Group Blog
 
All blogs
 

ตามรอยหัวจักรรถไฟสายปากน้ำ ณ บริเวณเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาจังหวัดสมุทรปราการ

หัวจักรเครื่องนี้เป็นหัวจักรไอน้ำรุ่นเดียวกันกับหัวจักรรถไฟสายปากน้ำหัวที่ 3 ที่มีชื่อว่า "บางจาก" เป็นหัวจักรที่เคยใช้กับทางรถไฟสายแม่กลอง มีข้อมูลจากหนังสือ The Locomotive of Thailand แต่งโดย R. Ramaer ระบุว่าหัวจักรรถไฟสายแม่กลอง 2 คันแรก ผลิตจาก KRAUSS & Co of Munich ค.ศ. 1903 รูปแบบชุดล้อเป็นแบบ 2-4-OT Serial No.5011 และ Serial No.5012 ซึ่ง Serial No.5012 ตรงกับหัวรถจักรคันที่จอดอยู่นี้
หัวจักรคันนี้เดิมตั้งทิ้งไว้อยู่ด้านหลังท้องฟ้าจำลอง ค้นพบเมื่อปี 2548 ในเบื้องต้นคาดว่าเป็นหัวจักรรถไฟสายปากน้ำ เทศบาลนครสมุทรปราการ ได้ติดต่อขอซื้อไว้ โดยทราบในภายหลังว่าไม่ใช่หัวจักรรถไฟสายปากน้ำแต่เป็นรุ่นเดียวกัน อบจ.สมุทรปราการ จึงได้บูรณะให้มีความสวยงามเหมือนเดิมและนำมาจัดแสดงไว้เป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดประวัติศาสตร์และการตามหาหัวจักรรถไฟสายปากน้ำต่อไป
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่บริเวณเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาจังหวัดสมุทรปราการ ตามข่าวอนาคตจะย้ายไปจัดแสดงอย่างถาวร ณ อุทธยานการเรียนรู้และหอชมเมืองสมุทรปราการต่อไป

ภาพ













ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ



สามารถดูรูปบริเวณริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มเติม สามารถคลิกที่รูปด้านล่างได้ครับ





 

Create Date : 19 สิงหาคม 2555    
Last Update : 19 สิงหาคม 2555 11:04:19 น.
Counter : 1767 Pageviews.  

เขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาจังหวัดสมุทรปราการ (Dams along the Chao Phraya river)

เขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาจังหวัดสมุทรปราการเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (Dams along the Chao Phraya river)

สถานที่ตั้ง : คลิกที่นี่ (13.598451,100.596588)

picture









ภาพด้านล่าง เป็นเรือลำใหญ่กำลังแล่นเข้าฝั่ง






เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ชาวสมุทรปราการได้มาออกกำลังกาย



สิงหาคม 2555








 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 19 สิงหาคม 2555 10:59:05 น.
Counter : 1182 Pageviews.  

ตลาดริมน้ำโบราณบางพลี (BangPlee Floating Market)

ตลาดโบราณริมคลองสำโรง อำเภอบางพลี หรือที่รู้จักทั่วไปคือ ตลาดริมน้ำโบราณบางพลี เป็นตลาดขายของและร้านอาหารริมน้ำที่มีมานาน เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมและเลือกซื้อมีทั้งอาหารและของใช้ต่าง ๆ ถือเป็นตลาดประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งอดีตเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมากตั้งแต่สมัยที่คนไทยยังใช้ชีวิตอยู่ตามริมคลองและพายเรือจ้ำเรือแจวเป็นพาหนะ เดิมชื่อ "ศิริโสภณ" สันนิษฐานว่าชาวจีนเข้ามาเปิดร้านในตลาดแห่งนี้ราว พ.ศ. 2400
ปัจจุบันตลาดยังคงสภาพเดิมคือ พื้นตลาดเป็นพื้นไม้ สามารถเดินติดต่อกันได้ มีความยาวราว 500 เมตร เป็นตลาดโบราณริมคลองสำโรงเพียงแห่งเดียวที่รอดพ้นจากไฟไหม้และบ้านไม้ทั้งหลังยังคงสภาพเดิมเหมือนแรกสร้าง ชาวบางพลีใหญ่ยังดำเนินชีวิตแบบปกติดังเดิมมีร้านค้าริมคลอง วัดอยู่ใกล้บ้าน มีความเกื้อหนุนจุนเจือกันแบบสังคมไทยยุคก่อนๆ
เป็นชุมชนที่สอดรับกับแนวทางพระราชดำรัส "พอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และยังคงประเพณีวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะประเพณีสำคัญทีสืบทอดกันเป็นงานประจำปี คือ ประเพณีรับบัว โดยจะแห่หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่(ใน) ไปตามคลองสำโรงให้ประชาชนที่อยู่ริมคลองสองฝั่ง โยนดอกบัวลงบนเรือหลวงพ่อเป็นการบูชาสักการะ หากโยนลงเรือหลวงพ่อได้ก็ถือว่าเป็นสิริมงคล พิธีรับบัวนี้จะจัดขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี สำหรับปี 2553 นี้จะตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคมนี้

เปิดบริการ ตั้งแต่เวลา 08.00–17.00 น.

