Blog No.3 : Slow Write (ตอน 1) ... หายหัวไปไหนมา ?
...
คุณ
รู้สึกดี
เวลามีคนมากด like
มั้ยครับ รู้สึกดี นี่รวมทุกอย่างนะครับ ดีใจ ปลื้มฯลฯ
ผมขอตั้งสมมติฐานนะครับว่า คุณรู้สึกดีมากกว่า รู้สึกแย่ เวลาเขียนหรือแชร์อะไรแล้วมีคนมากด like
เพราะมันตรงตัวเลยกับคำว่า like มันชวนให้เราแปลว่ามีคนชอบสิ่งที่คุณเขียน ชอบการแสดงความเห็นของคุณ ชอบรูปของคุณ ชอบลูกของคุณ ฯลฯ มันคือการชื่นชอบชื่นชม หรือ แสดงการยอมรับ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มนุษย์ปรารถนา
ถ้าไม่คิดอะไรมาก เล่นพวกทวิตเตอร์หรือเฟซแค่ขำๆความรู้สึกดีจาก like จะค่อยๆปรับพฤติกรรมคุณในโลกออนไลน์บางอย่าง(ซึ่งผมคงจะเขียนถึงวันหลัง) แต่ถ้าคุณรักการเขียนคุณคิดใช้เวทีออนไลน์เป็นสนามพัฒนาฝีมือในการเขียน
ปุ่ม like และโลกของโซเชียลมีเดีย จะส่งผลต่อคุณมากโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว ซึ่งผมมาพบภายหลังว่ามันส่งผลลบกับตัวเองมากกว่าบวก
*****
... ย้อนไป 10 ปีก่อนตอนผมเขียนกระทู้กับบล็อกใหม่ๆ ผมรู้สึกเลยว่าการเขียนในโลกออนไลน์เป็นสนามฝึกปรือฝีมือชั้นดี
ผู้อ่านคืออาจารย์ให้คนเขียน คือคุณจะรู้ได้ว่าคุณเขียนดีหรือห่วยก็จากการคอมเมนต์ของคนอ่าน แล้วถ้าคุณถอดความรู้สึกเสียใจหรือหงุดหงิดที่โดนด่าไตร่ตรองคำวิจารณ์เหล่านั้นคุณก็จะเห็นข้อบกพร่อง หรือถ้าไม่หลงไปกับคำชมจนลอยมากไปคุณก็จะรู้ว่างานเขียนคุณดีที่จุดไหน
เพราะกว่าคนอ่านจะแสดงความเห็นแปลว่าเขาต้องอ่านจนจบก่อน ไม่มีปุ่มกดง่ายๆแบบ like เมื่ออ่านจบ
ถ้าคุณชอบหรือเกลียดงานเขียนชิ้นนั้น คนอ่านก็ต้องใช้เวลา นั่งพิมพ์ความเห็นตัวเองลงไป ซึ่งเวลานั้นแหละครับที่จะทำให้สมองส่วนหน้าไตร่ตรองก่อนพิมพ์มากขึ้น
หรือเราอาจดูว่างานเขียนของเราได้รับความนิยมแค่ไหนก็จากยอดview ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่แน่นอนแต่ปัจจัยที่มีผลต่อยอด view ไม่ได้เหมือนกับยุคนี้
ในยุคโซเชียลมีเดีย เช่น facebook
