Stay In Style “Casa de La Flora : Khao Lak , Phang Nga”

เท่าที่คิด .. คงไม่มีคำๆไหนจะเหมาะสมกับชื่อนี้ เท่ากับคำว่า Stay In Style

วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักที่พักที่ถูกกล่าวถึงมาที่สุดแห่งนึงของเขาหลัก จังหวัดพังงากันฮะ ในช่วงปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเขาหลักถึงสองครั้งโดยมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือไปเที่ยว ”เกาะตาชัย”

นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ผมเคยปักหมุดอยากจะไปพักที่สุดในเขาหลัก และวันนี้ถือเป็นโอกาศอันดีที่จะเลือกโรงแรมแห่งนี้มารีวิวต้อนรับปีใหม่ ไปรู้จักที่นี่กันให้มากขึ้นดีกว่าครับ



การเดินทางในวันนั้นเลือกการเดินทางทางอากาศเช่นเคยครับ



เป็นครั้งที่สองที่ได้ใช้บริการสนามบินดอนเมืองหลังจากที่แอร์เอเชียย้ายกลับมาที่นี่ จำได้ว่าวันนั้นไปช่วงสายๆหน่อยแล้ว คนที่มาเช็คอินก็เลยไม่เยอะมากเหมือนช่วงเช้าตรู่



ใช้บริการของไทยแอร์เอเชียตามเคยฮะ วันนั้นเครื่องไม่ได้เข้างวงก็เลยต้องขึ้นไปถึง Gate77 เพื่อนั่งบัสไปที่เครื่อง

ข้อเสียของสนามบินดอนเมืองคือเดินไกลมากเนี่ยล่ะครับ Gate77 มันคือสุดทางเดินแล้วลงไปด้านล่างอีกที ยอมรับว่าขนกระเป๋ากล้องกระเป๋าคอมพิวเตอร์ไปนี่ถึงกับเหงื่อซึมเลยทีเดียว



เช้าวันนั้นอากาศที่กรุงเทพฯชุ่มฉ่ำมากฮะ แถมตลอดเวลาที่ไปอยู่ที่เขาหลักคนกรุงเทพฯบอกว่าฝนเมืองกรุงตกกันไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว

นอยด์มากพอสมควรว่าทริปนี้คงจะไม่ราบรื่นเหมือนที่คิดไว้ซะแล้ว



แต่พอเครื่องขึ้นไปได้ไม่นานอากาศก็เริ่มดีขึ้นๆ จนใกล้จะถึงสนามบินภูเก็ตจากอากาศตอนแรกก็กลายเป็นแบบที่เห็น เล่นเอายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่พักนึงเหมือนกันฮะ



ตัดฉับมาที่โรงแรมพร้อมๆกับเครื่องดื่มต้อนรับเป็นน้ำมะพร้าวเย็นสดชื่นเลยฮะ
ภาพระหว่างเดินทางไ่ม่มีเพราะมัวแต่วุ่นวายเรื่องสัมภาระก็เลยไม่ได้ถ่ายภาพไว้เลย การเดินทางต่อจากสนามบินภูเก็ตไปที่เขาหลักมีรถของทางโรงแรมมารอรับฮะ รถเที่ยวไปเป็นรถ Fortuner ครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงโรงแรมครับ

ปล.หลายๆคนยังแอบสับสนว่าถ้าจะไปเขาหลักเราจะนั่งเครื่องไปลงที่ไหนดีระหว่างภูเก็ตกับกระบี่ ลงภูเก็ตใกล้กว่ากันเยอะเลยนะครับ อย่าหลงไปจองตั๋วกระบี่เข้าล่ะ



หลังจากมีพนักงานมาต้อนรับที่ล็อบบี้แล้ว ก็จะพาเราไปที่ห้องพักทันทีเลยครับ วันแรกเราพักกันที่ห้องนี้ฮะ

“lamdman” หรือชื่อไทยคือ “ดอกลำดวน” หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องดอกลำดวน ก็คงต้องเกริ่นนำกันอีกซักรอบว่าชื่อ Casa de La Flora นั้นมีความหมายว่า “บ้านแห่งดอกไม้” เมื่อเป็นบ้านแห่งดอกไม้ห้องพักทุกห้องจะมีชื่อเป็นพันธุ์ไม้มงคลทั้งหมดฮะ



