❋❖ทำไมพระสงฆ์จึงเป็น เนื้อนาบุญ
ยากที่จะหาใครเสียสละความสุขทางโลกมาทำหน้าที่เช่นนี้ได้ พระสงฆ์จึงเป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยม โลกิยทรัพย์คือจตุปัจจัย ที่ญาติโยมถวายแด่ท่าน ก็เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำหน้าที่ครูสอนศีลธรรมเพื่อที่ท่านจะได้นำเอาอริยทรัพย์ คือ ธรรมะมาตอบแทนคืนแก่ญาติโยม
ทำไมพระสงฆ์จึงเป็นเนื้อนาบุญ
คำถามนี้คงเกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คน ซึ่งต้องยอมรับว่า ยุคสมัยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้คนเริ่มจะห่างเหินจากวัดจากพระ จนไปๆมาๆก็เกิดความสงสัยว่า ... ทำไมพระสงฆ์จึงเป็นเนื้อนาบุญ เพราะหลาย ๆ คน มักจะคิดกันว่าชีวิตพระสงฆ์อยู่กันอย่างสุขสบาย มีข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ครบครัน วัน ๆ แค่เดินบิณฑบาต หรือสวดศพ ก็มีจตุปัจจัยใช้ไม่ขาดมือโดยที่ไม่ต้องทำงานทำการอะไร
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไปทำบุญเลี้ยงเด็กกำพร้า สงเคราะห์คนชรา หรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ฯลฯ น่าจะได้บุญมากกว่า
แต่ก็น่าแปลกใจที่หลายๆ คนที่มีความคิดเช่นนี้ กลับไม่คิดที่จะบวชเป็นพระ ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาคิดว่าสุขสบาย อย่าว่าแต่ผู้คนทั่ว ๆไปที่สามารถประกอบการงานหาเลี้ยงชีพได้เองเลย แม้คนเร่ร่อน คนขอทานที่เห็นกันตามเมืองใหญ่ ๆ น่าจะมาบวชกันหมดแล้ว
หรืออย่าว่าแต่การบวชตลอดชีวิตหรือบวชเรียนเป็น ๕ ปี ๑๐ ปีเลย บางท่านพ่อแม่ขอให้บวชให้สัก ๑ พรรษา ๓เดือน ก็ยังทำให้ท่านไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้จึงมักจะเห็นการบวช ๗ วัน ๑๕ วันเสียเป็นส่วนใหญ่
แสดงว่าจริง ๆ แล้ว ชีวิตพระ นั้นมีภาระหน้าที่บางอย่าง มากกว่าที่เข้าใจกัน และน่าจะเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญ ! หรือยากจนหลาย ๆ คนคิดว่า ตนเองไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้ มาถึงตรงนี้ ก็น่าจะทำให้หลาย ๆ ท่านได้หยุดและฉุกคิดได้ว่า
ชีวิตพระสงฆ์ คงไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาว่ากัน และผู้ที่บวชเป็นพระได้ก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน อย่างน้อย ๆ แม้ไม่ได้คิดจะทำบุญกับท่าน ก็น่าจะนับถือในน้ำใจของพระหนุ่มเณรน้อย
และให้ความเคารพในบารมีธรรมของพระเถรานุเถระทั้งหลาย
คราวนี้มาทำความเข้าใจคำว่า เนื้อนาบุญ กันสักนิดหนึ่ง ที่ท่านเรียกพระสงฆ์ว่าเป็นเนื้อนาบุญนั้น เป็นการอุปมาการถวายทานกับการทำนา โดยท่านเปรียบ
ทายกผู้ถวายทาน เหมือนกับ ชาวนา
ปฏิคาหกผู้รับทาน เหมือนกับ ที่นา (เนื้อนา)
ไทยธรรม เหมือนกับ เมล็ดพันธุ์
อานิสงส์ผลบุญ เหมือนกับ ผลผลิต