น้องหยะแหยงจาก หนังสือJust Babies: The Origins of Good andEvil
.... หนังสือเล่มนี้เขียนโดยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาชื่อพอลบลูม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการกำเนิดศีลธรรมในมนุษย์ตั้งแต่แรกคลอด มีบทหนึ่งชื่อบทBodies เป็นบทที่น่าสนใจมากครับสำหรับคนที่เพิ่งดู InsideOut ไป เพราะบทนี้ทั้งบทเขียนเกี่ยวกับอารมณ์ Disgust
ในหนัง Inside Out น้องหยะแหยงหรือDisgust เป็นแค่ตัวประกอบที่มีบทบาทน้อยมาก แล้วก็ทำให้เห็นแต่ประโยชน์อย่างการช่วยป้องกันตัวเองจากสิ่งอันตรายเช่นได้กลิ่นบูดเน่าในอาหารก็เกิดขยะแขยงจนไม่กิน ฯลฯ จึงทำให้ disgust เป็นนักแสดงสมทบที่ไม่มีความร้ายกาจใดๆ
แต่หน้าแรกของหนังสือ Just Babies: The Origins of Good and Evil ในบท Bodies เขียนเลยครับว่า ความขยะแยงคือพลังอันยิ่งใหญ่ของความชั่วร้าย
แปลว่า ถ้าคุณต้องการขับไล่หรือกีดกันคนบางคนให้ออกจากกลุ่มอยากไล่ให้ไปอยู่ชายขอบ นี่คืออารมณ์ที่คุณต้องปลุกกระตุ้นให้มันเกิดในมวลชน
เพราะเมื่อเกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาไม่จำเป็นต้องมีเรื่องถูกหรือผิด ไม่ต้องมีหลักฐานชัดเจนนัก เราก็สามารถเสือกไสไล่ส่งคนๆนั้นออกไปจากกลุ่มได้ หรือกระทั่งทำร้ายคนๆนั้นที่เราขยะแขยง
ตัวอย่างที่พอจะยกให้เห็นภาพได้ก็คงจากประวัติศาสตร์ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นอกจากความเกลียดชัง (Hate) เราจะเห็นความขยะแขยงที่นาซีจำนวนหนึ่งมองคนยิว หรือการเรียกคนเผ่าตรงข้ามว่าเป็นแมลงสาปเช่นในรวันดาฯลฯ
ความขยะแขยง เป็นคนละอารมณ์กับความเกลียดชัง นะครับ
ความเกลียดชังอาจทำให้คนฆ่ากันได้แต่ความขยะแขยงนี่คล้ายกับโปรแกรมเสริมที่ทำให้เวลาทำร้ายเพื่อนมนุษย์แล้วรู้สึกผิดน้อยลง
นึกภาพง่ายๆเลยครับเราไม่ได้ฆ่าแมลงสาบเพราะเกลียดมัน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดความรู้สึกนี้กับเพื่อนมนุษย์มันก็จะคล้ายกับการกำจัดแมลงสาบ เรากำจัดมันเพราะเราขยะแขยง
คุณพอล บลูมผู้เขียนหนังสือเล่มนี้สรุปได้กระชับมากครับว่า Disgustเป็นอารมณ์ที่ส่งผลตรงข้ามกับความเห็นอกเห็นใจแบบ Empathy
Empathy ทำให้ผู้คนห่วงใยกันมากขึ้นกระตุ้นให้เกิดเมตตาและความเสียสละ
Disgust ทำให้ผู้คนรู้สึกเฉยชาเมื่อเห็นความเจ็บปวดของผู้อื่น, กระตุ้นความโหดร้ายในตัวมนุษย์รวมถึงกระตุ้นให้เกิดภาวะ dehumanization คือลดทอนความเป็นมนุษย์ในตัวเราลง
*****
น้องหยะแหยง จากหนังสือThe Righteous Mind: Why Good Peopleare Divided by Politics and Religion
... หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักจิตวิทยาสังคม Jonathan Haidt เขาเขียนถึงความขยะแขยงในบทแรกว่าDisgust เป็นตัวการสำคัญตัวหนึ่งที่ขับเคลื่อนการให้เหตุผลทางศีลธรรมของเรา
เช่นถ้าเล่าเรื่อง 'หมาตาย' ให้คนฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า หมาของครอบครัวหนึ่งถูกรถชนตายหน้าบ้านคนในบ้านได้ยินว่าเนื้อหมาอร่อย พวกเขาจึงเอาหมาที่ตายไปแล้วมาปรุงเป็นอาหารเย็นโดยไม่มีใครรู้ ... จบ
ผู้เขียนบอกว่า หลังเล่าจบ คนมีการศึกษาส่วนใหญ่จะมีแวบของความรู้สึกขยะแขยง เมื่อรับรู้เรื่องนี้
แล้วถ้าถูกบีบให้แสดงความเห็นว่าถูกหรือผิด
ทั้งๆที่ หมาตายแล้ว
ทั้งๆที่ คนในบ้านนี้ไม่ได้ทำร้ายหมาเลย
และทั้งๆที่มันเป็นหมาของพวกเขาพวกเขาย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของมัน
แน่นอนครับ ถ้าเอาหลักการเหตุผลคนมักจะตอบไม่ได้ว่าครอบครัวนี้ทำผิดอะไรทำผิดกฎข้อไหนแต่ตอบได้แค่ว่ารู้สึกอี๋ หยะแหยง พวกเขาน่าจะเอาหมาไปฝังมากกว่า
แล้วก็อาจเกิดความคิดว่าครอบครัวนี้ทำไม่ถูก ความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นมีผลต่อการตัดสินศีลธรรม(moral judgement)ของผู้อื่น แม้ว่าคนผู้นั้นไม่ได้ทำผิดกฎหมายไม่ได้ทำผิดศีลข้อใดๆ
แล้วมีตัวอย่างอื่นๆอีกที่ทำให้เห็นว่ายิ่งเราขยะแขยงมากเท่าไหร่ การตัดสินคนอื่นเราก็จะใช้เหตุผลน้อยลงใช้หลักการน้อยลง แต่ใช้อารมณ์ของตัวเองกำหนดเกณฑ์ศีลธรรมมากยิ่งขึ้น
*****
... นั่นละครับคือ ความร้ายกาจของความรู้สึกขยะแขยง
เห็นหน้าใสๆเขียวๆแบบนี้อย่าไว้ใจมันมาก แล้วก็จำเป็นมากๆนะครับที่เราต้องรู้เท่าทันอารมณ์นี้
รู้เท่าทันว่าเรากำลังถูกปลูกฝังให้ขยะแขยงเพื่อนมนุษย์โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่าเพื่อหวังใช้เราเป็นส่วนหนึ่งในการขับไล่ผู้อื่นออกจากสังคม , เพื่อหวังให้เราเห็นพ้องในการทำเรื่องรุนแรง ทำเรื่องเลวร้าย โดยมองข้ามเหตุผลและกฎกติกาที่มีอยู่
เพราะหากเราไม่รู้เท่าทันปล่อยให้ Disgust กดปุ่มในหัวเราไปเรื่อยๆ
เราก็อาจจะกลายเป็นเหมือนทหารนาซีหรือประชาชนในรวันดาที่ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังทำสิ่งผิด หลงคิดว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเช่น นั่งหัวเราะเยาะเมื่อเห็นคนตาย ,กดไลค์สเตตัสเมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์ถูกทำร้าย ฯลฯ
แล้วความขยะแขยงเพื่อนมนุษย์เหล่านั้น ก็จะทำให้เรากลายเป็นบุคคลที่น่าขยะแขยงเสียเอง
ดีใจที่กลับมาครับ ^^