ที่บอกว่าพามาที่ห้องพักทันทีเพราะที่นี่เค้าให้เช็คอินกันภายในห้องพักฮะ พนักงานต้อนรับแค่ขอบัตรประชาชนผู้เข้าพักทั้งสองคนไว้ที่ล็อบบี้

เมื่อเอกสารพร้อม เราก็แค่เซ็นชื่อเป็นอันเสร็จสิ้นการเช็คอินง่ายๆไม่ยุ่งยากครับ



ก่อนที่จะมาที่นี่ เหตุผลที่ทำให้อยากมาพักสำหรับผมมีอย่างเดียวครับ “Design”

Casa de La Flora ยังเป็นสมาชิกในเครือ Design Hotels ที่มีโรงแรม Design เก๋ๆเป็นสมาชิกอยู่ทั่วโลก ในเมืองไทยล่าสุดมีสมาชิกอยู่แค่ 4 โรงแรมเท่านั้นคือ The Library เกาะสมุย ,The Surin Phuket ,The Naka Phuket ที่จะเปิดให้บริการกลางปี 2014 และที่สุดท้ายก็ที่ Casa de La Flora นี่ล่ะฮะ

สิ่งที่ทำให้สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นผนังห้องที่เลือกใช้ปูนเปลือย ซึ่งผมเองชอบเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วยครับ



ห้องพักของที่นี่มีทั้งหมด 8 แบบคือ
- Casa Presidential Suite
- Casa Pool Suite
- Beachfront Grand Pool Villa
- Beachfront Suite Pool Villa
- Beachfront Pool Villa
- Duplex Grand Pool Villa
- Duplex Pool Suite
- Studio Pool Villa

ห้องแบบที่ผมเข้าพักนี้เรียกว่า Duplex Pool Suite เป็นห้องแบบสองชั้นครับ ที่นี่จะมีห้องพักทั้งหมด 36 ห้อง และทุกห้องเป็น Pool Villa ทั้งหมดฮะ

ชั้นล่างจะเห็นว่าเปิดประตูเข้ามาจะมี Pool ให้เราแช่ไม่ใหญ่มากแต่ก็แช่สองคนสบายๆ บานประตูแบบเลื่อนสามารถเปิดออกเพื่อรับลมได้ ขนาดห้องกว้างถึง 90 ตร.ม. กว้างขวางดีทีเดียวฮะ


มาดูด้านความบันเทิงกันบ้าง เรียกได้ว่าแทบจะครบวงจรเลยก็ว่าได้เมื่อในห้องมี Mac mini พร้อมคีย์บอร์ดไร้สายและรีโมตความคุมจอภาพ ที่สามารถดูหนังที่มีในเครื่องหลากหลายเรื่อง ช่องเคเบิ้ลมากมาย หรือจะฟังเพลง เล่นเน็ต ดูยูทูป ทั้งหมดเพียงสั่งการด้วยตัวคุณเองผ่านหน้าจอแค่นั้น ปลื้มมากกกก

อ่อ .. แม้แต่คุณจะเช็คยอดค่าใช้จ่ายของตัวเองที่เกิดขึ้นภายในรีสอร์ทก็สามารถเช็คผ่านหน้าจอนี้ได้เช่นกันฮะ




XO ที่เป็นของเล่นยังเอามาตกแต่งแบบมี Design

ส่วนของมินิบาร์นั้นจะมีตู้แช่อยู่สองตู้ฮะ ตู้แรกเป็นตู้แช่ไวน์มีให้เลือกหลายขวดอันนี้แล้วแต่ราคา แต่อีกตู้นั้นมีทั้งน้ำ น้ำแร่ น้ำอัดลม เบียร์ นม ตู้นี้เป็น Complimentary จากทางโรงแรมให้บริการฟรีและเติมให้เต็มทุกวันที่พักอยู่ในโรงแรมครับ


ในห้องมีเครื่องทำกาแฟแบบแคปซูลไว้ให้อีกด้วย



ห้องน้ำด้านล่างแยกส่วนเปียกแห้ง อย่างเดียวที่ผมอยากจะติที่นี่คือไม่มีสายชำระให้ฮะ



มาถึงกันไม่ทันไรฝนก็ตกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแถมตกหนักอีกด้วยฮะ เลยตัดสินใจสั่งอาหารมาทานกันที่ห้อง มื้อนี้จัดเบาๆด้วย สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ กุ้งทอดกระเทียมทานกับข้าวสวยร้อนๆ และข้าวผัดไก่กับไข่ดาวครับ







