บ้าน
เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดดังขึ้น หล่อนละสายตาจากภาพเปลวไฟที่โหมกระพือไหม้รถเมล์สีส้มอ่อนในจอโทรทัศน์ “คุณอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง” เสียงภาษาอังกฤษรัวเร็วจากคนที่อยู่จากอีกซีกหนึ่งของโลก หญิงสาวยิ้มมุมปากเดาถึงสีหน้าตื่นๆของคนพูดได้เลย “คุณโอเคไหม?” “ฉันสบายดี ไม่เป็นอะไร” หล่อนตอบเสียงเรียบ ตามองกลุ่มคนเสื้อแดงที่วิ่งไหวๆในโทรทัศน์ “ข่าวที่ออกมาน่ากลัวมากเลย นี่ไม่ใช่การเดินขบวนปรกติแล้ว มันก่อการร้ายชัดๆ” Terrorist...เขาเน้นเสียงชัดเจน หล่อนยิ้มเย็น นิสัยตีตนไปก่อนไข้ของเขานี่แก้อย่างไรก็ไม่หาย “คุณอย่าเชื่อ CNNกับBBCนักเลย ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริงแล้วชอบทำข่าวอย่างกับหนังฮอลลีวู๊ด” “พูดอย่างกับคุณได้ไปอยู่ในที่ชุมนุมอย่างนั้นแหละ” เขาดักคอ หญิงสาวไม่ตอบ นี่ก็นิสัยเสียของหล่อนเหมือนกัน จะตอบต่อเมื่ออยากตอบเท่านั้น ต่างคนต่างเงียบ ก่อนที่เขาจะเอ่ยก่อน “คุณมาอยู่กับผมที่นี่เถอะ เดี๋ยวผมบินไปรับ” “ฉันว่าฉันเคยตอบคำถามนี้กับคุณไปแล้วนะคะ” เสียงปลายสายจากแดนไกลถอนหายใจยาว “คุณน่ะเป็นผู้หญิงหัวแข็งที่สุดในโลกเลย ผมไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ประเทศของคุณน่ะเข้าขั้นวิกฤตแล้ว ตอนปิดสนามบินเมื่อปลายปีที่แล้วนั่นก็อีก” “คุณโกรธหรือยังไงคะที่ต้องนั่งไฟมาจากมาเลเซียมาหาฉัน” หล่อนหมายถึงเหตุการณ์ปิดสนามบินเมื่อเมื่อปลายปีที่เขาโทรข้ามประเทศมาหา บอกให้เก็บของเตรียมไปอยู่กับเขา หญิงสาวปฏิเสธตามเคย แล้ววันต่อมาเขาก็มาตีหน้ายักษ์ที่บ้านหล่อนจนทะเลาะกัน “อยู่กับคุณน่ะผมลืมความโกรธไปได้เลย ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงได้เส้นเลือดในสมองแตกตายไปตั้งนานแล้ว” เขาบ่นแบบไม่จริงจังนัก “ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณทนอยู่ที่ประเทศของคุณไปทำไม ทั้งๆที่สถานการณ์มันเริ่มเลวร้ายลงทุกที” หญิงสาวยิ้ม คำพูดอาจไม่สวยหรูแต่หล่อนรู้เขาห่วงหล่อนมาก “คุณปฏิเสธคำแต่งงานของผมนั่นน่ะผมไม่ถือ แต่คุณควรห่วงความปลอดภัยของตัวเองบ้าง” “แสดงว่าที่คุณขอแต่งงานกับฉันน่ะไม่จริงจังใช่ไหมคะ?” “ใครบอก ถ้าไม่จริงจัง ผมคงไม่รู้สึกห่วงคุณแทบบ้าเวลาประเทศคุณเกิดเรื่องหรอก” เสียงเขาร้อนรน แม้เขาไม่ตอบว่าจริงใจหรือไม่ หล่อนก็รับรู้ได้จากความห่วงใยของเขา “แต่ผมรู้ว่าคุณรักที่นั่นมาก” หล่อนรับฟังเขาอย่างนิ่งสงบ วันที่เขาขอหล่อนแต่งงานและวันที่หล่อนปฏิเสธยังแจ่มชัดในความทรงจำ “ค่ะ ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำทั้งนั้น เหตุผลของฉันที่ยังอยู่ที่นี่ก็เพราะ...” สายตาหล่อนแลไปที่จอโทรทัศน์ ภาพสีเขียวของทหารเดินเป็นระเบียบรุกไล่สีแดง “...ที่นี่เป็นบ้านของฉันค่ะ” ภาพในจอโทรทัศน์ตัดมาเป็นกลุ่มชาวบ้านในชุมชนแห่งหนึ่งรวมตัวกันเพื่อปกป้องชุมชนจากการก่อความไม่สงบ ความสามัคคีร่วมใจของคนในชาติยามเมื่อมีภัยมา “ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่ามันจะเน่าเฟะขนาดไหน แต่ที่นี่คือแผ่นดินเกิดของฉันและจะเป็นแผ่นดินตายค่ะ อีกอย่างพ่อแม่ของฉันก็อยู่ที่นี่ด้วย” คนปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณเป็นผู้หญิงใจร้าย หัวแข็ง ชาตินิยม” “ขอโทษด้วยนะคะ” หล่อนเอ่ยจากใจจริง เขาน่าจะได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆสักคนหนึ่ง ไม่ควรมายึดติดอยู่กับหล่อนเลย “ไม่ต้องหรอกครับ เพราะถึงคุณจะใจร้ายหัวแข็งยังไง ผมก็งี่เง่ากว่า ที่ยังตัดใจจากคุณไม่ได้ ยังรักคุณอยู่เสมอ” คำพูดที่เรียกน้ำตาได้เสมอ แค่นี้ก็คงเพียงพอสำหรับหล่อนแล้ว ชาตินี้กับการที่ได้รักความรักอย่างมากล้นจากผู้ชายอย่างเขา “ขอโทษค่ะที่ฉันเห็นแก่ตัว รักพ่อแม่ รักแผ่นดินเกิด ขี้ขลาดจนไม่กล้าทิ้งที่นี่ไป ใครอาจจะมองว่าโง่ แต่ฉันภูมิใจในบ้านเกิดค่ะ ถ้าทิ้งไปแล้วใครจะดูแลบ้านดูแลประเทศของฉันละคะ คนทำลาย...