|
"ก้าวแรก"
บางครั้งการเริ่มต้นก็เป็นสิ่งที่ยากสำหรับบางคน โดยเฉพาะการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่ผิดแผกแตกต่างจากเดิม การทำตามความเคยชินบางครั้งก็ดี บางครั้งก็อาจไม่ดีเพราะโลกมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นทุกๆวันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เคยทำแล้วดีในอดีต ปัจจุบันกลับไม่ใช่ สิ่งที่เคยทำสำเร็จที่หนึง แต่กลับไม่ได้ผลเลยเมื่อนำไปใช้อีกที่หนึ่ง การนิ่งอยู่กับที่หรือการติดยึดแบบไม่สร้างสรรค์ (ขาดเหตุผล) บางครั้งก็ทำให้เราสูญเสียโอกาสและนำความเสียหายมาสู่ตนเองและครอบครัวได้อยู่เหมือนกัน...หรือนี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสอนให้เราได้เห็นความเป็น "อนิจจัง"
วิถีชีวิตด้านการเกษตรก็อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่คล้าย ๆ กัน วิธีการปลูก วิธีการผลิตที่คล้ายๆกันถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมาตามสายโยงอารยธรรมเกษตรกรจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ส่วนใหญ่บุตรหลานเกษตรกรมิกล้าเปลี่ยนแปลงแผลงออกนอกลู่นอกทาง เพราะกลัวความผิดพลาด ซึ่งพลาดแล้วพลาดเลยเพราะเกษตรกรต้นทุนน้อย โอกาสในการแก้ตัวแทบไม่มี นอกจากการเป็นหนี้เป็นสิน จึงทำให้การย่างไปสู่ก้าวแรกของพี่น้องเกษตรกรเป็นก้าวที่น่ากลัวและยากเสมอ แต่ข้อมูลและเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา จะมีเกษตรกรกี่คนที่เข้าถึงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้เป็นการเกษตรที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการที่แท้จริงของตัวเกษตรกรเอง (ปากท้อง) และผู้บริโภค (อาหาร,ความปลอดภัย, สุขภาพ)
การฉีดพ่นยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในชีวิตของเกษตรกรล้วนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ไม่ว่ายาฆ่าแมลงจะผ่านเปลี่ยนไปกี่ยี่ห้อแล้วก็ตาม แต่วิถีการคิดวิถีการพัฒนาในสายอาชีพยังย่ำอยู่กับที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ก้าวใหม่ ก้าวแห่งการมุ่งไปสู่เกษตรแนวใหม่ที่ไร้สารพิษก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเดิม เป็นก้าวที่สอดคล้องเหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน เพราะก้าวนี้จะช่วยลดต้นทุน ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยถนอมดินอินทรียวัตถุให้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิตเล็กๆให้ดำรงอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกันทำให้ดินมีชีวิตชีวา เพาะปลูกพืชไร่ไม้ผลก็ไม่สิ้นเปลืองปุ๋ยยา เป็นก้าวที่ผู้บริโภคต้องการ ก้าวแรกของปีใหม่นี้น่าจะก้าวข้ามเกษตรเคมีมุ่งสู่เกษตรปลอดภัยไร้สารพิษกันดีกว่านะครับ
มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 13 มีนาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 13 มีนาคม 2555 17:38:30 น. |
| |
Counter : 386 Pageviews. |
| |
 |
|
|
ศึกษาตลาดให้ดีก่อนผลิต
มีคำถามเข้ามาที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษมากมายที่ปรึกษาในเรื่อง คิดจะทำ จะปลูก จะผลิตอะไรดี อาจเนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่ย่ำแย่อีกทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำถดถอยทั่วโลก ส่งผลทำให้ผู้คนทั่วไปต่างขวนขวายหารายได้มาทดแทนทำเป็นอาชีพเสริมหรือถ้าดีมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็ทำเป็นอาชีพหลักได้ เท่าที่ได้สังเกตุส่วนใหญ่จะเป็นด้านเกษตรกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือนี่อาจเป็นสามัญสำนึกภายใต้จิตใจหรืิอใต้จิตสำนึกที่กระตุ้นเร่งเร้าให้มนุษย์ทั้งหลายที่ต่างพยายามแวกว่ายตะกายดาวแล้วยังไปไม่ถึงห้วงแห่งความสำเร็จต่างให้หวนกลับมาคิดคืนสู่สามัญสู่ธรรมชาติทำตามวิถีชีวิตที่พ่อแม่บรรพบุรุษทำต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน เป็นด้านที่เราชาวไทยน่าจะถนัดถนี่ที่สุดทุกคนต่างทำได้ถ้าใจต้องการ.
