Blog No.9 : ในโลก(ที่ถูก)แบนและคนไทยยังไม่พร้อม
(1) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่าทำไม หนังเรื่องโน้นได้ฉายแต่เรื่องนี้ไม่ได้ฉายเพราะหนัง ทุกเรื่อง ควรได้ฉายโดยไม่ต้องถูกตัด ถูกเบลอ ภายใต้กฎหมายเรตติ้งที่จัดไว้แล้ว
(2) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่า จัดเรตไปก็เท่านั้น เดี๋ยวพนักงานก็ไม่เอาจริงเดี๋ยวโรงหนังก็ไม่กวดขัน ฯลฯ เพราะประเด็นคือการเข้มงวดกับจริงจังในการทำตามกฎให้ได้ ไม่ใช่ยกเลิกกติกาที่สร้างขึ้นมา 
(3) มันไม่ใช่เรื่องที่ว่า พ่อแม่ยุคนี้ไม่เวลาเลี้ยงลูก ดังนั้นสังคมต้องช่วยกัน (ด้วยการเซ็นเซอร์) เพราะสิ่งที่ควรเป็นคือสังคมต้องเพิ่มความตระหนักให้พ่อแม่ กระตุ้นให้พ่อแม่รับผิดชอบในภาระที่ควรทำ กระตุ้นให้พ่อแม่หาเวลาให้ลูกมากขึ้น ซึ่งการจัดเรตนั่นคือสิ่งที่ทำดีแล้วตามนานาอารยประเทศพึงมี แล้วพ่อแม่ก็ต้องรู้จักใช้เรตนั้นให้เป็นประโยชน์
ไม่ใช่ถึงขั้นควบคุมหรือคัดกรองสื่อแบบที่อยากให้ประชาชนเสพ ซึ่งเท่ากับผลักหน้าที่ของพ่อแม่ไปให้สังคมหรือรัฐมาทำตัวผู้ปกครองแทน
แล้วยิ่งทำแบบนี้ ก็จะยิ่งทำให้กลายเป็นสังคมที่ผู้ใหญ่เชื่อฝังใจว่า หน้าที่บางอย่างที่ควรเป็นของพ่อแม่ คือ หน้าที่ของรัฐหรือผู้ใหญ่ในสังคมที่ต้องทำแทน
แล้วบ่อยครั้งที่มีคนพยายามเสนอเสรีภาพในการเสพสื่อ เสนอว่าไม่ต้องจำกัดรูปแบบให้สื่อมีแต่เชิงสั่งสอนศีลธรรมเพียงอย่างเดียว หรือมีคนพยายามจะบอกว่าเราโตๆกันแล้ว คิดเองได้ เลือกเองได้ ก็จะตามมาด้วยวลีสุดแคลสสิคว่า
"ก็คนไทยยังไม่พร้อม"
 (4) มันไม่ใช่ประเด็นว่า คนไทยไม่พร้อม เพราะเท่าที่เห็นหรือลองกูเกิ้ลดู วลีนี้มักถูกใช้ในแทบทุกประเด็นที่โลกศิวิไลซ์แล้วเขามีกัน แต่เหมือนคนไทยยังอยู่ในโลกยุคกลางที่ยังไม่พร้อมจะทำตามเขา แล้วก็ไม่เคยพร้อมอะไรซักอย่าง
ทุกครั้งที่มีการใช้คำๆนี้คือการบอกถึงการสร้างสังคมแบบ Immaturity (ด้อยวุฒิภาวะ) คือสังคมที่ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแล คือสังคมที่คนอายุ 50 ถูกดูแลให้เสพสื่อไม่ว่าจะข่าวหรือหนังหรือละครเสมือนมีวุฒิภาวะเดียวกับเด็ก 5 ขวบ
แล้วก็บังเอิญที่ผู้ปกครองเต็มไปด้วยความกลัวโน่นกลัวนี่จะตามมา กลัวความเสียหาย กลัวความเจ็บปวด ฯลฯ เหมือนพ่อแม่ที่คิดว่าลูกไม่พร้อมจะเดินกลัวเดินแล้วจะล้ม ก็ยังอุ้มตลอดแม้จะเดินได้แล้ว
และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็จะไม่มีวันโตอย่างมีวุฒิภาวะ หรือคนไทยก็จะไม่มีวันพร้อมกับอะไรเลย
