วันนี้คุณ"รู้สึกตัว"แล้วหรือยัง...
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 

"อยู่กับงูเห่า" โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท




ขอให้คำขวัญแก่โยมทั้งหลาย และลูกศิษย์ใหม่ที่เดินทางจากลอนดอนมาพักอยู่ที่วัดหนองป่าพง ขอให้ทำความเข้าใจในธรรมะที่ได้ศึกษาแล้วที่วัดหนองป่าพงนี้โดยย่อก็คือ ให้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร

ขอให้โยมจำไว้ในใจว่า อารมณ์ทั้งหลายนั้น จะเป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตามอารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ มันเหมือนงูเห่า งูเห่ามันมีพิษมากถ้ามันฉกคนแล้วก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมากอารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นเสรี ทำให้จิตใจไขว้เขวจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

วันนี้จึงขอให้โอวาทย่อๆ แก่โยม ขอให้เป็นผู้มีสติอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ให้นอนด้วยสติ นั่งด้วยสติ เดินด้วยสติ ยืนด้วยสติ จะพูดก็พูดด้วยสติ จะทำอะไรๆ ก็ให้มีสติอยู่ด้วยทั้งนั้น

เมื่อมีสติแล้ว สัมปชัญญะความรู้ตัวมันก็จะเกิดขึ้นมา สติกับสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน เมื่อทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว ก็จะนำปัญญาให้เกิดตามทีนี้เมื่อมีทั้งสติ สัมปชัญญะปัญญาแล้ว ก็จะเป็นผู้ที่ตื่นอยู่ ทั้งกลางวันและกลางคืน

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนนั้น ไม่ใช่ธรรมะที่เพื่อฟังเฉยๆ หรือรู้เฉยๆ แต่เป็นธรรมะที่ต้องปฏิบัติ ต้องทำให้เกิดขึ้น ต้องทำให้มีขึ้นในใจของเราให้ได้ จะไปที่ไหนก็ให้มีธรรมะ จะพูดก็ให้มีธรรมะ จะเดินก็ให้มีธรรมะ จะนอนก็ให้มีธรรมะ จะทำอะไรๆ ก็ให้มีธรรมะทั้งนั้น

คำว่า "มีธรรมะ" นี้ก็คือ จะทำอะไรก็ตาม จะพูดอะไรก็ตาม ให้ทำด้วยปัญญา ให้พูดด้วยปัญญา ให้นึกคิดด้วยปัญญา ผู้ใดมีสติ สัมปชัญญะ ควบกับปัญญาอยู่ตลอดเวลาแล้ว ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าทุกเมื่อ

ดังนั้น แม้เมื่อโยมจากวัดหนองป่าพงนี้ไปแล้ว ก็จงเป็นผู้ปฏิบัติ ให้ธรรมะทั้งหลายมารวมอยู่ที่ใจ มองลงไปที่ใจ ให้เห็นสติ ให้เห็นสัมปชัญญะ ให้มีปัญญา เมื่อมีทั้งสามอย่างนี้แล้ว มันจะมีการปล่อยวาง รู้จักเกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด เกิดแล้วมันก็ดับ

ที่เรียกว่า "เกิดๆ ดับๆ" นี้คืออะไร คืออารมณ์ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นมา ในทางธรรมะเรียกว่าการเกิดดับ มันก็มีเท่านี้ ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์มันก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้ว ทุกข์ก็เกิดขึ้นมา นอกเหนือจากนี้ไป ก็ไม่มีอะไรมีแต่ทุกข์เกิด แล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็จะเห็นแต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ เมื่อเห็นการเกิด-ดับอยู่เสมอ ทุกวันทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้

เมื่อเห็นอารมณ์เกิด-ดับอย่างนี้อยู่เสมอไปแล้วจิตใจก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเมื่อคิดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากมาย มันมีแต่การเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ มันมีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน พอคิดได้เช่นนี้ จิตก็จะปล่อยวางปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ มันเกิดเราก็รู้ มันดับเราก็รู้มันสุขเราก็รู้ มันทุกข์เราก็รู้ รู้แล้วไม่ใช่ว่าเราจะไปเป็นเจ้าของสุขนะ หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์เหมือนกัน เมื่อไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์มันก็มีแต่การเกิด-ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไร

อารมณ์ทั้งหลายที่ว่ามานี้ เหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษของมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออก ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น

ดังนี้ ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อยหมดสิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ไม่ชอบก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไปมันก็เลื้อยไปทั้งพิษที่มีอยู่ในตัวมันนั่นเอง

ฉะนั้น คนที่ฉลาดแล้ว เมื่อปล่อยอารมณ์ก็ปล่อยอย่างนั้น ดีก็ปล่อยมันไป แต่ปล่อยอย่างรู้เท่าทันชั่วก็ปล่อยมันไป ปล่อยไปตามเรื่องของมันอย่างนั้นแหละอย่าไปจับ อย่าไปต้องมัน เพราะเราไม่ต้องการอะไร ชั่วก็ไม่ต้องการ ดีก็ไม่ต้องการ หนักก็ไม่ต้องการ เบาก็ไม่ต้องการ สุขก็ไม่ต้องการ ทุกข์ก็ไม่ต้องการ มันก็หมดเท่านั้นเอง ทีนี้ความสงบก็ตั้งอยู่เท่านั้นแหละ

เมื่อความสงบตั้งอยู่แล้ว เราก็ดูความสงบนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไรแล้ว เมื่อความสงบเกิดขึ้นความวุ่นวายก็ดับ พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่านิพพานคือความดับ ดับที่ตรงไหน? ก็เหมือนไฟเรานั่นแหละ มันลุกตรงไหน มันร้อนตรงไหน? มันก็ดับที่ตรงนั้น มันร้อนที่ไหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น ก็เหมือนกับนิพพานก็อยู่กับวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็น มันก็ร้อน

วัฏฏสงสารกับนิพพานนี้ก็เหมือนกัน ท่านให้ดับวัฏฏสงสารคือความวุ่น การดับความวุ่นวายก็คือการดับความร้อน ไฟทางนอกก็คือไฟธรรมดา มันร้อน เมื่อมันดับแล้ว มันก็เย็น แต่ความร้อนภายในคือ ราคะ โทสะโมหะ ก็เป็นไฟเหมือนกัน ลองคิดดูเมื่อราคะ ความกำหนัดเกิดขึ้น มันร้อนไหม? โทสะเกิดขึ้นมันก็ร้อน โมหะเกิดขึ้นมันก็ร้อน มันร้อน ความร้อนนี่แหละที่ท่านเรียกว่าไฟ เมื่อไฟมันเกิดขึ้น มันก็ร้อน เมื่อมันดับ มันก็เย็นความดับนี่แหละคือนิพพาน

นิพพานคือสภาวะที่เข้าไปดับซึ่งความร้อน ท่านเรียกว่าสงบ คือดับซึ่งวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารคือความเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็คือการเข้าไปดับซึ่งความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง อันนั้น เรียกว่าการดับราคะ ดับโทสะ ดับโมหะ ก็ดับที่ใจของเรานั่นแหละ คือใจถึงความสงบ

ในความสงบนั้น สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี แต่มนุษย์เรานั่นแหละจะอดสุขไม่ได้ เพราะเห็นว่าความสุขเป็นยอดของชีวิตแล้ว แม้พระนิพพานก็ยังมาว่าเป็นความสุขอยู่เพราะความคุ้นเคย ตามเป็นจริงแล้ว เลิกสิ่งทั้ง ๒ อย่างนี้ก็เป็นความสงบ เมื่อโยมกลับบ้าน แล้วขอให้เปิดเทปธรรมะนี้ฟังอีก จะได้มีสติ เมื่อโยมมาอยู่วัดหนองป่าพงใหม่ๆ โยมร้องไห้ เมื่ออาตมาเห็นน้ำตาของโยม อาตมาก็ดีใจ ทำไมจึงดีใจ? ที่ดีใจก็เพราะว่า นี่แหละ โยมจะได้ศึกษาธรรมะที่แท้จริงละ ถ้าน้ำตาไม่ออกก็ไม่ได้เห็นธรรมะ เพราะน้ำนี้เป็นน้ำไม่ดี ต้องให้มันออกให้หมด มันถึงจะสบาย ถ้าน้ำนี้ไม่หมด ก็จะไม่สบาย มันก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ อยู่เมืองไทยก็จะร้องไห้อยู่อย่างนี้ กลับไปกรุงลอนดอนก็จะ ร้องไห้อีก มีชีวิตอยู่ก็จะร้องไห้อยู่อย่างนี้แหละ เพราะน้ำนี้มันเป็นน้ำกิเลส เมื่อทุกข์ก็บีบน้ำนี้ให้ไหลออกมา เมื่อสุขมากก็บีบน้ำนี้ออกมาอีกเหมือนกัน ถ้าหมดน้ำนี้เมื่อใด ก็จะสบาย ถ้าโยมทำได้ โยมก็จะมีแต่ความสงบ ความสบาย

