ้าหลอกลวงผู้ชายอย่างไรเล่า
ใครๆ เขาก็รู้ว่าเจ้ามีใจฝักใฝ่ในพืชประหลาด อ่านหนังสือของพวกนอกรีต เจ้าเคยแม้กระทั่งส่งพืชของซาตานไปให้ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทที่สนามรบ”
คนพูดบอกด้วยเสียงเยาะเย้ย ดวงตานั้นแวววาวกระหายเลือดผิดวิสัยผู้รับใช้ที่ดีของพระเจ้า


“ไม่จริง นั่นเป็นพืชบำรุงร่างกาย ถ้าไม่เชื่อข้าจะหาหนังสือมายืนยัน”
“หนังสือของพวกนอกรีตเชื่อถือไม่ได้ ล้วนแต่เป็นถ้อยคำที่บิดเบือนประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”
“แต่ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทกินแล้วก็ไม่เป็นไร เขายังคงแข็งแรงอยู่นี่”
เดวิสยังสบายดีจนเขียนจดหมายมาถามข่าวคราวหล่อนอยู่เลย


“ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทน่ะรึ”
ชายในชุดนักบวชแค่นเสียง
“เขาก็ต้องถูกสอบสวนเช่นเดียวกัน ในฐานะที่รับแม่มดอย่างเจ้าเป็นภรรยา”
“ไม่จริง! ข้าไม่ใช่แม่มด เขาไม่ได้รับแม่มดเป็นภรรยา”
หล่อนกรีดร้องปฏิเสธด้วยแรงทั้งหมดที่มี


“ช่างน่าเศร้าจริงๆ เกียรติของตระกูลโบฟอร์ตที่สั่งสมมานานกลับต้องมามัวหมองเพราะเจ้าคนเดียว คนในตระกูลนั้นจะต้องถูกสอบสวนทั้งหมด”
เฟรยาตกตะลึงเมื่อรับรู้ว่าการถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดของหล่อน จะส่งผลกระทบกับตระกูลของสามีอย่างใหญ่หลวง
“ตระกูลของสามีเจ้าเป็นตระกูลใหญ่รับใช้กษัตริย์มานาน แล้วตอนนี้เป็นช่วงทำศึกอยู่ด้วย กษัตริย์คงยังไม่อยากทำอะไรเขา แต่ต่อไปนั้นไม่แน่”
“ท่านหมายความว่ายังไง...”


ยอมรับเสียว่าเจ้าเป็นแม่มด ยอมรับว่าเจ้าหลอกลวงเขา แล้วสามีเจ้ารวมถึงเครือญาติเขาจะรอดจากการลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า”
ชายคนนั้นเชิดหน้าขึ้นราวกับจงใจจะพูดกับพระเจ้าผู้อยู่เบื้องบน
“ท่านช่างสกปรกจริงๆ สุดท้ายก็ต้องการแค่ให้ข้ายอมรับข้อกล่าวหา”
หญิงสาวบริภาษ นึกดูแคลนคนเหี้ยมโหดที่เอาศาสนามาบังหน้าแล้วยังเอามาต่อรองกับชีวิตคนในตระกูลของสามีหล่อนอีก


“หยุดเถียงกับข้าเสียทีนังแม่มด ข้าเสนอทางเลือกให้เจ้าแล้ว เจ้าจะยอมถูกตัดสินคนเดียวหรือจะให้ตระกูลโบฟอร์ต
หรือแม้กระทั่งผู้คนในคฤหาสน์ซอมเมอร์เซ็ทโดนลงทัณฑ์ไปด้วย”
เขาสั่งเสียงเฉียบขาด

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าคิดนะนังแม่มด เพราะเจ้ายังถือว่าเป็นภรรยาของดยุคผู้สูงศักดิ์ จะยอมรับว่าเป็นแม่มดแล้วถูกเผาไฟ หรือจะยืนยันที่จะโกหกต่อไปเพื่อจะให้คนรอบข้างถูกสอบสวนไปด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้าถึงในเย็นวันนี้ ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ตเป็นคนมีฝีมือในการรบกษัตริย์จึงไม่อยากฆ่าเขาถ้าไม่จำเป็น”


ร่างของนักบวชนั้นเดินออกไปพร้อมกับประตูห้องขังที่ปิดลง เหลืออีกไม่ถึงสามชั่วโมงเวลาเย็นย่ำที่หล่อนจะถูกตัดสินประหาร
กลิ่นแห่งความตายลอยวนเวียนไปทั่วบริเวณ เฟรยาเดินไปที่มุมห้อง ซุกกายที่เจ็บปวดเพราะถูกทรมานกับกำแพงหินอันอับชื้น

หญิงสาวกำลังคิดว่าเหตุใดชะตากรรมจึงได้โหดร้ายกับหล่อนเช่นนี้
พระเจ้าก็ด้วย ...ใยจึงหยิบยื่นความตายและข้อกล่าวหาไม่เป็นธรรมมาให้ ทางเลือกมีแต่สองทางแต่ผลลัพท์เหมือนกันคือความตาย
เฟรยานั้นต้องตายอยู่แล้ว แต่หล่อนไม่อยากรับคำกล่าวหาว่าเป็นแม่มด หากไม่ยอมรับคนทั้งคฤหาสน์รวมถึงท่านดยุคก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในห้องขังครุ่นคิดถึงคำตอบของอีกสามชั่วโมงข้างหน้า


“เฟรยา!”
เสียงเรียกที่คุ้นหูดังมาจากนอกห้องขัง
“เฟรยาข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
องค์ชายรัชทายาทยืนอยู่ด้านนอก
“ท่านเข้ามาได้อย่างไรองค์ชาย เวรยามแน่นหนาขนาดนี้”
เฟรยาเดินอย่างอ่อนเพลียไปเกาะที่ประตูห้องขัง สภาพหล่อนที่เจ้าชายรูปงามเห็นทำให้เขาอุทานอย่างตกใจ


“ชั่วร้ายจริงๆ คนพวกนี้ทำร้ายผู้หญิงอย่างเจ้าได้ มาเถอะ! หนีไปกับข้านะเฟรยา”
เขาอ้อนวอน ใจหนึ่งหล่อนก็ดีใจที่มีคนมาช่วยแต่อีกใจหนึ่งก็กระหวัดคิดถึงสามี
“หากข้าหนีไปกับท่านแล้วเดวิสสามีข้าล่ะ”
“เจ้ายังคิดถึงเขาอยู่อีกรึเฟรยา!”
เจ้าชายหนุ่มเสียงเข้ม เม้มปากไม่สบอารมณ์
“เขาไม่มีทางมาช่วยเจ้าได้หรอก โดเนวิลล์อยู่ตั้งไกล แม้จะควบม้าเร็วเท่าไรก็คงมาถึงตอนดึก ตอนนี้เจ้าหนีไปกับข้าเถอะเฟรยาข้าจะปกป้องเจ้าเอง”


