สหายไม่จำเป็นว่าเป็นคนดีแค่ไหนหรือไม่ดีเพียงไร ขอแค่เป็นสหายที่นับเป็นสหายต่อกันก็ย่อมเกื้อกูลกันไม่มากก็น้อย
Group Blog
 
All Blogs
 

การหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการออกกำลัง ตอน จงปรับแก้ทัศนคติในการเลือกใช้

Free TextEditor







สำหรับบทความ ในตอน อาการบาดเจ็บ
นี้จะแบ่งเป็นหลายชุด
ซึ่งจะมาว่ากันถึงเรื่องการบาดเจ็บ ของร่างกายที่เกิดจากการฝึก
ที่คุณควรทำความเข้าใจกับมันให้ลึกซึ้ง

คำว่าการบาดเจ็บ
บางคนอาจรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจอะไรมากเลย
และอาจบอกว่า บาดเจ็บก็คือบาดเจ็บ
อย่างเช่น พวกกีฬาแข่งรถ รถล้มบาดเจ็บ กีฬาชกมวยโดนชกบาดเจ็บ
พวกอุบัติเหตุเหล่านั้น
ก็แค่เพียงระวัง ไม่ประมาท สิ!

แต่สิ่งที่คุณควรรู้ต่อไปนี้ก็คือว่า สำหรับวงการ
ออกกำลังชนิดประเภทฝึกซ้อมฝึกฝนร่างกายนั้น  แท้ที่จริงแล้ว มีจุดอุบัติเหตุ ที่เปรียบเหมือนเงาร้ายภัยมืดคืบคลานซุ่มดักอยู่มากมาย โดยที่คุณไม่รู้ตัว

ไม่ว่าจะเป็น เวทเทรนนิ่ง เพาะกาย ฟิสเนท แอร์โรบิค หรือฝึกซ้อมกีฬา

ใดๆ นั้นก็แล้วแต่
เรื่องของการบาดเจ็บถือเป็นเรื่องที่มีความลึกซึ้งมาก
และต้องทำความเข้าใจกันพอสมควรเลยทีเดียว

แม้แต่ การศึกษาเข้าใจเรื่องการหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บนั้น
ยังเป็นเรื่องที่หลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กับเหตุปัจจัยต่างๆซึ่ง
มีสิ่งผิดพลาดจากความไม่คาดคิดมากมายที่พร้อมเกิดขึ้นได้ โดยที่คุณไม่ทันคาดคิดเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ใช้สติยังไม่พอแต่ยังต้องมีความรู้ประกอบอีกด้วยครับ

ดังนั้นเราจะมาทำความเข้าใจต่อเรื่องเหล่านี้กันนะครับ


เริ่มจาก
ผมขอแบ่ง ประเภทสาเหตุของภาวะที่จะส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บออกเป็น3สาเหตุดังนี้

สาเหตุที่1  บาดเจ็บจากการออกกำลังกายผิดท่า

เราต้องมองดูว่าอะไรคือสาเหตุทำให้คนเรามักออกกำลังกายด้วยท่าผิดๆเสี่ยงๆ
และผมก็ค้นพบสาเหตุใหญ่ๆ นั่นก็คือคุณต้องปรับแก้ที่ทัศนคติและ
ปัญญาในการเลือกใช้หรือทำตาม ก่อนครับ
เพราะผมพบเห็นหลายคนมาก ที่มีทัศนคติที่ผิดๆ ในการเลือกหาสิ่งที่นำมาทำตาม หรือนำมาเป็นความรู้ยึดไว้กับตนเอง


สำหรับสาเหตุนี้เป็นสาเหตุยอดฮิตเลยครับ
ขอยกตัวอย่างในวงการฟิสเนท
อย่างเช่น บางคนเวลาเข้าไปในฟิสเนท
เกิดอาการเขิลๆอายๆเก้อๆกังๆ ยกแบบไม่รักษาท่าทาง
บางคนไม่มีความรู้และก็ไม่กล้าที่จะถามใคร
ยกไปตามที่คาดเดาเอาเอง
หรืออาศัยแอบดูคนรอบข้าง แล้วก็ทำไปอย่างขาดความรู้

ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงครับ
เพราะ ท่าออกกำลัง ที่ใช้กันนั้นมันมีอะไรหลายๆอย่าง
หลายเหตุผล
กว่าที่คุณเห็น

หากคุณมองการออกกำลังประเภทต่างๆแล้ว
ไปคิดว่ามันก็แค่คือการขยับร่างกาย
โดยเป็นการออกกำลังใช้แรงไปก็เท่านั้น
จะออกแบบไหนก็ได้ขอแค่ให้ได้

ใช้แรงก็พอ
ความเข้าใจแบบนี้เป็นความเข้าใจที่เสี่ยงมาก
ถ้าคุณคิดว่ามันมีแค่นั้นและคิดจะไปทำชุ่ยๆ
โดยเฉพาะกับการออกกำลังบางประเภท ที่ต้องใช้หลักการอย่างเช่น

ประเภทเวทเทรนนิ่ง ล่ะก็ คิดผิดมหันต์

คุณอย่าลืมนะว่า การออกกำลังกายแบบเข้าโปรแกรมการฝึกต่อเนื่องนั้น
คุณต้องทำมันต่อเนื่องซ้ำๆหลายวันเป็นเดือนหรือเป็นปี
แม้คุณอาจจะรอดจากการบาดเจ็บรุนแรงในคราเดียวได้

แต่คุณอาจจะไม่รอดจากการสะสมความสึกกร่อนของร่างกาย
ไปทีละนิดอันเนื่อง

มาจากการออกกำลังผิดท่า ผิดแบบ ผิดโปรแกรม
ในขณะที่คุณอาจผิวปาก สบายใจ รู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นอะไร
และรู้สึกกับตัวเองว่า ร่างกายฉันดีรับการฝึกแบบนี้ได้ ไม่เห็นต้องไป

ซีเรียสเลยกับการฝึกออกท่าให้ถูกต้อง

ในขณะที่คุณคิดเช่นนี้อยู่  ภัยเงียบมันกำลังคืบคลานมาหาคุณ
และเมื่อมันส่งผลตอบสนองในวันใด
วันนั้นคุณจะเสียใจ   
ผมอยากบอกให้คุณรู้ว่า อาการบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการสึกกร่อน
สะสมเรื้อรังมายาวนาน นั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหลายๆแบบเสียอีก

คุณลองนึกภาพไม้ที่เกิดรอยร้าว จากอุบัติเหตุถูกกระแทก
กับลองนึกภาพไม้ผุ แทบเป็นผงดูสิครับ
อันไหนมันน่ากลัวกว่ากันและแก้ไขได้ยากกว่ากัน

มีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงหลายคนที่ต้องเลิกหนทางนี้ไปเพราะสาเหตุนี้มาแล้วมากมาย
แม้ว่าเขาจะโปร จนสามารถเป็นนักกีฬาที่โด่งดังเก่งกาจ
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจภัยเงียบ จากการฝึกซ้อมที่ผิดๆเกินพอดี


ยิ่งสำหรับบางท่านที่ไม่มีผู้ฝึกสอน
และคิดจะไปมองดูทำตามผู้อื่นนั้น
ในแต่ละวันที่คุณได้เข้าไปในสถานที่ออกกำลังกาย
หากถ้าคุณไปเห็นคนที่ใช้ท่าที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นแบบอย่างก็ดีไป
แต่หากว่าคุณดันไปเจอคนที่ออกแนวมั่วๆนี่ คุณอาจบาดเจ็บได้ง่ายๆ
หรือไปเจอคนที่เล่นแบบระดับสูง
ซึ่งเขาเหล่านั้นมีร่างกายที่ฝึกฝนมาดีและออกกำลังระดับขั้นสูงได้
ร่างกายของเขาได้รับการบำรุงมาอย่างดีและเคยชินกับสภาพการฝึกหนักได้
สามารถใช้เทคนิคท่าที่เสี่ยงได้
แล้วจู่ๆคุณมาเห็นคุณก็เอะอะไปทำตามเขา แบบนี้คุณเสี่ยงแน่
หรือคุณอาจไปเจอเขาเข้ามาสอนคุณผิดๆ โดยจะให้คุณทำตามเขา
ไม่ว่าจะเพราะเขาอยากอวดคุณเขาอยากนั่งดูคุณ ทำท่าทางไม่ไหว
ให้เขารุ้สึกว่าตัวเขาเองยอดเยี่ยม
หรือไม่ว่าจะเพราะเขาเป็นนักกีฬา ที่ได้รับการฝึกฝนจากโค้ชมา
เขาอาจเก่งในการฝึกฝน
แต่เขาไม่มีความรู้อย่างลึกซึ้งของหลักการเหตุผลที่โค้ชให้เขาฝึก
เขาไม่มีความรู้ในด้านเทรน แล้วจู่ๆคุณให้เขามาสอนคุณ
เขาก็จะให้คุณทำตามแบบเขา ทำในสิ่งที่ยังไม่เหมาะกับขั้นของคุณ
ทำในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ความสามารถที่จะวิจัยตัวคุณ

หรือแม้กระทั่งว่าเขากำลังเป็นนักกีฬาที่เก่งแต่ซ่อนอาการบาดเจ็บเรื้อรัง

เอาไว้ และมันยังไม่ถึงเวลาที่แผลร้ายจะเผยโฉมออกมา
และเขามาสอนให้คุณออกไปตามแบบเขา
แล้วล่ะก็
ผลเสียสะสมร้ายแรงต่อสุขภาพของชีวิตคุณก็
พร้อมจะเกิดขึ้นกับคุณอย่างน่ากลัวแน่ๆครับ

ดังนั้นคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการใช้ท่าทางที่ถูกต้อง

เสียก่อน และที่สำคัญ มันต้องเหมาะกับคุณสมบัติรอบด้านของคุณด้วย

ดังนั้นเราจงมาปูพื้นฐานที่ถูกต้องเพื่ออนาคต ของร่างกายที่มีพลานามัยที่

แข็งแรงอย่างแท้จริงยั่งยืนกันเถอะครับ

ในบทอื่นๆในเวปบล๊อคของผมก็พยายามที่จะเน้นให้คุณได้เข้าใจถึงแก่นแท้
หัวใจของการฝึกฝน คือ
ต้องวิจัยตัวเองให้เป็นและออกแบบการฝึกให้เข้ากับตัวเองที่สุด
นั่นจึงจะเกิดประสิทธิภาพครับ

เอาล่ะครับเมื่อเราแก้ไขทัศนคติในการเลือกความรู้แล้ว

ในบทต่อไปเราจะมาพูดกันต่อถึงการ ใช้ท่าการออกกำลังให้ถูกต้องกันต่อครับ









 

Create Date : 06 ตุลาคม 2553    
Last Update : 6 ตุลาคม 2553 7:53:12 น.
Counter : 1392 Pageviews.  