(1) ไม่มีปุ่ม dislike (ที่ fb บอกว่ากำลังจะมาในอนาคตก็ไม่ใช่ dislike โดยตรง) ... มันก็ทำให้คุณก็จะมีแต่ความ รู้สึกดี ถ้าคุณดูแค่ยอด like ทีได้มา แล้วความรู้สึกดีนั้นจะมีปัญหา ถ้าคุณแปลความว่าสิ่งที่คุณเขียนหรือแชร์นั้นดี เพราะมันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เพราะ like อาจมาจาก อ่านแล้ว , ยังไม่ได้อ่านนะแต่ขอ like ไว้ก่อน , ชอบคนเขียน หรือ like เพราะใจตรงกันเลย(เช่น ชองนักร้องวงเดียวกันเลย ,ด่าพรรคการเมืองที่เกลียดเหมือนกัน , อ่านแล้วมันส์เพราะด่าที่หนังเกลียดเรื่องเดียวกัน, อ่านแล้วสะใจ ต่อมอีโม พองโต สาแก่ใจอีช้อยยิ่งนักกดไลค์แมร่มซักสิบไลค์อะไรทำนองนั้น)
ยิ่งถ้าคุณมีติ่งมีแฟนคลับ ขอให้สิ่งที่เขียนไม่เลวร้ายจนขัดใจแฟนๆ แฟนๆก็พร้อมจะกด like ให้
ดังนั้นแม้บางคนไม่เห็นด้วยก็ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรเพราะไม่มีdislike บวกกับปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Spiral of silence ก็คือการที่เราไม่อยากเปลืองตัวไปแสดงความเห็นต่างในพื้นที่ที่มีแฟนคลับเยอะๆไม่ว่าจะการเมืองหรือบันเทิงซึ่งเสี่ยงกับการโดนยำ ก็ผ่านๆไปไม่ยุ่งแค่นั้น
(2) ทุกอย่างเร็ว ทุกอย่างแรง ... ไม่ใช่แค่ ความรู้สึกดีที่มาง่ายเพราะไม่ต้องใช้ เวลา ในการตอบสนอง (กดไลค์ใช้เวลาไม่ถึงสองวินาที ยืนฉี่ก็กดไลค์ได้) แต่ ความรู้สึกแย่ๆ ก็จะยิ่งแรงกว่า
เพราะเวลาเกลียดหรือไม่ชอบใจเราไม่กลั่นกรองอะไรมาก ทุกสิ่งจากสมองพิมพ์ลงไปรัวๆ อ่านเจอดราม่าเกลียดนักคนแบบนี้ก็พิมพ์ด่ารัวๆ หรือถ้าเราเป็นชาวท่าแซะก็จะแซะๆเหน็บๆให้มันได้เจ็บ
ทุกสิ่งที่ส่งตรงจากสมองมายังคีย์บอร์ดไม่มีจุดแวะพักเหมือนเวลาจะคอมเมนต์อะไรในกระทู้สมัยก่อนที่กว่าจะพิมพ์ได้กว่าจะกดส่งได้ บางทีเรามีสติที่จะลดความแรงหรืออีโมลง
ยิ่งโลกยุคใหม่ที่คนรุ่นใหม่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมีลักษณะหลงตัวเองได้ง่ายตามงานวิจัยมากมาย ทำให้ความเห็นติจำนวนมากห่างไกลจากคำว่า ตรงไปตรงมา หรือ จริงใจ แต่เป็นลักษณะ แรง กรูแน่ เอาให้สาสม เมิงจงสำนึก เมิงจงขอขมา
มันจึงไม่ใช่งานติเพื่อก่อที่เจ้าของผลงานจะได้พัฒนาแต่มันคือติเพื่อด่า ที่เจ้าของผลงานอ่านแล้วจะเสียพลังงานชีวิตมากกว่าจะได้ข้อมูลไปปรับปรุงตัว
(3) ปัจจัยที่มีผลต่อ Like , ยอด view และยอด reach ถึงคนอ่าน ...