ทำลายได้ แล้วใครล่ะที่จะคอยเก็บซาก ถ้าไม่ใช่คนในประเทศอย่างฉัน” จอโทรทัศน์เปลี่ยนเป็นภาพไตรรงค์โบกสะบัด แดง ขาว น้ำเงิน ปลิวไสว เสียงเพลงชาติไทยดังมาแว่วๆ “ถ้าคนในชาติทิ้งประเทศไปละก็...” เสียงหล่อนเครือ “ผมเข้าใจ...” ปลายสายเสียงเข้ม “ เพราะคุณเป็นอย่างนี้แหละผมถึงหลงรักคุณ” “พ่อกับแม่จะกินข้าวเลยไหมคะ” หล่อนเดินออกไปถามทั้งสองท่านที่นั่งเก้าอี้หวายอยู่ในสวนหน้าบ้านเมื่อจบการคุยโทรศัพท์จากหนุ่มแดนไกลแล้ว ทั้งสองพยักหน้าเบาๆ หญิงสาวเดินเข้าไปในครัวเตรียมอาหารให้ผู้มีพระคุณ ภาระที่อ่อนหวาน ...คนรักก็คือคนรัก สักวันเขาอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น แต่พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ไม่ว่าอย่างไรความสัมพันธ์ก็ไม่แปรเปลี่ยน บ้าน ประเทศ แผ่นดินเกิดของหล่อนก็เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร ผืนดินแห่งนี้ก็ยังให้ความอบอุ่นและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหล่อน สู้รบ วุ่นวาย ขัดแย้ง สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็ต้องกลับลงสู่ดิน กลับสู่รากที่เรากำเนิดมา... ไม่ว่าผู้คนจะเปลี่ยนไปอย่างไร แผ่นดินเกิดก็คือแผ่นดินเกิด มาตุภูมิที่หล่อนรัก ไม่มีที่แห่งใดจะอุ่นเท่า แม้จะไม่เจริญ ไร้ระเบียบ ใครจะมองเช่นไร แต่นี่คือที่ๆจะทอดร่างลงไปยามเมื่อหมดลมหายใจ เสียงพ่อแม่หัวเราะร่วนจากทางหน้าบ้าน เมื่อหล่อนเดินออกมาอีกครั้งก็เห็นหนุ่มผมทองคุ้นๆตานั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย “ถ้าคุณรักที่นี่ อยากจะอยู่ที่นี่มาก ผมเลยจะมาพิสูจน์ว่าที่นี่มีดีอะไร” เขากระซิบตอนที่เดินเข้ามาช่วยหล่อนยกสำรับกับข้าวในครัว ชายหนุ่มคุ้นเคยดีกับบ้านหล่อน “ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะเป็น Love me, love my dog.แต่สำหรับคุณคงจะเป็น Love me, love my country.” เขาล้อ หญิงสาวรู้สึกว่าน้ำตาชักจะรื้นขึ้นมาหน่อยๆเขาทำให้หล่อนตื้นตันใจกับความรักที่มีให้หล่อนเสมอ “ผมไม่อยากรู้สึกห่วงคุณจนแทบบ้าอีกแล้ว คราวนี้ถ้าผมมาอยู่ที่นี่เลย คุณจะยอมรับคำขอแต่งงานกับผมไหมครับ” ชายหนุ่มเงียบงันรอคำตอบ เวลาในครัวราวกับหยุดหมุนไปชั่วนิรันดร์ “รักผมเถอะครับ รักให้น้อยกว่าที่คุณรักประเทศ หรือรักพ่อแม่ของคุณก็ได้ ผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ต่อความรักอย่างคุณหาได้ยาก ผมไม่ยากปล่อยคุณไป” หล่อนร้องไห้ซบอกเขาแทนคำตอบ ในใจหล่อนสัญญา นอกจากรักประเทศไทย รักพ่อแม่ แล้วหล่อนจะรักเขาเพิ่มขึ้นมาอีกคน...รักจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ++++++++++++FIN++++++++++++
Create Date : 15 เมษายน 2552
Last Update : 15 เมษายน 2552 2:10:22 น.
4 comments
Counter : 374 Pageviews.
โดย: นู๋มี่ IP: 202.139.223.18 วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:2:40:52 น.
โดย: ณ มน วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:11:23:11 น.
โดย: greentea IP: 125.25.0.225 วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:16:59:23 น.
โดย: yopathum วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:23:28:13 น.
คิดเหมือนกันเลยคะ
ถึงประเทศจะเป็นยังไง ก็ยังรักอยู่เสมอ
ปล. เข้ากับสถานการณ์สุดๆ