อิ่มแล้วทีนี้ก็เดินขึ้นมาสำรวจชั้นบนกันบ้าง

เตียงนอนขนาด King Size พร้อมอุปกรณ์ด้านความบันเทิงครบครัน มี Mac Mini เหมือนด้านล่างแถมมี iPod Dock ไว้ให้เปิดเพลงฟังชิลๆอีกด้วย



เห็นรูปภาพบนหัวเตียงมั๊ยครับ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความใสใจในรายละเอียดของที่นี่ฮะ

ห้องพักทุกห้องจะมีรูปภาพของพันธุ์ไม้แต่ละชนิดที่เป็นชื่อห้องแขวนอยู่ ด้านล่างก็มีนะครับถ้าสังเกตกัน แน่นอนห้องนี้ก็มีภาพดอกลำดวนปรากฎอยู่ครับ



ด้านบนบริเวณห้องนอนตกแต่งด้วยไม้เป็นหลักครับ



ฝนตกอยู่พักใหญ่ก็หยุดทีนี้แดดออกแรงเชียวครับ

หมอนมีให้เลือกหลายขนาดเลยฮะ ชอบหมอนใบโตมากๆ อยากได้ไปไว้ที่บ้านจริงๆ



ห้องน้ำด้านบนนี้จะดูใหญ่กว่าข้างล่างฮะ มีอ่างทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสไว้ให้แช่ด้วย ส่วนผนังของห้องน้ำยังคงใช้ปูนเปลือย และเพดานเป็นไม้ฮะ อ่างล้างหน้ายาวสามารถเข้ามาใช้พร้อมกันได้ทั้งสองคน ด้านหลังของภาพเป็นโถนั่งมีบานกระจกแยกส่วนไว้เรียบร้อย



ตู้เสื้อผ้าและของใช้ภายในห้องน้ำมีให้ครบถ้วนฮะ amenities ของที่นี่ใช้ของ THANN ซึ่งผมชอบมาก(อีกแล้ว) แอบจิ๊กสบู่มา 2 ก้อนแน่ะ 5555



ได้เวลาผ่อนคลาย ลงมาแช่น้ำเล่นบับเบิ้ลที่ด้านล่างกันดีกว่า ไวน์นี้เลือกหยิบมาจากตู้ที่ต้องจ่ายเองซึ่งมีให้เลือกหลายขวด

เสร็จแล้วเดี๋ยวออกไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมกัน



ขึ้นจากน้ำมาก็แต่งตัวออกไปสำรวจรอบๆกันหน่อย

เปิดประตูออกมาเจอพระอาทิตย์ส่องแสงแบบนี้เลยฮะ นี่ล่ะเค้าถึงเรียกฟ้าหลังฝน



ถ้าคนที่ชอบถ่ายภาพอาจจะพอรู้ว่าฟ้าเย็นๆแดดแบบนี้ได้ดูพระอาทิตย์ตกสวยๆแน่ๆ สวยจริงมั๊ยเดี๋ยวรอดูกันฮะ



ตอนนี้ก็เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆก่อน



ด้านหน้าของโรงแรมติดกับชายหาดบางเนียง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเขาหลักเท่าไหร่นัก

ชายหาดบางเนีบงเป็นหาดที่มีความยาวมากเพราะฉะนั้นหาดนี้ไม่ได้เป็นหาดส่วนตัว อาจจะมีคนเดินผ่านไปมาหน้าหาดบ้าง แต่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเพราะทางโรงแรมมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยดูแลรอบๆบริเวณอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง



โลโก้สะดุดตาที่ทำให้รู้ว่าที่นี่คือ Casa de La Flora



ด้านหน้าหาดเป็นที่ตั้งของห้องอาหารแห่งแรกของรีสอร์ทชื่อว่า la aranya



เป็นห้องอาหารแบบ Open Air ครับ เปิดบริการตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณ 5 ทุ่ม อาหารเช้าของทางโรงแรมเราก็ต้องมาทานกันที่นี่ครับ



ผมว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่เราสามารถนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามมากๆอีกแห่งไม่แพ้ที่ไหนๆเลยล่ะครับ


ยิ่งถ้าได้นั่งจิบเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ ได้คุยออกรสออกชาติกับคนรู้ใจ มันจะเป็นอะไรที่พิเศษสุดๆจริงๆฮะ

ปล.ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา คู่นี้เค้าเป็นคู่รักกันฮะ อั๊ยย่ะๆๆ!!



