|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปกเกล้าปกกระหม่อม (3)
คอลัมน์นี้กำลังเล่าเรื่องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ปกเกล้าปกกระหม่อม
คำว่า ปกเกล้า มาจากส่วนหนึ่งของพระปรมาภิไธย เดิมทีทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ประสูติเมื่อ
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2436 ปีนี้จึงครบ 120 ปี
แห่งพระบรมราชสมภพ ทรงเป็น ลูก พระองค์ที่ 76 ของรัชกาลที่ 5
แต่เป็นพระองค์ที่ 9 (สุดท้อง) จากพระครรภ์ของสมเด็จพระนางเจ้า
เสาวภาผ่องศรี (ต่อมาเป็นสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง) เมื่อ พระเจ้าน้องนางเธอ
คนละแม่ พระชนมายุ 3 วันสิ้นพระชนม์ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ
ก็เป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้องและพระเจ้าน้องยาเธอ
พระองค์สุดท้ายตลอดมา คำว่า ยา ใช้เติมเพื่อแสดงความเป็นพระราชวงศ์เพศชาย
ใช้ประกอบคำว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าพี่ยาเธอ
พระเจ้าน้องยาเธอ ถ้าไม่มีคำนี้จะแสดงว่าเป็นหญิง
ก่อนสมัยรัชกาลที่ 3 ย้อนขึ้นไป เราไม่เคยแบ่งแยกจำแนกเพศเจ้านาย
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะไม่เติมคำว่า ยา
ต้องมาเดากันเองว่าเป็นชายหรือหญิง ภายหลังตอนปลายรัชกาลที่ 3
เข้าใจว่าเจ้านายมีจำนวนมากขึ้น จึงต้องหาคำมาทำให้บอก
ได้หมายรู้ว่าเป็นชายหรือหญิง เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา ได้รับพระราชทานเฉลิมพระนามเ
ป็นเจ้าต่างกรมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ครั้นโสกันต์
(โกนจุก) แล้วได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนมัธยมอีตัน
ในประเทศอังกฤษ โรงเรียนอีตันเป็นโรงเรียนเก่าแก่มีชื่อเสียงมาก
ตั้งอยู่หน้าพระราชวังวินเซอร์นอกกรุงลอนดอน
บรรดาเจ้านายพระราชวงศ์อังกฤษและนักการเมืองคนสำคัญ
เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนี้เป็นส่วนใหญ่
คนไทยรุ่นหลังที่จบจากอีตันพอออกนามได้ก็คือ
นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไงล่ะ! เมื่อสำเร็จการศึกษาจากอีตันแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ
ได้ทรงเลือกศึกษาวิชาทหารที่โรงเรียนนายร้อยรอแยลอคาเดมี
เมืองวูลิช แผนกวิชาการทหารปืนใหญ่
ว่ากันว่าการที่ทรงเลือกศึกษาวิชาทหารเพราะแพทย์ถวายคำแนะนำว่า
น่าจะเป็นการดีต่อพระสุขภาพ เนื่องจากจะได้ทรงออกพระกำลัง
พระวรกายที่แบบบางจะได้แข็งแรงขึ้น พระปัปผาสะ (ปอด)
จะได้ขยายใหญ่ขึ้น ขณะนั้นรัชกาลที่ 5 เพิ่งสวรรคต
สมเด็จพระบรมเชษฐาร่วมพระบรมราชชนนี
ได้ทรงรับราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 6 แล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ ทรงใช้เวลาราว 3 ปี
ก็สำเร็จการศึกษา ได้ทรงทำราชการ ณ กรมทหารปืนใหญ่อังกฤษ
ดำรงพระยศเป็นนายร้อยตรีกิตติมศักดิ์แห่งกองทัพบกอังกฤษ
เป็นเหตุให้ทรงรู้จักมักคุ้นกับนายทหารอังกฤษรุ่นราวคราวเดียวกัน
หลายคน ซึ่งต่อมาต่างก็เจริญก้าวหน้า
ได้เป็นแม่ทัพนายกองสำคัญในกองทัพอังกฤษ ปี พ.ศ. 2458 ได้เสด็จกลับมารับราชการในประเทศสยาม
ได้ทรงเป็นนายทหารคนสนิทพิเศษ (ทส.)
