นิดหนึ่งนี้อุทิศแด่ชาวนา ผู้ต่ำต้อยน้อยหน้าเหลือแสน ลำบากยากจนข้นแค้น ไป่แม้นชาวฟ้ามหานคร

กุหลาบใบใส ดอกสวยด้วยการให้สารอาหารครบถ้วน

ไม้ดอกที่จัดว่าสวยในระดับขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งไม้ดอกทั้งปวง อีกทัั้งยังเป็นที่โปรดปรานนักหนาของบรรดาอิสตรีโดยทั่วไป ไม่เว้นแม้เด็กหรือผู้ใหญ่ต่างใส่ใจให้ความสำคัญ กลีบดอกสีแดงสดริ้วระเรื่อย้วยเยิ้มพริ้มพรายดึงดูดให้ผู้คนขวนขวายซื้อหาไปสะสมเก็บตุนไว้เชยชม...สิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่นี้คืดกุหลาบนั่นเองครับ พืชที่อ่อนแอบอบบางแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนให้หลงไหลน่าติดตาม ยามใดที่อดใจไม่ไหวเผลอไผลซื้อหา เพียงเพื่อปรารถนาชื่นชมความสวยงามเพียงชั่วครู่ชั่วยามพอนานไปทั้งดอกใบไม่งามดังวันวานที่ซื้อมาน่าแปลกใจไหมครับ

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความทะนุถนอมประคบประหงมเอาใจใส่ดูแลของพ่อค้ากล้าไม้ที่ใส่ใจเพาะเลี้ยงกุหลาบจนสวยงามได้ที่พอดีกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมา ความรู้และประสบการณ์ของผู้เพาะเลี้ยงบำรุงด้วยสารอาหารมาอย่างดี ยาวนานด้วยความเป็นมืออาชีพจึงทำให้กุหลาบดูสวยงามน่าชมเชยน่าซื้อหาอยู่ตลอดเวลา แต่กุหลาบไช่ว่าจะสวยงามอยู่กับเราได้ตลอดไปเพราะเป็นพืชที่ต้องการการดูแลบำรุงรักษาเอาใจใส่ค่อนข้างมาก ยิ่งผู้ซื้อที่ขาดการเอาใจใส่ดูแลไม่ต้องพูดถึงกุหลาบที่สวยงามจะอยู่กับท่านไม่นานเผลอแป๊ปเดียวดอกหายกลายเป็นใบที่ห่อเหี่ยวร่วงโรย

ที่เป็นเช่นนี้เพราะสารอาหารที่ถูกฉีดอัดยัดเยียดอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้กุหลาบดูสวยงามต่อเนื่องยาวนานได้ถูกใช้ให้ลดหมดไปตามกาลเวลา บ้างก็ผ่านกรรมวิธีกระตุ้นบังคับด้วยสารต่างๆมากมายหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสารพาโครบิวทราโซน, โพแทสเซียมคลอเรท และไทโอคาร์บาเมท ที่ช่วยกันเร่งเร้าให้กุหลาบเกิดดอกออกผลได้ดังใจทันต่อความต้องการของตลาด เมื่อฤทธิ์เดชของของสารเหล่านี้หมดลงก็เปรียบเหมือนช้างที่ถูกใช้แรงงานอย่างหนักโดยแอบให้มันกินยาบ้าโดยไม่รู้ตัว เมื่อหมดฤทธิ์มันจะผอมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าไม่นานก็คงจะตาย