หล่อนเกาะลูกกรงนิ่งงัน
“ถ้าข้าหนีไปกับท่าน ...ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“เราจะหนีไปด้วยกัน ข้ามีญาติสนิทคนหนึ่งอยู่อาณาจักรอันห่างไกลจากที่นี่มาก รับรองไม่มีใครตามเราเจอ”
“แล้วผู้คนที่นี่ล่ะ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ของท่าน บัลลังค์ของประเทศนี้ใครจะครอง”
“ช่างมันประไร!”
ชายหนุ่มเสียงฉุนเฉียว


“ทุกคนล้วนเป็นหมากในเกมเมืองที่จะคานอำนาจกับคริสตจักรทั้งนั้น เจ้ารู้ไหมแม้แต่เจ้าเองก็เป็นตัวหมาก
ความตายของเจ้าคือการต่อรองกับดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ท เขามีอำนาจมากเกินไป การบที่ชายแดนทำให้แม่ทัพทั้งหลายชื่นชมเขามาก
ท่านพ่อข้าขี้ขลาดจึงเชื่อคำพูดของเจ้าพวกนักบวชนั่นที่ยุให้จับเจ้ามา หากเขามาช่วยเจ้าจริงๆ ก็ถือว่าเป็นความผิดที่ละเลยหน้าที่ในการบ
เขาจะถูกลงโทษบางทีอาจจะรวมถึงตระกูลโบฟอร์ตทั้งตระกูลด้วย”
เฟรยารู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบกับความจริงที่ได้รู้


“ไม่จริง...”
“จริงอย่างยิ่งนะเฟรยา หนีไปกับข้าเถอะ เขาอาจจะมาช่วยเจ้าในฐานะที่เป็นดยุค ...เพื่อรักษาเกียรติแห่งสามี
แต่ข้ามาช่วยเจ้าในฐานะคนหลงรักเจ้าสุดหัวใจ”
ผู้ชายตรงหน้าบอกด้วยแววตาแห่งรักอันเปี่ยมล้น แต่ความรักของเฟรยากลับบินไปหาชายอีกคนหนึ่ง


“ท่านช่างตามืดบอดเสียจริงๆ นะเจ้าชาย หลงในมนต์มายาของนังแม่มดนี่อยู่ได้”
ชายในชุดนักบวชบริภาษเสียงก้อง เขากลับเข้ามาในห้องขังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามาล้อมจับตัวเจ้าชายได้อย่างง่ายดาย
“พาตัวเจ้าชายกลับปราสาท ขังไว้ให้นักบวชไปสวดชำระล้างจิตใจด้วย”
เขาสำทับก่อนที่จะมองหล่อนอย่างหมิ่นๆ
“ฤทธิ์มากจริงนะนังแม่มด ถึงขนาดให้เวทมนตร์หลอกให้เจ้าชายมาช่วย
รู้เอาไว้เถอะนะว่าถ้าเจ้าหนีออกไปคนในตระกูลโบฟอร์ตแล้วก็คฤหาสน์ซอมเมอร์เซ็ททั้งหมดจะถูกสอบสวน
เอาล่ะ! ข้ารู้สึกว่าจะให้เวลาเจ้าคิดนานไปหน่อยนะนังแม่มด”


“ข้าไม่ใช่แม่มด!”
“ก็ได้... งั้นข้าจะทหารจับคนในคฤหาสน์นั้นมาสอบสวนทั้งหมด!”
นักบวชลากเสียง แต่ปลายประโยคนั้นกลับเหี้ยมโหด
“ชั่วช้าที่สุด ท่านเป็นสาวกของพระเจ้าแน่หรือไยจึงโหดร้ายเช่นนี้”


“หุบปากเสียนังแม่มด พวกข้าเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงที่คอยต่อกรกับพวกซาตานทำลายศาสนาอย่างเจ้าต่างหากล่ะ”
สาวกพระเจ้าแต่การกระทำป่าเถื่อนเสียงกร้าวกับหล่อน
“เวลาคิดของเจ้ามีถึงเย็นนี้ คิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะยอมรับความจริงที่เจ้าเป็นแม่มดหรือไม่ แค่เจ้ายอมรับ หนทางการความดีเพื่อพระผู้เป็นเจ้าก็เปิดแล้ว”
ประตูห้องขังปิดลงอีกครา พร้อมกับร่างหล่อนที่ร่วงรูดกราวลงที่พื้น เฟรยาปิดเปลือกตาลงรู้สึกถึงน้ำตาที่รินไหลและการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของ ชีวิต


“ท่านผู้คุม”
เฟรยาเอ่ยปากด้วยเสียงที่อ่อนล้าเมื่อใกล้จะถึงเวลาเย็น ผู้คุมเดินมาอยู่หน้าห้องขังตามเสียงเรียก
“ข้าขอกระดาษกับปากกาหน่อยได้ไหม ข้าจะเขียนจดหมายถึงสามีข้า”
ผู้คุมมองหล่อนด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น
“ข้าขอร้องล่ะ คำขอร้องจากภรรยาคนหนึ่ง ท่านมีภรรยาไหม ท่านคิดถึงนางหรือเปล่า
ความคิดถึงภรรยาท่านนั้นก็เหมือนความคิดถึงที่ข้ามีต่อสามี ได้โปรดให้ข้าเขียนจดหมายด้วยเถิด”


หญิงสาวจรดปากกาขนนกวาดหมึกเป็นตัวอักษรลงบนจดหมายฉบับสุดท้ายแห่งชีวิต
ยามที่คิดถึงความสุขยามได้เขียนจดหมายโต้ตอบกับสามีดูเหมือนจะทำให้หล่อนลืมความเจ็บทรมานจากร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผล
หรือแม้กระทั่งเล็บที่ถูกตอก เลือดแห้งเกรอะกรังหล่นลงบนกระดาษ เฟรยาต้องคอยปัดมันออกอยู่เรื่อย รวมถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมาบ่อยๆ


เดียร์ เดวิส

เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้หลายอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม อย่างหนึ่งคือข้าคงไม่มีชีวิตอยู่
ข้าเรียกท่านว่าเดวิสเพราะข้าเพิ่งยอมรับว่าตนเป็นแม่มดที่ล่อลวงท่านให้แต่งงานด้วย
แม่มดชั่วช้าตามสายตาคนอื่นคงไม่อาจจะเป็นเลดี้ของดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ท ข้าจึงไม่อาจเอื้อมเรียกท่านว่ามายลอร์ดอีกต่อไป


