Group Blog
 
All Blogs
 
ไกด์จำเป็นพาเด็กเที่ยวฮ่องกง #1 Avenue of Stars & A Symphony of Lights

แค่เอ่ยว่าจะไปฮ่องกง เพื่อนและคนใกล้ตัวก็แซวไปซะแล้วว่า ไปอีกแล้วเหรอ เหมือนไป ตจว.เลยนะ (งั้นเลยรึ) แต่ที่จริงแล้ว trip นี้มีเหตุผลครับ คือ เคยให้สัญญากับหลานสาวคนเล็ก ตั้งแต่ตอน ป.4 ว่าถ้าสอบได้ที่ 1 จะพาไปฮ่องกงดีสนีย์แลนด์ ซึ่งเธอก็ขยั๊น..ขยัน สอบได้ที่ 1 มาซะทุกเทอมจนจบ ป.6 เข้าไปแล้ว คุณอา (รวมไปถึงคุณลุงคุณป้าที่ร่วมเดินทางไปด้วย) จึงต้องทำตามสัญญาพาไปเที่ยวฮ่องกงซักที เรียกว่า Trip เอาใจเด็ก เพราะได้เที่ยวทั้ง Hongkong Disneyland แถมยังจัด Ocean Park แถมให้อีก สำหรับผู้ใหญ่ ก็เพิ่มการไหว้พระในทุกเช้า เรียกว่าครบครับ อิ่มบุญ หรรษา ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (แต่เหนื่อยไกด์นะ >_<)



ต่อมาก็เป็นการวางแผนว่าจะเที่ยวกี่วัน หาตั๋วเครื่องบิน และที่พัก

วันเที่ยว สำหรับเด็กไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ครับ เพราะตรงกับช่วงปิดเทอมพอดี อาจจะต้องหลบเลี่ยงช่วงเวลามอบตัว รายงานตัวของหลานนิดหน่อย เพราะเธอเพิ่งจบ ป.6 เตรียมจะขึ้น ม.1 ส่วนหลานชายอีกคนก็จบ ม.6 เตรียมลุ้นคะแนน o-net a-net เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นว่า ผู้ใหญ่เนี่ยแหละที่เป็นปัญหาในการหาวันลา สรุปแล้ว เราได้เวลาเที่ยว 5 วัน ตั้งแต่วันพุธ-อาทิตย์ (เพื่อที่จะได้ลางานแค่ 3 วัน) แต่ผมลางานเผื่อหน้า-หลังไว้เลยล่ะครับ เพราะต้อง brief เตรียมตัวเด็กในเรื่องเอกสาร การจัดกระเป๋า และเผื่อ Jetlag !!! แล้วก็อย่างที่คิดจริงๆครับ กลับมาแล้วเหนื่อยมากๆๆๆ โดนเด็กสูบพลังงานไปเยอะ

ตั๋วเครื่องบิน สำหรับฮ่องกงนี่ มีหลากหลายสายการบินที่บินตรงนะครับ แต่ครั้งนี้คุณลุงอยากลองของใหม่ Thai Smile Airways สายการบินในเครือของการบินไทย ที่ราคาไม่สูงโด่งจนเกินไปเมื่อเลือกสายกาบินที่บินตรงฮ่องกง และแกอยากจะให้เด็กๆได้เที่ยวมาเก๊าไปด้วย ตอนแรกที่เล็งราคาตั๋วไว้อยู่ที่ไป-กลับไม่ถึงหกพันบาทดี แต่มัวรีๆรอๆหาวันเที่ยวที่ตรงกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนค่าตั๋วขึ้นไปเรื่อยๆ จนตัดสินใจซื้อตั๋วไปเมื่อกลางเดือนมกราคม ในราคา 6,930 บาท/คน โดยเป็นตั๋วไป-กลับ สุวรรณภูมิ-มาเก๊า ที่สามารถสะสม Royal Orchid Plus ไมล์สะสมของการบินไทยได้ด้วย (6930x6=41,580บาท) ถึงจะต้องเหนื่อยนั่งเรือข้ามฟากไปฮ่องกงอีกคนละพันกว่าบาทก็เหอะ (แต่ในใจผม อยากบินลงตรงฮ่องกงมากกว่า เพราะสนามบินฮ่องกงมีอะไรให้เดินดูมากกว่าเยอะ แถมเดินทางสะดวกกว่าอีกด้วย)

ที่พัก สำหรับ 6 คน ครั้งนี้เลือกเป็นโฮสเทลครับ เรียกว่า เอาพอเป็นที่หลับที่นอน ซึ่งตอนแรกลูกทริปตกใจกับห้องเหมือนกัน เพราะเล็กมาก แต่สุดท้ายห้องพักที่จองมาก็ทำหน้าที่เป็นแค่ที่นอนจริงๆ พอหัวถึงหมอน ก็หลับกันทุกคน (เพราะเหนื่อย) แต่ได้ทำเลดีอยู่บนถนนนาธาน ในซิมซาจุ่ย อยู่ระหว่างสถานีรถไฟ 2 สถานีพอดีในราคา 19,000 บาท เราได้ที่พัก 2 ห้อง (นอนห้องละ 3 คน) สำหรับ 4 คืน


สรุปแผนเดินทางเที่ยว สำหรับ 5 วัน แบบย่อๆ ก็จะเป็น

พุธ เดินทาง TG750 Bkk-Macau 7.45-11.30 นั่งเรือข้ามฟากไปฮ่องกง เอากระเป๋าเก็บที่ห้องพักย้ายซิมซาจุ่ย
เดินเล่นแถว Avenue of Star แล้วรอชม A Symphony of Lights