ทานสมุนไพรคือเทคนิคพิเศษในการลดความอ้วนที่หลายคนละเลย

ทานสมุนไพรคือเทคนิคพิเศษในการลดความอ้วนที่หลายคนละเลย


เคยไหมครับ 
บางคนใช้โปรแกรมลดน้ำหนักแบบเข้มข้น
 เน้นทานเนื้อทานโปรตีน ตัดแป้ง
อยู่ไปนานๆท้องผูก!  ไม่สามารถถ่ายทุกวันได้
ยิ่งเน้นเนื้อเน้นโปรตีน ยิ่งถ่ายยาก


เคยไหมครับ
บางคนใช้วิธีทานผักทานผลไม้ ไม่ค่อยทานข้าว
อยู่นานไป ถ่ายไม่สะดวก ถ่ายปริมาณน้อยกระปิดกระปรอย
อุจจาระมีขนาดไม่พอต่อแรงเบ่ง


ผมบอกได้เลยว่านี่คือปัญหาสำคัญและเป็นตัวถ่วงในการลดน้ำหนักครับ
คนที่จะเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากออกกำลังดี กินอาหารที่ดีแล้ว
คุณยังต้องมีระบบการขับถ่ายที่ดีอีกด้วย และควรต้องถ่ายได้ทุกวัน


การท้องผูกนั้น
ก๊าซในร่างกายที่สะสม ส่งผลกับกระบวนการร่างกายแน่นอน
ความสดชื่นแจ่มใสพร่องลง
ของเก่าตกค้าง ยิ่งรุ้สึกท้องอืดๆยิ่งอืดเท่าไหร่ยิ่งเผาผลาญน้อยลง จะชั่งน้ำหนักแต่ละทีก็หวั่นไหวเพราะมีพุงเหมือนมีโกดังสินค้าเก่า!


และหากคิดจะใช้การทานผักทานผลไม้ให้มีกากใยช่วยขับถ่าย
โอ้โฮ!
หากจะใช้วิธีนี้ล่ะก็ผมเคยลองมาแล้วครับขอบอกว่ามันทำได้แต่มันยากครับ


ไอ้ที่เรากินเข้าไปนี่เราคิดว่าเรากินผักผลไม้เยอะแล้วก็จริงแต่ ที่ว่าเราเยอะแล้วเนี่ยมันก็ยังเยอะไม่พอ
หากจะให้มันพอนี่มันต้องทานแบบเรียกได้ว่าเป็นกระบุง และต้องทานผสมกับอาหารทุกมื้อครับ


ผมคนนึงล่ะที่ทำแบบนั้นไม่ไหว แถมผักก็ไม่ใช่ของอร่อยสักเท่าไหร่อีกด้วย


และผักผลไม้แม้จะมีกากใยทำให้ถ่ายสะดวก
แต่มันไม่ได้กระตุ้นเรื่องแรงขับเลยครับ
แรงขับในที่นี้ก็คือ การปวดถ่ายการอยากถ่ายไงล่ะครับ
มันคือรสชาตินึงของชีวิตที่สุขเล็กๆ  ได้คว้าหนังสือแจ้นเข้าห้องน้ำไงล่ะครับ ^_^


คือกลายเป็นเหมือนต้องไปเข้าห้องน้ำตามหน้าที่
ทั้งที่มันไม่มากระตุ้นอารมณ์เย้ายวนแต่การใดเลย
มันแค่ถ่ายง่ายขึ้นเท่านั้นเพราะมันเป็นกากใยจากผักผลไม้
แต่ กากใยเหล่านี้ ขอบอกว่าพวกผักเป็นกระบุงเนี่ยถ้าเราลองเอามันมาตำใส่ครก
เวลามันละเอียดเนี่ยมันนิดเดียวเองครับ


ผลก็คืออุจจาระไม่ได้มีขนาดที่เหมาะสมครับ
ไม่สร้างการกระตุ้นในการขับถ่ายไม่ช่วยในการเบ่งขับ
และมันก็หมักกันอยู่อย่างงั้นจนกว่าอาหารใหม่จะมาสะสมตัว
หมักกันจนเป็นสภาพเป็นแก๊ซพิษ และที่อันตรายก็คือ
หากเราทานน้อยติดต่อกันนานเกินไป เจ้าพวกของเก่าเหล่านี้
บางทีหมักไปหมักมา มันดันกระดอนผิดที่ไปอยู่ผิดตำแหน่งของลำไส้


ตกค้างหมักบ่มกันอยู่อย่างนั้น หากมันไปอยู่ในตำแหน่งจุดอับของลำไส้
จุดอับที่ไม่สามารถปะปนออกมากับการถ่ายได้
ถ้าเป็นแบบนี้สะสมนานไป ส่งผลอันตรายต่อลำไส้ได้ อย่างน่าเป็นห่วงมากๆครับ



แถมเจ้าร่างกายที่ออกกำลังกาย มาก มันก็ยิ่งเผาผลาญมากยิ่งดูดซึมแรง
ยิ่งทำให้มันดูดซึมจนอุจาระแทบจะแห้งกันไปเลยทีเดียว


แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับระบบสุขภาพลำไส้ แน่นอนครับ
อันนี้ว่ากันตามสุขภาพการแพทย์เลยนะครับ


ดังนั้นเราต้องมาหาทางออกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้วล่ะครับ
  ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในโปรแกรมจัดการรูปร่างกันอีกนาน ปล่อยไว้แบบนี้ไม่เหมาะแน่



เริ่มขั้นตอนเลยครับ


ขอให้คุณจัดวันขึ้นมาเลยครับ ให้เป็นวันแห่งการถ่ายท้อง อาจจะเป็น4วันครั้งหรือสัปดาห์ละครั้งก็ได้
ถ่ายท้องในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงให้ไปกินยาถ่ายนะครับ
แต่ให้วันๆนั้นให้ทานอาหารแบบปรกติขึ้นหน่อย  ลดการคุมอาหารหน่อย
ทานแป้งทานข้าวมากกว่าโปรแกรมหน่อย
และพระเอกในที่นี้ นั่นก็คือสมุนไพรครับ
คนที่ซีเรียสจัดชนิดทาน ผักสลัดกับอกไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลาโฮลวีทอะไรแบบนี้
คนที่ไม่ยอมแตะต้องอาหารทั่วไป เอากันแบบว่าอยุ่ในวินัยสุดยอดล่ะก็
ขอให้วันนี้ยกเว้นสักวันครับ
จัดมาเลยครับ พวกผัดเผ็ด แกงป่าทั้งหลาย
มะนาว พริก ข่า ขิงตะไคร์ กระชาย กระเพรา พริกไทยเม็ด จัดมาเลยครับ
เอาให้เผ็ดๆแซ่บๆ  จัดวันเผด็จศึกมันให้รู้ดำรุ้แดงกันไปเลยครับ


โดยเฉพาะกระเพรา เลือกใช้พริกที่เด็ดๆหน่อย ทานใบกระเพราเยอะๆหน่อย
รับรองครับ ถ้าคุณไม่ได้เป็นโรคท้องผูกผิดมนุษย์มนาล่ะก็
ยังไงวันนี้ท้องคุณก็ต้อง โล่งครับ
และจากวันนี้ไปมันก็จะค่อยๆ ลดประสิทธิภาพการถ่ายไปเรื่อยๆ
พอถึงวันที่กำหนดเหมาะสมก็ทานแบบนี้อีก


ตื่นมาอีกวันคุณจะได้เห็นประสิทธิภาพของสมุนไพร
ใบหน้าผิวพรรณนี่เลือดลมสูบฉีดเป็นอย่างดี
อวัยวะภายในขับเคลื่อนกันคล่องตัวแบบลูกสูบในโฆษณาน้ำมันเครื่อง
เดินเหิรไปไหนทำอะไรคล่องตัวสบายใจ แถมได้สรรพคุณทางยามากมายจากสมุนไพร


ลองเอาไปใช้กันนะครับ แล้วจะรู้ว่าสมุนไพรไทยนี้สุดยอดมากๆเลยทีเดียว
เราเกิดในดินแดนที่มีของเหล่านี้อุดมสมบรูณ์ เราต้องใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์เข้าไว้ครับ


และขอเตือนเอาไว้ว่า อย่าได้เอะอะอะไรก็เอาแต่จะไปใช้ยาแก้ท้องผูกนะครับ


ของพวกนั้น ส่งผลกระทบในแง่ลบกับร่างกายคุณได้แน่นอน






Free TextEditor




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2553 6:47:04 น.
Counter : 387 Pageviews.  