ต้นกุหลาบก็เหมือนกันหลังจากที่ซื้อมาแล้วระยะหนึ่งเราจะต้องเติมอาหารหมั่นดูแลดิน ควรให้กินอาหารครบห้าหมู่ของพืช ฟังดูอาจจะงงเล็กน้อยว่าเอ..พืชเขากินอาหารเหมือนคนด้วยหรือ..ไม่ใช่นะครับ เพียงพูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ห้าหมู่ของพืชคือต้องให้อาหารครบทั้งธาตุหลัก (ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม), ธาตุรอง (แคลเซียม, แมกนีเซียม,กำมะถัน), ธาตุเสริม(เหล็ก, ทองแดง, แมงกานีส, สังกะสี, โบรอน, นิกเกิลและโมลิบดินั่ม)และจะให้สีสันสดใสและแข็งแรงยิ่งขึ้นควรเติมพวกธาตุพิเศษ(ไคโตซาน, ซิลิก้าหรือหินแร่ภูเขาไฟ) ธาตุอาหารเหล่านี้จัดอยู่ในระดับพิเศษ(พิเศษไม่ได้หมายถึงวิเศษมหรรศจรรย์นะครับ แต่เป็นธาตุอาหารที่ได้รับการยอมรับในเชิงวิทยาศาสตร์และเราอาจจะได้ยินได้ฟังกันมาไม่นานเพียงสิบกว่าปีมานี้เอง) โดยพืชจะมีหรือไม่มีก็ได้ไม่มีผลต่อการเจริญเติบแต่ถ้ามีจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงสร้างภูมิต้านทานและกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ดีเพิ่มขึ้น ถ้าราคาไม่สูงเกินไปเพียงปิ๊ปละบาทสองบาทก็ควรเสริมเข้าไป

ไม่ควรใส่ปุ๋ยให้กุหลาบแต่ธาตุอาหารหลักเพียงอย่างเดียว เช่นปุ๋ยสูตร 46-0-0, 15-15-15, 16-16-16, 25-7-7 ฯลฯ เพราะอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตและทำให้กุหลาบอ่อนแอและไม่พร้อมต่อการออกดอก ทำให้กุหลาบของเรามีดอกเพียงช่วงแรกที่เราซื้อมาหลังจากนั้นก็เหลือแต่ต้นกับใบให้ชื่นชมอย่างยาวนาน บางคนเข้าใจผิดคิดว่าการปลูกคือการเติมปุ๋ยที่ซื้อจากท้องตลาดมาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ ความจริงไม่ใช่นะครับยังมีองค์ประกอบและรายละเอียดต่างๆอีกมากมายที่ต้องหมั่นศึกษาเอาใจใส่โดยเฉพาะกับผู้ที่รักต้นไม้จริงๆ แต่ถ้าซื้อมาแบบปลูกๆเปลี่ยนๆก็ไม่ต้อง ผู้ปลูกกุหลาบควรหมั่นปรับปรุงพรวนดินให้ร่วยซุยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รากได้รับอ๊อกซิเจนอย่างเพียงพอ ระบายถ่ายเทน้ำได้ดี เพราะดินกระถางเมื่อเรารดน้ำไปเรื่อยๆน้ำจะพัดพาเอาอินทรีย์วัตถุออกไปทุกครั้ง ทำให้โครงสร้างดินเสื่อมสภาพแน่นแข็ง ค่าพีเอช ค่าอีซี ของดินลดลงดินจะเริ่มเป็นกรด ทำให้ดินบล็อคปุ๋ยพืชดูดกินได้ยากลำบากสิ้นเปลืองต้นทุนและแรงงาน

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555   
Last Update : 13 มีนาคม 2555 16:50:02 น.   
Counter : 580 Pageviews.  

วิธีแก้ปัญหาเชื้อราในกล้วยไม้

กล้วยไม้ จัดเป็นพืชที่ดูแลรักษาค่อนข้างยากเพราะบอบบาง อ่อนแอ ไม่ทนทานต่อโรคและแมลงสักเท่าไร ดังนั้นผู้ที่จะปลูกจะต้องเป็นผู้ที่มีใจรักในพืชชนิดนี้อยู่พอสมควรเลยนะครับ เพราะจะต้องมีความทรหดอดทนในการเอาใจใส่ในการดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้กล้วยไม้ที่มีความสวยสดงดงาม และทำให้สภาพต้นมีความอุดมสมบูรณ์และเกลี้ยงเกลาสะอาดตาเป็นที่เจริญหูเจริญตาของคนที่ผ่านมาผ่านไป และที่สำคัญจะต้องทำให้มีดอกออกมาให้ได้ชื่นชมด้วย ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ถูกหนอน โรคและแมลงเข้าทำลายจนเสียหายยับเยินไม่ผลิดอกออกผลดูแล้วไม่งามตา จะอวดเพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้านบ้างก็ไม่ได้ เพราะไม่น่าจะมีความภูมิใจสักเท่าไรถ้ากล้วยไม้ที่เลี้ยงไว้แครแกร็นใบแหว่งเว้าดูแล้วไม่สวยงามและสมบูรณ์