(5) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่า สื่อต้องเป็นบทเรียนสอนใจเสมอถึงจะมีคุณค่า เช่น ตอนจบคนดีต้องได้ดี คนชั่วต้องโดนลงโทษหรือจบด้วยการมีพระมาเทศน์ให้ข้อคิดสอนใจ สื่อแบบนี้อาจจะเหมาะในการสอนเด็กเล็กให้รู้จักทำดี เป็นกลวิธีหนึ่ง แต่เมื่อโตขึ้นมาถ้ายังปลูกฝังแต่วิธีคิดแบบนี้ก็เหมือนกับคนเสพสื่อยังคงเป็นเด็กเล็ก แล้วพวกเขาโตขึ้นก็จะปรับตัวไม่ได้กับความจริงที่ว่า มีคนชั่วที่ได้ดี คนดีๆต้องพ่ายแพ้ มีความพยายามที่จบลงด้วยความล้มเหลวมีขยะซ่อนอยู่ใต้พรม มีความเลวร้ายในตัวบุคคลหรือองค์กรที่เราศรัทธา การรับรู้สิ่งเลวร้ายในสังคมไม่ได้แปลว่าซ้ำเติมให้สังคมแย่ลง มิหนำซ้ำการรับรู้เหล่านี้จะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำ เพราะการรับรู้ว่าในชีวิตจริงยังมีคนชั่วที่ได้ดี มีคนดีๆต้องพ่ายแพ้ มีความพยายามที่จบลงด้วยความล้มเหลวมีขยะซ่อนอยู่ใต้พรม มีความเลวร้ายในตัวบุคคลหรือองค์กรที่เราศรัทธา
จะทำให้พวกเขาโตมาโดยไม่ได้มีศรัทธาแบบ blind faith
ทำให้เขารู้จักคอยตรวจสอบสังคม รับรู้ว่ามีความอยุติธรรมในสังคม มองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสีเทา
และรู้ว่ามีหลายเรื่องที่ไม่ได้เป็นดั่งกฎตายตัวเหมือนสุภาษิตสอนใจ ซึ่งเขาต้องเตรียมรับมือและต้องอดทนสู้กับมัน
(6) และถ้าประเด็นที่ต้องแบนสื่อในรูปแบบหนังหรือละครบางเรื่องโดยเข้าข่ายว่าห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักรภายใต้เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 6 ข้อ คำถามที่ควรใคร่ครวญมีอยู่สองประเด็นคือ 6.1 เกณฑ์ทั้ง 7 ข้อนั้นจะใช้อะไรเป็นมาตรฐาน เช่นเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ใช้แบนหนังมีคำว่า สาระสำคัญของเรื่องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์
อะไรคือสาระที่สำคัญหรือไม่สำคัญในการมีเพศสัมพันธ์ที่จะตัดสินใจแบนหนัง ?  และ 6.2 ถ้าหนังต้องถูกแบน เพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย,เสื่อมศรัทธา,แตกความสามัคคีฯลฯ
ประเด็นก็คือหนังเรื่องนั้นมี power มากขนาดนั้นจริงๆชนิดที่เรียกว่าเหมือนหนัง propagandaแบบของนาซี หรือมันดูหมิ่นเหยียดหยามรุนแรงชนิด offensive กับคนส่วนใหญ่ในประเทศจริงๆ เป็นเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ที่ยิงออกมาแล้วตายราบทั้งประเทศ หรือเป็นเพียงหนังสติ๊ก ที่ยิงไปแล้วเจ็บๆคันๆแค่บางคน แต่ก็ดันกลัวว่ามันจะไปสั่นคลอนฐานที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วให้ทรุดลง หรือมันไปกระทบความรู้สึกของคนไม่กี่คนที่มีอำนาจ จนต้องแบนมันเสียแทนที่จะปรับปรุงองค์กรหรือเพิ่มภูมิต้านทานของตัวเองในการรับคำวิจารณ์ด้านลบ
ไม่งั้นมันก็จะเหมือนกับที่ตัวละครใน The Hunger games เคยบอกไว้แล้วว่า มันคงเป็นระบบที่เปราะบางมาก หากเบอรี่เพียงหยิบมือจะทำให้มันล่มสลาย.