นั่งตรงนี้อยู่พักนึง เวลาที่รอคอยก็มาถึง แขกที่เข้าพักหลายๆคนเลือกที่จะเล่นน้ำไปด้วยดูพระอาทิตย์ตกสวยๆไปด้วย



สำหรับผม ขอโต๊ะวิวสวยๆซักโต๊ะไว้นั่งดินเนอร์กับคนรู้ใจก็พอแล้วล่ะครับ



ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ แล้วก็ใช้ทุกวินาทีให้มีความสุขไปกับมัน



ช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ โดยเฉพาะกับชาวกรุงที่นั่งทำงานอยู่กลางตึกระฟ้า คงหาโอกาสนั่งมองพระอาทิตย์ตกสวยๆแบบนี้ได้ยาก ถือเป็นโชคดีจริงๆฮะ



อาหารค่ำมื้อนี้เราทานกันที่ la aranya นี่ล่ะครับที่นี่เสิร์ฟอาหารนานาชาติฮะ ขอบอกว่ารสชาติไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เริ่มกันด้วย ขนมปังที่ทางห้องอาหารจะเสิร์ฟให้ทุกโต๊ะเป็น starter

เครื่องดื่มผมสั่งมาเป็น Mango Smoothies





มี tapas มาให้ลองด้วย ด้านหน้าเป็นพิซซ่าอะไรไม่แน่ใจ จานหลังเป็นอิตาเลี่ยนแฮม

อาหารหลักจานแรกเป็น Wagyu Carpaccio หรือเนื้อหมักกับแอ๊ปเปิ้ลและชีส

จานที่สอง Pork Escalope with Mushroom Sauce หรือหมูราสซอสเห็ด

จานที่สามคุณแฟนรีเควสปลากะพง 3 รส

จานสุดท้ายเป็น Salmon Teriyaki หรือเนื้อปลาแซลมอนราดซอสเทริยากิ ทานกับข้าวญี่ปุ่น

อาหารอร่อยทุกจานเลยฮะ ส่วนราคาก็ระดับราคาปกติตามโรงแรม 4-5 ดาวทั่วๆไป











หลังจากอิ่มกันแล้วก็กลับมาที่ห้องพักกันอีกครั้ง



ลืมบอกไปว่าระบบไฟฟ้าภายในห้องเป็นอีกหนึ่งอย่างที่แสดงออกถึง Design ของที่นี่เป็นอย่างดี เพราะใช้แผงควบคุมระบบไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ (แผงสีดำข้างๆหัวเตียง) เพียงแค่เลื่อนมือเข้าไปใกล้ๆแผงควบคุมไฟที่แผงก็จะสว่างขึ้น และเพียงสัมผัสเบาๆที่ปุ่มควบคุมไฟก็จะสว่างตามโหมดที่มีให้เราเลือกหลากหลายรูปแบบครับ (ไม่ได้ถ่ายภาพใกล้ๆเก็บไว้ ต้องขอโทษจริงๆครับ)



ข้างเตียงมีโต๊ะทำงานด้วย ขนาดเก้าอี้ยังออกแบบได้แปลกตาเลย



แน่นอนว่าเป็นอีกคืนที่หลับสบายที่สุด เตรียมพร้อมเพื่อเช้าวันรุ่งขึ้นที่ผมมีนัดกับ Love Andaman เพื่อไปเกาะตาชัยแต่เช้า



เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นมาดูสภาพอากาศแต่เช้า กลัวว่าไปเกาะตาชัยแล้วจะไม่เจอแดด



สรุปว่าไม่มีฝนแต่เมฆเยอะมาก ก็เลยเดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆรอเวลารถตู้มารับ



หาดบางเนียงช่วงที่ไปเป็นช่วงพระจันทร์จะเต็มดวงฮะ น้ำช่วงนั้นเลยเยอะเป็นพิเศษ คลื่นลูกโตๆกระทบผนังเขื่อนกั้นหน้าโรงแรมดังโครมๆตลอดเวลา



แต่ด้วยลักษณะหาดที่เป็นแนวราบ ไม่ลึกมากเลยทำให้ไม่อันตรายสำหรับเล่นน้ำ ผมเห็นฝรั่งบางคนดำผุดดำว่าแทบจะทั้งวันเลยฮะ คงชอบคลื่นลูกโตๆแน่ๆ