ปัญหาที่นักเพาะกล้วยไม้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพที่พบกันส่วนมากและเป็นเรื่องที่เราจะนำมาพูดคุยกันในที่นี้ก็คือเรื่องของเชื้อราต่าง ๆที่เข้ามารบกวนกล้วยไม้ เ ช่น โรคใบจุด ใบไหม้ ใบด่าง และอื่นๆ อีกมากมาย ต้นเหตุของปัญหานี้มีสาเหตุมาจากเชื้อราเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะอาการของโรคและบาดแผลที่พบก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ของเชื้อราที่เข้าทำลาย แต่ถ้ามองในสภาพโดยรวมก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร

วิธีการดูแลรักษามิให้เชื้อราเข้าทำลายกล้วยไม้ของเราได้อย่างง่ายดายก็โดยการใช้ภูไมท์ซัลเฟต 3 ขีด ผสมน้ำ 20 ลิตรทำการราดรดไปที่รากและต้นของกล้วยไม้อยู่เสมอจะทำให้กล้วยไม้ได้รับซิลิก้าจากภูไมท์ซัลเฟต และสมสมไว้ที่ผนังเซลล์เพิ่มขึ้นอยู่เสมอจนมีความแข็งแกร่งเพียงพอต่อการเข้าทำลายของเชื้อรา และควรใช้ ไคโตซานMt 5 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออาจจะผสมพร้อมไปกับปุ๋ยที่ฉีดพ่นกล้วยไม้อยู่แล้วก็ได้ จะทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อราได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในกรณีที่มีเชื้อราได้เขาทำลายเซลล์และเนื้อเยื้อของกล้วยไม้แล้วเราก็จะสามารถที่จะใช้ ฟังก์กัสเคลียร์ 2 กรัม ร่วมกับ แซนโธไนท์ 2 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 3 – 7 วันครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระบาด ถ้ามีความเสียหายมากก็ให้ทำการฉีดพ่น 3 วันครั้ง แต่ถ้าต้องการฉีดพ่นเพื่อล้างใบหรือทำลายสปอร์ปรกติก็ให้ฉีดพ่น 7 วันครั้ง ในกรณีที่ใช้แล้วยังมีเชื้อราที่ทำลายหลงเหลืออยู่สามารถนำ จุลินทรีย์ บีเอสพลายแก้ว 5 กรัมหมักกับน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ผล หรือ นมยูเฮชที รสหวาน 1 กล่อง หมักทิ้งไว้ 24 และไม่เกิน 48 ชั่วโมง แล้วนำมาผสมกับน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่น ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อการป้องกันและกำจัดเชื้อราในกล้วยไม้ได้อย่างดียิ่ง


มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ (www.thaigreenagro.com)




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555   
Last Update : 13 มีนาคม 2555 16:49:37 น.   
Counter : 456 Pageviews.  

ปลูก “หน้าวัว” ปลอดสารพิษที่อำเภอปากช่อง

อำเภอปากช่อง จัดเป็นอีกพื้นที่หนึ่งของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงในเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่สดชื่น เย็นสบาย เป็นที่ต้องการของผู้ที่อยู่ในวัยหลังเกษียนมาจับจองซื้อไว้เป็นสถานที่ผักผ่อนหย่อนใจกันเป็นจำนวนมาก หรือไม่ก็อีกพวกหนึ่งที่ต้องการมาเพื่อหลบหลีกจากปัญหามลภาวะในเมืองหลวงซึ่งมีแต่หมอกควันจากไอเสียรถยนต์ กลิ่นของน้ำที่เน่าเสีย และมลพิษต่างๆ อีกมากมาย ที่มักจะไม่ใช่ปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับความสดชื่น แจ่มใส แข็งแรงและปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ ได้เลย มีแต่จะซ้ำเติมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น