แต่จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าเราจะทำอะไร จะปลูกอะไร แต่อยู่ตรงที่ใครเขาต้องการอะไร ที่ไหน คุณภาพหน้าตาเป็นอย่างไร เราต้องสามารถทำให้ได้ตามนั้น เพราะนั่นก็คือเรื่ิองของการตลาดนั่นเอง ต้องไม่คิดแต่ในด้านการผลิตแต่เพียงอย่างเดียวต้องมีการวางแผนอย่างดีและรอบคอบ โดยเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวก่อนอย่างเช่มชุมชนคนท้องถิ่นเขาทานอะไร ร้านค้า ตลาดนัด ร้านอาหารตามสั่งเขาต้องการวัตถุดิบหรือพืชผักชนิดอะไร เราก็ควรจะทำ จะคิด ผลิตในสิ่งนั้นๆ โดยเริ่มมองหาจากชุมชนของตนเองแล้วค่อยขยายออกไปยังท้องถิ่นใกล้เคียงและต่อไปยังต่างจังหวัดหรือตลาดศูนย์กลางของประเทศอย่างเช่นตลาดไทยและตลาดสี่มุมเมือง
ปัญหาเรื่องการตลาดก็คืิอในที่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ปลูกง่าย ผลิตง่ายใครๆก็สามารถทำได้ก็จะมีคนทำกันอยู่แล้วตลาดก็จะมีเจ้าประจำรับส่งกันอยู่ ถ้าเราสามารถทำในสิ่งที่ตลาดต้ิงการสูงแต่ผลิตได้ยากเราก็สามารถเป็นผู้นำตลาดได้โดยง่าย การที่เราจะเบียดแทรกเข้าไปแทนที่ตลาดเดิมให้ได้นั้นก็ต้องใช้ฝีมือและคุณภาพเข้าช่วยอย่างเต็มที่ ที่เขาเรียกกันว่าความสามารถทางการแข่งขันด้านการตลาด ถ้าสามารถศึกษาหาข้อมูลเรียนรู้ทั้งด้านการตลาดและการผลิตให้ชัดเจนถ่องแท้ บางคนอาจจะคิดไกลไปในเรื่ิองของการนำ4Ps ที่เป็นหัวใจในการตลาดเช่น ผลิตภัณฑ์ (products) ราคา (price) สถานที่จำหน่าย (place) และการโปรโมทส่งเสริมการจำหน่าย เข้ามาใช้ช่วยเสริมในอาชีพเกษตรก็ถือว่าดีไม่น้อย สร้างความต่าง สร้างความแข็งแกร่งที่ต่างจากการทำอาชีพการเกษตรในอดีตที่มุ่งเรื่องการผลิตเพียงอย่างเดียว
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 13 มีนาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 13 มีนาคม 2555 17:38:07 น. |
| |
Counter : 415 Pageviews. |
| |
|
|
|
พัฒนาบ้านนอกของเราให้ยั่งยืน
วิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ในหนนี้หนักหน่วงรุนแรงกระทบไปทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมทั้ง โรจจนะ ไฮเทค นวนคร สหรัตนะ บางกระดีและอีกหลายๆแห่งที่จำไม่ได้นำมากล่าวไม่หมดในที่นี้ อย่างไรก็ขอเป็นกำลังใจและอวยชัยให้ผ่านพ้นไปด้วยดีตามอัตภาพสภาวการณ์ของแต่ละผู้ประกอบการณ์
จากวิกฤตสถานการณ์ดังกล่าวนอกจากกระทบในระดับมหภาคในเรื่องของการหยุดผลิตปิดกิจการ หรืออีกหลายบริษัทถอดใจย้ายออกไปลงทุนยังประเทศอื่น เนื่องจากความไม่ชัดเจนในหลายๆ ด้าน ทั้งความกดดันด้านค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ความไม่มั่นใจในแผนรับมือน้ำท่วมของรัฐบาลที่ไม่ชัดเจน ยังไม่มีการรับปากที่เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าปีหน้าจะท่วมอีกหรือไม่ และยังมีด้านอื่นๆอีกที่เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจในการลงทุน ทำให้ผู้ประกอบการณ์เหล่านั้นขาดความมั่นใจ
