"เศรษฐกิจพอเพียงก็เลี้ยงตัวได้"
|
|||
ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา
พระบรมราโชวาทดั่งประทีปนำทาง ดึกมากแล้ว แม้น้ำค้างจะลงแปะ ๆ แต่พวกผมยังนั่งรอที่จะเก็บกวาดลานกว้างจากงานเลี้ยงสังสรรค์ของศิษย์เก่าที่จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ในค่ำคืนนี้ รุ่นพี่ศิษย์เก่ากลุ่มหนึ่งยังไม่กลับ ยังคงนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพราะจากกันไปหลายปี ผมได้รับรู้ถึงชีวิตแห่งความล้มเหลวและความสำเร็จของแต่ละคนเพราะเข้าไปยืนฟังใกล้ ๆ เพื่อคอยรับใช้ตามประสารุ่นน้องที่ดี รุ่นพี่คนหนึ่งเล่าว่าเมื่อจบปริญญาตรีที่นี่แล้วไปทำงานส่วนตัวเกี่ยวกับเครื่องจักรกล แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเดินทางไปต่างประเทศหวังจะหาประสบการณ์มาฟื้นฟูกิจการให้ก้าวหน้าขึ้นมาใหม่ แต่ก็คว้าน้ำเหลวเหมือนเดิม พี่เล่าว่าความล้มเหลวทั้งหมดคงมาจากตัวเองที่ไม่รู้จักการบริหารปกครองคน และการปกครองงาน ด้วยเหตุนี้พี่เขาจึงตัดสินใจศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแถวท่าพระจันทร์ การศึกษาต่อในครั้งนี้ทำให้พี่เขาเข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น และเข้าใจกลไกของตลาดมากขึ้น พี่เขากลับไปพลิกฟื้นกิจการที่ล้มพับขึ้นมาใหม่จนสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตน เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของประเทศในปัจจุบัน เอ็งรู้ไหมว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ พี่เขาถามเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ทุกคนส่ายหน้า ใครจะไปรู้ อะไรล่ะ เสียงเพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น นี่เลยอันนี้ พี่เขาบอกพร้อมกับควักกระดาษสีเหลืองเก่า ๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเงิน จะอ่านให้ฟัง....เฮ้ย...ขอไฟหน่อยน้อง พี่เขาตะโกนบอกผม ผมรีบส่งไฟฉายอันเล็กในมือให้เพราะที่ตรงนั้นค่อนข้างสลัว เนื่องจากเป็นยามดึกสงัดแล้ว ทั้งกลุ่มอยู่ในความเงียบเพื่อตั้งใจฟังสิ่งที่พี่เขาจะอ่าน ผมกับเพื่อนก็รอฟังอยู่ คนก็มีปัญหาของคน สังคมก็มีปัญหาของสังคม ประเทศก็มีปัญหาของประเทศ แม้กระทั่งโลกก็มีปัญหาของโลก... ...ไรวะ...ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย เพื่อนคนหนึ่งแย้งขึ้น ฟังต่อให้จบก่อนซิวะ อย่าเพิ่งขัด พี่เขาบอกอย่างใจเย็น แล้วส่องไฟฉายไปที่ตัวหนังสือซึ่งค่อนข้างเล็ก แล้วเปล่งเสียงต่อไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตและกิจการงานจึงเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะต้องแก้ไขให้ลุล่วงไปโดยไม่ชักช้า ผู้ใดมีสติปัญญาคิดได้ดี ปฏิบัติได้ถูก ผู้นั้นก็มีหวังบรรลุถึงเป้าหมาย มีความสำเร็จสูง ถ้าเป็นตรงกันข้าม ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จสมหวังได้... คุ้นๆ นะ เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น หลายคนจึงพยักหน้าขานรับ ใช่...นี่เป็นพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในปีที่ข้าเข้ารับ ฟังแล้วข้าซึ้งจนน้ำตาไหลเลย พี่เขาใช้สันมือป้ายน้ำตาที่คงไหลมาจริงๆ "ทุกครั้งที่มีปัญหา ข้าจะนึกถึงพระบรมราโชวาทของในหลวงเสมอ แล้วข้าก็ผ่านวิกฤติมาได้จนถึงวันนี้ไง" พี่เขากวักมือเรียกผม แล้วยื่นไฟฉายคืน ขอบใจไอ้น้อง...อยู่ปีไหนแล้วเรา ปีสามครับ ผมตอบ เออดี...ใกล้จบแล้ว เอ้า...นี่ พี่ให้ พี่เขายัดกระดาษสีเหลืองใส่มือผม ผมยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความดีใจ จึงเป็นเรื่องธรรมดา... ผมจำตรงนี้ได้แม่นยำทีเดียว ปัญหามีไว้แก้ใช่มั๊ยคะ ......
ทุกปัญหามีทางแก้เสมอคะ โดย: *-*topiw*-* วันที่: 15 พฤศจิกายน 2550 เวลา:8:46:20 น.
อิจฉาท่านที่จบจาก วิศวกรรมศาสตร์ 4 ปีตรงๆจริงๆ
เหอๆ ผมจบ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็จริงแต่เป็นแบบเรียนเสริม 2 ปีจบ เลยมีสิทธิ์แค่เทียบเท่า แต่เท่าที่ไปทำงานมาคนที่จบ 4 ปี จะเก่งๆกันทุกท่าน และน่านับถือ โดย: ปลอมตัวมาหารัก วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:26:03 น.
โดย: ดีมากงับๆๆๆๆๆๆๆๆ IP: 125.27.118.70 วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:14:57:19 น.
|
basbas
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?] สนใจเรื่องทั่วไป ใจชอบเล่นกีฬา แต่เรียนไฟฟ้าครับ All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
แวะมาทำความรู้จักค่ะ