ยศนายร้อยเอกของจอมพล สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจักรพงศภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้หรือ ทูลกระหม่อมเล็ก
เป็นพระราชอนุชาร่วมพระบรมราชชนนีกับรัชกาลที่ 6
จึงเป็นพระเชษฐาร่วมพระบรมราชชนนี
กับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ ด้วย ในขณะนั้น นายร้อยเอก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา
ทรงเป็นเจ้านายหนุ่มเนื้อหอมมาก
เพราะเป็นทั้งสมเด็จพระราชอนุชาพระองค์เล็กสุดของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว และเป็นนักเรียนนอกนายทหารหนุ่มโสด
เพิ่งจบจากอังกฤษ แม้จะมีข่าวว่าอาจทรงพอพระทัยหม่อมเจ้าหญิง
พระองค์โน้นพระองค์นี้ แต่ในที่สุดผู้ที่ทรงสนิทเสน่หา
จนจะทรงเสกสมรสด้วยในไม่ช้าคือ
หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ หรือท่านหญิงนาหรือเต่านา
พระญาติสนิททางฝ่ายพระบรมราชชนนี ที่ว่าหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นพระญาติสนิทนั้น
เพราะสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
พระบรมราชชนนีของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ
ซึ่งเป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่ 4 ประสูติจากเจ้าจอมมารดาเปี่ยม
(ในสายสกุลสุจริตกุล ต่อมารัชกาลที่ 6 ทรงสถาปนา ขรัวยาย
ท่านนี้เป็นสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา) นั้น
ทรงมีน้องชายแม่เดียวกันพระองค์หนึ่งคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ ต่อมาเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระสวัสดิ์วัตนวิศิษฏ์ ต้นราชสกุลสวัสดิวัตน์ กรมพระสวัสดิ์ฯ จึงทรงเป็น น้า แท้ ๆ หรือน้องแม่ของรัชกาลที่ 6
และ 7 หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็น ลูก ของกรมพระสวัสดิ์ฯ
ประสูติจากหม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณีจึงทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องเรียงกัน
หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี (ต่อมาเป็นพระองค์เจ้าหญิง)
พระมารดาของหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีทรงเป็นพระธิดาของ
กรมหลวงพิชิตปรีชากร เมื่อประสูติจัดว่าทรงเป็นเจ้าหญิงที่งามมาก
พระองค์หนึ่ง ครั้งที่รัชกาลที่ 5 มีพระราชธิดาคือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสุทธา
ทิพยรัตน์ฯ ทรงพระสิริโฉมมากจนรัชกาลที่ 5
ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่าคราวนี้ล่ะข้าไม่แพ้กรมพิชิตแล้ว พระบรรพบุรุษของหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นนักกฎหมายใหญ่
ทั้งฝ่ายพระชนกและพระมารดา พระชนกคือสมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ
เคยไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษ ได้เป็นอธิบดีศาลฎีกาอยู่ระยะหนึ่ง
คำพิพากษาฝีพระหัตถ์เฉียบขาดน่าอ่านมาก
มีผู้รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มแล้วชื่อ โวหารกรมสวัสดิ์
ส่วนเสด็จตาหรือกรมหลวงพิชิต ปรีชากร พระบิดาของ
พระองค์เจ้าหญิงอาภาพรรณีซึ่งเป็นพระมารดานั้นเล่า
ก็เป็นนักกฎหมายรุ่นเก่าที่ได้ชื่อว่าปราดเปรื่องที่สุดของสยาม
ทรงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างกฎหมายเลิกทาส
สนองพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2460 สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ตามธรรมเนียมเจ้านายที่สืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 4
เมื่อจะทรงลาผนวช สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส
พระอุปัชฌาย์และอธิบดีสงฆ์วัดบวรนิเวศได้ปรารภว่า