เพิ่มเทคนิคให้รักษาหุ่นได้ไวขึ้นด้วยการทานแป้งไขมันและน้ำตาลให้เป็น

ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะเชื่อว่า


หลายท่านยังมีความเข้าใจในมุมมองเกี่ยวกับการทานหวานทานแป้งทานไขมัน
ด้วยความเชื่อแบบไม่รอบด้านอยู่


อาหารหวาน อาหารไขมัน อาหารแป้ง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กลุ่มคนลดน้ำหนักกลัวกันมากเกินไปครับ
หลายคนใช้วิธีตัดมันไปเลย ไม่แตะต้องมันโดยสิ้นเชิงและวาดภาพว่ามันต้องทำให้ฉันหุ่นดีสมบรูณ์ได้แน่ๆ



แต่รู้อะไรไหมครับ หากว่าคุณคิดจะทำแบบนั้น คุณรู้ไหมว่า


เส้นทางที่คุณกำลังเดินอยู่นั้นเคยมีคนเดินผิดเดินถูกมาแบบคุณแล้วนับไม่ถ้วน


ผมเองก็เป็นคนนึงที่เคยทำแบบนั้น มาเช่นกันจนกว่าจะรู้อะไรมากขึ้นและได้ซึ้งถึงผลกระทบจากมัน




การที่คุณไปตัดอาหารประเภทเหล่านี้โดยสิ้นเชิง


ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่นอน


ผลเสียข้อที่1  หากทำแบบนั้นติดต่อกันในเวลานึง มันจะทำให้กลไกลสมดุลย์ของร่างกายคุณ


จะค่อยๆปรับระบบผิดเพี้ยนไป คุณจะกลายเป็นขี่หลังเสือลงไม่ได้ และต้องกินแบบนี้ไปตลอดปีตลอดชาติ


และคอยประสบกับปัญหาต่างๆของร่างกายหลายอาการ  อันเนื่องมาจากการขาดสารประกอบของอาหาร
หลายคนต้องติดอยู่ในสภาพการทานแบบเข้มงวดเช่นนั้นไปทั้งชีวิต
และกลายเป็นคนที่หากพลาดแตะต้องอาหารหวานมัน


หรือแป้งไปเมื่อใดจะถูกผลกระทบตอบโต้มากกว่าคนปรกติ


คุณจะกลายเป็นคนที่ อ้วนง่ายบวมง่าย และต้องอดอยากมากกว่าคนปรกติ


เพราะระบบการจัดการในร่างกายของคุณได้เสื่อมไปแล้ว




ผลเสียข้อที่2  ทำให้ร่างกายพร่องสารอาหาร และพร่องความสดชื่นและกำลังงาน
ร่างกายขาดเพาเวอร์กว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลไปหลายด้านทั้งสุขภาพโครงสร้างและสุขภาพจิตสมอง


และสิ่งต่างๆที่คุณควรทราบคือ
วิตามินในร่างกายนั้น บางวิตามินจำเป็นต้องพึ่งการละลายในไขมัน จึงจะเกิดปฏิกริยาซึมเข้าสู่ร่างกายให้
ร่างกายนำไปใช้ได้  ถ้าคุณตัดไขมันออกไปคุณจะเจอปัญหาขาดวิตามินชนิดนั้นไปด้วย


ไม่ว่าคุณจะกินผักที่มีวิตามินเหล่านั้นไปหรือจะทานวิตามินไปแค่ไหน


มันก็ไม่ดูดซึมเข้าร่างกายคุณอย่างมีประสิทธิภาพได้เลย เพราะมันต้องใช้ไขมันเป็นตัวทำกระบวนการ


และสำหรับอาหารบางชนิดให้สารอาหารชนิดพิเศษ แต่มันอาจมีไขมันแฝงอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากการที่คุณยอมทานมันและแลกกับไขมันที่ติดมาบ้างนั้น
สำหรับในอาหารบางชนิดจะทำ


ให้ผลดีมีมากกว่าผลเสีย
และในทางกลับกัน แต่ถ้าคุณเล่นไม่ทานเลยก็แน่นอนว่าคุณขาดโอกาสที่จะได้รับสารอาหารที่ดีไป


หลายชนิด อย่างเช่นโอเมก้า3ในน้ำมันปลา หรือไบโอตินในไข่แดง



อีกทั้งอาหารหวานอาหารมัน นั้นให้กำลังงานสูง และช่วยให้คุณออกกำลังกายได้ประสิทธิภาพสูงสุด
และการทานสารอาหารครบหมู่นั้นยังส่งผลให้ร่างกายรักษา
ประสิทธิภาพการเผาผลาญในระดับที่ดีเอาไว้ได้เสมอ




ส่วนแป้งนั้นก็นับเป็นอาหารอีกชนิด ยอดฮิตที่คนมากมายมักจะกลัวกัน


ที่จริงแล้วแป้งไม่ใช่สิ่งน่ากลัว


ขอเพียงแค่ทานให้เป็นทานให้ถูกมันจะช่วยให้คุณได้หุ่นที่ดีเร็วไวขึ้นด้วยซ้ำ


สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย ที่ต้องทานโปรตีนเสริมความกระชับของร่างกายนั้น


 คาร์โบไฮเดรตในแป้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำปฏิกริยาร่วมกับโปรตีนในการเสริม


ความแกร่งของร่างกาย


เสริมความกระชับ ในระหว่างที่ร่างกายเรียกร้องโปรตีนเพื่อนำไปใช้พัฒนาร่างกาย


 ถ้าโปรตีนไม่ได้รับแป้งช่วยทำปฏิกริยาล่ะก็ โปรตีนนั้นก็จะทำกลไกล


ไม่เสร็จสมบรูณ์ครบ อีกทั้งแป้งในอาหารหลายชนิดยังมีส่วนผสมของวิตามินที่ดีๆหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างพวก


ธัญญาพืช


จริงอยู่ว่าอาหารเหล่านี้อาจทำให้คุณอ้วนได้


แต่ถ้าคุณทานถูกที่ถูกเวลาถูกภาวะการ มันจะกลายเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้คุณหุ่นดีได้ง่ายขึ้น


และยิ่งหากคุณเลือกแป้งชนิดที่มีคุณภาพ อะไรๆก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพตามขึ้นไป



สิ่งนึงที่ควรเข้าใจคือ


ร่างกายคนเรานั้นเปรียบไปเหมือนมีวาวล์เปิดปิด


มันจะมีช่วงเวลาที่จะรับอาหารแบบนี้อย่างไม่ส่งผลกับความอ้วนมากนักแต่ได้ผลดีในแง่ต่างๆมากมาย


อย่างเช่นถ้าคุณทานอาหารหวานมันให้พลังงานสูงก่อนออกกำลัง มันจะทำให้คุณออกกำลังได้เข้มข้น
ร่างกายเกิดการสร้างความกระชับ ความแข็งแรง
และด้วยพลังงานที่คุณใช้ไปในการออกกำลังกายบวกกับการเอาอาหารไปซ่อมแซมร่างกายที่รับการออก


กำลังไปนั้น มันจะทำให้แทบไม่เหลือไขมันตกค้าง


ร่างกายคนเราหลังจากออกกำลังกายเสร็จ ภายในเวลา90นาที จะมีอัตตราการเผาผลาญที่สูงกว่าปรกติ
มันพร้อมที่จะสูบสารอาหารที่ทานเข้าไป สูบเอาไปใช้ในแง่สร้างคุณประโยชน์แทบไม่เหลือตกค้างกักเก็บ


ในร่างกาย


ขอแค่คุณทานให้ถูกชนิดที่มันจะนำไปใช้


อาหารหวาน หากเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของกลูโคสบริสุทธิ์มากเท่าไหร่
กลูโคสบริสุทธิ์ที่ไม่ปนด้วยครีมแป้งกะทิหรือไขมัน
กลูโคสบริสุทธิ์ที่มีมากในผลไม้อย่างสัปปะรสหวาน แตงโมหวาน หรือแม้กระทั่งน้ำหวาน
กลูโคสแบบนี้ แม้ว่ามันจะมีความหวานมากอาจทำให้อ้วนได้ง่าย


แต่คุณต้องเรียนรุ้กลวิธีของมัน  หยิบฉวยประโยชน์จากมันและรู้จักสกัดกั้นผลด้านลบของมัน


คุณจะกิน ไขมัน กินแป้งหรือกินหวาน คุณต้องกินให้เป็นเพราะถ้าคุณกินเป็นแล้ว


ประโยชน์มันจะคนานับ  เปรียบเหมือนกินปลาต้องกินให้เป็นรู้จักเลี่ยงก้างของปลาได้


แต่ถ้าคุณเอะอะ เอาแต่กลัวอาหารโดยไม่รู้จักการทานให้เป็น


แน่นอนคุณก็ขาดโอกาสต่างๆที่ดีๆไป




สำหรับกลูโคส มันมีคุณสมบัติพิเศษคือ สลายตัวเร็วดูดซึมเร็ว นำไปใช้ได้เร็ว


ยิ่งบริสุทธิ์เท่าไหร่ยิ่งมีประสิทธิภาพเท่านั้น



ซึ่งหากคุณทานแล้วคุณนำมันไปใช้งาน  มันก็จะเผาผลาญได้อย่างหมดจด ดุจน้ำมันที่มีค่าอ๊อกเทนสูง
มันจึงเหมาะที่จะทานก่อนออกกำลังกาย


และทานชดเชยพลังงานที่เสียไปหลังออกกำลัง เพื่อป้องกันร่างกายโหย
ซึ่งร่างกายโหยอาจทำให้คุณเพลีย และอาจออกกำลังในวันต่อไปไม่ได้เข้มข้น
หรือถ้าโหยมากไปอาจทำให้คุณซีด ไปจนถึงช๊อคหรือถ้ารุนแรงก็ไม่สบาย การทานกลูโคส


หากทานในจังหวะที่ร่างกาย จะใช้  ย้ำว่าจะใช้


มันก็มีประโยชน์มากและไม่ส่งผลเรื่องอ้วน



แต่หากคุณไม่ได้ใช้มัน แต่ไปทานกลูโคส


กลูโคสก็จะให้ผลในเรื่องอ้วนมากสุดเช่นกัน


มันคือของแรงที่ต้องใช้ให้หมด ใช้ในยามที่ร่างกายต้องการใช้


หากทานเป็นมันจะส่งผล สนับสนุนการลดน้ำหนักอย่างดีเยี่ยม


 


 