ส่วนผลกระทบด้านจุลภาคที่เกี่ยวกับปากท้องพี่น้องลูกหลานเกษตรชาวไทยต่างหนีไม่พ้นวิกฤตในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน เมื่อโรงงานถูกปิด กระบวนการผลิตหยุด มีการสั่งพักงานไประยะหนึ่ง ต่อจากนั้นเมื่อสถานการณ์ค่อยๆคลี่คลาย ทางโรงงานบวกลบคูณหารแล้วสั่งให้พนักงานออกแล้วประกาศรับพนักงานใหม่ ซึ่งอายุงาน เงินเดือน สวัสดิการ ค่าใช่จ่ายต่างๆของบริษัทหรือโรงงานก็น้อยตามไปด้วยช่วยลดต้นทุนได้ไม่มากก็น้อย หลายๆโรงงานจึงนิยมใช้วิธีการนี้ ส่งผลให้ลูกหลานเกษตรกรที่ตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าจากต่างจังหวัดใกล้ๆมาทำงานแถบอยุธยา ปทุมธานีและจังหวัดอื่นใกล้เคียง ต่างตกงาน ไม่มีงานทำ เคว้งคว้าง ขาดขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต
ในวิกฤตย่อมมีโอกาส วิกฤตการณ์ครั้งนี้พนักงานโรงงานที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้. อีกทั้งถ้ายังมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดอีกด้วยถือว่ายังมีความโชคดีอยู่ไม่น้อย ควรกลับไปเริ่มต้น ตั้งหลักที่บ้านเกิด กลับไปทบทวนจุดอ่อนจุดแข็งในอาชีพที่พ่อแม่และบรรพบุรุษสืบสานมาอย่างยาวนาน ว่าควรจะช่วยปรับปรุงพัฒนาในด้านใดบ้างเพื่อให้อาชีพเกษตรกรรมดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่ ทำอย่างไรให้อาชีพบรรพบุรุษของเราต้นทุนลดผลผลิตเพิ่ม ควรมีการตรวจวัดกรดด่างของดินให้มีค่าที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตหรือไม่ ควรมีการลดละเลิกการใช้สารพิษหรือยาฆ่าแมลงให้ลดน้อยแล้วใช้วิธีการดูแลบำรุงรักษาในรูปแบบปลอดสารพิษจะดีกว่าหรือเปล่า ก็ต้องฝากความคิด ความหวังกับหนุ่มสาวชาวนา ชาวไร่ยุคใหม่ให้ช่วยพัฒนาอาชีพที่เป็นเสาหลักของประเทศไทยให้ยั่งยืนตลอดไป ดีกว่าปล่อยไปให้เป็นสาวโรงงาน เดี๋ยวจ้าง เดี๋ยวเลิกไม่แน่นอน
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 13 มีนาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 13 มีนาคม 2555 17:37:45 น. |
| |
Counter : 400 Pageviews. |
| |
|
|
|
วิกฤตการณ์ด้านอาหาร จัดการชีวิตให้พอเพียง
ในปี2558ประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนจะรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างสมบูรณ์ โดยตกลงเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน (single market and production base) นั่นย่อมหมายถึงจะมีการเคลื่อนยายปจจัยการผลิต สินค้า บริการ การลงทุนและแรงงานอย่างเสรี สามารถดําเนินกระบวนการผลิตที่ไหนก็ได โดยสามารถ ใชทรัพยากรจากแตละประเทศ ทั้งวัตถุดิบและแรงงานมารวมในการผลิต มีมาตรฐานสินคา กฎเกณฑ กฎระเบียบเดียวกัน แสดงให้เห็นการดำเนินชีวิตในอนาคตได้อย่างชัดเจนว่าจะมีทั้งการแบ่งปันและแย่งชิงทรัพยากรในภูมิภาคและทั่วโลกกันอย่างกว้างขวาง ใครตัวใหญ่แลัแข็งแรงกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ
พี่น้องเกษตรกรจะต้องปรับตัวเตรียมตัวรับมือกับกระแสธารอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมที่หนักหน่วงรุนแรง ในภาคส่วนที่ปรับตัวได้ไว รวดเร็ว แข็งแรงก็จะอยู่รอดปลอดภัย ส่วนที่ยังอ่อนไหวอ่อนแอก็จะแย่หนักกว่าเดิมเพราะโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก ในกลุ่มของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีการแบ่งโซนแบ่งประเภทกันผลิตและจำหน่ายโดย พม่าสาขาผลิตภัณฑเกษตร (Agro-based products) และสาขาประมง (Fisheries) มาเลเซีย สาขาผลิตภัณฑ์ยาง (Rubber-based products) และสาขาสิ่งทอ (Textiles and Apparels) อินโดนีเซีย สาขายานยนต (Automotives) และสาขาผลิตภัณฑไม (Wood-based products) ฟิลิปปินส สาขาอิเล็กทรอนิกส (Electronics) สิงคโปร สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) และสาขาสุขภาพ (Healthcare) ไทย สาขาการทองเที่ยว (Tourism) และสาขาการบิน (Air Travel)
ประชาชนทั่วทุกแดนดินต่างดิ้นรนแข่งขันปรับตัว ไม่เพียงแต่ประเทศไทยของเราเท่านั้น ประชาชนทุกประเทศก็จะต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อรักษาโอกาสให้ตนเอง ประเทศและประชาคมอาเซียนเพื่อแข่งขันกับทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกา ส่วนหนึ่งก็จะวัดกึ๋นกันที่ผู้นำว่าใครจะมีวิสัยทัศน์ในการรับมือได้กว้างไกลและรัดกุมนำพาประเทศชาติแหวกฝ่าวงล้อมเสือ สิงห์ กระทิง แรดให้อยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ในอนาคตข้างหน้า แต่พี่น้องประชาชนไทยยังถือว่าโชคดีในระดับหนึ่งที่นอกจะมีผู้ที่บริหารประเทศที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาบริหารประเทศแล้ว พวกเรายังมีพ่อหลวงที่ให้แนวทางการดำรงชีพแบบเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วเพียงใดเราก็ยังมีกินมีใช้ หากพลาดพลั้งไปกับโลกของทุนนิยมอย่างไรขอให้เรายึดมั่นในพระราชดำรัสคำสั่งสอนของพ่อหลวงคือเศรษฐกิจพอเพียงเราก็จะไม่อดตายไปตลอดชีวิต คือควรดำเนินชีวิตแบบไม่ประมาทและให้กลมกลืนกับกระแสโลกาภิวัฒน์โดยปลูกข้าว ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์เลี้ยงปลาไว้บริโภคกันภายในครัวเรือนสมบูรณ์พูนสุขโดยไม่ต้องไปซื้อหามาจากที่อื่น ทำให้มากเพียงพิและเหลือจะแบ่งปันหรือขายค่อยว่ากัน ทำอย่างนี้จนมั่นใจได้ว่าตลอดอายุขัยของเราจะไม่อดอาหารแน่นอนแล้วค่อยคิดเรื่องทุนนิยม เรื่องการลงทุน เรื่องการผลิต เรื่องการตลาดต่อไปเพื่อดำรงชีพให้อยู่รอดในวัฏสงสาร เมื่อดำเนินการผิดพลาดพลั้งในโลกทุนนิยม เรายังกลับบ้านมากินมาใช้ทรัพยากรของจริงที่เราได้เตรียมไว้เป็นอย่างดีแล้วดังคำหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรที่ท่าได้รับกล่าวไว้ดังนี้ "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิเป็นของจริง"
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 13 มีนาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 13 มีนาคม 2555 17:37:01 น. |
| |
Counter : 347 Pageviews. |
| |
|
|
|
ภาคการเกษตรมีความสำคัญกับทุกภาคธุรกิจ
มาทำเกษตรกันเถอะ!