(7) มันน่าเบื่ออยู่ที่ว่า ไม่ว่าเราจะมีวิธีคิดอย่างไร คนในเน็ตจะแสดงความเห็นมากแค่ไหน จะมีการรวมตัวกันอีกกี่ครั้ง เราก็ยังวนอยู่ในลูปเดิมๆ สิบกว่าปีที่ผ่านมา เรื่องแบบนี้ก็วนเวียนอีหรอบเดิมๆ เคยเขียนถึงแล้วก็ต้องเขียนถึงอีก ซึ่งก็มาจากวิธีคิดแบบ 5 ข้อข้างต้นและความคลุมเครือในข้อ 6 มันคือวิธีคิดที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่สมัยเบลอนมชิซูกะ ฯลฯ 
มันคือวิธีคิดภายใต้มาตรการที่มีผู้อำนาจในการคัดกรองสื่อให้ประชาชน พวกเขาเป็นคนเลือกให้ แล้วสุดท้ายเสียงบ่นในโลกออนไลน์ที่ไร้พาวเวอร์ก็จะจางหายไปตามกาลเวลา สุดท้ายหนังหรือสื่อก็จะยอมประนีประนอมปรับตัวเพื่อให้ได้ฉายภายใต้ชุดความคิดเดิมๆ มันจึงเป็นประเด็นที่ว่า 'วิธีคิดแบบผู้ใหญ่ปกครองเด็ก+คนไทยไม่พร้อม' จะเป็นแบบนี้ไปอีกกี่รุ่น ?
กระบวนการเซ็นเซอร์สื่อ กระบวนการเน้นนำเสนอแต่สิ่งดีงามแล้วไม่พูดถึงเรื่องเลวร้าย กระบวนการที่ประชาชนอยู่ภายใต้การดูแลแบบเด็กๆ ที่เป็นอยู่นี้มันดีจริงๆหรือ?
วิธีการแบบนี้มันช่วยปกป้องให้วิชาชีพ ,หน่วยงาน,องค์กรฯลฯ มั่นคงหรือดีงามโปร่งใสขึ้นจริงๆหรือ?
แล้วมันทำให้สังคมไทยดีขึ้นจริงหรือ ?
แล้วถ้าไม่ , ในอนาคตเราในฐานะประชาชนจะมีสิทธิเลือกหรือไม่ ในอนาคตเราจะมีอำนาจมากพอในการเลือก ใคร มากำหนดแนวทางใช้ชีวิต หรือเลือก วิธีคิด ใหม่ๆหรือเปล่า ?