เนื่องจากมีสภาพภูมิอากาศที่ค่อนดีข้างเย็นสบาย จึงมีเกษตรกรที่ตั้งใจทำสวนองุ่น ปลูกข้าวโพด ข้าวบาเล่ย์ ไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ กันอยู่เป็นจำนวนมาก และโดยเฉพาะไม้ดอกไม้ประดับที่มีชื่อว่า หน้าวัว ( Anthurium) ซึ่งจัดเป็นพันธุ์ไม้ตัดดอกที่อยู่ในตระกูล Araceae แม้ว่าในปัจจุบันมักจะไม่ค่อยโด่งดังเหมือนดังแต่ก่อน แต่ก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่ตลอดกาลสำหรับผู้ที่นิยมชมชอบ และยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอมา เพราะสามารถที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศได้


คุณธนา โปรเทียรณ์ อยู่ที่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 7 ตำบล พญาเย็น อำเภอ ปากช่อง จังหวัด นครราชสีมา โทร. 08-365-7792 ซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่นิยมชมชอบ “หน้าวัว” เป็นชีวิตจิตใจ และได้พัฒนาปรับปรุงวิธีการดูแลรักษาจนมาเป็นระบบปลอดสารพิษ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง โดยจะใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟ เช่น ภูไมท์, ภูไมท์ซัลเฟต เป็นวัตถุดิบผสมร่วมกับวัสดุปลูก และใช้ ไคโตซาน Mt ช่วยในเรื่องการบำรุงเร่งการเจริญเติบโต สร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเชื้อรา ส่วนปัญหาในเรื่องของเชื้อราทางใบและดอก คุณธนา จะนิยมชมชอบใช้ ไตรโคเดอร์ม่า ในการช่วยป้องกันรักษาเชื้อราทางใบเป็นพิเศษ โดยวิธีการฉีดพ่น เพราะปรกติแล้วนักวิชาการจากชมรมเกษตรปลอดสารพิษ จะแนะนำให้ใช้ ฟังก์กัสเคลียร์ 2 กรัม และ แซนโธไนท์ 2 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสลับกับ เชื้อบีเอสพลายแก้วที่หมักขยายแล้ว ทุกๆ 7 วัน แต่คุณธนาแจ้งว่า ใช้ไตรโคเดอร์ม่า ก็แก้ปัญหาโรคเชื้อราทางใบได้ยอดเยี่ยมดีแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีการเกษตรปลอดสารพิษอีกขั้นหนึ่งของผู้ที่นิยมชมชอบการปลูกไม้ดอกไม้ประดับแบบปลอดสารพิษ และทำได้จริง ๆ


มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555   
Last Update : 13 มีนาคม 2555 16:49:13 น.   
Counter : 422 Pageviews.  

