|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปกเกล้าปกกระหม่อม (1)
หมายเหตุ : Blog ART19
................................
ผมรู้สึกมานานแล้วว่า บทเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย
สำหรับนักเรียนนั้น ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง.
การปกครอง เมื่อ ปี 2475 นัก หรือหากจะกล่าวถึงก็จะกล่าวเพียงสังเขปเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่...นี่คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ครับ ปี 2475 เป็นยุคที่มีทั้งความขัดแย้ง ความสลับซับซ้อน
และเป็นยุคที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากกระแสโลกอย่างรุนแรงที่สุด
อันที่จริง หนังสือที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีมากพอสมควร
แต่ที่จะเจาะลงลึกถึงความขัดแย้งแต่ละฝ่าย
และกล่าวถึงพระราชดำริของรัชกาลที่ 7 ที่มีต่อเหตุการณ์ในขณะนั้น
กลับมีไม่มากนัก หนึ่งในบทความที่เขียนถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น
ได้ค่อนข้างละเอียด คงต้องนับเอาบทความของอ.วิษณุด้วย
ผมอ่านแล้วชอบมาก จึงอยากนำมาแบ่งปันให้กับท่านอื่นด้วย
ขอกราบขอบคุณอ.วิษณุ ผู้เขียนด้วยครับ
.............................
ปกเกล้าปกกระหม่อม(1)
วันนี้เป็นวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่สากล
ตามปฏิทินนานา ชาติ ไม่เลือกชาติ ศาสนา หรือประเพณีนิยมอันใด
พ้นจากวันนี้แล้วชาติใดศาสนาใดจะฉลองวันเปลี่ยนศักราชใหม่
ตามคตินิยมเฉพาะตนก็แยกกันทำไปตามประเพณี
ไทยเราก็เพิ่งใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่มาราว 70 ปี
ในสมัยรัชกาลที่ 8 นี้เอง ก่อนหน้านั้นเคยใช้วันสงกรานต์บ้าง
วันที่ 1 เมษายนบ้าง ส่วน พ.ศ. หรือพุทธศักราชนั้น
ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก่อนหน้านั้นเราเคยใช้ ร.ศ.
หรือรัตนโกสินทร์ศก และ จ.ศ. หรือจุลศักราช
ปี 2556 นี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 มีพระบรมราชสมภพครบ 120 ปี หมายความว่า
ถ้าแม้นดำรงพระชนมพรรษาอยู่จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556
ก็จะมีพระชนมพรรษา 120 พรรษาเท่าพระอนิรุทธพุทธสาวกสมัยพุทธกาล
ผู้มีชนมายุยืนนานที่สุด นับตามรอบนักษัตรชวดหนูฉลูวัว
ก็ต้องว่า 10 รอบพระนักษัตร
แต่ทุกวันนี้หาใครอายุยืนยาวเท่านั้นยากเต็มที
รัชกาลที่ 7 เองก็เสด็จสวรรคตมาถึง 71 ปีแล้ว
แต่การครบ 120 ปีแห่งพระบรมราชสมภพดูจะมีความหมายอยู่
เพราะเป็นตัวเลขกลม ๆ ที่ควรแก่การระลึกถึง ดังที่ยูเนสโก
หรือองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
ก็ยังประกาศยกย่องบุคคลสำคัญของแต่ละประเทศให้เป็นบุคคลสำคัญ
ผู้มีผลงานดีเด่นของโลกเมื่อครบ 100 ปี 150 ปี หรือ 200 ปีแห่งชาตกาล
รัชกาลที่ 7 ทรงเป็นบุคคลสำคัญของชาติ แม้อยู่ในราชสมบัติเพียง 9 ปี
แต่ก็ทรงริเริ่ม ดำริ และต่อยอดขยายผลอะไรต่ออะไรไว้หลายอย่าง
จะว่าทรงวางพระองค์ใฝ่สันติ ภาพอย่างที่สมัยนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่