*** เพิ่ม ข้อ 8 กับ ข้อ 9 มาเติมทีหลังจ้า *** (8) เรามักเข้าใจผิดว่า โอ้ว เราชนะแล้ว โอ้วเสียงของเราช่างยิ่งใหญ่ หลังจาก หนัง/การ์ตูน/ละคร ฯลฯ ที่เราออกมาเรียกร้องให้ได้ฉายหลังโดนแบนหรือเบลอได้กลับเข้ามาฉายอีกครั้งโดยผู้สร้างกลับไปปรับปรุงเพื่อให้ผ่านเซ็นเซอร์ แต่ความจริงแล้ว เรานั่นแหละที่พ่ายแพ้แล้วเสียงของเราก็ไม่ได้มีพลังอะไรเลยเพราะการที่ผู้กำกับหรือทีมงานกลับไปตัด/เติม/เพิ่ม ฯลฯ ก็คือการประนีประนอมเพื่อให้ได้ผ่านการเซ็นเซอร์ เพื่อให้ได้เข้าฉาย (ซึ่งก็น่าเห็นใจ มิเช่นนั้นก็จะลงทุนไปสูญเปล่า) ดังนั้นสุดท้ายเวอร์ชั่นที่คนดูได้ดูก็คือเวอร์ชั่นที่ถูกตัดตอนจนเห็นว่าเหมาะสม แล้ว เท่ากับซึ่งคนดูก็ยังพ่ายแพ้ต่อวิธีคิดในเรื่องการเสพสื่อแบบคนไทยยังไม่พร้อม แล้วใช้ชีวิตอยู่ในรูปแบบสังคมที่วุฒิภาวะในการรับสื่อของผู้ใหญ่50 ปีมีค่าเท่ากับเด็ก 5 ขวบกันต่อไป (9) แม้จะต้านการเบลอนมชิซูกะเพราะมันดูไร้สาระ ต้านการเซ็นเซอร์เรื่องของวงการหรือวิชาชีพนี้เพราะเราเห็นด้านไม่ดีอยากให้เผยแพร่ความจริงอีกด้านให้โลกรู้ ฯลฯ จนเหมือนเราสนับสนุนเสรีภาพการเสพสื่อ แต่เราอาจไม่รู้ตัวว่าวิธีคิดของเราเองอาจยังอยู่ภายใต้กรอบของการยินดีที่จะให้มีผู้ปกครองช่วยเซ็นเซอร์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อเราเลือกต้านการเซ็นเซอร์แค่ประเด็นที่กระทบกับตัวเอง ตัวอย่างเช่นกรณีซิงเกิ้ลเกตเวย์ , แบนหนัง , เบลอนมชิซูกะ เบลอนมรูปปั้นแกะสลัก , เบลอขวดเบียร์ในละคร , การต่อเติมคำสอนของพระหลังตอนจบเพื่อให้มีอะไรสอนใจฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเดียวกันคือ เสรีภาพในการเสพสื่อ + วิธีการแบบ ผู้ใหญ่ดูแลเด็ก + คนไทยยังไม่พร้อม แต่หากออกมาเรียกร้องก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกระทบกับเราแล้วเห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์สื่ออื่นๆก็เท่ากับเรายังคงเห็นด้วยกับวิธีคิดแบบนี้และที่หนักคือมี ตรรกะวิบัติ หรือการใช้ตัวเองเป็นตัวชี้วัดสังคมหรือความเข้าใจอะไรผิดๆ ทำนองว่า พวกที่ออกมาโวยหนะ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูหรอก โอ๊ย ไอ้เรื่องนั้นมันเป็นแผนโปรโมทแน่ๆปล่อยให้มันโดนแบนเหอะ เออ บางเรื่องเซ็นเซอร์ก็ดีเหมือนกันนะ เราว่ามันแรงไป เสรีภาพมากไปมันก็ไม่ดีหรอก ดูอย่างเด็กเล่นเกมแล้วไปก่อความรุนแรงซิ ฯลฯ สุดท้ายแล้ววิธีคิดเหล่านี้ก็จะมาจบตรงอย่าลืมว่า คนไทยเรายังไม่พร้อม ซึ่งก็จะเป็นวิธีคิดที่ส่งต่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้กันต่อไป
Create Date : 13 ตุลาคม 2558 |
|
4 comments |
Last Update : 18 ตุลาคม 2558 20:07:23 น. |
Counter : 2238 Pageviews. |
|
 |
|