ดูแลไม้กระถางอย่างไร ไม่ต้องเปลี่ยนดินบ่อย

ที่ปลูกไม้ในกระถางส่วนใหญ่ เมื่อปลูกไปได้สักระยะหนึ่งมักจะมีปัญหาหน้าดินกระด้าง แห้งแข็ง ดินชั้นล่างก็เหนียวแน่นไม่โปร่ง ร่วนซุย การระบายถ่ายเทน้ำไม่ดี ดินแฉะก่อให้เกิดปัญหารากเน่าโคนเน่า ต้นไม้เครียด การเจริญเติบโตไม่ดี อ่อนแอต่อโรคและแมลง ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินทองนำมาบำรุงรักษาเพิ่มเติมมากขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ผลิตดินถุงจำหน่ายส่วนมากผลิตดินได้ต่ำกว่ามาตรฐานไม่เหมือนในสมัยก่อนที่มีการใช้อินทรียวัตถุมาเป็นส่วนผสมค่อนข้างมาก จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้กันมากเท่าไรนัก แต่ในปัจจุบันเจ้าของดินทั้งหลายอาจจะขาดแคลนอินทรีย์วัตถุหรืออินทรียวัตถุอาจจะหายากและมีราคาแพง จึงทำให้คุณภาพดินถุงในปัจจุบันไม่ดีเท่าที่ควร เพราะรู้สึกว่าจะมีแต่ดินเหนียวผสมกับขี้เถ้าแกลบเป็นส่วนมาก ทำให้ผู้ที่นิยมซื้อดินถุงทั้งหลายมาปลูกไปได้สักระยะหนึ่งก็จะมีปัญหาดินเหนียวแน่นแข็ง การระบายถ่ายเทน้ำไม่ดี ต้นไม้ทำท่าว่าจะตาย ก็ต้องรีบทำการซื้อดินถุงมาเปลี่ยนกันอยู่บ่อยๆ



ควรมีการเตรียมและปรับปรุงดินที่ซื้อมาใหม่ๆ ให้ดีเสียก่อน ควรนำมาคลุกผสมกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก เพื่อเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดินอย่างพอเพียง เพราะดินที่เราซื้อมานั้นอาจจะมีอินทรีย์วัตถุอยู่น้อยเกินไป และเหมือนกับเป็นการเติมอาหารให้แก่จุลินทรีย์เพื่อดึงดูดให้จุลินทรีย์เข้ามาสร้างกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นจะช่วยทำให้ดินมีชีวิตชีวาปลูกอะไรก็จะเจริญเติบโตงอกงามดี ควรใช้ภูไมท์ซัลเฟตถุงสีเหลืองคลุกผสมกับดินก่อนที่จะนำไปใส่กระถางในอัตรา 1 ส่วน 4 ของดินที่จะปลูกในกระถาง จะช่วยทำให้ดินในกระถางมีโครงสร้างดินที่ดีไม่ย่อยสลายยุบตัวลงแน่นแข็งรวดเร็วเกินไป ทำให้การระบายถ่ายเทน้ำพอเหมาะพอดีไม่มากเกินไปและน้อยจนเกินไป ช่วยทำให้ต้นไม้ไม่เครียด มีรากเยอะ การเจริญเติบโตสมบูรณ์แข็งแรง


หลังจากที่ได้นำต้นไม้ปลูกลงไปในกระถางเรียบร้อยแล้วสักระยะหนึ่ง ถ้าเจอปัญหาดินแน่นแข็งเพราะโครงสร้างดินเสีย หรือดินถุงที่ซื้อมาคุณภาพไม่ดี จับตัวกันเป็นก้อนเหนียวซึ่งโดยปรกติในปัจจุบันมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ควรทำการแก้ไขโดยวิธีการดังนี้ ทุกครั้งที่มีการรดน้ำควรจะนำสารละลายดินดาน 30 ซี.ซี. บวกกับ โพแทสเซียมฮิวเมท 5 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมร่วมลงไปทุกครั้ง จะช่วยทำให้ดินในกระถางของเราไม่แน่นแข็ง และเหนียวแน่น การระบายถ่ายเทน้ำดี จะช่วยทำให้เกิดโครงสร้างที่เกิดเป็นเม็ดดินที่อุ้มน้ำอุ้มปุ๋ยได้ดี ปรับความเสถียรของพีเอชดินไม่ให้เปลี่ยนเป็นกรดหรือด่างเร็วเกินไป ปรับเปลี่ยนสารอาหารที่อยู่ในดินให้อยู่ในรูปคีเลททีพืชสามารถดูดกินหรือนำไปใช้ไปได้ง่ายขึ้น แล้วยังช่วยลดการสูญเสียปุ๋ยที่ใส่ลงไป เพราะโพแทสเซียมฮิวเมท มีค่าความสามารถในการจับตรึงและแลกเปลี่ยนประจุบวกมากกว่าดินเหนียวถึง 20 เท่า ดังนั้นทุกครั้ง หรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ถ้าใส่ทั้งสองตัวนี้ผสมลงไปกับน้ำด้วยจะทำดินของเราไม่เหนียวแน่นแข็ง ทำให้ต้นไม้ของเราเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง และไม่เสียเวลาเปลี่ยนดินในกระถางบ่อยๆ ทำให้เราประหยัดทั้งเงินและยังมีความสุขกับไม้กระถางที่เลี้ยงไว้อย่างสวยงามตลอดไป


มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555   
Last Update : 13 มีนาคม 2555 16:48:46 น.   
Counter : 359 Pageviews.  

จะทำอย่างไร?......ให้ไม้ดอกไม้ประดับผลิดอกออกผลให้เราได้ชื่นชม

ผู้ที่ชอบซื้อไม้ดอกไม้ใบมาประดับตกแต่งภูมิทัศน์รอบๆบ้าน ก็หวังจะชื่นชมความสวยสดงดงามจากธรรมชาติที่มอบให้ นอกจากจะมีความสุขสนุกสนานกับการรดน้ำ พรวนดินให้แก่ต้นไม้แล้ว ก็ยังลุ้นว่าเมื่อไรหนอดอกไม้สีสวยจะผลิแย้มออกมาให้ชื่นชมสมดังใจเสียที รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ...ก็ยังไม่มี เพราะอ่านตำราแบบใหม่ ต้องปลอดภัยต่อชีวี ห้ามใส่ปุ๋ยคเมี จึงใส่แต่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ดอกจึงไม่มีแถมใบยังออกมาเสียมากมาย

ทำไม?...จึงเป็นเช่นนั้น หรือว่าการที่เราใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกแต่เพียงอย่างเดียวนั้นอาจจะทำให้พืชหรือต้นไม้ของเราได้รับธาตุอาหารตัวหน้าสูงเกินไป นั่นก็คือ “ไนโตรเจน” ซึ่งจะทำให้พืชเจริญเติบโตทางใบเป็นอย่างมากและอ่อนแอต่อโรคและแมลงได้ง่ายถ้าเราใส่เจ้า “ไนโตรเจน” ตัวนี้เข้าไปในดินมากเกินไป จึงทำให้พืชที่เราปลูกอยู่นั้นอาจจะไม่ยอกผลิดอกออกผลให้แก่เจ้าของก็เป็นได้
แนวทางที่จะช่วยทำให้พืชพัฒนาและเจริญเติบโตเป็นดอกได้ดีก็คือ การควบคุม คาร์บอนและไนโตรเจน (C : N Ratio) ให้อยู่ในความเหมาะสม ถ้าเราต้องการที่จะให้พืชออกดอกให้เราได้ชื่นชม ควรทำการใส่ธาตุอาหารคาร์บอนให้เขากินเข้าไปเยอะ ๆ เมื่อพืชหรือต้นไม้ของเราได้สะสม คาร์บอน เก็บไว้เยอะจนมีปริมาณที่สูงกว่าไนโตรเจน ก็จะทำให้พืชพัฒนาเป็นตาดอกได้ง่ายขึ้น
จะให้ "คาบอร์นฯ" เมื่อไรดี?... ระหว่างที่จิตใจของเรากระวนกระวายรอคอยให้แมกไม้นานาพันธุ์ของเราออกมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้วและ/หรือว่าอาจจะอยู่ในฤดูที่ต้นไม้ของเราจะต้องออกดอกแล้ว....แต่!..เขากลับไม่ยอมออก......ตรงนี้ล่ะครับคือช่วงเวลาที่ควรจะรีบเติมคาร์บอนเข้าไปให้แก่ต้นไม้ของเรา เอ!...แล้วจะเอามาจากที่ไหน? อันนี้ไม่ต้องกังวลครับ ทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษ เขามีสูตรฮอร์โมนไข่ ที่ใช้ในการเปิดตาดอกโดยตรง ซึ่งเป็นตัวที่ให้แร่ธาตุปริมาณคาร์บอนเป็นจำนวนมาก โดยปรกติแล้วจะทำไว้ให้กลุ่มเกษตรชาวสวนชาวไร่ไม้ผล นำไปใช้ในช่วงเปิดตาดอก