เดวิสสิ่งหนึ่งทีข้าเสียใจเหลือเกินคือเรามีโอกาสสนทนากันน้อยเหลือเกิน เรารู้จักกันเพียงทางจดหมาย แต่ข้าพอจะเดานิสัยท่านออก
ท่านคงจะเป็นคนพูดน้อย เพราะท่านตอบจดหมายมาเพียงสั้นๆ ท่านชอบม้าแล้วก็หัวดื้อเหมือนเจ้าแอนโดรเมด้า
เพราะข้าสังเกตว่าม้าที่คอกของท่านจะนิสัยพยศดื้อดึง ปราดเปรียว เกือบทั้งหมด โดยที่มีเจ้าแอนโดรเมด้าเป็นจ่าฝูง


ท่านชอบดื่มเหล้ามากเพราะเวลาข้าไปที่ร้านขายเหล้าของเลโอ เขามักจะอวดเสมอว่าเหล้าชนิดนี้ท่านชอบ ชนิดนั้นท่านชอบ
จนบางครั้งกลายเป็นว่าท่านชอบเหล้าทั้งหมดในร้านเลยทีเดียว การพูดคุยและคิดถึงเรื่องของท่านเป็นสิ่งที่สนุกมาก


ข้ามีความสุขราวกับท่านมาอยู่ใกล้ตลอดเวลา ความคิดคะนึงหาเช่นนี้ข้าคิดว่าบางทีอาจจะเป็นความรัก
เดวิส ...โปรดอภัยให้ข้าเถิดหากข้าจะสารภาพว่าข้าไม่รู้จักความรักกับชายใด จนกระทั่งได้รับจดหมายตอบจากท่าน


ชีวิตที่ลำเค็ญพรากความอ่อนหวานไปจากชีวิตข้า เวลาที่อ่านหนังสือบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจถ้อยคำว่ารักที่ตัวละครเอ่ยออกมา
การมาพบกับท่านจึงเหมือนความฝันที่แสนสุข จนข้าสามารถเรียกท่านได้อย่างเต็มปากว่า ‘ที่รัก’

ลาก่อนเดวิสที่รักของข้า

เฟรยา



เวลาเย็นมาถึงแล้ว พระอาทิตย์ราแสงลง เหมือนกับดวงไฟแห่งชีวิตที่ริบหรี่ของหล่อน ชายในชุดนักบวชกลับมาอีกครั้งพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่ง
เฟรยาถูกพาออกไปนอกคุก ลานประหารหล่อนมีเสาอยู่สามต้น มีหญิงสองคนในสภาพไม่ต่างกับหล่อนถูกมัดไว้อยู่แล้ว
ผู้คนมายืนดูการประหารแม่มดเป็นวงกว้างรอบลานประหาร
เสียงก่นด่าและร้องเรียกหาความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าหลุดออกมาจากปากชาวบ้านหลายคน


เฟรยาโดนจับมัดเป็นคนสุดท้าย กองฟางขยับเข้ามาใกล้ปิดบังทางหนีทั้งหมด
นักบวชเริ่มสรรเสริญสดุดีพระเจ้า ร่ายความชั่วช้าของซาตานที่ล่อลวงมนุษย์
ประกาศการกระทำอันเป็นเท็จว่าหล่อนกับผู้หญิงที่ถูกมัดอยู่อีกสองคนทำสัญญากับซาตาน
ไฟถูกจุดขึ้นบนกองฟาง เสียงร้องระงมของผู้คนรอบลานประหาร
หนึ่งในนั้นเฟรยาจำได้จากสติที่เริ่มเลือนเพราะความทรมานจากไฟว่าคือคนจากคฤหาสน์ซอมเมอร์เซ็ต
“ท่านเฟรยา...”


หล่อนยิ้มให้อย่างเซียวๆ ความร้อนของเปลวไฟยิ่งมากขึ้นและแผดเผาให้ปวดแสบปวดร้อน
หญิงสาวกัดฟันข่มความเจ็บปวดเสียจนรู้สึกว่าฟันของตนเองคงผสมเป็นเนื้อ เดียวกับเหงือกแล้ว ทันใดนั้นหูหล่อนก็ได้ยินเสียงห้าวๆ เสียงหนึ่ง
“เฟรยา!”
เขาตัวสูง ผมสีทอง ตาสีเขียว ชุดนักรบสีดำสนิทที่เขาใส่ยิ่งทำให้น่าเกรงขามเข้าไปใหญ่


“เดวิส...”
น่าแปลกที่สมองหล่อนยังไม่ละลายไปกับเปลวไฟจึงจำได้ว่าเป็นเขา
“เฟรยา!”
เดวิสพุ่งเข้ามาหา ทหารของนักบวชคนนั้นชักดาบขึ้นมาขวาง
เฟรยาเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าสามีตนเองเก่งกาจในการบขนาดไหน เขาสู้กับคนเป็นสิบได้อย่างอาจหาญ


“เดวิส...อย่าเข้ามา”
หญิงสาวไม่รู้ว่านั่นเป็นคำพูดของตนเองหรือเป็นจินตนาการจากสติที่กำลังลางเลือนจากความทรมานของเปลวไฟกันแน่
หล่อนดีใจที่ได้พบเดวิสในแม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต


“เฟรยา!”
ไฟยิ่งสูงขึ้นจนหล่อนไม่เห็นคนรอบข้าง สีแดงอมส้มของมันเริงระบำราวกับเป็นภูตพรายในหนังสือที่หล่อนเคยอ่าน
กลิ่นเนื้อไหม้ลอยคลุ้ง ความเจ็บปวดกำลังจะลามมาถึงหัวใจ
ลาก่อนท่านดยุคที่รัก...นั่นคือสำนึกสุดท้ายก่อนที่เปลวไฟจะผนึกร่างกายท่อนบนของหล่อน




ตอนก่อนๆ จ้ะ


เดียร์ มายลอร์ด
//www.sirinda-stories.net/storyboard_show.php?qNo=18612
เดียร์ มายลอร์ด...2
//www.sirinda-stories.net/storyboard_show.php?qNo=18619
เดียร์ มายลอร์ด...3
//www.sirinda-stories.net/storyboard_show.php?qNo=18689

+++++++++++++++++++++++++++



เดียร์ เฟรยา

ดอกไม้ที่วังข้างามนัก ข้าจึงสั่งให้คนตัดมาให้เจ้า เพิ่งสังเกตว่าในวังมีสวนพฤกษศาสตร์ซึ่งมีพืชแปลกๆ เต็มไปหมด
เจ้าสนใจจะมาดูไหม หรือถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะชมห้องหนังสือก็ได้
ห้องหนังสือของวังข้ามีหนังสือจาก...