น่ายกย่องผิดกับสมัยก่อนที่คนเก่งคนดีหรือมหาราชต้องบู๊
ประเภทปะ ฉะ ดะก็ได้ มีหลายเหตุการณ์ที่หากพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้
ไม่ทรง ยอม แต่ถ้าทรง ฮึด ขึ้นมาเป็นไงเป็นกัน
ประเทศชาติบ้านเมืองและคนไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปก็เหลือที่จะเดา
คิดว่าน่าจะแหลกลาญตายยับตายเยินลงข้างหนึ่ง หาก
แต่กลับทรงเลือกใช้ ขัตติยมานะ ในยามที่จำเป็น
และทรงเลือกใช้ ขัตติยดุษณียภาพ ในบางโอกาส เหตุร้ายจึงผ่านพ้นมาได้
เมื่อถึงวาระที่สุดของที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นอันหมดหนทาง
ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว
ก็ได้ทรง สละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์
แต่บัดนี้เป็นต้นไป
พระราชกรณียกิจนี้จะว่าเป็นความดี ความเสียสละก็ได้
แต่ก็ทำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้อาภัพพระองค์หนึ่ง
ที่ต้องสละราชสมบัติไปสวรรคตต่างแดน ความอาภัพนั้นยิ่งทวีคูณ
เมื่อเรื่องราวของพระองค์จางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พักหนึ่ง
เหมือนไม่มีใครอยากพูดถึงหรือกลัวภัยอะไรสักอย่าง
ในวาระนี้จึงขอนำเรื่องของพระเจ้า อยู่หัวพระองค์นี้ซึ่งฝรั่งเรียกว่า
the last absolute King of Siam
ทำท่าจะเป็นเหมือนหนังเรื่อง The Last Emperor
หรือ จักรพรรดิโลกไม่ลืม มาเล่าสู่กันฟังตามสไตล์ของผม
และคิดว่าคงจะยาวไปสัก 9 ตอน 10 ตอนจบ
แต่กรุณาอย่าถือเป็นตำราหรือวิทยานิพนธ์ใด ๆ ใครอยากรู้ละเอียดลออ
และต้องการหนังสืออ้างอิงกรุณาไปหาอ่านเอาจากตำรับตำรา
ที่ทุกวันนี้มีผู้เขียนไว้เป็นเรื่องเป็นราวกว่าคอลัมน์นี้เถิดครับ
ผมขึ้นต้นเรื่องไว้ว่า วันนี้ตรงกับวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชโอรส ธิดาถึง 77 พระองค์
ในจำนวนนี้มีที่ประสูติในวันที่ 1 มกราคมอยู่เพียง 2 พระองค์
คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ ที่ต่อไปจะได้เป็นรัชกาลที่ 6
ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423
และสมเด็จเจ้าฟ้าชายมหิดลอดุลยเดช
ที่ต่อไปจะได้เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2434
แต่ในขณะนั้นวันที่ 1 มกราคมยังไม่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่
ส่วนรัชกาลที่ 7 นั้น ประสูติในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436
ตรงกับวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเส็ง เพราะประสูติวันพุธนี่เอง
สีประจำพระชนมวารจึงเป็นสีเขียว และเพราะประสูติในปีมะเส็งงูเล็กนี่เอง
ต่อไปจึงมีอะไรจะเล่าให้ฟัง พูดถึงวันประสูติแล้ว
ใครมีความรู้ทางโหราศาสตร์น่าจะผูกดวงพระบรมราชสมภพดูว่า
เหตุใดพระชะตาจึงได้พลิกแพลงผกผันถึงปานนั้น
รัชกาลที่ 7 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 76
ในจำนวนพระราชโอรสธิดา 77 พระองค์ จากทุกพระครรภ์
หรือจากพระมเหสีเทวีและเจ้าจอมมารดาทั้งหลายของรัชกาลที่ 5
ที่จริงยังทรงมีพระน้องนางเธอคนละแม่อีกพระองค์ ประสูติจาก
สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวีเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมง
หลังจากที่รัชกาลที่ 7 ประสูติ แต่ดำรงพระชนม์อยู่เพียง 3 วัน
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นั้นก็สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 7
จึงอยู่ในฐานะพระราชกุมารพระองค์สุดท้องมาตั้งแต่แรก เรียกว่า
ไม่มีพระราชอนุชาและพระขนิษฐาอีกเลย ความข้อนี้สำคัญอยู่
เพราะเมื่อทรงรับราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 7 ทรงมีแต่พี่คนละแม่
(ถ้ามีพระเชษฐาร่วมพระราชชนนี พระเชษฐาก็จะได้รับ
ราชสมบัติไปก่อนแล้ว) และมีแต่อาหรือน้า
จะหาเจ้านายที่อ่อนเยาว์พรรษากว่ามาให้ทรงใช้สอยไม่ได้เลย
ถ้าว่าถึงแม่ของพระองค์ท่าน คือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนีพระพันปีหลวงแล้ว
สมเด็จพระองค์นี้มีพระราชโอรสธิดากับรัชกาลที่ 5 ถึง 9 พระองค์
เป็นหญิง 2 ชาย 7 รัชกาลที่ 7 เป็นพระราชกุมารพระองค์ที่ 9
สรุปคือทรงเป็นพระองค์สุดท้องของพระครรภ์นี้และพระองค์สุดท้าย
ของทุกพระครรภ์รวมกัน หลังจากประสูติใน พ.ศ. 2436
แม้สมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 5 ซึ่งในปี 2436
มีพระชนมพรรษาเพียง 40 พรรษาจะดำรงพระชนมพรรษา
ต่อมาอีกถึง 17 ปี จึงสวรรคต แต่ก็ไม่มีพระราชโอรสธิดาอื่นใดอีกเลย
ไม่ว่ากับพระภรรยาคนใด
รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชสมภพที่พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์
ในหมู่พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร หลังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ต่อมารัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหมู่พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬารลง
ครั้นถึงรัชกาลที่ 9 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ต่อเติมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ขยายไปทางด้านหลังเป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่และพระราชทานชื่อ
ตามชื่อครั้งโบราณว่า พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อรัชกาลที่ 7 ประสูตินั้นพระเชษฐาของพระองค์
เคยมีพระนามลำลองเรียกกันในวังมาก่อนแล้วว่า ทูลกระหม่อมเอียด
ซึ่งแปลว่า เยาว์วัย ครั้นประสูติพระราชกุมารพระองค์ใหม่แล้วดูจะ
อ่อนวัย ลงไปอีก ชาววังจึงออกพระนามพระราชกุมาร
พระองค์สุดท้องนี้ว่า ทูลกระหม่อมเอียดน้อย
แต่สมเด็จพระบรมราชชนนีไม่โปรดจึงพากันออกพระนามลำลองว่า
ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย พระสุขภาพของพระองค์ไม่ดีมาแต่แรก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประสูติก่อนกำหนด
และเรื่องนี้กระทบกระเทือนต่อพระอนามัยสืบมาอีกหลายปี
พูดถึงตอนนี้ต้องเล่าแทรกว่าผู้ชายไทยสมัยก่อน
อย่าว่าแต่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย แม้แต่ชาวบ้านทั่วไป
จนถึงผู้มีอันจะกินและขุนน้ำขุนนางทั้งหลายมักมีเมียหลายคน
เมียเหล่านี้ถูกกฎหมายทั้งสิ้น ยิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินยิ่งมีเมียมาก