การเดินทาง จากแยกบางนาใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราดมุ่งหน้าไปทางจังหวัดชลบุรีถึงกิโลเมตรที่ 12 ให้กลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางถนนบางพลี-กิ่งแก้ว ประมาณ 3.5 กิโลเมตร จะพบสี่แยกเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขาภิบาล 6 ทางเข้าเทศบาลตำบลบางพลี 200 เมตร จะถึงวัดบางพลีใหญ่ใน

ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

รูปภาพ

เริ่มต้นจากแผนที่ภายในตลาดริมน้ำโบราณบางพลีก่อน



ทางเข้า



ภายในตลาด









สังเกตุดูที่พื้นจะเห็นว่าเป็นพื้นไม้ ซึ่งยังคงเป็นตลาดเก่าไว้เหมือนอดีต



มีเลี้ยงหมูด้วย



ตลาดนี้จะแบ่งเป็นสองช่วงคือ ช่วงที่หนึ่งคือจากวัดบางพลีใหญ่ใน จะเป็นตลาดที่มีร้านค้าสองข้างทาง ช่วงที่สองคือข้ามมาจากบิ๊กซี จะเป็นตลาดที่มีร้านค้าข้างเดียวทำให้เห็นคลองโล่งตา
โดยจะแบ่งสองช่วงนี้ด้วยบันไดภาพด้านล่าง



ภาพด้านล่างสองภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายอยู่บนสะพาน





นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมล่องเรือตามคลองสำโรง เพื่อดูบรรยากาศของตลาดอีกแบบหนึ่ง ราคาต่อคนก็ 20 บาทใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 30 นาที ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร จึงเรียกสั้นๆว่า 3โล20บาท
เริ่มจากวัดบางพลีใหญ่ใน ล่องไปทางทิศตะวันออกเพื่อดูบรรยากาศตลาดโบราณบางพลีใหญ่ใน

















จะสังเกตุเห็นข้างหน้ามีเรือขวางอยู่สองลำ แสดงว่าใกล้ถึง BigC แล้วเพราะเรือสองลำดังกล่าวมีไว้ให้คนเดินข้าม เที่ยวละ 1 บาท





ภาพด้านล่างเป็นธนาคารออมสินเดิม



มีสัตว์ตามธรรมชาติให้ได้ชมกัน



เห็นสะพานและวัดที่กำลังก่อสร้างข้างหน้าแสดงว่ากำลังถึงวัดบางพลีใหญ่กลาง ถ้าเป็นเรือท่องเที่ยวคนละ 40 บาทจะพาเข้าชมพระนอนที่สามารถเข้าไปในหัวใจพระได้เลย





ระหว่างทางมีบ้านสวยๆให้ได้ชมกัน ถ้านั่งเรือไปสังเกตุบ้านติดริมคลองจะเห็นประตูหน้าบ้านติดริมคลองเพราะแต่เดิมสมัยก่อนการเดินทางจะใช้เส้นทางเรือเป็นหลักยังไม่มีถนนเหมือนสมัยปัจจุบัน



ผ่านเทศบาลตำบลบางพลี



เมื่อเดินทางมาถึงประตูกั้นน้ำ ก็สิ้นสุดการเดินทางด้านฝั่งตะวันออกก็เลี้ยวเรือกลับ



มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกบ้าง ฝั่งตะวันออกนี้จะเป็นฝั่งเกษตรกรรม ปลูกผักบุ้ง, ผักกระเฉด, เลี้ยงกุ้งหอยปูปลา เป็นต้น







เมื่อสิ้นสุดฝั่งตะวันตก ก็เลี้ยวกลับมายังวัดบางพลีใหญ่ใน







สุดท้ายสำหรับทริปภาพล่องเรือ คือภาพมัคคุเทศผู้บรรยายระหว่างเดินทางในเรือ




 

Create Date : 26 กันยายน 2553    
Last Update : 26 กันยายน 2553 2:27:13 น.
Counter : 2186 Pageviews.  

พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ (The Erawan Museum)

บนถนนสุขุมวิทสายเก่ามุ่งหน้าไปทางจังหวัดสมุทรปราการ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ประติมากรรมขนาดใหญ่ที่อวดโฉมตั้งเด่นเป็นสง่าแก่สายตาผู้พบเห็น ภายในโครงสร้างจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บศิลปวัตถุอันล้ำค่า ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ชมความงามของผลงานชิ้นเอกเหล่านั้น องค์ช้างเอราวัณเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นจากทองแดงบริสุทธิ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลักษณะเป็นช้างสามเศียรอยู่ในท่าเคลื่อนไหวส่ายเศียร ประทับเหนือยอดโดมของอาคารที่รองรับอย่างสง่างาม เปรียบความสูงเท่ากับตึก 15 ชั้น ตามประวัติกล่าวว่า พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ สร้างขึ้นโดยคุณเล็ก วิริยะพันธ์ ผู้สร้างเมืองโบราณที่สมุทรปราการ ใช้เพื่อจัดแสดงศิลปวัตถุและของสะสมอันทรงคุณค่า โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน ตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ คือ ฐานอาคารเปรียบเสมือนโลกบาดาลใช้แสดงศิลปวัตถุ และเครื่องเบญจรงค์ ชั้นอาคารทรงโดมเปรียบเสมือนโลกมนุษย์ประดิษฐานเทวรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และแสดงเรื่องราวความเชื่อของ 4 ศาสนา และแผนผังแห่งจักรวาล ส่วนตัวช้างเอราวัณเปรียบเสมือนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดิษฐานพระพุทธรูป เรื่อราวแห่งพุทธประวัติ พระเจดีย์จุฬามณีจำลอง ภายในล้วนตกแก่งด้วยงานช่างสิบหมู่ของไทย ผสมผสานกับศิลปะและการประดับกระจกสีอย่างตะวันตกอย่างตระการตา
ตามเทวะตำนานฮินดูกล่าวว่า ช้างเอราวัณนันเป็นเทพพาหนะของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเป็นเทวดาที่มีนามว่าเอราวัณเทพบุตร เมื่อพระอินทร์จะทรงเสด็จยังที่แห่งใดก็จะนึกถึงเทพบุตรองค์นี้ซึ่งจะปรากฏการขึ้นแล้วแปลงร่างเป็นช้างเผือกสูงถึง 150 โยชน์ ในความเชื่อทางฮินดูนั้นว่า มี 3 เศียร แต่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่ามีถึง 33 เศียร ทีเดียว ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ตามเทพปกรณัมทำให้มีผู้มากราบไหว้ขอพระเทวะประติมากรรมช้างเอราวัณแห่งนี้ เมื่อหลายคนมีโชคลาภ สมความปรารถนา หรอมีหลายคนถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัล จึงเล่าขานกันถึงความศักดิ์สิทธิ์อย่างกว้างขวางกลายเป็นความศรัทธาและมีผู้มากราบไหว้อย่างเนืองแน่นตลอดทุกวัน

สถานที่ตั้ง
ริมถนนสุขุมวิทสายเก่า เขตสำโรงเหนือ ก่อนถึงตัว จ.สมุทรปราการ

ความเชื่อและวิธีการบูชา
เชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าหากผู้ใดได้มาขอพรแล้ว ช้างเอราวัณสามารถดลบันดาลให้เกิดโภคทรัพย์สมบัติ และโชคลาภนานาชนิด สิ่งของทีนิยมนำมากราบไหว้และแก้บนได้แก่กล้วย อ้อย สับปะรด มะพร้าว และผลไม้ต่างๆ และมีข้อแม้ว่าห้ามขอและห้ามบนบานสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

คาถาบูชาองค์ช้างเอราวัณ
(ท่องนะโม 3 จบ) โอมเอราวะณะ คะขัง ปูเชมิ (ให้ท่อง 3 หรือ 9 จบ) บอกชื่อตนเองแล้วอธิษฐานขอพระในสิ่งที่ต้องการ

วันและเวลาเปิด- ปิด
เปิดให้สักการะทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น

ที่มา: หมูหิน.คอม

This three-headed elephant, Airavata was born of Khun Lek Viriyapant's ideas and imagination. It was inspired by his wish to preserve his collection of antiques as a contribution to Thai cultural heritage. Many of these were priceless objects of art they were also held as sacred objects for people of ancient cultures. According to ancient traditions they were believed to bring blessing and prosperity to the land and its people, and therefore must not be lost to outsiders.