อาชีพ ภาคเกษตรกรรมในสังคมไทยลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มีค่านิยมหรือมีความต้องการทำงานในเมืองกันมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด ก็เพียงเพื่อหารายได้ยังชีพเลี้ยงปากท้องตนเองและสมาชิกในครอบครัวให้อยู่ รอดปลอดภัยในสังคมปัจจุบันที่มีการแก่งแย่งแข่งขันสูง โดย มุ่งหวังกอบโกยเก็บออมเงินให้มากๆเข้าไว้ไม่ว่างานจะหนักเหนื่อยยากเพียงใด ก็ต้องอดทนฝ่าฟันกันไป ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น ทางเลือกในการประกอบอาชีพจึงมีมากขึ้น ทำให้บางครั้งอาจจะลืมคิดไปว่าผืนดินแปลงนาในต่างจังหวัดที่ได้รับตกทอดจาก หยาดเหงื่อแรงงานบรรพบุรุษส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมจนส่งลูกหลานให้ได้ เล่าเรียนเป็นเจ้าคนนายคนมาแล้วนักต่อนัก ถ้าได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณแบ่งปันเวลาสืบสานเจตนารมโดยการนำผืนดินเหล่านั้น มาพลิกฟื้นสร้างผืนนาประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ขึ้นใหม่ อาจทำให้มีรายได้มากกว่าที่ได้รับในปัจจุบันก็เป็นได้ถ้าลองคำนวณบวก ลบ คูณ หารรายได้และค่าใช้จ่ายให้ดีๆ เพราะค่าใช้จ่ายในเมืองนั้นทั้งค่ารถ ค่ารา ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินค่อนข้างสูง ยิ่งมองระยะยาวยิ่งมีแต่ด้านที่เป็นคุณมากกว่าโทษทั้งสิ้น เพราะสิ่งเหล่านี้คืออาชีพที่บรรพบุรุษของเราถนัดจัดเจนและทำต่อเนื่องกันมา อย่างยาวนานที่สุด
ข้อมูล : องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ
ผลิตผลพืชไร่จากภาค เกษตรนั้น ที่จริงแล้วล้วนมีความต้องการจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากเพราะเป็นองค์ประกอบ ในสาขาอาชีพอื่นๆเกือบแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว หรือภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องใช้พืชผักผลไม้นำมาบริการผู้คนทั่วทุกแห่งหนไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ภัตตาคาร ร้านค้า แผงค้าทั่วทุกตรอกซอกซอย สถานที่ท่องเที่ยว น้ำตก ทะเล ป่าเขาลำเนาไพร ล้วนมีอาหารการกินเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งนั้น อุตสาหกรรมเครื่องดื่มก็ต้องใช้ผักผลไม้จากภาคเกษตรเป็นปัจจัยการผลิต ร้านอาหารสุกี้ดังๆ อย่าง MK ก็ ใช้ ทั้งมะนาว กระเทียม พริก เห็ด ข้าวโพด โหรพา กระเทียม และผักต่างๆ อีกทั้งเมนูที่มีหมูเห็ดเป็ดไก่ก็ล้วนมาจากภาคเกษตรทั้งสิ้น ยิ่งสามารถผลิตให้ปลอดสารพิษได้ยิ่งตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคใน ปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น แต่บุคลากรที่มีความรู้ความ สามารถในภาคการเกษตรนั้นค่อนข้างขาดแคลนทำให้การพัฒนาในสายอาชีพนี้จากรุ่น สู่รุ่นขาดความต่อเนื่องและขาดการพัฒนาทั้ง ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และทัศนคติในการสานต่องานด้านเกษตรกรรม จึงส่งผลให้คุณภาพของผลผลิตในภาคเกษตรยังไม่สามารถทำได้ตามความต้องการของ ผู้บริโภคที่มีอยู่มากก็เป็นได้ โดยเฉพาะกลุ่มของเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์ ซึ่งต้องมีพื้นฐานทางด้านความรู้ ความเข้าใจ และ ทัศนคติที่กว้างทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและโลกในการที่จะต้องประกอบอาชีพไปพร้อมๆ กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือว่าสำคัญ จึงใคร่ขอเรียนเชิญเกลุ่มเกษตรกรหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความคิดและสนใจ ภาคเกษตรหันมาลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจังเสียที เพราะโลกนี้ต้องการอาหารเพิ่มขึ้นทุกขณะ ถ้าเรายังนิ่งดูดาย
วันหนึ่งมันอาจขาดแคลนจริงๆ
เขียนและรายงานโดย คุณมนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com
Create Date : 13 มีนาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 13 มีนาคม 2555 17:36:35 น. |
| |
Counter : 443 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
mont20 |
|
 |
|
|