เฟรยาอ่านจดหมายไม่ทันจบก็ต้องรีบพับใส่ซองเหมือนเดิม ถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้ง บรรยายความโอ่อ่าหรูหราของพระราชวัง
ทุกอย่างล้วนแสดงถึงความหรูหราของเจ้าของจดหมาย...องค์ชายรัชทายาท เฟรยาบอกจนอ่อนใจว่าหล่อนแต่งงานแล้วแต่ดูเหมือนเขาไม่ฟังเสียง


‘เขาว่ากันว่าตอนที่แต่งงานดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทก็เมาสุราอยู่นี่ การแต่งงานที่รวดเร็วราวการกับการเปลี่ยนองค์ของละครเช็คสเปียร์’
องค์ชายรัชทายาทกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ
เฟรยาไม่เข้าใจเลยว่าองค์ชายผู้สูงด้วยยศศักดิ์เช่นเขาจะเขียนจดหมายถึงหล่อนด้วยจิตปฏิพัทธ์ได้อย่างไร
แค่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง


ครั้งแรกหล่อนนั่งอยู่บนกิ่งไม้ทำรองเท้าหล่นใส่ศีรษะของเขา ตอนนั้นหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
แถมยังไล่เขาออกจากอาณาเขตคฤหาสน์อีก ครั้งที่สองก็ริมลำธารตอนที่เฟรยากำลังคุยเล่นกับสาวชาวนาเรื่องระบบการปกครองของประเทศนี้


‘น่าเศร้าจริงๆ ประเทศของเรา กษัตริย์คือหุ่นเชิดของศาสนจักร คำสอนของพระผู้เป็นเจ้านั้นดี
แต่มนุษย์ผู้กินแอ๊ปเปิ้ลบาปอย่างเรานี่แหละที่ทำคำสอนเสียไปหมด อาศัยช่องทางหาประโยชน์ให้ตัวเอง’
ตอนนั้นหัวข้อสนทนากำลังกล่าวถึงการล่าแม่มด ซึ่งแพร่กระจายราวกับเชื้อโรคร้าย
‘ทำไมนะจึงมีแต่ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ทั้งๆ ที่คนทำชั่วแล้วสำเร็จจริงๆ น่ะ คือเพศชายเสียมากกว่า’


‘แต่ต้นเหตุที่ทำให้อดัมกินแอ๊ปเปิ้ลก็เพราะคำชวนของอีฟนี่’
นั่นเป็นคราวที่ได้ปะทะคารมหนักๆ กับเขาอีกคราวหนึ่ง แล้วก็ครั้งสุดท้ายที่หล่อนได้รู้ว่าเขาเป็นองค์ชายก็คือ
ตอนที่มีการจับตัวหญิงชราอัปลักษณ์คนหนึ่งในตลาด โดยกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
ทหารจะจับนางไปลงโทษท่าเดียวเพราะคำปรักปรำของสาธุคุณรูปหนึ่ง ไม่มีใครคิดจะสอบสวนอะไรเลย
พอหล่อนไปช่วยไว้ด้วยความสงสารก็โดนสาธุคุณรูปนั้นตำหนิไปด้วย


‘อะไรกัน บ้านเมืองมีกฎ ไม่ใช่ว่าพูดว่าผิดแล้วคนโดนกล่าวหาจะต้องโดนลงโทษเลยเสียหน่อย’
ผู้คนย่อตัวลงทำความเคารพเขา เฟรยาจึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
‘ข้าชอบเจ้าจริงๆ เฟรยา เจ้าฉลาดมีความคิดต่างจากหญิงทั่วไป’
เขาชมยิ้มๆ


‘ผู้หญิงทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละเพคะ องค์ชาย’
หล่อนตอบเสียงเรียบ ระมัดระวังคำพูดเต็มที่เพราะเคยได้ยินข่าวลือมาหนาหูนักว่าองค์ชายรัชทายาทเจ้าชู้ และก็เป็นจริงเสียด้วย...
เขามาวนเวียน ใกล้ชิด ส่งดอกไม้มาให้ ส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยถ้อยคำหวานหยด แต่แปลกเฟรยากลับไม่รู้สึกใจเต้นเลย
หล่อนชอบจดหมายสั้นๆ ของ ‘มายลอร์ด’ จากสนามรบมากกว่า


เฟรยาเคยถามเขาตรงๆ เรื่องความเจ้าชู้ องค์ชายรัชทายาทเพียงแต่ตอบสีหน้าเศร้าๆ
‘ก็อย่างที่เจ้าเคยว่าไว้นั่นและเฟรยา กษัตริย์คือหุ่นเชิดของศาสนจักร แต่ยังดีที่หุ่นเชิดตัวนี้มียศศักดิ์ มีทรัพย์สมบัติ
คนรอบข้างเข้ามาใกล้ชิดข้าเพราะเหตุนี้’
ฟังเช่นนี้แล้วหล่อนก็ได้แต่ทอดถอนใจ ความทุกข์นี่ช่างยุติธรรมเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นยาจกยากไร้หรือแม้แต่กษัตริย์
ทุกคนมีความทุกข์กันทั้งนั้น คนละแบบ คนละเรื่อง แต่ทำให้จิตใจเศร้าหมองได้เหมือนกัน


“ท่านเฟรยาคะ มีจดหมายถึงท่านค่ะ”
หญิงรับใช้พานายทหารผู้หนึ่งเข้ามาด้วย เฟรยารีบเก็บจดหมายจากองค์รัชทายาทโดยพลัน
ตอนนี้ผู้คนในคฤหาสถ์หรือแม้แต่ในอาณาเขตของดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ท ทุกคนสมัครใจจะเรียกหล่อนว่า ‘ท่านเฟรยา’ กันหมด
เพราะความเอื้ออารีของหล่อนนั่นเอง


เดียร์ มายเลดี้

เจ้าสบายดีไหม ที่เมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ข่าวว่าเจ้าพบกับองค์ชายรัชทายาทบ่อยครั้ง หมายความว่าอย่างไร

เดวิส


หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีเมื่ออ่านจดหมายด่วนจบ แล้วก็กลับมาน้ำตาซึมนิดๆ
เขาเรียกหล่อนว่า...มายเลดี้ ถ้อยคำที่บุรุษสูงศักดิ์ใช้เรียกภรรยาของตนเอง


“ท่านเดวิสแจ้งว่าให้ท่านเขียนตอบทันทีเลยครับ”
ทหารสำทับด้วยถ้อยคำของเจ้านายที่ส่งผ่านมา เฟรยาใช้นิ้วกรีดน้ำตาถอนหายใจอีกครั้ง
ข่าวลือนี่ช่างแพร่สะพัดได้ไกลเหลือเกิน ราวกับลมในอากาศ พัดไปทางโน้นที ทางนั้นที ทั้งๆ ที่เป็นข่าวไร้สาระ
องค์รัชทายาทแม้จะรูปงามแต่ก็ไม่ทำให้ใจเต้นเท่าเจ้าของจดหมายฉบับบนี้หรอก



เดียร์ มายลอร์ด

ข้าสบายดีเช่นเดียวกันค่ะ สำหรับคำถามของท่าน ข้ารู้จักกับองค์ชายรัชทายาทก็จริงอยู่ แต่เป็นไปแบบผิวเผินเท่านั้น
องค์ชายท่านชอบสตรีโฉมงาม ไยเลยจะมาแลข้า คำสาบานในพิธีแต่งงานของเรายังก้องอยู่ในหัวข้าเสมอ
ขอท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ข้าห่วงท่านเสมอ