3.1 ตั้งแต่ตอนที่ facebook ปรับalgorithym ใหม่ คือ ถ้าคุณจ่ายตังค์จะมีคนเห็นงานเขียนคุณมากขึ้นแต่ถ้าคุณไม่จ่ายเงิน ต่อให้มีคน like เพจคุณหลักหมื่นแต่อาจมีคนเห็นสิ่งที่คนเขียนหลักสิบหรือ ต้องให้มีคนมาปฏิสัมพันธ์มาก สิ่งที่เขียนจึงจะปรากฎให้คนเห็นมากตามไปด้วยแปลว่าถ้าคนอ่านเยอะแต่ไม่ไลค์ ไม่เมนต์ นานๆเข้าก็จะมีคนเห็นงานเขียนของคุณน้อยลง
3.2 เวลาก็เป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าคุณโพสต์บางช่วงเวลาที่ไม่มีคนเล่นพอถึงช่วงเวลาคนเล่นเยอะ งานเขียนคุณก็จะหายไปจากหน้าจอเพื่อนๆแล้วเพราะยุคนี้มีปริมาณข้อมูลที่อัพเดตทุกนาที แทบจะเหมือนสึนามิข้อมูลที่มากมายไม่หยุดหย่อนมาแทนที่ข้อมูลของคุณ
3.3 ถ้าคุณรับเงินโฆษณาสินค้า คุณไทอินสินค้าด้วยเนียนๆคุณก็จะมีพาร์ตเนอร์ช่วยแชร์ให้งานเขียนของคุณเข้าถึงคนอ่านมากขึ้น
3.4 ถ้าคุณเขียนแบบใช้อารมณ์ร่วมมากๆ เช่น ด่าแรงๆ อวยสูงๆใช้ศัพท์ที่กระตุ้นความรู้สึกคนได้ดี คนที่คอเดียวกันก็จะเริ่มตามไลค์คุณมากขึ้น
3.5 ถ้างานเขียนของคุณกลายเป็นดราม่าแล้วถูกแชร์ คุณก็จะเจอคนยกพวกมาปาขี้(ศัพท์ยุคใหม่ที่ไปแสดงความเห็นถล่มใส่) แล้วก็จะเต็มไปด้วยสึนามิแห่งคำด่า
ฯลฯ
4. like ทำให้คุณสุดโต่งมากขึ้น ... ตามกลไก positive reinforcement เลยครับ ยิ่งคุณได้ไลค์มาก คนมาเมนต์ชื่นชมมาก คุณรู้สึกดีมาก มันก็จะผลักดันให้คุณเขียนในแนวนั้นมากขึ้น แล้วคุณก็จะเริ่มแรงขึ้น (เช่นหยาบขึ้น อวยเยอะขึ้น หวานขึ้น เขียนในประเด็นนั้นบ่อยขึ้น ฯลฯ) เพราะมีจำนวนไลค์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยสิ่งที่ผลักดันไม่ได้บอกว่าคุณเขียนดีเท่านั้น แต่มันผลักดันมาจากคนที่สะใจหรือมีฟิลแบบเดียวกันจำนวนมาก ได้เจอพวกเดียวกัน
... นั่นแหละครับ ก่อนที่จะหยุดเล่นเพจแล้วพักไปหกเดือน สิ่งเหล่านี้มันคือจุดที่ผมเริ่มคิดได้ว่า เฮ้ย ปล่อยให้เรื่องพวกนี้มามีส่วนในการเขียนได้ยังไงวะ
แน่นอนครับ ผมหลง like ได้ปลื้มเหมือนคนทั่วไปแต่มันไม่ได้เป็นอาจารย์ที่จะช่วยพัฒนางานเขียนเหมือนแต่ก่อน ไม่สามารถใช้วัดอะไรได้ดีเท่าเมื่อก่อน และในแต่ละวัน มันก็เผาผลาญพลังงานชีวิตไปกับการฟูฟ่องจากความรู้สึกดีและรู้สึกแย่มากพอสมควร
ที่เขียนมาไม่ได้โรแมนติกอะไรกับโลกยุคก่อนหน้าโซเชียลมีเดียนะครับเพียงแต่ผมคิดว่ามันมีจุดเด่นกับจุดด้อยต่างกัน
ถ้าผมเขียนใหม่ๆแล้วอยากให้งานเขียนเข้าถึงคนมาก ผมยังเลือกใช้บริการเขียนลงเพจ
แต่พอถึงจุดหนึ่งผมจึงกลับมาทบทวนว่าต้องการอะไรจากการเขียน
นั่นจึงทำให้กลับมาเขียน Blog
ตอนหน้าจะมาต่อนะครับว่าทำไมถึง Blogและทำไมถึงกระแดะใช้คำว่า Slow write