ส่วนแป้งนั้น มีคุณสมบัติอย่างไร?
แป้งนั้นต่างจากน้ำตาลตรงที่เมื่อทานไปแล้วมันต้องใช้กระบวนการอีกหลายขั้นตอน
และมีส่วนนึงที่แปลงสภาพออกมาเป็นน้ำตาล จากนั้นถ้าร่างกายยังใช้ไม่หมดน้ำตาลนั้นมันก็จะแปลง


สภาพกลายเป็นไขมัน


แป้งนั้นเมื่อมันมีกระบวนการแปลงสภาพอย่างช้าๆมันจึงเหมาะที่จะทานในมื้ออาหารถัดไปหลังจากออก


กำลัง ขอให้แยกแยะให้ดีนะครับ คือน้ำตาลนั้นทานก่อนและหลังออกกำลังในเวลากระชั้นชิด
 แต่แป้งทานในมื้ออาหารต่อไปหลังจากออกกำลังแต่ไม่ถึงกับกระชั้นชิด



ทีนี้ความต่างมันมีต่อครับ
น้ำตาลย่อยสลายดูดซึมใช้งานเร็วกว่าแป้งก็จริงแต่หากไม่ออกกำลังมันก็แปลงเป็นไขมันได้เร็วกว่าแป้ง
ดังนั้นมันจึงเหมาะที่จะทานในระยะที่ร่างกายกำลังจะเจอภาวะการเผาผลาญแบบกระชั้นชิด
เพราะถ้าหากไม่กระชั้นชิดมันก็อาจจะแปลงสภาพเป็นไขมันไปเสียก่อน


และการออกกำลังนั้นเมื่อออกกำลังกายเสร็จ ร่างกายเราจะเริ่มต้องการการซ่อมแซมครับ
กระบวนการซ่อมแซมมันจะเป็นไปอย่างช้าๆ ไปจนถึงตอนเรานอนหรือแม้แต่ข้ามวันเลยทีเดียว
ทีนี้ในเมื่อมันใช้กระบวนการอย่างช้าๆล่ะก็ ต้องยกหน้าที่ให้แป้งต่อครับ
เพราะน้ำตาลกลูโคสบริสุทธิ์นั้นไม่เหมาะกับหน้าที่ต่อไปนี้ เพราะน้ำตาลแบบนี้มันคงตัวได้ไม่นานครับ
แต่แป้งจะค่อยๆแปลงสภาพทีละนิดดูดซึมไปทีละนิด มันจะพอดีกันไปกับกระบวนการนี้ครับ
อีกทั้งเราเลือกที่จะใช้น้ำตาลจากแป้ง จะเหมาะสมกว่า
คือได้วิตามินด้วย ได้ทำกระบวนกับโปรตีนด้วย และยังได้กลูโคสชดเชยร่างกายด้วย



ในขณะอาหารประเภทไขมัน เราก็ย้ายมันไปไว้ในมื้อเช้าเพื่อจะได้ทำละลายวิตามินและได้ประโยชน์ใน


หลายด้าน และกับการสลายที่ช้ากว่าเพื่อนนั้นไขมันเหมาะที่จะไว้ในตอนเช้าครับ ให้มันได้รับกับภาระกิจ


แบบทั้งวัน  มันก็จะทำงานได้อย่างพอดีตัวมันครับ


การทานระบบนี้คุณอาจไม่จำเป็นต้องทำทุกวันก็ได้แต่ให้ฟังเสียงร่างกายครับว่าวันไหนมันต้องการอย่างไร


และยิ่งหากวันไหนคุณเจออาการ โหยหาโรยแรงทำท่าเพลียๆพาลจะเป็นไข้ ก็ขอให้รีบทานสิ่งพวกนี้ให้


เหมาะสมด่วนเลยครับ มันมีแต่จะนำไปใช้งานกอบกู้ร่างกายคุณมากกว่าที่จะอ้วนครับ


เห็นไหมครับว่าถ้าคุณรู้จักทานมันให้เป็นคุณจะได้ประโยชน์คนานับ
ตื่นมาคุณได้พลังงานจากไขมัน ได้ไขมันมาช่วยละลายวิตามิน และควรทานไขมันแบบชนิดดีๆหน่อยนะ


ครับจะได้สารอาหารดีๆอีกหลายชนิด อีกทั้งไขมันบางชนิดยังมีส่วนไปช่วยลดน้ำหนักด้วยครับถ้าทานใน


ปริมาณที่ถูกต้อง


คุณจะกลายเป็นคนที่มีวิตามินแร่ธาตุสารอาหารครบ
คุณจะกลายเป็นคนที่ออกกำลังกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยมีเพาเวอร์
คุณจะมีร่างกายที่กระชับสัดส่วน เป็นสัดส่วน
แถมผิวพรรณสุขภาพ อารมณ์จิตใจแจ่มใส
ไปกับการจัดการรุปร่าง
รู้อย่างนี้คุณจะเลือกทางไหนครับ







Free TextEditor




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 6:43:56 น.
Counter : 433 Pageviews.  

มารู้จักกับการลดเจ้าหน้าท้องจอมปัญหากันครับ

คนที่หน้าท้องใหญ่นั้น ในตอนลดน้ำหนัก หน้าท้องคือส่วนที่จะลดลงไวกว่าส่วนอื่นในช่วงแรก
จากนั้นจะเริ่มนิ่งจะไม่ค่อยลง


หน้าท้องนั้นคือส่วนที่ ต้องใช้ศิลปในการจัดการเป็นอย่างมาก
การออกกำลังในส่วนของหน้าท้องนั้น
ต้องใช้การจัดการที่พิถีพิถันสูง
ความยากของมันคือ


1 ท่าบริหารหน้าท้องแทบทุกท่า เล่นยาก
ยากในที่นี้คือ มักจะเล่นไม่โดน ทั้งๆที่ทำท่าเดียวกันกับครูฝึก


เพราะมันต้องใช้การตั้งสมาธิการเคลื่อนร่างกายการเกร็ง ที่ถูกจังหวะแม่นยำ และสม่ำเสมอ และต้องอยู่ในจำนวนครั้งที่ถูกต้อง เซทที่ถูกต้อง


2หน้าท้องมีทั้งท้องส่วนบนท้องส่วนล่างและท้องด้านข้าง ซึ่งต้องใช้การผสมผสานท่าเล่นมากพอสมควร


แต่..


มีผู้ฝึกมากมาย ที่ใช้เพียงท่าครั๊น ท่าเดียวก็อ้างว่าลดได้


แต่..
ที่จริงแล้วหน้าท้องสามารถลดได้จากการไม่ใช้ท่าฝึกท้องต่างๆนั้น สามารถลดได้ไหม?


คำตอบคือลดได้  แต่มักจะลดในรายของผู้ที่ออกกำลังกายหนักจริงๆ  หนักเข้าขั้น จนต่อให้ไม่ใช้ท่าบริหารหน้าท้องมากมาย มันก็อยู่ไม่ได้
ไขมันวิ่งแจ้นไปหมด แต่คุณฝึกได้แบบนั้นไหวไหมครับ


ดังนั้นคำตอบคือท่าบริหารหน้าท้องคือสิ่งเพิ่มความสำเร็จได้มากขึ้น



ทีนี้เราต้องเข้าใจหน้าท้องก่อนครับว่ามันเป็นอย่างไร


ผมบอกได้เลยว่า หากคุณไม่ออกกำลังหน้าท้องเลย
ใช้แต่การอดอาหาร ลดอาหารอย่างเดียว
หน้าท้องยุบครับแต่แทบไม่มีทางที่จะเป็นลอน
คือมีโอกาสจะยุบแบบเหี่ยวๆย่นๆย้อยๆ
มากกว่า


คนที่ไม่ออกกำลังหน้าท้องแต่ท้องแบนราบสวยงามนั้นมักจะเกิดขึ้นกับเด็กวัยแรกรุ่นเท่านั้น
เพราะวัยแรกรุ่นที่ ใช้พลังงานสูงในแต่ละวัน และยังไม่เกิดการสะสมของชั้นไขมันสักเท่าใดนัก


มันก็ยังเป็นในสภาพนั้นได้อยู่
แต่ถ้าหากคุณพลาดไปทำให้ท้องสะสมไขมันไปแล้ว หรือเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว
และคิดจะให้มันกลับไปแบนราบเหมือนเก่าได้เอง
นั้น โดยที่คิดจะทำเหมือนในอดีต คิดว่าฉันก็แค่กินน้อยลงสิ มันก็จะกลับไปตามเดิม


หากคิดแบบนี้ขอตอบว่ายาก ครับ แทบไม่มีทาง


เพราะพุงคุณมันสะสมเอาไว้แล้ว ต่อให้คุณลดอาหารลง
มันก็จะดึงดันค้างคา อยู่ในนั้นไม่มากก็น้อยครับ


เมื่อคุณลดอาหารลงมันก็จะไปเอาพลังงานกับ ไขมันส่วนอื่นๆของร่างกายจากก้นบ้างต้นขาบ้างจากจุดนั้นจุดนี้ แต่อย่าพึ่งครับอย่าพึ่งดีใจว่า มันไปเอาจากก้นจากต้นขาจากส่วนต่างๆก็ดีน่ะสิ

เพราะความจริงคือมันไม่เอาแบบมีระเบียบน่ะสิครับมันขุดเอามั่วตรงนั้นนิดนี่หน่อยเหมือนดินที่ถูกขุดแบบเสียรูปไงล่ะครับและมันไม่ได้เอาแค่ไขมันอย่างเดียว เอาจากมวลกล้ามเนื้อบ้าง
และอะไรเหรอครับที่จะเกิดขึ้น


ขอให้คุณลองนึกถึงการตัดกระดาษ
คุณลองเอาคัทเตอร์ไปกรีดกระดาษ สิครับผลที่ได้คือมันดูเป็นระเบียนเรียบร้อยสัดส่วนใช่ไหมครับ
เพราะนั่นเราควบคุมการตัดของมันได้