เฟรยา



หลังเขียนจดหมายจบ หล่อนเอาเครื่องหอมจากโพ้นทะเลสองสามอย่างใส่ลงไปในจดหมาย ก่อนที่จะส่งให้ทหารเอากลับไปยังสนามรบ
ส่วนจดหมายที่ระบุว่า...เดียร์ มายเลดี้ เฟรยาจะเอาเก็บไว้ใต้หมอน หวังว่าความหวานของคำนี้จะกล่อมหล่อนให้นอนหลับฝันดี


“เจ้าชื่อนางรึ...เจ้าเชื่อนาง”
เฮนรี่และริชาร์ดร้องเมื่อเขาเล่าเนื้อความในจดหมายให้ฟัง
“ใช่! ทำไมข้าจะต้องไม่เชื่อด้วยล่ะ ก็ในเมื่อนางเป็นเมียข้า สามีภรรยาควรเชื่อใจกันมิใช่รึ?”
เดวิสตอบเต็มปากเต็มคำ
“แต่ว่าองค์ชายรัชทายาทเคยแย่งเจเน...”
เฮนรี่กำลังจะพูดถึงเลดี้เจเนเวียอดีตคนรักเก่า ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทมองคนพูดด้วยสายตากร้าว


“เฮนรี่ นางไม่เหมือนกับเจเนเวีย เฟรยาแตกต่างกับเจเนเวียมาก”
ใช่แล้ว! นางแตกต่างจากเจเนเวียจริงๆ ทหารของเขาที่ไปส่งจดหมายเล่าว่าเฟรยาผมดำ ดวงตาก็สีดำ ใบหน้าสดใส
หล่อนผิวขาวราวกับหิมะ จิตใจก็ดีงาม


‘นางถามว่าข้าเหนื่อยไหมที่ขี่ม้ามาทั้งคืน นางจัดอาหารอย่างดีให้ข้า มีของฝากมาให้หลายอย่าง
นอกจากนั้นนางยังพาลูกเมียข้ามาเจอด้วย คนในคฤหาสน์ล้วนรักนางทั้งนั้น’
เดวิสฟังแล้วอยากเจอกับเฟรยาเหลือเกิน ตอนนี้ในหัวของเขามีความคิดคำนึงถึงนางวุ่นวายเต็มไปหมด


ดยุคหนุ่มรู้สึกราวกับตกหลุมรัก ...รักผู้หญิงที่จำหน้าแทบไม่ได้ เขารู้จักนางผ่านเพียงตัวอักษร รู้จักนางจากคำบอกเล่าของคนอื่น
แต่กระนั้นความรักก็ยังส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นมาให้เขาเสน่หา
เฟรยา...ทำอย่างไรหนอจึงจะได้เจอ เดวิสพร่ำถามกับตัวเองทุกครั้งยามอ่านจดหมายจากหล่อน
ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมประหลาดจากพืชพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นต้น เขากำลังอยู่ในห้วงรักกับภรรยาตนเอง


“เดวิส”
สองสหายร่วมรบเฮนรี่และริชาร์ด รีบเข้ามาในเต็นท์พักทันทีเมื่อเขากลับจากลาดตระเวนในบ่ายวันหนึ่ง มือของทั้งสองมีจดหมาย
เดวิสนิ่วหน้านึกใจใจว่าเพื่อนคงไม่ได้แอบเปิดอ่านจดหมายเฟรยาของเขา
“ภรรยาเจ้าถูกจับ นางถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด!”


เฟรยาถูกจับขังคุกมืดๆ แห่งนี้มาสามวันแล้ว เสื้อผ้ากรุยกรายของหล่อนเปลี่ยนเป็นสีมอซอ
ผมที่เคยดำยาวนั้นถูกกร้อนจนโล่งเลี่ยนเพื่อหาสัญลักษณ์แม่มดอันเป็นการทำสัญญากับซาตาน ตามเนื้อตัวมีร่องรอยการทรมาน
เล็บมือแตกเพราะถูกตอกและเต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง


‘นางใช้เวทมนตร์ล่อลวงองค์ชายรัชทายาท รวมถึงดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทด้วย’
ชายในชุดนักบวชกล่าวหาหล่อน คนเหล่านี้เป็นหนึ่งในคณะสำนักศักดิ์สิทธิ์ (INQUISITION)ซึ่งแต่งตั้งโดยองค์สันตะปาปา
คณะปราบปรามถูกตั้งขึ้นหลังจากเกิดเรื่องที่ชาวเมืองอัลบิ (Albi) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
เบื่อหน่ายคริสตจักรและหันไปแสวงหาแสวงหาสัจธรรมในลัทธิที่เรียกว่า ‘คาธาริ’
การเปลี่ยนไปนับถือลัทธิอื่นเป็นสิ่งที่สันตะปาปาแห่งกรุงโรมยอมไม่ได้
หลังจากปราบปรามพวกนอกลัทธิแล้วการล่าแม่มดก็เป็นงานต่อไป


‘ไม่จริง ข้าไม่ใช่แม่มด’
หญิงสาวร้องบอกคนสอบสวนจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยหล่อน
ผู้คนในคฤหาสน์ก็ไม่มีใครกล้าเป็นพยานเพราะกลัวจะโดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดตามไปด้วย
คนที่โดนข้อหานี้มักมีจุดจบที่ความตายอย่างทรมานทั้งสิ้น นี่เฟรยาจะต้องจบชีวิตลงด้วยความผิดที่ตนไม่ได้ก่อกระนั้นหรือ


เรื่องมันเริ่มจากจู่ๆ วันหนึ่งองค์ชายรัชทายาทก็รีบร้อนมาหาหล่อนที่คฤหาสน์
‘หนีไปด้วยกันเถอะเฟรยา ข้ารักเจ้านะ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทบังคับแต่งงาน
ข้าเข้าใจดี เพราะว่าท่านพ่อก็กำลังจะบังคับข้าแต่งงานกับเจ้าหญิงจากอาณาจักอื่นเหมือนกัน’
แม้หล่อนจะทั้งปฏิเสธทั้งร้องไห้อ้อนวอนว่าหล่อนไม่ไป แต่เจ้าชายรูปงามก็ไม่สน รวบตัวเฟรยาขึ้นม้าท่ามกลางสายตาคนรับใช้มากมาย
ทว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะเกรงจะถูกเจ้าชายลงโทษ


เขาพาหล่อนไปได้ไม่ไกลกลุ่มทหารและนักบวชก็มาดักรออยู่ที่หน้าคฤหาสน์
หล่อนถูกจับตัวขังคุก ทรมานให้รับว่าเป็นแม่มด
ส่วนองค์ชายถูกขังอยู่ในปราสาทเพื่อชำระล้างมลทินจากอำนาจมืดซึ่งนักบวชกล่าวหาว่ามาจากหล่อน