ได้เวลาอาหารเช้าที่ห้องอาหาร la aranya กันแล้วฮะ

อาหารที่นี่เสิร์ฟแบบ a la carte และใช้วัตถุดิบชั้นดีทั้งนั้น ไส้กรอกชีสอร่อยมาก เบเกอรี่มีให้เลือกพอสมควร แถมยังมีอาหารหนักๆที่เราสามารถสั่งมาทานได้อีกเช่นพวกข้าวต้ม ผัดซีอิ้ว ผัดไทย ยากิโซบะ ฯลฯ

นั่งทานอาหารซักพักก็มีพนักงานเดินมาบอกว่าวันนี้ทางโรงแรมจะให้ย้ายห้องไปที่ Beachfront Suite Pool Villa จะสะดวกมั๊ย มีหรือที่ผมจะปฎิเสธเลยฝากเรื่องให้พนักงานจัดการเรื่องกระเป๋าเดินทางที่อยู่ที่ห้องเก่าให้ย้ายไปให้ด้วยตอนช่วงที่ผมไปเกาะให้ด้วย





href="//www.bloggang.com/data/b/bigboysaladbar/picture/1387272721.jpg" target=_blank>





ซักพักก็ได้เวลาที่รถตู้มารับไปเกาะตาชัยครับ ไปขึ้นเรือกันที่ท่าเรือทับละมุ ซึ่งเดี๋ยวนี้ Love Andaman ย้ายที่ขึ้นเรือไปเกาะตาชัยกลับมาที่นี่แล้วฮะ

ทริปเกาะตาชัยผมคงไม่พูดถึงในวันนี้แต่ไม่แน่ถ้ามีโอกาสข้างหน้าผมอาจจะเอารีวิวมาฝากนะฮะ



อ่ะๆ ให้ดูรูปนึงเดี๋ยวจะว่าเอาว่าไม่เอารูปมาฝาก



กลับมาถึงโรงแรมก็เย็นมากเพราะติดฝนหนักอยู่กลางทะเลกว่าเรือจะฝ่าเข้ามาถึงฝั่งได้ก็เล่นเอาเปียกปอนกันไป

กลับมายังไม่ทันเข้าห้องพัก ก็รีบวิ่งมาที่ชายหาดก่อนเลยเนื่องจากได้เห็นฟ้าระเบิดอีกแล้ว



ยังคงยืนยันว่าที่ la aranya เป็นห้องอาหารที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกได้สวยที่สุดที่นึงไม่แพ้ที่ไหนๆครับ



วันนี้ฝนตกหนักแล้วเพิ่งจะหยุดไปก็เลยไม่ได้มีการตั้งโต๊ะตรงสนามเหมือนเช่นปกติ



สีงามอร่ามหรูชมพู-ฟ้า (จะร้องเพลงประจำสถาบันซะอย่างนั้น) ฟ้าวันนี้คนละอารมณ์กับเมื่อวานเลยล่ะครับ



ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จะพาไปชมล็อบบี้กันต่อแล้วกันนะครับเพราะตั้งแต่เริ่มรีวิวก็ยังไม่ได้เห็นล็อบบี้ที่นี่กันเลย

ล็อบบี้ที่นี่อยู่ติดถนนเลยครับ เนื่องจากหาดบางเนียงจะมีถนนเลียบตามชายหาดยาวไปเรื่อยๆแต่จะมีเนื้อที่พอประมาณระหว่างถนนและชายหาด โรงแรมก็จะตั้งอยู่บริเวณนั้นล่ะครับ ทำให้แปลนของโรงแรมจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าระหว่างถนนกับชายหาด





จะเห็นว่าล็อบบี้จะเป็นแบบเปิดโล่ง เวลาที่มาถึงลูกค้าใช้เวลาไม่นานที่นี่ ก็จะได้เข้าไปที่ห้องพักแล้วครับ







ข้างๆกับล็อบบี้ยังมีห้องสมุดและอินเตอร์เน็ตให้เล่นอีกด้วยครับ อ่อ.. ในโรงแรมมี Wi-fi ให้เล่นฟรีทุกที่ในรีสอร์ทนะครับ



ทางเข้าจากล็อบบี้ไปที่ส่วนของห้องพัก จะมีป้ายบอกถึงตำแหน่งของห้องพักและสถานที่ต่างๆ รวมถึงชื่อห้องพักแต่ละห้องอีกด้วย