แต่ถ้าคุณเอามือฉีกเอง  กระดาษที่ตัดออกมามันก็จะเบี้ยวแหว่ง ดูไม่สวยงาม


ร่างกายคนก็เช่นกัน ถ้าคุณไปอดอาหารแล้วปล่อยให้เจ้าร่างกายของเรามันไป ดึงจุดนั้นจุดนี้สลายซี้ซั้วเพื่อเอามาใช้เป็นพลังงาน ตามอำเภอใจ


ผลที่ได้ก็คือ
คุณจะเห็นได้เลยกับพวกที่ชอบทานยาลดความอ้วน พวกที่อดอาหารแบบผิดๆ พวกที่ขี้เกียจไม่ออกกำลัง และเล่นกินน้ำแทนอาหารเช้า


คนพวกนี้จะมีร่างกายที่ไม่เป็นระเบียบครับ
บางคน พุงเล็กลง แต่หัวโต ตูดหย่อน
บางคนขาเล็กลง แต่ไหล่ย้อย แก้มย้อย


สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะการลดมวลร่างกายที่ไม่เป็นระเบียบแบบแผนยังไงล่ะครับ ขนาดว่าเรายังไม่ได้พูดถึงผลข้างเคียงอื่นๆอีกมากมายนะครับไม่ว่าจะโยวโย่ว ไม่ว่าจะบวมน้ำ ไม่ว่าจะสุขภาพเส้นผมและผิวพรรณและประสาทสมอง และผมขอบอกให้รู้ว่าเจ้าหน้าท้องนี่มันเหมือนเชื้อไวรัสครับคือในยามจะเก็บมันต้องทำให้จบครับไม่ควรทำหลายครั้ง
เพราะการจะลดหน้าท้องแต่ละครั้ง ร่างกายมันถูกผลกระทบไปทั้งร่างครับ
อันนี้ผมพูดถึงเฉพาะการลดแบบจะให้หน้าท้องแบนราบเว้าสวยนะครับ

ขอให้ลองสังเกตุพวกดาราชายกันให้ดีครับ ปีแรกๆเข้าวงการจะดูหุ่นแมนแต่นานๆไปจะเริ่มดูเกร็นๆ และบางรายดูลักษณะของเนื้อในร่างกายจะดูแหม่งๆ
นั่นก็เพราะว่าคนพวกนี้ต้องทำซ้ำวนเวียนกับกระบวนการนี้บ่อยเกินไปจนถูกผลกระทบยังไงล่ะครับ ยิ่งคนในวงการเหล่านี้เป็นพวกนอนน้อยด้วยแล้วยิ่งแล้วไปใหญ่เลยครับ เขาจะค่อยๆสูญเสียมวลกล้ามเนื้อมวลกระดูกและเซลผิว



เอาล่ะครับสิ่งต่อมาที่คุณควรรู้นั่นก็คือการบริหารหน้าท้องทั้งที่ได้จากการคาดิโอและเวทเทรนนิ่ง ซึ่งกระบวนการ
เวทเทรนิ่งจะช่วยให้คุณปกป้องส่วนที่สมควรโค้งเว้า
การคาดิโอการแอโรบิค จะจัดการได้ถูกส่วน
การกินอาหารที่ น้อยลง ยิ่งสมควรต้องเพิ่มคุณภาพของอาหาร ขอให้คุณจำเอาไว้ขึ้นใจเลยครับว่า ทานน้อยอย่าพึ่งคิดว่ามันจบ เพราะมันยังไม่จบกระบวนการครับ ยิ่งคุณทานน้อยเท่าไหร่อาหารที่คุณทานต้องเข้มข้นด้วยคุณประโยชน์มากขึ้นเท่านั้นดังนั้นคุณอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องทำอาหารกินเอง เพราะจะไปใช้การทานอาหารชนิดเดียวกับคนทั่วไปและใช้การตักแบ่งนั้น สารอาหารคงไม่พอแน่ๆครับ
การทำตามระบบที่ถูกต้องจึงจะทำให้ทุกอย่างเป็นทิศทางที่ดี


ทีนี้กลับมาที่เรื่องหน้าท้องกันต่อ
คือโดยมากแล้วคนทั่วไปทั้งที่คิดว่าตัวเองออกกำลังกายเยอะและกินคุมได้ดีแล้วแต่หน้าท้องมันยังมี


ผมขอเรียนให้ทราบว่า
หน้าท้องที่เล็กลง และพอใส่เสื้อแล้วคนภายนอกดูไม่ออกว่าคุณยังเหลือหน้าท้องอยู่ จนกว่าคุณจะเปิดให้เห็นหรือจนกว่าจะนั่งก้ม นั้นก็จัดว่าเป็นหน้าท้องที่โอเคแล้วครับ


การฝึกของคุณมันช่วยได้ถึงขั้นนี้ได้ก็ถือว่ามันดีมากแล้วล่ะครับ


แต่ถ้าคุณกำลังจะต้องการหน้าท้องแบบแบนราบลอนสวย


ผมขอบอกคุณว่า คุณต้องก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้วครับ
เพราะคุณจะใช้สไตล์ของประชาชนออกกำลังตามฟิสเนทไม่ได้อีกแล้ว


แต่คุณต้องใช้วิถีชีวิตที่เรียกว่า โปร แล้วล่ะครับ


หน้าท้องแบบนั้นมักจะมีในระดับของมืออาชีพครับ
มักจะมีในมืออาชีพของหลายๆสาขาวงการที่เกี่ยวข้องกับรูปร่างครับ


ในวันนี้คุณอาจคิดว่าคุณออกกำลังเหนื่อยมากแล้ว กินคุมอาหารสุดๆลำบากยากแสนเข็ญแล้ว


แต่คุณทำมันเป็นระบบเป็นระเบียบหรือยังครับ?


อาหารที่คุณทานคุณทานน้อย แต่คุณทานถูกหรือป่าว?
ชนิดของอาหารเป็นอย่างไร  ทานตรงเวลาหรือไม่
แบ่งมื้ออาหารแบบไหน นี่คือสิ่งที่ ต้องมีความ เป็นมือโปร ขึ้นครับ



การออกกำลังคุณออกเยอะมากก็จริง
แต่คุณเล่นถูกท่าไหม เชื่อมโยงกับระบบหรือป่าว
จัดเซ็ทถูกต้องหรือไม่ จัดจำนวนครั้งถูกต้องหรือป่าว
เรียงท่าถูกไหม  จัดตารางการเล่นในวันนั้นถูกต้องหรือป่าว


สิ่งทั้งหมดนี้คุณต้องโปรขึ้น


ผมบอกได้เลยว่าผู้ที่สามารถจะมีหน้าท้องเฟริมได้โดยไม่ต้องมาใช้ระบบแบบนี้
มีอีกทางเลือกนึงคือคุณต้อง ฝึกโหดไปเลย
แบบนักมวย แบบกรรมกร แบบนักวิ่งมาราธอน อะไรแบบนั้นไปเลยครับ


แต่ถ้าคุณรับแบบนั้นไม่ได้ คุณก็ต้องหันมาใช้เรื่องการจัดระบบที่ผมได้ว่าไปในข้างต้นล่ะครับ


ผมบอกได้เลยว่าเจ้าหน้าท้องนี่ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบอสตัวสุดท้าย ให้เราเอาชนะครับ
คุณไม่ต้องกลุ้มใจกับหน้าท้องของคุณมากเกินไป


เพราะคุณรู้ไหมว่า ขนาดพวกนักกีฬาอาชีพ หรือพวกที่หุ่นภายนอกใส่เสื้อดูดีแล้ว นั้นมีมากมายเยอะแยะที่ยังจัดการกับหน้าท้องไม่ลง


หน้าท้องมันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไปเล่นง่ายกับมันได้
มันต้องใช้ความพิถีพิถันในการจัดการ
คุณต้องรู้ว่า ควรกินระดับไหน
ห้ามเกิน และห้ามขาด  และต้องมีการปรับรูปแบบการกินให้สอดคล้องกับรูปแบบการออกกำลังในแต่ละวันอีกด้วย


หน้าท้องถ้าออกกำลังหน้าท้องมากเกินไป มันก็จะเกิดการหนาตัวขึ้นได้อีก
นี่คือความกวนโอ๊ยของมัน


คือเล่นน้อยก็ไม่ได้ เล่นมากก็ไม่ดี
ต้องใช้ ความรู้พอสมควรต้องใช้การตรวจสอบตัวเองพอสมควรว่าควรเล่นตอนไหนช่วงไหน และเล่นแบบไหน



การฝึกหน้าท้องมันไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป
แต่ก็ไม่ใช่ง่ายเกินไป


คือผมจะบอกว่าคุณผู้อ่านเห็นผมบอกแบบนี้ อย่าพึ่งไปถอดใจ เพราะค่อยๆศึกษาเรียนรู้ได้ง่าย ขอเพียงคุณมีความใส่ใจที่จะเรียนรู้


แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งชุ่ยๆที่คุณจะไม่สนใจใส่ใจกับมัน
มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไป ตั้งหน้าตั้งตาหักโหมออกกำลังตั้งหน้าตั้งตาหักโหมอดอาหาร
แล้วมันจะหน้าท้องจะดูดีได้นั่นไม่ใช่


และคุณควรทราบเอาไว้ว่า เจ้าหน้าท้องนี่ล่ะตัวโยวโย่วมากที่สุด


คุณต้องจัดการกับมันแบบค่อยๆกล่อมเด็ก
อย่าไปใช้การตบหัวเด็ก
เพราะมันจะตอบแทนคุณได้สาสมแน่นอน



และจะมาว่ากันต่อไปในเรื่องของหน้าท้องกันอีกในบทข้างหน้านะครับ
แต่
ก่อนจะจบบทนี้ไป


ผมขอให้คุณจำเคล็ดหน้าท้องเอาไว้ง่ายๆ
คือ กินน้อยไม่สำคัญ เท่าสำคัญที่กินคลีน
นี่ล่ะคือสิ่งที่ถูกโฉลกกับหน้าท้องที่สุด