“เป็นอย่างไรบ้างนังแม่มด ทรมานเพราะอำนาจความบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ล่ะสิ”
คนเข้ามาใหม่เป็นชายในชุดนักบวชที่กล่าวหาหล่อนในห้องสอบสวนนั่นเอง
“ที่ข้าทรมานเพราะความอคติของพวกท่านต่างหากล่ะ ท่านกล่าวหาข้าลอยๆ พวกท่านทุกคนล้วนโกหก หลักฐานว่าข้าเป็นแม่มดก็ไม่มี”
เฟรยาก่นร้องด้วยเสียงแหบแห้ง


“หุบปากเสีย นังผู้หญิงนอกศาสนา หลักฐานคือมนต์เสน่ห์ที่เจ้าหลอกลวงผู้ชายอย่างไรเล่า
ใครๆ เขาก็รู้ว่าเจ้ามีใจฝักใฝ่ในพืชประหลาด อ่านหนังสือของพวกนอกรีต เจ้าเคยแม้กระทั่งส่งพืชของซาตานไปให้ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทที่สนามรบ”
คนพูดบอกด้วยเสียงเยาะเย้ย ดวงตานั้นแวววาวกระหายเลือดผิดวิสัยผู้รับใช้ที่ดีของพระเจ้า


“ไม่จริง นั่นเป็นพืชบำรุงร่างกาย ถ้าไม่เชื่อข้าจะหาหนังสือมายืนยัน”
“หนังสือของพวกนอกรีตเชื่อถือไม่ได้ ล้วนแต่เป็นถ้อยคำที่บิดเบือนประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”
“แต่ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทกินแล้วก็ไม่เป็นไร เขายังคงแข็งแรงอยู่นี่”
เดวิสยังสบายดีจนเขียนจดหมายมาถามข่าวคราวหล่อนอยู่เลย


“ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ทน่ะรึ”
ชายในชุดนักบวชแค่นเสียง
“เขาก็ต้องถูกสอบสวนเช่นเดียวกัน ในฐานะที่รับแม่มดอย่างเจ้าเป็นภรรยา”
“ไม่จริง! ข้าไม่ใช่แม่มด เขาไม่ได้รับแม่มดเป็นภรรยา”
หล่อนกรีดร้องปฏิเสธด้วยแรงทั้งหมดที่มี


“ช่างน่าเศร้าจริงๆ เกียรติของตระกูลโบฟอร์ตที่สั่งสมมานานกลับต้องมามัวหมองเพราะเจ้าคนเดียว คนในตระกูลนั้นจะต้องถูกสอบสวนทั้งหมด”
เฟรยาตกตะลึงเมื่อรับรู้ว่าการถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดของหล่อน จะส่งผลกระทบกับตระกูลของสามีอย่างใหญ่หลวง
“ตระกูลของสามีเจ้าเป็นตระกูลใหญ่รับใช้กษัตริย์มานาน แล้วตอนนี้เป็นช่วงทำศึกอยู่ด้วย กษัตริย์คงยังไม่อยากทำอะไรเขา แต่ต่อไปนั้นไม่แน่”
“ท่านหมายความว่ายังไง...”


ยอมรับเสียว่าเจ้าเป็นแม่มด ยอมรับว่าเจ้าหลอกลวงเขา แล้วสามีเจ้ารวมถึงเครือญาติเขาจะรอดจากการลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า”
ชายคนนั้นเชิดหน้าขึ้นราวกับจงใจจะพูดกับพระเจ้าผู้อยู่เบื้องบน
“ท่านช่างสกปรกจริงๆ สุดท้ายก็ต้องการแค่ให้ข้ายอมรับข้อกล่าวหา”
หญิงสาวบริภาษ นึกดูแคลนคนเหี้ยมโหดที่เอาศาสนามาบังหน้าแล้วยังเอามาต่อรองกับชีวิตคนในตระกูลของสามีหล่อนอีก


“หยุดเถียงกับข้าเสียทีนังแม่มด ข้าเสนอทางเลือกให้เจ้าแล้ว เจ้าจะยอมถูกตัดสินคนเดียวหรือจะให้ตระกูลโบฟอร์ต
หรือแม้กระทั่งผู้คนในคฤหาสน์ซอมเมอร์เซ็ทโดนลงทัณฑ์ไปด้วย”
เขาสั่งเสียงเฉียบขาด
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าคิดนะนังแม่มด เพราะเจ้ายังถือว่าเป็นภรรยาของดยุคผู้สูงศักดิ์ จะยอมรับว่าเป็นแม่มดแล้วถูกเผาไฟ
หรือจะยืนยันที่จะโกหกต่อไปเพื่อจะให้คนรอบข้างถูกสอบสวนไปด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้าถึงในเย็นวันนี้
ดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ตเป็นคนมีฝีมือในการรบกษัตริย์จึงไม่อยากฆ่าเขาถ้าไม่จำเป็น”


ร่างของนักบวชนั้นเดินออกไปพร้อมกับประตูห้องขังที่ปิดลง เหลืออีกไม่ถึงสามชั่วโมงเวลาเย็นย่ำที่หล่อนจะถูกตัดสินประหาร
กลิ่นแห่งความตายลอยวนเวียนไปทั่วบริเวณ เฟรยาเดินไปที่มุมห้อง ซุกกายที่เจ็บปวดเพราะถูกทรมานกับกำแพงหินอันอับชื้น
หญิงสาวกำลังคิดว่าเหตุใดชะตากรรมจึงได้โหดร้ายกับหล่อนเช่นนี้
พระเจ้าก็ด้วย ...ใยจึงหยิบยื่นความตายและข้อกล่าวหาไม่เป็นธรรมมาให้ ทางเลือกมีแต่สองทางแต่ผลลัพท์เหมือนกันคือความตาย
เฟรยานั้นต้องตายอยู่แล้ว แต่หล่อนไม่อยากรับคำกล่าวหาว่าเป็นแม่มด หากไม่ยอมรับคนทั้งคฤหาสน์รวมถึงท่านดยุคก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในห้องขังครุ่นคิดถึงคำตอบของอีกสามชั่วโมงข้างหน้า


“เฟรยา!”
เสียงเรียกที่คุ้นหูดังมาจากนอกห้องขัง
“เฟรยาข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
องค์ชายรัชทายาทยืนอยู่ด้านนอก
“ท่านเข้ามาได้อย่างไรองค์ชาย เวรยามแน่นหนาขนาดนี้”
เฟรยาเดินอย่างอ่อนเพลียไปเกาะที่ประตูห้องขัง สภาพหล่อนที่เจ้าชายรูปงามเห็นทำให้เขาอุทานอย่างตกใจ