Main Pool ของทางโรงแรมเป็น Bar ที่สามารถสั่งเครื่องดื่มมาทานได้อีกด้วยฮะ น้ำในสระค่าเชื้อด้วยระบบโอโซนเพราะฉะนั้นเรื่องความสะอาดไม่ต้องห่วงเลยครับ



ได้เวลาอาหารค่ำกันอีกแล้ว คราวนี้เราเดินข้ามฝั่งถนนไปที่ห้องอาหารอีกแห่งของโรงแรมกันฮะ

ห้องอาหารนี้ชื่อ INGFAH หรือว่า อิงฟ้า



เป็นห้องอาหารที่เน้นไปทางอาหารไทย และ Bar ที่สามารถสั่งเครื่องดื่มมานั่งจิบชิลๆได้ฮะ



สิ่งที่ทำให้ห้องอาหารแห่งนี้โดดเด่นสะดุดตาก็คือสีสันของห้องอาหารนี่ล่ะครับ



เก้าอี้และบาร์ที่นี่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้หลากหลายสีเลยล่ะครับ เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นของที่นี่



นอกจากนี้ยังมีโต๊ะด้านนอกให้นั่งอีกด้วย เสียดายที่ฝนตกเกือบจะทุกเย็นที่อยู่ที่นั่นโต๊ะด้านนอกก็เลยไม่ได้เปิดให้บริการ จริงๆโต๊ะด้านนอกจะมีหมอนอิงให้นั่งด้วยฮะ นี่คงเป็นอีกหนึ่งที่มาของคำว่าอิงฟ้า คือนั่งอิงหมอนนอนมองฟ้าอะไรประมาณนั้น

อ่อ.. ที่ห้องอาหารอิงฟ้านี้มีดีเจเปิดแผ่นให้เรานั่งฟังเพลงกันชิลๆด้วยนะฮะ เพลินไปเลยทีเดียว



ที่นี้มาดูเรื่องอาหารกันบ้าง

เริ่มกันด้วย cocktail ที่เอาไว้ต้อนรับลูกค้ากันก่อน แก้วนี้จำชื่อเรียกไม่ได้แล้วฮะ รู้แต่เป็นเหล้าไทยผสมรัมทำเป็นวุ้น ใส่แอ๊ปเปิ้ลซีกมาด้วยช่วยเติมรสชาติ on top ด้วย Mango Caviar ทานคู่กับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อร่อยดีฮะ



เครื่องดื่มสั่งเบาๆไม่มีแอลกอฮอร์ไปเป็น Guava Delight กับ โกโก้เย็น

ตามมาด้วย Welcome อีกอย่างคือลาบทอดครับ





อาหารหลักกันบ้าง ที่อิงฟ้าจะเน้นไปทางอาหารไทยครับเพราะฉะนั้นมื้อนี้ก็ขอแบบไทยๆหน่อย

มีฉู่ฉี่กุ้งตัวโตๆ ยำวุ้นเส้นรวมมิตร ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ และทอดมันกุ้งทานกับข้าวสวยร้อนๆ ปลื้มกับอาหารที่นี่อีกมื้อนึงแล้วฮะ ผมว่ารสชาติของอาหารไม่ได้ออกแนวตามใจฝรั่งจ๋านะ คนไทยก็ทานอร่อย ฝรั่งก็คงไม่ติว่ามันจัดจ้านเกินไป อร่อยมากฮะ

นอกจากอาหารที่สั่งแบบ a la carte แล้วที่อิงฟ้าก็มีอาหารแบบ Set Combo หลายๆชุดให้เลือกทานด้วยครับ









กลับมาที่ห้องพัก เข้าห้องมาเจอแซนด์วิช กะบราวนี่วางไว้ให้ จัดเบาๆต่ออีกนิดแค่นี้อิ่มสบายท้อง

วันนี้ไม่ทำอะไรต่อแล้วครับวางกล้องนอนดูละครก่อน เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยว่ากันใหม่



วันต่อมา ตื่นเช้ามาสูดอากาศดีๆฟังเสียคลื่นกระทบฝั่งแต่เช้า

ผมเป็นโรคแปลกฮะ เวลาอยู่กรุงเทพฯมักไม่ค่อยอยากตื่นเช้าๆเลย แต่มาเที่ยวทีไร บางทีรีบตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ชอบหยิบกล้องออกมาเดินถ่ายภาพนั่นนี่