เพราะเจ้าเมืองประเทศราช ขุนนาง เศรษฐีทั้งหลาย
ต่างนิยมถวายลูกสาว หลานสาวเรียกว่าเป็น
บริจา ริกา ธรรมเนียมแขกจัดประเภท
เป็นฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาฝ่ายหน้าฝ่ายหลังอีรุงตุงนังไปหมด
ลองไปอ่านดูจากเรื่องอิเหนาสิครับ บางคนลูกไม่มียังไปขวนขวาย
ยกน้องเมีย หลานเมียถวาย เผื่อปะเหมาะมีพระราชโอรสธิดา
กับพระเจ้าแผ่นดิน ตัวก็จะได้เป็น ขรัวตา ขรัวยาย พลอยมีหน้ามีตาไปด้วย
อีกประการหนึ่งการที่ผู้ชายจะมีเมียเป็นพี่เป็นน้องพ่อเดียวกันนั้น
แม้สมัยนี้ถือสาและต้องห้าม ฝรั่งเรียกว่า incest
เพราะจะทำให้เป็นโรคเป็นกรรมพันธุ์ได้ง่าย แต่สมัยโบราณ
ไม่ถือสาและไม่ห้าม จะห้ามก็แต่การแต่งงานกับพี่หรือน้อง
ที่เกิดจากแม่เดียวกัน บางทีไม่ใช่พี่น้องแม่เดียวกัน
แต่เคยดื่มนมร่วมเต้ากันมาก็ถือว่าต้องห้ามเพราะร่วมสายเลือดอุทรเดียวกัน
การมีพ่อเดียวกันแต่คนละแม่แต่งงานกันเองเสียอีกที่ไม่ถือ
พระเจ้าแผ่นดินในหลายประเทศมีธรรมเนียมที่จะแต่งงาน
กับน้องคนละแม่หรือวงศาคณาญาติเพื่อจะได้ร่วมวงศ์ตระกูลเจ้าด้วยกัน
ถือว่าลูกที่เกิดมา บริสุทธิ์ ไม่มีเชื้อสายอื่นมาเจือปน
ตามธรรมเนียมแขกเรียกลูกที่เกิดมาเช่นนี้ว่า อุภโตสุชาติอสัมภินพงศ์
คำนี้มักจะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของพระนามเจ้านาย
ที่มีพระบรมชนกนาถเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพระชนนีเป็นเจ้า
รัชกาลที่ 7 เองก็มีสร้อยพระนามตั้งแต่แรกว่า อสัมภินชาติพิสุทธิ์
ดังนั้นรัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระภรรยาหลายประเภท
ประเภทแรกเรียกว่าพระมเหสีซึ่งมีได้หลายองค์และมีการจัดลำดับ
ฐานะเป็นพระบรมราชินี พระบรมราชเทวี พระอัครราชเทวี
พระอัครราชชายา พระราชเทวี พระราชชายา ประเภทที่ 2
คือเจ้าจอมซึ่งเป็นสตรีสามัญชน ถ้าเจ้าจอมคนใดมีพระราชโอรสธิดา
ก็จะได้เป็นเจ้าจอมมารดา ถ้าไม่มีลูกก็เป็นเจ้าจอมธรรมดา ไม่เป็นมารดาใคร
เจ้าจอมบางคนได้รับพระราชทานเครื่องยศพิเศษเป็นพระสนมเอก
พระสนมโท ลูกที่ประสูติจากพระมเหสีจะเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า
แต่ถ้าประสูติจากเจ้าจอมมารดา
จะเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเท่านั้น
รัชกาลที่ 7 ประสูติจากพระมเหสี ที่สำคัญคือพระมเหสี
ชั้นสมเด็จพระบรมราชินี นาถ พระองค์นี้เป็นพระราชธิดา
ของรัชกาลที่ 4 เสียด้วย จึงเป็นพระน้องนางของรัชกาลที่ 5
แต่คนละแม่กัน ดังนั้นรัชกาลที่ 7 จึงทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชาย
มาตั้งแต่ประสูติวกไปวนมาจนจบตอนที่ 1 แล้ว
ผมยังไม่ได้บอกเลยครับว่ารัชกาลที่ 7
เมื่อแรกประสูติเป็นสมเด็จเจ้าฟ้านั้นทรงพระนามว่ากระไร.
..................
วิษณุ เครืองาม
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอังคารที่ 1 มกราคม 2556
Create Date : 03 เมษายน 2556 |
Last Update : 3 เมษายน 2556 20:51:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 839 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|