ขอให้โยมรับธรรมะนี้ไปปฏิบัติ ไปปฏิบัติให้พ้นทุกข์ ให้มันตายก่อนตาย มันถึงสบาย มันถึงสงบ

ขอให้โยมมีความสุข ความเจริญ ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมะให้พ้นจากวัฏฏสงสาร





เป่าจินได้ forward mail มาค่ะ สาธุท่านที่แปะและที่ส่งด้วยนะค่ะ




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2549
19 comments
Last Update : 23 พฤษภาคม 2549 13:11:38 น.
Counter : 1702 Pageviews.

 

 

โดย: แมวน้อยของเสี้ยวเทียน 23 พฤษภาคม 2549 13:45:37 น.  

 

บางทีเราเทียบกับสิ่งเลวร้ายเป็นงู ... แต่หารู้ไม่ว่าบางทีอารมณ์ของเรานั่นล่ะคืองูหรือว่ายิ่งกว่างูนั่นเอง ... ต้องระวังค่ะ ...

ขอบคุณนะค่ะเอาข้อความดีๆ มาฝากกัน เตือนสติตัวเอง

 

โดย: JewNid 23 พฤษภาคม 2549 14:57:51 น.  

 

สาธุ

 

โดย: K.Ruan 23 พฤษภาคม 2549 15:25:04 น.  

 

Thank you for good article.

 

โดย: Noshka IP: 24.60.107.156 24 พฤษภาคม 2549 10:43:51 น.  

 

 

โดย: rebel 24 พฤษภาคม 2549 20:29:48 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยม...ให้มีโอกาสแวะมาเยี่ยมอ่านหลักธรรมะ...เพื่อเปนแนวทางในชีวตคะ....ทุกวันี้ก็พยายามๆที่จะคิดดี ทำดีคะ ไม่เบียดเบียนใคร สวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตาทำจิตใจให้สบาย ก่อนนอน หาเวลาว่างไปออกกำลังกายที่สำคัญทำหน้าที่เปนลูกที่ดีของพ่อแม่คะ

 

โดย: คนยังมีกิเลส...คะ (MinnyJa ) 25 พฤษภาคม 2549 5:16:27 น.  

 

ที่บ้านรามอินทรา งูเห่าชุมมาก ยิ่งฝนตกๆนะ มากันแทบทุกคืนทุกวัน ใครมีสูตรอะไรขับงูเห่าบ้าง? เรากะลังหาพังพอน

ขอบคุณที่มาเม้นท์ค่ะ ขอเวลาอีกสัพักจะสรุปและเฉลยค่ะไม่นาน จริงๆ

ใคร ใครบอกจะให้ 1 เพนนี? อยากได้มั่งค่ะ ไม่ใช่ไร

 

โดย: Tinglish 25 พฤษภาคม 2549 8:04:38 น.  

 

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่แวะมาเยี่ยมกัีนค่ะ

และ อนุโมธนากับบุญที่ทุกคนได้จากการอ่านธรรมะนะค่ะ

เป่าจินเพิ่งได้รับจดหมายข่าวจากดังตฤณมา ขอตัดข้อความที่โดนใจมากๆมาแปะนิดนึงนะค่ะ ขอบพระคุณคุณดังตฤณมากค่ะ ข้อความนี้เรียกสติได้ดีจริงๆ....

"หลักความสัมพันธ์ของกิเลสก็คือเมื่อราคะโหมแรง โมหะย่อมหนาทึบ และเมื่อโมหะหนาทึบ ปัญญาและความเป็นตัวของตัวเองก็หายไป"

ตัวนี้ถ้าเรามองไม่ออกตั้งแต่ว่าจิตเกิดราคะหรือความอยากเมื่อไหร่ละก็ จะโดนโมหะหรือความหลงลากเอาไปกินเมื่อนั้นเลยค่ะ น่ากลัวมากๆ เพราะพอหลงแล้วจะจับความรู้สึกได้ยาก มองอะไรก็เบลอไปหมด

สาธุ

 

โดย: เป่าจิน 25 พฤษภาคม 2549 10:07:40 น.  