พามารู้จักห้องพักที่ได้เข้าพักตั้งแต่เมื่อวานบ้างดีกว่า กลับเข้าโรงแรมมาจนเย็นไม่ทันได้แนะนำอะไรกัน

ห้องที่ผมเข้าพักเมื่อวานเป็นแบบที่เรียกว่า Beachfront Suite Pool Villa ห้องที่ผมพักมีชื่อว่า “salapee” หรือ “สารภี” นี่ละครับ



Beachfront Suite Pool Villa ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องอยู่หน้าหาด แต่ห้อง Beachfront จะดูเป็นสัดส่วนและมีอาณาบริเวณของตัวเองไม่เหมือนบางที่ที่ติดหาดแบบเดินลงหาดได้แต่ก็มีคนอื่นสามารถเดินผ่านหน้าห้องเราได้เหมือนกัน



อย่างที่บอกว่าทั้ง 36 ห้องของที่นี่มี Pool ทุกห้อง วันนี้ผมไม่มีโปรแกรมออกไปไหน หลังจากทานอาหารเช้าแล้วก็เลยใช้เวลาพักผ่อนอยู่ในห้องแทบจะทั้งวัน แน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือกระโดดลงน้ำฮะ



มาดูภายในห้องกันหน่อยว่ามีอะไรแตกต่างจาก Type เดิมที่พักเมื่อคืนก่อนบ้าง

ห้อง Beachfront นี้จะเป็นวิลล่าชั้นเดียวครับ เปิดประตูห้องเข้ามาเราก็จะเจอกับห้องนั่งเล่นก่อน

อุปกรณ์ด้านความบันเทิงมีให้ครบเหมือนกับ Type ที่แล้ว



ถัดไปจะเป็นห้องนอนแบบเล่นระดับ ฝันมากๆที่จะมีห้องแบบนี้ 555



สามารถมองเห็นทะเลได้แบบเต็มๆตา พร้อมรับฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งแบบเต็มตาจนบางทีนอนๆอยู่บนเตียงยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน(ของคลื่น) ที่กระทบชายฝั่ง

และแน่นอนว่าหมอนก็มีให้เลือกมากมายเหมือนๆกับห้องอื่นๆ



ถ้าในช่วงกลางวันผมเลือกที่จะปิดแอร์ แล้วเปิดบานกระจกเพื่อรับลมและฟังเสียงคลื่น

ถ้าในวันที่อากาศดีคุณอาจจะได้นอนมองพระอาทิตย์ตกน้ำอยู่บนเตียงเลยก็ได้นะฮะ



ด้านหลังของห้องนอนจะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ มีบานเลื่อนสามารถปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวได้

มีอ่างล้างหน้าใบใหญ่ที่สามารถจะใช้ได้พร้อมๆกันทั้งสองคน



อุปกรณ์จำเป็นต่างๆถูกวางเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยพร้อมใช้งาน



หลังอ่างล้างหน้าจะเป็นอ่างใบใหญ่ให้นอนแช่น้ำได้



อีกทั้งยังมีห้องอาบน้ำที่แยกห้องไว้ให้ตะหาก ที่สำคัญ Rain Shower ของห้องนี้มีให้สองชุดนะฮะ



สระน้ำของห้องนี้ใหญ่กว่าของห้องแบบเดิมที่ผมพักพอสมควร สามารถเล่นได้ทั้งวัน มีข้อแม้เดียวที่ทางโรงแรมห้ามทำกับสระน้ำที่นี่คือ ….. ห้ามกระโดดลงสระจากห้องนอนแค่นั้นเองฮะ



มีแซนด์วิชมาให้อีกแล้ว เพิ่งสังเกตว่าพนักงานจะเอามาให้ช่วงทำห้องครับ ส่วนแอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ต้อนรับที่มีให้อยู่แล้ว และคืนนี้ก็มีพนักงานเอาบราวนี่มาให้เป็นคืนที่สองพร้อมทั้งหนังสือพิมพ์ด้วยครับ



และเนื่องจากคุณคนที่มาด้วยอ้อนว่าไม่อยากออกไปกินข้าวข้างนอก ก็เลยสั่งอาหารมาทานกันในห้องครับ

แล้วคุณคนที่มาด้วยเป็นคนทานอะไรง่ายๆ คือยากๆไม่ทานน่ะครับ อาหารในทุกๆที่ที่ผมไปเลยไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา วันนี้ก็เช่นกัน