ซึ่งก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เพราะช่วยกระตุ้นทำให้เกิดการออกดอกโดยที่ไม่ต้องไปทรมานต้นไม้ อย่างที่ชาวสวนในอดีตเขาทำกันเช่น ควั่นกิ่ง, รมควัน, ทิ้งน้ำ (ปล่อยให้อดน้ำโดยไม่ต้องรดเป็นเวลาหลายวัน), ใช้สารพาร์โคบิวทราโซน และ โพแทสเซียมคลอไรด์ ต่างๆ แล้วแต่จะสรรมาทำกัน ซึ่งวิธีแบบนี้จะทำให้ต้นไม้ของเราอยู่กับเราไม่ได้นาน เพราะสภาพต้นจะอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ จนตายในที่สุด
วิธีการทำ ฮอร์โมนไข่.... ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่นำไข่ไก่ ชั่งน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัม แล้วนำมา บด ทุบ ตี ให้ละเอียด นำไปใส่ภาชนะขวดโหลหรือถังพลาสติก แล้วนำกากน้ำตาลอีก 5 กิโลกรัม ใส่เพิ่มลงไป ลูกแป้งข้าวหมาก (ต้องเป็นลูกแป้งข้าวหมากเท่านั้นนะครับ....ลูกแป้งเหล้าไม่แนะนำ) 1 ลูก ก่อนใส่ให้นำไปใส่ไว้ในถุงก๊อปแก๊ปแล้วบี้ ขยำให้ละเอียดเป็นผุยผง แล้วค่อยโปรยลงไปในภาชนะ สุดท้าย....ท้ายยังไม่ท้ายสุดให้นำยาคูลท์ใส่เพิ่มลงไปอีกหนึ่งขวด แล้วกวนให้เข้ากันเป็นอันเสร็จพิธี หมักทิ้งไว้ ให้ครบ7 วันโดยไม่ต้องคน อ๊ะ!..เกือบลืมถ้าเป็นภาชนะปากกว้างอย่าลืมนำถุงพลาสติกมาปิดคลุม แล้วใช้เชือกผูกมัดปิดปากให้แน่น แล้วใช้ไม้แหลมจุ้มให้มีอากาศเข้าได้บ้างเล็กน้อย
วิธีการใช้ฮอร์โมนไข่ หลังจากที่เราหมักฮอร์โมนไข่จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ให้นำมาใช้ในการฉีดพ่นทางใบในอัตรา 5 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นให้ทั่ว ชุ่มโชก ทั้งใต้ใบ บนใบเหมือนอาบน้ำ ทุก ๆ 3 – 7 วัน ถ้าขนาดของลำต้นหรือทรงพุ่มมีขนาดใหญ่อาจจะราดรดทางดินช่วยอีกทางก็ได้โดยใช้ 20 – 30 ซี.ซี. (1 -2 ช้อนแกง) ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดรดให้ทั่ว ๆ รอบ ๆ บริเวณทรงพุ่มเพียงเดือนละครั้งสองครั้งก็พอ
เมื่อทำเสร็จสรรพครบทุกกระบวนการแล้วก็หวังว่า....เพื่อนสมาชิกและกัลยาณมิตรทั้งหลายคงจะมีต้นไม้ที่ที่เพียบพร้อมไปด้วย กิ่ง ก้าน ใบ และดอก โดยเสร็จสมอารมณ์หมายกันถ้วนหน้านะครับ ใช่ว่าจะมีแต่ดอกเพียงอย่างเดียว (ฮา.......)

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555   
Last Update : 13 มีนาคม 2555 16:48:21 น.   
Counter : 550 Pageviews.  

1  2  

mont20
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เกษตรปลอดสารพิษวันละนิด ชีวิตจะแจ่มใส
[Add mont20's blog to your web]