Original: Tourism Authority of Thailand

เว็ปไซด์พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ (The Erawan Museum Website)

picture



























เริ่มเข้าสู่ด้านในแล้ว
























 

Create Date : 02 สิงหาคม 2553    
Last Update : 2 สิงหาคม 2553 0:15:32 น.
Counter : 1460 Pageviews.  

วัดบางพลีใหญ่กลาง (Wat Bang Phli Yai Klang)

วัดบางพลีใหญ่กลาง ตั้งอยู่บริเวณคลองสำโรงฝั่งเหนือ ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากวัดบางพลีใหญ่เล็กน้อย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านเรียกว่า วัดกลาง ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็นวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ยาว 53 เมตร ภายในพระนอนมีห้องปฏิบัติธรรม ภาพเขียนเรื่องราวของเทวดา นรก และมีห้องหัวใจพระซึ่งประชาชนนิยมมาปิดทองเพื่อเป็นศิริมงคล

การเดินทาง
จากแยกบางนา ใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราดมุ่งหน้าไปทางจังหวัดชลบุรีถึงกิโลเมตรที่ 12 ให้กลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางถนนบางพลี-กิ่งแก้ว ประมาณ 3 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายถนนทางเข้าที่ว่าการอำเภอบางพลีไปประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงวัดบางพลีใหญ่กลาง

ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

Located on the northern bank of Khlong Samrong in Tambon Bang Phli Yai, not too far from Wat Bang Phli Yai Nai. It was constructed around 1824 and originally called Wat Klang before changing to Wat Rat Sattha Tham and eventually Wat Bang Phli Yai Klang. The temple contains an immense reclining Buddha image of approximately 53 metres long known as Somdet Phra Sakayamuni Si Sumet Bophit. There are 4 storeys inside the image itself. The 1st floor houses meditation cells; the 2nd floor has images of the 500 Arahats and murals depicting Hell and Heaven; the 3rd floor has paintings of several other sacred Buddha images; the 4th floor houses the Lord Buddha’s relic taken from Colombo, Sri Lanka, in 1987, and also the Reclining Buddha’s heart.

Original: Tourism Authority of Thailand

picture



วิหารรอยพระพุทธบาท



ภายในวิหารรอยพระพุทธบาท



มหาวิหารพระนอนใหญ่





หน้ามหาวิหารพระนอนใหญ่ มียักษ์เฝ้าอยู่ 2 ตัว



พระนอนองค์ใหญ่ ในมหาวิหาร







สามารถเข้าไปในองค์พระนอนใหญ่ได้ แต่วันที่ไปไฟดับจึงไม่ได้เข้าไป
ประตูทางเข้าไปในองค์พระนอนใหญ่



จะสังเกตุที่ฐานองค์พระมีหน้าต่างด้วย



นอกจากมหาวิหารพระนอนใหญ่แล้ว ยังมีในลอดอุโบสถ (ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น) ด้วย
ประตูทางเข้าลอดอุโบสถ



ภายในตัวอุโบสถ







จะเห็นว่าอุโบสถ ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงอยู่



บริเวณโดยรอบอุโบสถ





ภายในบริเวณวัด นอกเหนือจากนี้ก็มี
ที่ระลึก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระชนม์มายุ 60 พรรษา



ศาลากลางน้ำ (ชื่อศาลาคือ ศาลาอรรถโกวิทวุฒิคุณ)





ภายในศาลากลางน้ำนั้น จะมีองค์พระอยู่
จากรูป ซ้ายไปขวา
พระรูปแรกคือ พระครูโสภณธรรมาภรณ์ หลวงพ่อพวงรอดทอง
พระรูปที่สองคือ พระอรรถโกวิทวุฒิคุณ กิ่มนาคเสโน
พระรูปที่สามคือ พระครูปลัดไพศาลเกสโร หลวงพ่อเหมือน กุลสี



ภาพถ่ายจากศาลากลางน้ำ





นอกจากนี้แล้วภายในวัดยังมีตลาดด้วย จากภาพกำลังตั้งแผงอยู่



หมายเหตุ

เจ้าอาวาสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งหมด 8 รูป ได้แก่
รูปที่ 1 พระอาจารย์ชำ
รูปที่ 2 พระปลัดกรุต
รูปที่ 3 พระอาจารย์พ่วง
รูปที่ 4 พระอาจารย์เสม
รูปที่ 5 พระอรรถโกวิทวุฒิคุณ ประวัติ
รูปที่ 6 พระครูโสภณธรรมาภรณ์
รูปที่ 7 พระครูปลัดไพศาล
รูปที่ 8 พระครูกพิสารวุฒิกิจ

ที่มา: thaigoodview




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 7:50:15 น.
Counter : 1198 Pageviews.  

1  2  

rangsitk4
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add rangsitk4's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.