 

ตามมาฟังธรรมะครับ มีหลายๆคนบอกว่า ปรัชญาทางตะวันออก โดยเฉพาะศาสนา และศาสนาพุทธเป็นเหมือนแก่นแท้ของจิตวิทยาต่างๆเลยล่ะครับ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะลึกซึ้งกว่าจิตวิทยาตะวันตกด้วยซ้ำเลยครับ ^^

ธรรมะ หลักธรรมของศาสนาพุทธ เหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิต เป็นวิธีแท้จริงที่นำไปสู่สาเหตุของความทุกข์ และทำให้ใจนั้นสงบได้ ถือว่าได้มาเรียนรู้คำสอน หลักธรรมที่บล็อกคุณเป่าจินนี่แหละครับ ^^

ขอบคุณสำหรับเมลล์คุณเป่าจินนะครับ เดี๋ยวจะไปตอบๆนะครับ คุณเป่าจินคงสบายดีนะครับ ^^

我学忠文。

再见! ^^

 

โดย: Tempting Heart 27 พฤษภาคม 2549 23:51:18 น.  

 

เขียนผิดล่ะมั้งครับ อุตส่าห์จะอวดวิชาที่เรียนมาครับ อายจังครับ

แก้ตัวใหม่อีกทีละกันนะครับ

我学中文。

再见! ^^

 

โดย: Tempting Heart 28 พฤษภาคม 2549 0:03:17 น.  

 

สาธุ

 

โดย: ชาบุ 28 พฤษภาคม 2549 19:24:19 น.  

 

 

โดย: หนุ่มเฮสเซ่น IP: 130.83.233.27 29 พฤษภาคม 2549 19:22:15 น.  

 

nice

 

โดย: L e c h e s i s (Lover'sBlue ) 30 พฤษภาคม 2549 10:53:11 น.  

 

 

โดย: รอยยิ้มเธอ 30 พฤษภาคม 2549 11:00:20 น.  

 

อ่านแล้วรู้สึกตัวเองนิ่งลง ขอบใจมากนะจ๊ะเป่าจินเพื่อนรัก

 

โดย: ต่ายอ้วน IP: 203.146.78.84 30 พฤษภาคม 2549 17:00:54 น.  

 

สาธุ ธรรมะจากหลวงพ่อเทียนค่ะ น้องเป่าจิน


การเห็นตัวเราตามที่เป็นจริง คือการเห็นธรรมะ ฉะนั้นการเห็นธรรมก็คือ เห็นในขณะที่เรากำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เห็นอย่างนี้เห็นธรรมแท้ๆ ไม่แปรผัน


ออกมาดูตัวเรา สติคือผู้ดูรู้ตัวเสมอๆ เผลอให้น้อยลงเพียรไปทุกวัน เดินก็ให้รู้ นั่งก็ให้รู้ ...และในที่สุด ไม่ใช่เราเดิน แต่เป็นเหตุปัจจัยมาประชุมกันทำกิจเดิน อยู่ในกระแสธรรมชาติ ..จะตระหนักที่ใจ

สาธุธรรมะหลวงพ่อชา

เจริญยิ่งๆค่ะ

 

โดย: ป่ามืด 3 มิถุนายน 2549 18:11:48 น.  

 

nice blog

 

โดย: ไร้นาม 6 มิถุนายน 2549 11:02:36 น.  

 

สาธุๆๆ

 

โดย: กฤษ IP: 144.136.98.48 6 มิถุนายน 2549 11:39:04 น.  

 

เชิญชมทางกูเกิล "พระขุนแผนเคลือบกรุอโยธยา ผีบัดกรุ (ขออภัย)"

 

โดย: เด็กท่าพระจันทร์ IP: 125.25.247.74 1 มิถุนายน 2554 0:14:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


เป่าจิน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"เป็นนักอ่าน...ไม่ใช่นักประพันธ์"
Friends' blogs
[Add เป่าจิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.