Faith or Truth? Da Vinci Code vs Contact
ถึงตอนนี้คงหาตัวจับยาก คนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Da Vinci Code ตามประสาผู้ตามที่ดี เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เขียนถึงเรื่องนี้ตอนที่ Superman Return ฉายแล้วก็ยังไม่สาย คริ คริ
มีโอกาสได้อ่านหนังสือเรื่อง The Da Vinci Code ก่อนหนังออกประมาณ 1 ปี จำได้ว่า สนุกมากกก วางไม่ลง ทำไมมันตื่นเต้นแบบนี้ โอ้ แดน บราวน์ กลับชาติมาเกิดหรือเปล่าหนอ....ทำ research หาข้อมูลเพิ่มเติมมากมายตามความเห่อ ก่อนที่มันจะเลือนออกจากชีวิตเราไปตามกาลเวลา...
1 ต่อมา พบว่า Langdon ของเรากลายเป็น ทอม แฮงค์ ที่มาพร้อมกับผมทรงใหม่.... โอ้ พระเจ้า เป็นไปไม่ได้ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ ใครก็ได้ช่วยด้วย ใครเลือกเขามา แล้วใครทำผมให้ ช่างผมฮอลลีวู้ดเป็นอะไรกันไปแล้วนี่...
ส่วนหนังจะดีหรือไม่ดีเท่าหนังสือ ก็มีคนตัดสินไปแล้ว ขอข้ามละกัน สรุปว่าดูแล้วไม่หลับ (มีคนบอกว่าหลับ ไม่น้อยกว่า 2 คน) แต่ให้ซื้อหนังเก็บไว้ คงไม่เอา
เบื้องหลัง Da Vinci Code สิ่งที่ดังกว่าเรื่องทอม แฮงค์และทรงผมใหม่ คือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์
เราไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด และขี้เกียจพูดถึง เพราะมันออกจะเกินกำลัง แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงหนังโปรดของเราเรื่อง Contact ที่ได้โอกาสหยิบมาดูอีกครั้งหลังจากได้ไปดู Da Vinci Code รอบเกือบลาโรง เพื่อจะพบว่าเราชอบเรื่อง Contact จริง ๆ
Dr. Ellie Arroway (Jodie Foster) ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อหา E.T. หรือสิ่งมีชีวิตนอกโลก กับความเชื่อที่ว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ น่าจะมีใครอื่นอยู่บ้าง นอกจากเรา ไม่เช่นนั้นแล้ว ...if it's just us, it would be an awful waste of space.
เราเรียกเธอว่าหญิงแกร่ง เพราะ Ellie ต้องฝันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากผู้บังคับบัญชาที่เห็นว่าโครงการเธอไร้สาระ แต่ทำเนียนเอาหน้าได้เมื่อเธอสามารถค้นพบสัญญาณจากนอกโลก รวมทั้งเพื่อนร่วมงานที่กำลังใจเข้มแข็งไม่เท่าเธอ แต่ก็มีส่วนช่วยให้เธอประสบความสำเร็จ และอุปสรรคสำคัญจากกิ๊ก Palmer Joss (Matthew McConaughey) นักสอนศาสนาที่ศรัทธาในพระเจ้า
พวกเขามีความเชื่อที่ต่างกัน Palmer เชื่อในพระเจ้า และเชื่อว่าการที่เรามีศรัทธา ทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ ส่วน Ellie เชื่อในวิทยาศาสตร์หรือสิ่งที่พิสูจน์ได้ เธอไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ และก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าพระเจ้ามีอยู่จริง
แต่ในท้ายสุดแล้ว เธอกลับจำเป็นต้องเรียกร้องความเชื่อและศรัทธาจากทุก ๆ คน ให้พวกเขาเชื่อว่าเธอได้พบและพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวแล้วจริง ๆ โดยที่เธอไม่มีหลักฐานอะไรกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว....
โดยตัวหนัง ถือเป็นหนัง sci-fi เอเลี่ยนที่แหวกแนวกว่าเรื่องอื่น ๆ อย่าง Independence Day หรือ War of The World น้องเอ (เลี่ยน) จะ ดูโหดร้าย น่าเกลียด น่ากลัว และเป็นอันตรายต่อมนุษย์โลกอย่างเรา แต่ใน Contact บอกว่า ไม่จริงหรอก น้องเอ นิสัยดี น่ารัก ก็อาจจะยังมีอยู่ในจักรวาลอันใหญ่โตนี้
นอกจากนี้ยังเป็น sci-fi ที่เล่นกับความเชื่อ ความรู้สึก ความฝัน และปูมหลังของตัวละครมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่เน้น effect ล้างผลาญ ฉากอลังการทุนสร้าง.....อืม กี่ล้านหว่า เวลาเขาโฆษณา ไม่เคยจำ
4-5 ปีก่อน อยากดูเรื่องนี้ เพราะเด็ก ๆ อยากเป็นนักดาราศาสตร์ อยากทำได้อย่าง Ellie ที่มีความมุ่งมั่นและจริงจังจนทำตามความฝันได้จริง ๆ (อ้อ มีความฉลาดมาก ๆ แบบที่เราไม่มีด้วย)
ครั้งล่าสุดที่หยิบมาดู เพื่อคอนเฟิร์มความคิดตัวเองหลังจากดู Da Vinci Code จบ ว่าจริง ๆ แล้วความจริง หรือการค้นหาความจริงก็เป็นความศรัทธาอย่างหนึ่งได้ ถ้ามันเป็นความเชื่อของเรา และเราเลือกที่จะยึดถือและเดินตาม เพราะศรัทธาของแต่ละคนต่างกัน เพียงแค่เราทำในสิ่งที่เชื่อ และเคารพในสิ่งที่คนอื่นเชื่อ เราคงไม่มีปัญหาว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง เพราะแล้วแต่ว่าใครจะเลือกเชื่อแบบไหน...
ว่าจะเขียนถึง Da Vinci Code นี่นา ไหงกลายเป็น Contact ไปได้...สบายใจจัง อิอิ
[Ellie challenges Palmer to prove the existence of God] Palmer Joss: Did you love your father? Ellie Arroway: What? Palmer Joss: Your dad. Did you love him? Ellie Arroway: Yes, very much. Palmer Joss: Prove it.
Palmer Joss: By doing this, you're willing to give your life, you're willing to die for it. Why? Ellie Arroway: For as long as I can remember, I've been searching for something, some reason why we're here. What are we doing here? Who are we? If this is a chance to find out even just a little part of that answer... I don't know, I think it's worth a human life. Don't you?
Create Date : 16 มิถุนายน 2549 |
|
4 comments |
Last Update : 16 มิถุนายน 2549 9:08:32 น. |
Counter : 1220 Pageviews. |
|
|
|
เคยซื้อเก็บไว้เป็นวีดีโอ แล้วพอย้ายหอ มันก็หายไปกับสายลม
เป็นหนังที่ทำให้เราชอบโจดี้ ฟอสเตอร์ด้วยค่ะ
นึกแล้วก็อยากดูอีกนะนี่