“ชั่วร้ายจริงๆ คนพวกนี้ทำร้ายผู้หญิงอย่างเจ้าได้ มาเถอะ! หนีไปกับข้านะเฟรยา”
เขาอ้อนวอน ใจหนึ่งหล่อนก็ดีใจที่มีคนมาช่วยแต่อีกใจหนึ่งก็กระหวัดคิดถึงสามี
“หากข้าหนีไปกับท่านแล้วเดวิสสามีข้าล่ะ”
“เจ้ายังคิดถึงเขาอยู่อีกรึเฟรยา!”
เจ้าชายหนุ่มเสียงเข้ม เม้มปากไม่สบอารมณ์
“เขาไม่มีทางมาช่วยเจ้าได้หรอก โดเนวิลล์อยู่ตั้งไกล แม้จะควบม้าเร็วเท่าไรก็คงมาถึงตอนดึก ตอนนี้เจ้าหนีไปกับข้าเถอะเฟรยาข้าจะปกป้องเจ้าเอง”


หล่อนเกาะลูกกรงนิ่งงัน
“ถ้าข้าหนีไปกับท่าน ...ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“เราจะหนีไปด้วยกัน ข้ามีญาติสนิทคนหนึ่งอยู่อาณาจักรอันห่างไกลจากที่นี่มาก รับรองไม่มีใครตามเราเจอ”
“แล้วผู้คนที่นี่ล่ะ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ของท่าน บัลลังค์ของประเทศนี้ใครจะครอง”
“ช่างมันประไร!”
ชายหนุ่มเสียงฉุนเฉียว


“ทุกคนล้วนเป็นหมากในเกมเมืองที่จะคานอำนาจกับคริสตจักรทั้งนั้น เจ้ารู้ไหมแม้แต่เจ้าเองก็เป็นตัวหมาก
ความตายของเจ้าคือการต่อรองกับดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ท เขามีอำนาจมากเกินไป การบที่ชายแดนทำให้แม่ทัพทั้งหลายชื่นชมเขามาก
ท่านพ่อข้าขี้ขลาดจึงเชื่อคำพูดของเจ้าพวกนักบวชนั่นที่ยุให้จับเจ้ามา หากเขามาช่วยเจ้าจริงๆ ก็ถือว่าเป็นความผิดที่ละเลยหน้าที่ในการบ
เขาจะถูกลงโทษบางทีอาจจะรวมถึงตระกูลโบฟอร์ตทั้งตระกูลด้วย”
เฟรยารู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบกับความจริงที่ได้รู้


“ไม่จริง...”
“จริงอย่างยิ่งนะเฟรยา หนีไปกับข้าเถอะ เขาอาจจะมาช่วยเจ้าในฐานะที่เป็นดยุค ...เพื่อรักษาเกียรติแห่งสามี
แต่ข้ามาช่วยเจ้าในฐานะคนหลงรักเจ้าสุดหัวใจ”
ผู้ชายตรงหน้าบอกด้วยแววตาแห่งรักอันเปี่ยมล้น แต่ความรักของเฟรยากลับบินไปหาชายอีกคนหนึ่ง


“ท่านช่างตามืดบอดเสียจริงๆ นะเจ้าชาย หลงในมนต์มายาของนังแม่มดนี่อยู่ได้”
ชายในชุดนักบวชบริภาษเสียงก้อง เขากลับเข้ามาในห้องขังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามาล้อมจับตัวเจ้าชายได้อย่างง่ายดาย
“พาตัวเจ้าชายกลับปราสาท ขังไว้ให้นักบวชไปสวดชำระล้างจิตใจด้วย”
เขาสำทับก่อนที่จะมองหล่อนอย่างหมิ่นๆ
“ฤทธิ์มากจริงนะนังแม่มด ถึงขนาดให้เวทมนตร์หลอกให้เจ้าชายมาช่วย
รู้เอาไว้เถอะนะว่าถ้าเจ้าหนีออกไปคนในตระกูลโบฟอร์ตแล้วก็คฤหาสน์ซอมเมอร์เซ็ททั้งหมดจะถูกสอบสวน
เอาล่ะ! ข้ารู้สึกว่าจะให้เวลาเจ้าคิดนานไปหน่อยนะนังแม่มด”


“ข้าไม่ใช่แม่มด!”
“ก็ได้... งั้นข้าจะทหารจับคนในคฤหาสน์นั้นมาสอบสวนทั้งหมด!”
นักบวชลากเสียง แต่ปลายประโยคนั้นกลับเหี้ยมโหด
“ชั่วช้าที่สุด ท่านเป็นสาวกของพระเจ้าแน่หรือไยจึงโหดร้ายเช่นนี้”


“หุบปากเสียนังแม่มด พวกข้าเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงที่คอยต่อกรกับพวกซาตานทำลายศาสนาอย่างเจ้าต่างหากล่ะ”
สาวกพระเจ้าแต่การกระทำป่าเถื่อนเสียงกร้าวกับหล่อน
“เวลาคิดของเจ้ามีถึงเย็นนี้ คิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะยอมรับความจริงที่เจ้าเป็นแม่มดหรือไม่ แค่เจ้ายอมรับ หนทางการความดีเพื่อพระผู้เป็นเจ้าก็เปิดแล้ว”
ประตูห้องขังปิดลงอีกครา พร้อมกับร่างหล่อนที่ร่วงรูดกราวลงที่พื้น เฟรยาปิดเปลือกตาลงรู้สึกถึงน้ำตาที่รินไหลและการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของ ชีวิต


“ท่านผู้คุม”
เฟรยาเอ่ยปากด้วยเสียงที่อ่อนล้าเมื่อใกล้จะถึงเวลาเย็น ผู้คุมเดินมาอยู่หน้าห้องขังตามเสียงเรียก
“ข้าขอกระดาษกับปากกาหน่อยได้ไหม ข้าจะเขียนจดหมายถึงสามีข้า”
ผู้คุมมองหล่อนด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น
“ข้าขอร้องล่ะ คำขอร้องจากภรรยาคนหนึ่ง ท่านมีภรรยาไหม ท่านคิดถึงนางหรือเปล่า
ความคิดถึงภรรยาท่านนั้นก็เหมือนความคิดถึงที่ข้ามีต่อสามี ได้โปรดให้ข้าเขียนจดหมายด้วยเถิด”


หญิงสาวจรดปากกาขนนกวาดหมึกเป็นตัวอักษรลงบนจดหมายฉบับสุดท้ายแห่งชีวิต
ยามที่คิดถึงความสุขยามได้เขียนจดหมายโต้ตอบกับสามีดูเหมือนจะทำให้หล่อนลืมความเจ็บทรมานจากร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผล
หรือแม้กระทั่งเล็บที่ถูกตอก เลือดแห้งเกรอะกรังหล่นลงบนกระดาษ เฟรยาต้องคอยปัดมันออกอยู่เรื่อย รวมถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมาบ่อยๆ