เพราะการกินคลีนจะทำให้คุณได้พลังงานพอเพียงที่จะไปออกกำลังได้เข้มเต็มที่ พอที่จะมาจัดการหน้าท้องได้
แถมการกินคลีนยังทำให้หลีกเลี่ยงไขมันได้มาก



การกินคลีนก็คือ กินอาหารไขมันต่ำ แต่ได้สารอาหารที่จำเป็นสูง


ใครที่กินได้คลีนมาก ก็แปลว่าได้สารอาหารที่สูงมากและไขมันต่อมาก


แต่หากใครไปกินน้อยกินอด นั่นเขาเรียกว่ากินขาด


เมื่อคุณกินคลีนได้ดี คุณควรศึกษาท่าฝึกหน้าท้อง
ทำความเข้าใจกับท้องส่วนล่าง ส่วนบน และส่วนข้าง


และออกแบบการฝึกให้ถูกต้อง


ใครเล่นหนักเข้มข้น ควรจัดวันพัก


ใครเล่นไม่เข้มข้น ให้เพิ่มจำนวนเซ็ทเข้าไป


ส่วนการเล่นสีข้างไม่ควรเล่นมากเกินไป และไม่ควรเล่นติดวันกัน เพราะจะทำให้สีข้างหนาได้


การเล่นหน้าท้องควรเล่นแต่พอควรเอาแค่พอประมาณ
ในช่วงลดน้ำหนักแรกๆ


แต่เมื่อลดน้ำหนักมาได้ดีชั้นไขมันบางลง
แล้วค่อยเพิ่มความเข้มในการบริหารหน้าท้อง



และเมื่อถึงจุดนึงคุณอาจต้องเข้าโปรแกรมไดเอทแบบเข้ม
ที่ยอมทำให้ร่างกายสะดุ้งตัว
แต่ทำแบบระยะสั้นคือไม่เกิน2สัปดาห์
แต่โปรแกรมนี้จะให้ผลดีที่สุดใน ขั้นตอนตบท้ายของการฝึก หรือพูดง่ายๆว่า มันเอาไว้ใช้ตอนที่คุณเฟริมแล้วและกำลังถึงขั้นตอนท้ายแล้ว



และข้อควรจำต่อมาคือ การซิทอัพนั้นมีผลให้มีมวลกล้ามเนื้อกระชับขึ้น หรือถ้าใครฝึกไว้ดีฝึกแบบเข้มข้นมันก็คือการสร้างซิคแพ๊ครอเอาไว้ภายในเพื่อรอวันให้ไขมันบางตัวแล้วจะแลเห็น   แต่การซิทอัพไม่ใช่การลดไขมันหน้าท้อง


การลดไขมันหน้าท้องต้องเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายปริมาณมากเท่านั้น ควรไปอาศัยการวิ่งการปั่นจักรยานการแอโรบิคจะดีกว่า


การซิทอัพนั้นจะช่วยในเรื่องความกระชับ ทำให้เหมือนเกิดสองแรงบวกมาชนกัน


วิ่งทำให้ไขมันบางลงในขณะที่ซิทอัพทำให้มวลภายในกระชับดันขึ้นมา ผลที่ได้คือหน้าท้องเป็นลอนงามได้รวดเร็วขึ้น แข็งแรงขึ้นกระชับขึ้น






Free TextEditor




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 23:14:50 น.
Counter : 499 Pageviews.  

เจาะลึกเรื่องของการวิ่ง

สวัสดีครับสำหรับบทนี้
เราจะมาว่ากันถึงเรื่องการพิถีพิถันกับการวิ่งนะครับ


อันดับแรกสิ่งที่คุณต้องมีก่อนเหนือสิ่งอื่นใดเลย คือความห้ามดื้อครับ
จากประสบการณ์ตรงของผม ตัวผมเองในแรกเริ่มของชีวิตที่เข้าสู่เส้นทางนี้
ในสมัยแรกๆนั้นตัวผมเองเป็นคนที่ดื้อมากครับ
ดื้อและบ้าพลัง คิดว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งครับ พอตัวเองวิ่งได้อึดขึ้นและเร็วขึ้น
ผมก็ตะบี้ตะบันวิ่งใหญ่เลยครับวิ่งชนิดหามรุ่งหามค่ำ
วิ่งวันละสองรอบ แถมยังมีการเดินมาราธอนในรอบค่ำอีก
ส่วนการยกเวท นี่ผมยิ่งดื้อไปใหญ่เลยครับ ยกลูกใหญ่ๆร้องย๊ากๆ
ยกในน้ำหนักระดับที่หน้าแดงลมออกหู เส้นเลือดปูดกว่าจะได้แต่ละที
เล่นน้ำหนักที่ฮาดร์คอมาก ใช้น้ำหนักพวกชนิดที่ยกได้6ครั้งแล้วแทบล้มลงไปกอง
แถมในครั้งท้ายๆแรงมันเริ่มไม่มี ก็ใช้วิธีการโกงครับทั้งกระชากทั้งสวิง
ใครเตือนก็ไม่ฟัง หลงคิดว่าตัวเองมหัศจรรย์ คิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษอะไรทำนองนั้นครับ
555 นึกถึงตัวเองสมัยก่อนแล้วตลก


แล้วพอตัวเองทำได้และไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรก็ได้ใจครับ ฝึกมันแบบนั้นติดต่อกันหลายเดือนเข้า
สุดท้ายความกรอบมาเยือนครับ เริ่มบาดเจ็บง่ายและเริ่มมีอาการเรื้อรังรักษาหายยากขึ้นไปทีละจุดครับ
ทั้งเอ็นข้อศอก เอ็นโฟร์อามร์ หัวไหล่ กล้ามเนื้อหน้าอกและหลัง ค่อยๆพังไปทีละอย่าง
ซึ่งแต่ละส่วนหายช้ามากรักษากันเป็น4เดือนขึ้นไป
และถ้าเป็นในส่วนของข้อต่อและกระดูกนี่ยิ่งนานเลยครับ
ส่วนหน้าแข้ง ข้อเท้าและเอ็นหัวเข่านี่ไม่ต้องถามถึงครับ
ผมเจอมาหมดทุกอาการ แถมยังมีหน้าไปแข่งงัดข้อ คัดเอาผู้ชนะของแต่ละสัปดาห์แล้วนำมาแข่งกัน
ในรอบสุดท้าย ผมสะสมมาจากรอบอื่นๆ แขนผมระบมจากรอบอื่นๆมามากแล้ว และยังไปเจอกับแชมป์ในสัปดาห์สุดท้ายเข้าให้อีก
เรียบร้อยครับเอ็นแขนผม กว่าจะฟื้นฟูได้ใช้เวลาเกือบ2ปีครับ



มันเป็นบทเรียนราคาแสนแพงของไอ้หนุ่มไฟแรงในเวลานั้นเลยทีเดียว
ต้องมานั่งดูคนอื่นเขาฝึกเข้มกันและตัวเองต้องซมเลียแผลรักษาร่างกาย
จิตมันหงุดหงิดมากและกลุ้มใจมากครับ ร่างกายเสื่อมถอยเพราะไม่ได้ฝึกเข้ม และมันทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้เหมือนชกมวยที่แผลหายกันในไม่กี่สัปดาห์ แต่เอ็นและกระดูกนี่ขอบอกเลยครับว่ามันหายช้าแบบหนักใจกันไปเลยครับ


ดังนั้น
ผมจะบอกว่าร่างกายคนเรานี้มันมีรูปแบบการสะสม สะสมแบบเงียบๆโดยที่เราไม่รู้สึกตัว
และแสดงอาการออกมาเมื่อสาย ขอให้ระวังเอาไว้อย่าได้ซ้ำรอยผมครับ


ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นคนมาใหม่ไฟแรงทำแบบผมกันมากมาย ก็ไม่รู้จะเตือนกันอย่างไรครับ


สำหรับการวิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่คุณต้องทำมันสม่ำเสมอและทำมันบ่อยยาวนาน ต้องพึ่งพามันอีกนานครับ
ดังนั้นต้องถนอมหัวเข่าหน้าแข้งข้อเท้าเอาไว้มากๆ หากมีอาการเสียวแปร๊บหรือบาดเจ็บระบมเล็กน้อย
ให้หยุดวิ่งเลยครับและ ชิงพักไว้ก่อนเลยหลายๆวัน
แล้วพิจราณาปรับปรุงโปรแกรมให้ เบาลงบ้างสักช่วงครับ


ย้ำครับว่าสำคัญมากๆ แม้แต่มือโปรที่ฝึกกันอย่างถูกวิธีและระมัดระวัง ก็ยังมีพลาดเลยครับ
เพราะของแบบนี้มันคือการสะสม คุณไม่เจอวันนี้แต่จะเจอวันหน้าแน่นอน
สิ่งที่คุณทำวันนี้มันส่งผลได้แน่นอน


เอาล่ะครับสำหรับเรื่องต่อมาคือ
ขอให้คุณตรงไปที่ร้านขายรองเท้าเลยครับ 
รองเท้านี่ละคือสิ่งสำคัญมากๆคือหัวใจหลักที่จะถนอมขาและเท้าของคุณ
ทุกวันนี้ผมเห็นเยอะมากกับคนที่ใช้รองเท้าแบบผิดๆครับ
บางคนใช้รองเท้าผ้าใบนันยาง บางคนใช้รองเท้าบาส บางคนใช้รองเท้าแบบพวกนักวิ่งเร็ว
เอามาวิ่งแถมไม่วิ่งธรรมดา
วิ่งแบบคาร์ดิโอสูตรต่างๆปรับสปีดไปมากันมันส์ไปเลยครับ


