เนื่องในเทศกาลกินเจ 2556 ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 5 - 13 ตุลาคมนี้ คู่มือคนเมืองไทยรัฐออนไลน์นำเรื่องราวดี ๆ มาฝาก พร้อมกับไขข้อสงสัยที่หลายคนข้องใจว่า เมนูอาหารเจไทย ๆ และที่ผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่ปล่อยอาหารเจออกมาอย่างมากมาย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่นี้กินได้หรือไม่ ถูกต้องตามประเพณีนี้ไหม กินแล้วเจจะแตกไหม
ด้านล่างนี้มีคำตอบ!
ประวัติ หลากตำนานการถือศีลกินเจ..!
เทศกาลกินเจ หรือบางแห่งเรียกว่า ประเพณีถือศีลกินผัก เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน เช่น
ตำนานที่ 1 กล่าวกันว่า การกินเจเริ่มขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักรบ "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งเป็นทหารชาวบ้านของจีนที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจูอย่างกล้าหาญ ฝ่ายแมนจูมีปืนไฟของ ชาวตะวันตกที่ฝ่ายจีนไม่มี นักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้จะประกอบพิธีกรรมนุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุน และท่องบริกรรมคาถาตามความเชื่อของจีน เชื่อกันว่าจะสามารถป้องกันปืนไฟได้ แต่ก็ไม่ประสบผล ครั้นจีนพ่ายแพ้แมนจู ชายชาวจีนถูกบังคับให้ไว้ผมอย่างชาวแมนจู ซึ่งสร้างความคับแค้นให้แก่ชาวจีนอย่างมาก ชาวจีนจึงรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้ด้วยสำนึกในบุญคุณ
ตำนานที่ 2 เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว
ตำนานที่ 3 ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ เก้าอ๊อง) ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
ปัจจุบัน เทศกาลกินเจจัดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตลอดจนหมู่เกาะรีออในอินโดนีเซียและอาจมีในบางประเทศเอเชีย เช่น ภูฏาน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง การกินเจในเดือน 9 นี้ เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2170 ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา
ข้อห้ามในการกินเจ...??
ช่วงเทศกาลกินเจนั้นก็มีข้อห้ามที่ยึดถือปฏิบัติกันมานานอยู่หลาย ข้อ เชื่อกันว่าถ้าปฏิบัติได้ครบทุกข้อจึงจะเข้าถึงการกินเจที่ถูกต้องและได้บุญอย่างแท้จริง
ข้อ 1 การงดกินผักฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรงด้วยพืชผัก 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (ลักษณะคล้าย หัวกระเทียม แต่เล็กกว่า) กุ้ยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) ใบยาสูบ (บุหรี่, ยาเส้น, ของเสพติดมึนเมา) ผักเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง เพราะเชื่อกันว่าจะทำลายพลังธาตุในร่างกายภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ ผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานไม่ควรรับประทาน เพราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ กระตุ้นจิตใจและอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิด โกรธง่าย
2. งดกินเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว หมู ปลา หรือสัตว์มีชีวิตที่ใช้เป็นอาหารได้ เพราะเชื่อว่าอาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่มาถึงปัจจุบัน
3. ไม่ควรกินอาหารรสจัด ซึ่งไม่ใช่แค่เผ็ดอย่างเดียว รวมไปถึงรสเค็มมาก หวานมาก หรือ เปรี้ยวมาก ด้วยเพราะเชื่อว่าจะเข้าไปทำลายสุขภาพ อย่างกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลายกระเพาะ กินเค็มมากจะไปทำลายไตได้ (น้ำปลาก็ทำมาจากสัตว์)
4. ต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง ข้อนี้ถ้าปฏิบัติได้จะถือว่าบริสุทธิ์จริง ๆ
5. ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน
6. ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
7. แต่งกายด้วยชุดขาว นอกจากงดอาหารต่าง ๆ ให้ร่างกายสะอาดแล้ว ภายนอกแม้จะเป็นเครื่องแต่งกายก็ต้องสะอาดด้วย
8. พูดจาไพเราะ คนที่ถือศีลกินเจไม่ใช่เพียงแต่กินของสะอาดเท่านั้น สิ่งไม่ดีทั้งหลายไมควรพูดหรือที่เรียกว่า "ปากเจ" ซึ่งประกอบไปด้วย ไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุแหย่ ไม่เพ้อเจ้อ ถ้าปฏิบัติได้ก็ถือว่าสะอาดทั้งหมด
9. งดดื่มสุราและของมึนเมา
10. ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง คนที่จะไปกินเจมักจะไปชุมนุมกันที่แจตั๊วหรือสถานที่กินเจ ณ ที่นั้น เขาจะประดับดอกไม้ตั้ง โต๊ะบูชา วางกระถางธูปและตั้งเครื่องเจ ต่าง ๆ นอกจากนี้ ก็จุดโคม 9 ดวงเพื่อสมมติเป็น "เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว" นั่นเอง ซึ่งจะต้องจุดไว้ทั้งกลางวัน และ กลางคืนจนตลอดงานทีเดียว ถ้าดับโคมไฟดวงใดดวงหนึ่ง ก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลและไม่ครบถ้วนพิธีการกินเจ
ทั้งหมดนี้เป็นข้อปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณของเทศกาลการกินเจ ประเด็นก็คือ ปัจจุบันเทศกาลกินเจเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะอาหารเจที่ปรุงแต่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย เช่น กะเพรา ส้มตำเจ ปลาดุฟูเจ แกงส้มเจ เขียวหวานเจ ส้มตำเจ ลาบเจ ซึ่งรสชาติต่าง ๆ ก็ถูกปรุงขึ้นมาเพื่อให้มีรสชาติถูกปากคนไทย สิ่งที่น่าตั้งคำถามก็คือ หากยึดโยงกับข้อปฏิบัติในการกินเจทั้ง 10 ข้อข้างต้น อาหารดัดแปลงเหล่านี้ทำให้ 'เจแตก' หรือไม่... ?
เมนูเจไทยประยุกต์ ทำเจขาดหรือไม่ ...?
เรื่องนี้ พระอธิการเย็นจุง เจ้าอาวาส วัดจีนประชาสโมสร กล่าวถึงการ กินเจมีอยู่ 2 ระดับ 1. กินเจแบบเคร่งครัดถือศีล เอาบุญ และ 2. กินเจแบบรักษาสุขภาพ
"กลุ่มที่กินเจกลุ่มแรกนั้นเคร่งกว่าเยอะ เพราะต้องสวดมนต์ ทำวัดเช้าทำวัดเย็น รับศีล ถือศีล สวดมนต์ไหว้พระ แต่งกาย นุ่งขาว ห่มขาว งดเว้นอาหารปรุงแต่งทั้งหมดอย่างเคร่งครัดผักที่มีกลิ่นฉุนทั้ง 5 ชนิด อันประกอบไปด้วย กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (คล้าย ๆ หัวกระเทียมแต่เล็กกว่า) กุ้ยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) ใบยาสูบ (บุหรี่, ยาเส้น, ของเสพติดมึนเมาต่างๆ) นอกจากนี้ยังให้โทษทำลายพลังธาตุในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานไม่ปกติ ยิ่งผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานไม่ควรรับประทาน เพราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ กระตุ้นจิตใจและอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิด และยังมีผลทำให้พลังธาตุในร่าง กายรวมตัวไม่ติด จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ ปฏิบัติตลอดระยะช่วงเวลาเทศกาลถือศีลกินเจเคร่งครัดเหมือนการปฏิบัติถือศีล 8 อาหารก็ต้องไม่ปรุงแต่ง"
เจ้าอาวาส วัดจีนประชาสโมสร กล่าวต่อว่า กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่กินเจเพื่อสุขภาพ ซึ่งก็ไม่ได้เคร่งครัดขนาดกลุ่มแรก กลุ่มนี้จะกินเพื่อสุขภาพ งดเว้นซึ่งเนื้อสัตว์ เพื่อลดภาระอวัยวะภายในในการย่อยสลายเนื้อสัตว์ แป้ง และสิ่งหนัก ๆ เป็นต้น
"หากมองแบบเข้าใจโลกอาหารเจที่เราประยุกต์ขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยทำขึ้นมาเพื่อให้อื้อให้กับคนที่ปฏิบัติไม่ถึง ได้รักษาสุขภาพด้วยการงดเว้นซึ่งเนื้อสัตว์ พร้อมกับทำจิตใจให้สงบ ซึ่งอาหารเจประยุกต์ต่างๆ กลุ่มแรกที่เคร่งครัดกินเอาบุญห้ามกิน ที่สุดแล้วจึงอยู่ที่ว่าคุณเป็นคนกินเจเพื่ออะไร" เจ้าอาวาสชื่อดังระบุ
กินเจเพื่อสวย ไม่ใช่เพื่อศีล...!
ด้าน จิตรา ก่อนันทเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมจีน กล่าวว่า ตำนานการกินเจมีหลายตำนาน คนที่คิดสูตล้างท้องล้างพิษ กินเพื่อสุขภาพเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ อย่าง 'นักพฤตเต๋า' อยากเป็นเซียน เป็นอมตะ พวกนี้เขาจะถือศีล 6 คือทวารทั้ง 6 ต้องบริสุทธิ์ เรื่องการกินก็ต้องเคร่งครัด ห้ามกินอาหารมีรสจัด แต่ทั้งนี้ต้องถามว่าคุณอยากกินเจแบบไหน จะกินเอาสวย หรือ กินเอาศีล ซึ่งการแพทย์ฝั่งตะวันตกระบุชัดว่าการกินผักไปลดอาการอักเสบของร่างกาย ขณะที่กินเนื้อสัตว์ กินแป้ง มันจะมีอาการบอดี้ฮีต เหมือนกับการอักเสบอย่างหนึ่ง
"ปัจจุบันต้องยอมรับว่า วิวัฒนาการของอาหารเจในประเทศไทยมันเกิดขึ้นมา ซึ่งในความคิดของเรา มีอยู่ 3 ตัวที่ต้องคำถามว่าใช้หรือไม่ 1. ส้มตำ ยำ เจ พูดง่าย ๆ อาหารเจประยุกต์สไตล์เมนูไทย เช่น ส้มตำ ผัดกะเพรา แกงส้ม น้ำตก แกงเขียวหวาน เป็นต้น 2. กลุ่มของโปรตีนเกษตร กับ หมี่กึง และ 3.กาแฟเจ ทั้ง 3 หมวดที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ในอดีตไม่มี แต่อย่างไรก็ดี คุณต้องตั้งโจทย์สำหรับตัวเองก่อนว่า จะกินเอาสวยหรือว่าเอาศีล ถ้ากินเอาศีล สิ่งเหล่าก็ควรตั้งคำถาม แต่ส่วนตัวกินเอาสวย พยายามกินให้ได้อาทิตย์ละ 2 วัน กินผักให้มาก ๆ เพราะร่างกายเราออกแบบมาให้ผัก ไม่ใช่กินเนื้อสัตว์ กินแป้ง และสิ่งเลือกตามที่ตัวเองสะดวกที่สุดและเลือกกินอะไรที่ไม่เป็นภาระของร่างกายดีที่สุด" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมจีน กล่าวสรุป.
และทั้งหมดนี้ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกกินเจ 'เอาสวย' หรือ กินเจ 'เอาศีล' ขอให้เลือกบริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์และเหมาะกับร่างกายละกัน...!