เดียร์ เดวิส

เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้หลายอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม อย่างหนึ่งคือข้าคงไม่มีชีวิตอยู่
ข้าเรียกท่านว่าเดวิสเพราะข้าเพิ่งยอมรับว่าตนเป็นแม่มดที่ล่อลวงท่านให้แต่งงานด้วย
แม่มดชั่วช้าตามสายตาคนอื่นคงไม่อาจจะเป็นเลดี้ของดยุคแห่งซอมเมอร์เซ็ท ข้าจึงไม่อาจเอื้อมเรียกท่านว่ามายลอร์ดอีกต่อไป
เดวิสสิ่งหนึ่งทีข้าเสียใจเหลือเกินคือเรามีโอกาสสนทนากันน้อยเหลือเกิน เรารู้จักกันเพียงทางจดหมาย แต่ข้าพอจะเดานิสัยท่านออก
ท่านคงจะเป็นคนพูดน้อย เพราะท่านตอบจดหมายมาเพียงสั้นๆ ท่านชอบม้าแล้วก็หัวดื้อเหมือนเจ้าแอนโดรเมด้า
เพราะข้าสังเกตว่าม้าที่คอกของท่านจะนิสัยพยศดื้อดึง ปราดเปรียว เกือบทั้งหมด โดยที่มีเจ้าแอนโดรเมด้าเป็นจ่าฝูง
ท่านชอบดื่มเหล้ามากเพราะเวลาข้าไปที่ร้านขายเหล้าของเลโอ เขามักจะอวดเสมอว่าเหล้าชนิดนี้ท่านชอบ ชนิดนั้นท่านชอบ
จนบางครั้งกลายเป็นว่าท่านชอบเหล้าทั้งหมดในร้านเลยทีเดียว การพูดคุยและคิดถึงเรื่องของท่านเป็นสิ่งที่สนุกมาก
ข้ามีความสุขราวกับท่านมาอยู่ใกล้ตลอดเวลา ความคิดคะนึงหาเช่นนี้ข้าคิดว่าบางทีอาจจะเป็นความรัก
เดวิส ...โปรดอภัยให้ข้าเถิดหากข้าจะสารภาพว่าข้าไม่รู้จักความรักกับชายใด จนกระทั่งได้รับจดหมายตอบจากท่าน
ชีวิตที่ลำเค็ญพรากความอ่อนหวานไปจากชีวิตข้า เวลาที่อ่านหนังสือบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจถ้อยคำว่ารักที่ตัวละครเอ่ยออกมา
การมาพบกับท่านจึงเหมือนความฝันที่แสนสุข จนข้าสามารถเรียกท่านได้อย่างเต็มปากว่า ‘ที่รัก’

ลาก่อนเดวิสที่รักของข้า

เฟรยา


เวลาเย็นมาถึงแล้ว พระอาทิตย์ราแสงลง เหมือนกับดวงไฟแห่งชีวิตที่ริบหรี่ของหล่อน ชายในชุดนักบวชกลับมาอีกครั้งพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่ง
เฟรยาถูกพาออกไปนอกคุก ลานประหารหล่อนมีเสาอยู่สามต้น มีหญิงสองคนในสภาพไม่ต่างกับหล่อนถูกมัดไว้อยู่แล้ว
ผู้คนมายืนดูการประหารแม่มดเป็นวงกว้างรอบลานประหาร
เสียงก่นด่าและร้องเรียกหาความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าหลุดออกมาจากปากชาวบ้านหลายคน


เฟรยาโดนจับมัดเป็นคนสุดท้าย กองฟางขยับเข้ามาใกล้ปิดบังทางหนีทั้งหมด
นักบวชเริ่มสรรเสริญสดุดีพระเจ้า ร่ายความชั่วช้าของซาตานที่ล่อลวงมนุษย์
ประกาศการกระทำอันเป็นเท็จว่าหล่อนกับผู้หญิงที่ถูกมัดอยู่อีกสองคนทำสัญญากับซาตาน
ไฟถูกจุดขึ้นบนกองฟาง เสียงร้องระงมของผู้คนรอบลานประหาร
หนึ่งในนั้นเฟรยาจำได้จากสติที่เริ่มเลือนเพราะความทรมานจากไฟว่าคือคนจากคฤหาสน์ซอมเมอร์เซ็ต
“ท่านเฟรยา...”


หล่อนยิ้มให้อย่างเซียวๆ ความร้อนของเปลวไฟยิ่งมากขึ้นและแผดเผาให้ปวดแสบปวดร้อน
หญิงสาวกัดฟันข่มความเจ็บปวดเสียจนรู้สึกว่าฟันของตนเองคงผสมเป็นเนื้อ เดียวกับเหงือกแล้ว ทันใดนั้นหูหล่อนก็ได้ยินเสียงห้าวๆ เสียงหนึ่ง
“เฟรยา!”
เขาตัวสูง ผมสีทอง ตาสีเขียว ชุดนักรบสีดำสนิทที่เขาใส่ยิ่งทำให้น่าเกรงขามเข้าไปใหญ่


“เดวิส...”
น่าแปลกที่สมองหล่อนยังไม่ละลายไปกับเปลวไฟจึงจำได้ว่าเป็นเขา
“เฟรยา!”
เดวิสพุ่งเข้ามาหา ทหารของนักบวชคนนั้นชักดาบขึ้นมาขวาง
เฟรยาเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าสามีตนเองเก่งกาจในการบขนาดไหน เขาสู้กับคนเป็นสิบได้อย่างอาจหาญ


“เดวิส...อย่าเข้ามา”
หญิงสาวไม่รู้ว่านั่นเป็นคำพูดของตนเองหรือเป็นจินตนาการจากสติที่กำลังลางเลือนจากความทรมานของเปลวไฟกันแน่
หล่อนดีใจที่ได้พบเดวิสในแม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต


“เฟรยา!”
ไฟยิ่งสูงขึ้นจนหล่อนไม่เห็นคนรอบข้าง สีแดงอมส้มของมันเริงระบำราวกับเป็นภูตพรายในหนังสือที่หล่อนเคยอ่าน
กลิ่นเนื้อไหม้ลอยคลุ้ง ความเจ็บปวดกำลังจะลามมาถึงหัวใจ
ลาก่อนท่านดยุคที่รัก...นั่นคือสำนึกสุดท้ายก่อนที่เปลวไฟจะผนึกร่างกายท่อนบนของหล่อน






















Create Date : 16 มีนาคม 2553
Last Update : 16 มีนาคม 2553 19:26:50 น. 1 comments
Counter : 259 Pageviews.

 
T Tสงสารเฟรยา..กับท่านดยุค เฮ้ออออ สังคมสมัยนั้นน่ากลัวจริงๆ เคยดูสารคดีเรื่องเกี่ยวกับการล่าแม่มดเหมือนกัน ไม่ไหวๆ น่ากลัว


โดย: grazioso IP: 203.144.144.164 วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:9:09:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.