ขอให้คุณเลือกรองเท้าให้ถูกต้อง
รองเท้ามันมีหลายชนิดมากมาย ไม่ว่ารองเท้าลำลองสันทนาการทั่วไป รองเท้าเล่นบาส
รองเท้าเล่นบอล
ซึ่งรองเท้าประเภทอื่นๆไม่เหมาะที่จะเอามาวิ่งในโปรแกรมครับ
อาจใช้วิ่งแบบอาทิตย์ละครั้งหรือนานๆทีได้ แต่ไม่เหมาะจะเอามาเข้าโปรแกรมเต็มรูปแบบ


ส่วนรองเท้าวิ่งนี่ก็ดันมีประเภทต่างๆแยกออกไปอีกครับ
มีทั้งแบบวิ่งแข่งวิ่งเร็ว มีทั้งแบบวิ่งมาราธอน 
ซึ่งการเลือกรองเท้านั้น ก็ต้องเลือกให้ถูกครับ
บางคู่นั้นออกแบบมาสำหรับท่าวิ่งแบบเน้นสปีด
ออกแบบมาสำหรับท่าวิ่งลงปลายเท้า ลงกลางเท้า ลงในท่าต่างๆว่ากันไปตามจุดประสงค์ครับ
รวมทั้งต้องพิจราณาสไตล์การวิ่งของเราด้วยครับ ว่าเรามักจะวิ่งด้วยความเร็วประมาณไหน
วิ่งนานแค่ไหน  ซึ่งวัสดุพื้นรองเท้าก็จะออกแบบกันออกมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ครับ


เหมือนเสตอร์เหมือนเฟืองของรถ จะเอารอบจัดหรือจะเอาแรงม้าจะเอาแรงต้นจะเอาความแรงหรือจะเอาความเร็วก็ว่ากันไป


ซึ่งรองเท้าที่ซัพพอทร์ข้อเท้ามากๆ นั้นมักจะวิ่งได้ช้าหน่อยและหนักหน่อยครับ
ส่วนพวกที่วิ่งได้เร็วได้คล่องแต่ไม่เหมาะที่จะวิ่งนานก็จะใช้แบบบางๆ มีการทำมุมกลมกลืนไปกับเท้า
และไม่ค่อยเซฟในภาวะฉุกเฉินสักเท่าไหร่
ส่วนรองเท้าวิ่งมาราธอนก็จะเน้นที่ความเบา ความคล่อง และทำมุมรักษาข้อเท้า
เน้นให้วิ่งได้นานๆ แต่ก็ไม่นิ่มไม่นวลสุดยอดเท่าใด
ในขณะพวกรองเท้าใช้วิ่งออกกำลัง ที่ไม่เน้นผลแข่งขัน
ก็มักจะไปเน้นที่พื้นหนานุ่มและมีการออกแบบรูปร่างสรีระที่สร้างความสบายให้เท้า
และรักษาความปลอดภัยรองรับแรงกระแทก และการพยุงตัวที่จะสะท้อนไปถึงหัวเข่าครับ


แต่บางทีมันเซฟเราหลายจุดก็ทำให้ไม่สะดวกในจุดประสงค์อื่นๆครับ ยิ่งพวกที่มีเซฟรอบข้อนี่บางทีไม่เหมาะในภาวะกระทันหันครับ
 เช่นจู่ๆเห็นคนเล่นบอลแล้ววิ่งไปเตะบอลกับเขาอันนี้มีโอกาสรองเท้าพลิกได้ง่ายๆครับ
มันเหมาะกับท่าวิ่งที่คงที่ มากกว่าครับ
ยิ่งสบายมากยิ่งวิ่งได้นานขึ้น แต่อาจจะเกะกะเรื่องความคล่องตัว หรือการเปลี่ยนแปลงท่าร่างครับ


พวกรองเท้าแบบที่ใช้วิ่งตามฟิสเนทหรือวิ่งออกกำลังตามสวนสาธารณะ
ก็จะมีการออกแบบตื้นลึกหนาบางกันไปให้คุณเลือกสรรว่า
จะลดความสามารถในเรื่องใดและเอาไปเพิ่มให้เรื่องใด
คุณจึงต้องเข้าใจก่อนว่าตัวเองวิ่งแบบไหนเหมาะกับคู่ไหนครับ
ดังนั้นรองเท้าที่จะมาใช้ ต้องพิจราณาอย่างรอบคอบครับ
หรือใครจะซื้อหลายคู่ตุนเอาไว้ใช้ตามจุดประสงค์ของวันก็ได้ครับ


ส่วนเรื่องราคานั้นผมบอกได้เลยว่าถ้าคุณไม่ได้ร่ำรวย
หรือถ้าคุณเป็นคนประหยัดและต้องการใช้เงินอย่างคุ้มค่า
ก็ไม่จำเป็นต้องไปเลือกรองเท้าแพงรองเท้าสวยครับ
แต่โดยมากรองเท้าประสิทธิภาพดีๆก็มักจะมีราคาค่อนข้างพอสมควรครับ


แต่จากประสบการณ์การวิ่งของผม ผมบอกได้เลยว่าผมเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นนักทดสอบความทนของรองเท้าวิ่งครับ ยี่ห้อไหนที่คิดว่าของตัวเองแน่ทนมากเอามาให้ผมลองเลยครับ
เพราะผมแทบไม่เจอคู่ไหนเลยที่มันทนมือทนเท้า
นิวบัลล้าน ไนกี้ อาดิดัส พูม่า นี่มาเถอะครับอยู่กับผมไม่นานผมทำพังเป็นคู่ๆ
เพราะผมใช้มันคุ้มมากครับ ใช้ทำหลายกิจกรรมการฝึกมาก
ทำให้ตอบได้เลยว่า รองเท้าสวยงามคงสภาพยืนยาวแทบไม่มีในโลกครับ


ดังนั้นถ้าคุณไปเลือกคู่สวยงามราคาแพงมา หรือมีปุ่มนั่นมีปุ่มนี่มีแอร์มีช๊อคก็ว่ากันไป
ยังไงมันก็พังครับ โดยเฉพาะการเอามาใส่วิ่งซึ่งสำคัญมาก แค่ว่าไม่ต้องพังมากแค่มันสึกมันหรอนี่ก็ต้องเปลี่ยนแล้วครับเพราะมันส่งผลได้มากกับการวิ่ง และถ้าคุณเป็นคนที่ต้องวิ่งเป็นสำคัญด้วยแล้ว รองเท้ามันก็เหมือนดอกยางรถแข่งที่สึกหรอลดทอนประสิทธิภาพนิดหน่อยก็ต้องเปลี่ยนกันไปเลยครับ ดังนั้นวางแผนไว้ด้วยครับว่า จะจัดงบให้กับแผนการใช้รองเท้าอย่างไร บางยี่ห้อโฆษณาว่าของตัวเองมีโหนกมหัศจรรย์
มีระบบนั่นนี่ มันดีก็จริงแต่มันก็พังครับคุณต้องได้เปลี่ยนคู่ใหม่แน่นอนในไม่ช้า
อันนี้พูดให้ฟังสำหรับคนที่จะเอามาฝึกอย่างเข้มข้นเป็นจริงเป็นจัง ไม่ได้เอาไว้ใส่เที่ยวนะครับ


และทั้งนี้ทั้งนั้นมันต้องเหมาะสมกับสรีระของเท้าคุณด้วยครับเพราะเท้าคนเราไม่เหมือนกัน
ตั้งแต่พื้นเท้าที่ระนาบกับพื้นไม่เหมือนกัน ไปจนถึงรูปร่างเท้าครับ
อันนี้ต้องลองใส่ดูด้วยตัวเอง


สำหรับเรื่องต่อมาก็คือท่าวิ่งครับ
การใช้ท่าวิ่งที่ดีนั้น หลักๆเลยก็คือ การกระจายน้ำหนักครับ
เวลาลง เท้าลงไปควรให้มันกระจายน้ำหนัก ได้หลายมุม และรองรับกันเป็นขั้นเป็นตอน
อย่าให้จุดแคบๆจุดเดียวรองรับน้ำหนักครับ
สิ่งนี้ต้องอาศัยสมาธิครับ  อย่ามัวแต่เหนื่อยจนสมองสับสน ขาดสติในการจับจังหวะเด็ดขาดครับ
ฝึกจากวิ่งช้าๆในท่าที่ถูกต้องให้มัน ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกเป็นระบบสัญชาติญาณออโต้ให้ได้ครับ


การกระจายน้ำหนักหมายถึง ลงเท้าให้เต็มเหลี่ยมมุมครับ
สมมุติว่าในการวิ่งของคุณ ใช้จุดประสงค์ในการวิ่งที่ใช้ท่าลงเท้าแบบไหนก็ควรให้มันช่วยกันรับแรงกระแทก
ให้ได้มากที่สุดในพื้นที่ที่กำหนดของฝ่าเท้าครับ


และลำดับต่อมาคือ ถ่ายเทแรงกระแทกเป็นจังหวะขั้นตอนครับ
คือจุดใดที่ลงถึงพื้นก่อน ก็ควรจะมีจุดต่อมารองรับแรงกระแทกต่อ
ก็ควรหาจุดให้มันแท๊คทีมกันให้มากที่สุดส่งถ่ายน้ำหนักให้มากที่สุด
อย่างเช่นคุณจะใช้ท่าวิ่งแบบ  กลางเท้าบริเวณใกล้ส้นเท้าลงพื้นก่อน
ก็ควรให้มันเรียงลำดับถ่ายแรงกระแทกกันต่อเนื่องครับ คืออย่าพึ่งรีบยกเท้าออก
แต่ให้มันส่งต่อ น้ำหนักไปที่กลางฝ่าเท้า จากนั้น ปลายเท้าก็เข้ามารับน้ำหนักต่อ
เป็นกระบวนการส่งต่อน้ำหนักที่เกื้อกูลกัน ในระยะเวลาสั้นๆชั่วพริบตาครับ
และแรงกดที่จะตามมา ในส่วนของข้อเท้า ส่งต่อไปที่หน้าแข้ง และหัวเข่า
พยายามให้มันทำมุมส่งต่อแรงกระแทกกันเป็นขั้นตอนและลื่นไหลที่สุดครับ
และควรฝึกทำให้ถูกต้องใน ลักษณะแบบสบายๆตามธรรมชาติ ไม่เกร็งด้วยนะครับ