พิซซ่าหน้ากระเพราไก่ มาพร้อมๆกับ ยากิโซบะทะเล ข้าวหมูทอดกระเทียวทานกับข้าวสวยร้อนๆของคุณคนที่มาด้วย ตบท้ายด้วยของหวานเป็นข้าวเหนียวมะม่วงที่ผมไม่ได้กินซักคำเดียวรวมอยู่ด้วย









เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายที่จะได้ใช้เวลาอยู่ที่ Casa de La Flora แล้ว ไวมากๆกับทริป 4 วัน 3 คืน กินอะไรไม่ลงเลยครับเลยจัดอาหารเช้าเบาๆแค่ กาแฟที่ทานกับมาชเมโล่หนุบหนับๆ แล้วก็ผัดซีอิ้วอีกแค่จานเดียวแค่นั้น





วันที่ไปพักข้างๆห้องอาหารมีกิจกรรมพิเศษอีกด้วยฮะ เนื่องจากวันนั้นเป็นวันลอยกระทง ทางโรงแรมเลยจัดโต๊ะไว้เพื่อที่จะให้แขกที่เข้าพักกับทางโรงแรมมีส่วนร่วมในประเพณีนี้ร่วมกันด้วยการประดิษฐ์กระทงของตัวเอง

ดูท่าทางแขกที่เข้าพักที่นี่จะชอบใจกันใหญ่เลยฮะเห็นมารุมกันทำกระทงกันใหญ่ เสียดายที่ผมต้องกลับกรุงเทพฯซะแล้วไม่งั้นคงได้ร่วมกิจกรรมดีๆแบบนี้กับทางโรงแรม




ผมใช้เวลาพักผ่อนที่เหลืออยู่ไม่มากด้วยการซึมซับบรรยากาศของที่นี่ก่อนที่จะจัดกระเป๋าและเตรียมตัวเดินทางกลับ (ขากลับนี่เปลี่ยนจากรถ Fortuner เป็น Alphard)



ยังมีอีกส่วนในโรงแรมที่ผมไม่ได้ใช้บริการเลยนั่นก็คือ Spalacasa ซึ่งก็คือสปาของโรงแรมนั่นเอง เอาไว้ถ้ามีโอกาสกลับไปพัก คงได้ลองใช้บริการบ้างครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่ามันดีขนาดไหน



คงมาถึงบทสรุปกันแล้ว

Casa de La Flora สมกับเป็นโรงแรมที่ผมปักหมุดที่ตั้งใจจะมาพักซักครั้งจริงๆครับ ที่นี่โดดเด่นทั้งเรื่องการออกแบบ ความเอาใจใส่ในรายละเอียดต่างๆในห้องพัก รวมไปถึงบริการของพนักงานของที่นี่อีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆดู High Technology แต่เพียงแค่ใช้เวลารู้จักกับมันไม่นานนักคุณก็จะสนุกไปกับมันด้วย

เป็นอีกหนึ่งทริปที่ผมประทับใจมากๆ และไม่ผิดหวังเลยจริงๆ

ขอขอบคุณพนักงานทุกๆคนในรีสอร์ทที่อำนวยความสะดวกและบริการเป็นอย่างดี

ขอบคุณคนที่ไปด้วยมากๆที่ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกๆทริป ถึงแม้ทริปนี้จะไม่ค่อยได้ทำงานถ่ายภาพอาหารที่เป็นหน้าที่ของตัวเองเลยก็เถอะ ขอบคุณนะจ๊ะ



ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่ https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ


Create Date : 17 ธันวาคม 2556
Last Update : 9 มิถุนายน 2557 18:32:20 น. 1 comments
Counter : 2348 Pageviews.

 
สวยมากๆครับ เห็นแล้วอยากไปเลย
อยากทราบราคาสุทธิหน่อยครับขอเป็นต่อคืน
แล้วที่นี่ชาร์จค่าอาหารและเครื่องดื่มแพงมากน้อยแค่ไหน
เป็นไปได้ผมอยากทราบจุดเด่นและจุดด้อยด้วย
รบกวนหน่อยนะครับ


โดย: ณฐายุ IP: 180.183.236.217 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:17:58:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biGbOySalaDbAr
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]




Group Blog
 
 
ธันวาคม 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
17 ธันวาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add biGbOySalaDbAr's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.