น่าจะผนวชต่อไปไม่น่าจะสึก เพราะมีสมเด็จพระเชษฐาหลายพระองค์
จะเอาดีทางราชการก็คงไปได้ไม่เท่าไร
หากผนวชต่อไปอาจได้ดีทางพระศาสนาจนถึงขั้นเป็นสังฆปริณายกก็ได้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ กราบทูลว่า
เห็นจะเอาไม่อยู่เพราะทรงสนิทเสน่หาผู้หญิงไว้ก่อนแล้ว
จึงขอทูลลาผนวชออกไปเสกสมรส ลาผนวชแล้วก็ได้เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี
ณ พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน
ได้ประทับที่วังสุโขทัยซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนีสร้างพระราชทาน
เป็นเรือนหอและได้ทรงรับราชการทหารต่อไป
จนดำรงพระยศเป็นนายพันตรี ตำแหน่งราชองครักษ์
และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยทหารบกชั้นปฐม
อีก 3 ปีต่อมาเริ่มทรงมีปัญหาด้านพระสุขภาพอีก
แพทย์ถวายคำแนะนำให้ไปรักษาพระองค์และประทับในที่มีอากาศเย็น
จะได้ไม่ทรงเหนื่อยมาก จึงเสด็จไปประทับที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ทรงเข้าประจำกองบัญชาการกองทัพน้อยทหารบกฝรั่งเศส
และทรงศึกษาวิชานายทหารหลักสูตรเสนาธิการที่โรงเรียนนายทหาร
ฝ่ายเสนาธิการจนจบหลักสูตรจึงได้เสด็จกลับ
โดยเสด็จผ่านทางประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
ซึ่งสื่อมวลชนต่างเสนอข่าวเกี่ยวกับพระองค์และพระชายาอย่างครึกโครม
ว่า อยู่ในลำดับการสืบราชสมบัติกรุงสยามด้วย
แต่ยังมีพระเชษฐาคั่นอีกหลายพระองค์ เมื่อเสด็จกลับจากต่างประเทศหนนี้ได้ทรงดำรงตำแหน่ง
ปลัดกรมเสนาธิการทหารบก และเลื่อนพระยศเป็นนายพันเอก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 ก็ได้เป็นนายพลตรี
ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ 2
และเป็นผู้บังคับการพิเศษกรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 ในคราวเดียวกัน จาก พ.ศ.2460 ซึ่งเป็นปีที่ทรงลาผนวช ทรงเสกสมรส
แล้วเสด็จกลับไปศึกษาวิชาเสนาธิการที่ประเทศฝรั่งเศส
จนถึงเวลาที่เสด็จกลับมาทรงรับราชการทหารต่อไป
จนดำรงพระยศนายพลตรี ผู้บัญชาการกองพลนั้น
ข้อที่เคยคิดว่าทรงอยู่ในลำดับการสืบราชสมบัติแต่ยังห่างอีกมาก
เห็นจะไม่ใช่เรื่องห่างไกลจนเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
นับแต่เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ
พี่ชายของพระองค์และเป็นพระราชอนุชาในลำดับถัดจากรัชกาลที่ 6
และทรงโปรดปรานมากถึงกับออกพระโอษฐ์แนะนำแก่ทูตานุทูตว่า
ดิส อิส มาย คราวน์ ปรินซ์ นี่คือรัชทายาทของข้าพเจ้า สิ้นพระชนม์
ลงขณะเสด็จไปราชการที่สิงคโปร์ใน พ.ศ.2463
ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
พระเชษฐาถัดจากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ
สิ้นพระชนม์ไปอีกพระองค์ใน พ.ศ.2466 ด้วยความที่สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ฯ และเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ
ทรงเป็นพระราชอนุชาที่เหลืออีกเพียง 2 พระองค์ของรัชกาลที่ 6
และรัชกาลที่ 6 เองก็ยังไม่ทรงมีพระราชโอรสธิดาจึงโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระราชอนุชาทั้ง 2 พระองค์หันมาศึกษาหลักราชการ
ธรรมเนียมการปกครองฝ่ายพลเรือน และกฎหมายต่าง ๆ
อันจำเป็นแก่การเป็นผู้ปกครองเตรียมพระองค์ไว้ดังที่โปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยามหิธรนำเอกสารราชการที่สำคัญมาถวายหลายฉบับ
ยิ่งใน พ.ศ.2467 สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนคร
ราชสีมา พระราชอนุชา 1 ใน 2 พระองค์ของรัชกาลที่ 6 ที่เหลืออยู่
สิ้นพระชนม์ลงเสียอีก เป็นอันว่าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ
ทรงเลื่อนจากผู้เคยอยู่ห่างไกลสุดสายการสืบราชสันตติวงศ์
มาอยู่ในฐานะรัชทายาทลำดับที่ 1 จ่อคิว เสียแล้ว
จึงยิ่งต้องทรงศึกษากฎเกณฑ์การปกครองต่าง ๆ เข้มข้น
และเอาจริงเอาจังยิ่งขึ้น นับเป็นการเตรียมพระองค์อย่างกะทันหัน
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะก้าวเข้าสู่
การปฏิบัติภารกิจที่สำคัญยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต ความจริงความรู้ในส่วนของการเมืองการปกครองนานาประเทศ
และพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยนั้นได้เคยทรงศึกษามาก่อนแล้ว
ทั้งที่โรงเรียนอีตัน โรงเรียนนายร้อยทหารบกที่อังกฤษ
และโรงเรียนเสนาธิการทหารที่ฝรั่งเศส
พระองค์เองก็ใฝ่พระทัยในทางประวัติศาสตร์
อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนายทหารเสนาธิการ
หนังสือทรงโปรดในห้องพระอักษรส่วนพระองค์จะมีทั้งที่เป็นวรรณคดี
ประวัติศาสตร์ การทหาร กฎหมาย และการเมืองการปกครอง
ของประเทศต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เดือนตุลาคม พ.ศ.2468 รัชกาลที่ 6 เริ่มประชวรพระนาภี (ปวดท้อง)
และพระอันตะ (ลำไส้) ซึ่งเป็นพระโรคเดิมจากที่เคยทรงผ่าตัด
ที่ประเทศอังกฤษเมื่อหลายสิบปีก่อนได้กลับอักเสบเป็นแผลขึ้นอีก
จนพระอาการทรุดลงเป็นลำดับ ในต้นเดือนพฤศจิกายนปีนั้น
ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ
เป็นกรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
ประหนึ่งเพื่อจะเตรียมรับเหตุการณ์ใหญ่ในอนาคตอันใกล้ เหตุการณ์ใหญ่นั้นคือขณะนั้นพระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 กำลังจะมีพระประสูติการ
ถ้าประสูติเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชาย และรัชกาลที่ 6
ซึ่งกำลังประชวรหนักลงมีเหตุอันไม่อาจดำรงพระชนม์ต่อไปได้
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชาก็จะได้เป็น
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปยาวนานจนกว่าพระราชกุมาร
จะทรงรับพระราชภาระเป็นพระมหากษัตริย์เองได้
แต่ถ้าประสูติเป็นหญิง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
ก็จะต้องรับราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์เสียเองในทันที
โดยไม่มีข้อสงสัย วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 พระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวี ประสูติสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง บัดนั้นพระสถานภาพ
ของกรมหลวงสุโขทัยฯ ว่าจะทรงเป็นอะไรชัดเจนแล้ว
ส่วนที่ว่าจะเป็นเมื่อใดขึ้นอยู่กับพระอาการของรัชกาลที่ 6 เท่านั้น
ซึ่งไม่ได้เป็นที่เคลือบคลุมอยู่นานเลย เพราะหลังเที่ยงคืน
วันที่ 25 พฤศจิกายน รัชกาลที่ 6 ก็เสด็จสวรรคต
พระชนมพรรษา 46 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 15 ปีเศษ วาระนั้นแผ่นดินรัชกาลที่ 7 ก็เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางปัญหาสารพัด
ที่รุมล้อมประเทศชาติและนับวันจะทวีความยุ่งยากมากขึ้นทุกที
ผู้ที่จะคุมสถานการณ์นี้ไว้ได้ต้องอาศัยความรอบรู้
ความฉลาดสามารถ ความใจกว้าง ความอดทน
ความรักสันติประนีประนอมและความมีโชคอย่างมาก คนทั้งประเทศใน พ.ศ.2468 ต่างจับตาดูว่าเจ้าชายหนุ่ม
พระชนมายุ 32 พรรษาพระองค์นี้จะทรงทำได้หรือไม่
และยาวนานไปได้สักเท่าใด.
..................
วิษณุ เครืองาม
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอังคารที่ 15 มกราคม 2556
Create Date : 03 เมษายน 2556 |
Last Update : 3 เมษายน 2556 20:52:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 530 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|