ส่วนแรงส่งในการพยุงขาเพื่อที่จะยันขาส่งแรงก้าวเพื่อจะก้าววิ่งต่อไปนั้น
ก็ใช้หลักฟิสิกส์แบบเดียวกันครับ คือส่งแรงถีบแรงค้ำยัน อย่างกระจายตัวเป็นขั้นตอน
และเต็มเหลี่ยมมุม ไม่มีอาการของการแบกภาระแรงกดแรงยันไปที่จุดแคบจุดเดียว


รวมไปถึงการปล่อยแรงผ่านในจังหวะก้าว ของเท้าที่สวิงไปข้างหลังก็พยายามทำให้มันนิ่มนวลครับ
เท้าที่ก้าวไปข้างหน้า ควรยกหน้าขาในระดับพอดีที่ไม่รู้สึกว่ามันเกิดการแบกรับ
 และสบายกล้ามเนื้อนะครับ แต่ก็ควรยกหน้าขาให้สูงในระดับนึงอันจะช่วยทำมุมแรงกระแทกได้ดีขึ้นครับ
รวมไปถึงการเตรียมกระบวนการยืดแรงส่งด้วยครับ


และพยายามใช้ท่าวิ่งที่ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดีที่สุดหลีกเลี่ยงท่าที่พลิกแพลงโลดโผน
สำหรับเรื่องท่าวิ่งหรือลักษณะการวิ่ง อันนี้ผมไม่อยากชี้ชัดกฏตายตัว
เพราะว่าคนเรามีสรีระแตกต่างกันไปครับ
สิ่งที่ดีที่สุดคือตั้งใจฟังเสียงร่างกายของคุณครับว่ามันตอบสนองดีหรือป่าว



ส่วนท่านใดที่ใช้การปรับสปีดไปมา ก็ต้องควรตระหนักด้วยว่าสปีดที่ใช้นั้น เกินขีดจำกัดของท่าวิ่งนั้นหรือไม่
เพราะบางทีท่าวิ่งเดิมมันไม่ซัพพอทร์ กับการวิ่งเร็วก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามแนวโน้มครับ
เพราะไม่งั้นมันจะเหมือนขับรถเร็วลากเกียร์ต่ำครับ เฟืองพังเอาได้ง่ายๆ


สิ่งสำคัญต่อมาก็คือ
พลังจิตครับ อันนี้ต้องอิงกับเรื่องของจิตวิทยาเล็กน้อยครับ
เวลาคุณวิ่งคุณต้องฟังร่างกายตัวเองด้วยว่ามันไหวไหมกับระดับนั้นๆที่คุณทำ
อะไรคือร่างกายไหว อะไรคือถอดใจอันนี้ต้องแยกให้ออกนะครับ
อะไรคือร่างกายไม่ไหว อะไรคือจิตใจฝืนสังขารหรือแม้แต่สะกดจิตให้ตัวเองอึดเกินขีดอันนี้ก็ไม่ดีครับ
มีสิทธิน๊อคเอาง่ายๆ ระบบเลือดระบบปอดระบบหัวใจจะสุขภาพไม่ดีเอานะครับ


พลังจิตต่อมาคือ พลังจิตป้องกันการถอดใจ สำหรับในกรณีที่ร่างกายคุณไหวแต่มันอยากจะถอดใจ
อันนี้คุณต้องระวังการครุ่นคิดครับ พยายามนึกถึงแรงใจต่างๆ และทำใจเป็นสมาธิ
ไม่เก็บเสียงที่มันร่ำร้องอยู่ในใจ "ว่าเหนื่อยจังโอ๊ยเหนื่อย"
ไม่เก็บเสียงเหล่านั้นมาครุ่นคิดสะกดจิตตัวเองครับ
ยิ่งคิดมันจะยิ่งเต็มหัวและมันจะยิ่งขยายอิทธิพลในจิตใจ
อันเป็นผลจากการคลุกคลีหมกมุ่นกับเสียงของมันครับ
มันจะทำให้คุณควบคุมสภาวะจิตตัวเองไม่ได้ และประสาทรับรู้ความเมื่อยล้า
เหนื่อยเหน็ดจะดันทะลึ่งทำงานดีเป็นพิเศษ
มันจะสำรวจได้คมชัดและเอามารุมเร้าใส่ตัวคุณให้ถอดใจครับ


ในทางกลับกันคุณหันมาเพ่งกระแสจิตแต่แง่บวก มันจะทำให้คุณใจแกร่งขึ้นครับ



สำหรับประเด็นต่อมาที่คุณควรทำคือ
ใช้กระบวนการร่างกายให้ถูกต้องแล้วมันจะสนับสนุนคุณ
เช่น พยายามหายใจให้เป็นจังหวะที่เหมาะสมครับ
ศาตร์ของศิลปการหายใจนั้น มีคิดค้นกันมากมายครับ ทั้งวูซู ไทเก๊ก คาราเต้ และวิทยาศาสตร์
การหายใจนั้นถ้าเจาะลึกซึ้งมันมีหลายสไตล์และมันให้ผลที่ต่างกันครับ


แต่พื้นฐานนี้พยายามหายใจให้พอดี และพอเพียง รวมทั้งสม่ำเสมอเป็นจังหวะครับ
พยายามขัดแต่งมันไปเรื่อยๆจนพบ
รูปแบบที่มันให้ผลดีรู้สึกดี และจดจำมันตั้งสมาธิควบคุมมันให้ติดเป็นนิสัยครับ
จะทำให้ประสิทธิภาพการวิ่งของคุณเยี่ยมขึ้นมากครับ



ส่วนที่เหลือ ก็ว่ากันไปตามหลักของวิทยาศาสตร์เลยครับ


คือก่อนวิ่งคุณควรมี การยืดเส้นการหมุนการเขย่าการสะบัด ที่ถูกต้องและวอมร์ร่างกายให้อบอุ่น
และเดินเพื่อวอมร์อัพ ให้เส้นสายมันเตรียมพร้อม ก่อนสัก3ถึง5นาที
และค่อยๆเริ่มวิ่งช้าๆก่อนให้เริ่มชินตัวก่อนจะเพิ่มความเร็ว
และในขณะที่คุณเริ่มวิ่งนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงความเร็ว คุณไม่ควรใช้ภาวะกระทันหัน
แต่ควรใช้การเรียงลำดับความเร็ว ค่อยเร็วขึ้น
รวมไปถึงเมื่อคุณใกล้จะวิ่งครบ ก็ให้ค่อยๆใช้ความเร็วต่ำลง เป็นจังหวะ
และแต่ละจังหวะควรทำในเวลาที่พอสมควร
จากนั้นค่อยๆทำการคลูดาวน์ ลดระดับคามเร็วไปจนถึงเดินเร็ว และเดินช้าตามลำดับ
อันนี้สำคัญมากและย้ำว่าต้องทำ เพราะระบบหัวใจและเลือดไหลเวียนในตัวอาจปรับสภาพไม่ทัน
ทำให้เกิดอาการ ช๊อตได้ล้าได้เวียนหัวหน้ามืดได้ ส่งผลให้วันต่อไปเพลียได้ หรือแม้แต่ช๊อคจับไข้ได้
หรือแม้แต่คนที่หัวใจล้มเหลว หรือคนที่เส้นเลือดสมองแตกก็มีมาแล้ว
หากร่างกายอ่อนแอวิ่งเข้มข้นและไม่ยอมทำคูลดาวน์ จะมีผลเสี่ยงมาก
และที่สำคัญวันไหนคุณร่างกายเพลีย ล้า หรือวันไหนนอนน้อย
หรือแม้แต่คนที่มีโรคประจำตัว วันไหนไม่สู่ดีความดันไม่ดี
ก็อย่าวิ่งเด็ดขาด ไม่งั้นผลดีจะกลายเป็นผลร้าย วิ่งอยู่ดีๆล้มฟุบ มีให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว


และหลังวิ่งเสร็จอย่ารีบดื่มน้ำทันที ควรจิบเล็กน้อย และค่อยๆให้ร่างกายหายใจปรกติและปรับอุณภูมิ
หลังจากนั้นคุณจำเป็นต้องทานน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการโอเวอร์เทรนของร่างกาย
ถ้าทานน้ำแล้วยังล้าแบบผิดปรกติ หน้ามืดใจสั่นร่างกายโหย
อันนี้ต้องพึ่งเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือพวกน้ำหวานที่มีกลูโคสชนิดดูดซึมไว


และหากคุณเป็นคนที่ลดน้ำหนักแบบคุมอาหารมากๆและออกกำลังกายหนัก ขอให้ตระหนักไว้เลยว่า
หลังวิ่งเสร็จ หากอากาศรอบข้างค่อนข้างเย็น
คุณต้องสวมเสื้ออุ่นๆทันที เพราะร่างกายของผู้ฝึกแบบนี้จะมีภูมิต้านทานน้อยมากเป็นหวัดง่าย
รวมทั้งร่างกายที่อุ่นจากการวิ่งมาเจอกับอากาศที่แตกต่างจะทำให้ร่างกายส่งผลตอบโต้ได้
จึงควรค่อยๆปรับตัวกับอากาศภายนอกเป็นสำคัญอีกด้วย



เอาล่ะครับทั้งหมดที่ผมว่ามานี้
ขอเพียงใส่ใจกับความสำคัญในเรื่องต่างๆและปฏิบัติตาม
เท่านี้คุณก็จะมีร่างกายแข็งแรงพร้อมรับการฝึก ในวันต่อๆไปกับร่างกายที่สุขภาพดีแข็งแรง
ได้แล้วครับ


ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงกันถ้วนหน้านะครับ






Free TextEditor




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2552    
Last Update : 7 ธันวาคม 2552 3:15:21 น.
Counter : 596 Pageviews.  

1  2  3  

ตึ๋งนิวเครียร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ตึ๋งนิวเครียร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.