พฤหัส เที่ยวเกาะลันเตา
เช้าไหว้พระใหญ่ทินถ่าน วัดโปลิน นั่ง Ngong Ping 360 ขึ้นไป
สายๆ Hongkong Disneyland
ค่ำๆ กลับมาช๊อปปิ้งที่ CityGate Outlet

ศุกร์ เที่ยวเกาะฮ่องกงฝั่งใต้
เช้า สักการะเจ้าแม่กวนอิม ที่ Repulse Bay
สายๆ Ocean Park ตลอดทั้งวัน

เสาร์ เก็บตกฮ่องกง
เช้า ไหว้พระฝั่งเกาลูน วัดหวังต้าเซียน ชมสวนสวยที่สำนักนางชี Chi Lin Nunnery
สายๆบ่ายๆ ช๊อปปิ้งฝั่งฮ่องกงแถบ Causeway bay อย่าง Time Square, Toy R Us
เย็น เที่ยวเขตเมือง central ขึ้น Peak Tram ชมฮ่องกงในมุมสูง

อาทิตย์ นั่งเรือข้ามฟากกลับมาเก๊า เที่ยวมาเก๊า 1 วัน Senado square ซากโบสถ์เซ็นต์ปอล์ และเวเนเชียนมาเก๊า
บินกลับช่วงค่ำด้วย TG753 Macau-Bkk 21.15-23.00

ไฟล์เดินทางค่อนข้างเช้า คือ 7.45 แต่ที่จริงเราออกเดินออกจากบ้านที่ลพบุรีครับ เลยต้องตื่นและพร้อมออกเดินทางตั้งแต่ 2.30 กะว่าให้มาถึงสนามบินตอน 4.30 ให้พร้อม check in

และแล้วก็มาถึงสุวรรณภูมิได้ตามเวลาที่กะไว้



กรอกใบผ่าน ตม. สำหรับ 6 คนอีก (เรียกว่าทำหน้าที่ไกด์จำเป็นอย่างเต็มตัว)

ก่อนจะผ่าน ตม. ก็กังวลใจเล็กน้อยครับ เพราะเราจะต้องพาหลานอายุ 12 ขวบหมาดๆออกนอกประเทศ แต่พ่อแม่ของหลานไม่ได้มาด้วย แต่ในลูกทริปทั้ง 6 คน มีคุณลุงที่นามสกุลเหมือนคุณหลาน อาจจะแอบเนียนทำตัวเป็นคุณพ่อได้อยู่ (ในขณะที่อีก 3 คน ฝ่ายพี่สาวนี่ และลูกอีก 2 ที่ไปด้วย ใช้นามสกุลสามี) แต่เผื่อกันพลาด ผมก็เลยให้คุณพ่อและคุณแม่ของหลาน ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรข้าราชการไว้ พร้อมกับเขียนจดหมายยินยอมให้ลูกสาวเดินทางไปเที่ยวฮ่องกงได้โดยมีพวกเราเป็นผู้ดูแล และไม่ลืมที่จะแนบเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย เผื่อทาง ตม. จะโทรกลับไปตรวจสอบได้ด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ใช้นะครับ ผ่าน ตม. สบายอยู่ แต่ยังไงผมก็แนะนำว่ามีไว้กันเหนียวดีกว่าครับ เผื่อเหลือไว้ดีกว่าขาดเสมอครับ



มุมบังคับ ก่อนจะไปพักผ่อนรอเครื่องขึ้นที่เล้าจน์กันซักหน่อยครับ

สำหรับสุวรรณภูมิ มีตัวเลือกอยู่ 2 ที่ครับ คือ King Power Lounge สำหรับลูกค้าคิงพาวเวอร์ และ Royal Silk Lounge สำหรับลูกค้าที่บินกับการบินไทยในชั้นธุรกิจขึ้นไป (และคนมีสิทธิเข้าเลาจน์จากบัตรเครดิตต่างๆ)

King Power Lounge จะอยู่ทางคองคอร์ด A ครับ



โดยภายในเลาจน์จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ระดับเพลทตินั่ม จะใช้ห้องทางซ้าย ที่มีอาหารมากกว่าและมีบริการห้องอาบน้ำให้ด้วย

ฝั่งขวา จะสำหรับลูกค้าทั่วไปครับ โดยจะมีบริการอาหารว่าง เครื่องดื่ม ชา กาแฟ พอสมควรครับ เรียกว่าไม่น้อยจนเกินไป อย่างช่วงเช้าก็จะมีโจ๊กไก่ ให้พอรองท้องได้ด้วย หรือใครที่ไม่อยากซื้อน้ำราคาแพงๆในสนามบิน ก็พอจะหยิบเครื่องดื่มกระป๋อง ที่อยู่ในตู้แช่ ติดมือขึ้นเครื่องได้อยู่ครับ

สำหรับคนที่อยากใช้บริการ สามารถสมัครบัตรสมาชิก King Power ในสนามบินได้เลยครับ โดยจะได้เป็นบัตรกระดาษ (หรือสมัครที่สาขา ถ. รางน้ำ เลยก็จะได้เป็นบัตรแข็งทันที) โดยเสียค่าสมัคร 500 บาท แต่ห้าร้อยนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่านะครับ จะคืนมาเป็นบัตรของขวัญให้ซื้อของปลอดภาษีภายใน King Power นั่นแหละครับ เรียกว่า อัฐยายซื้อขนมยาย แต่ได้ไปกินขนมฟรีๆในเล้าจน์ 555 บิน Low Cost ก็ใช้เล้าจน์ได้


Royal Silk Lounge ส่วนเล้าจน์การบินไทยจะมีให้บริการ ถึง 3 จุดครับ ทั้งคองคอร์ด C,D,E โดยเลาจน์ที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นของคองคอร์ด D เพราะจะรองรับลูกค้าชั้น first class ด้วยบริการอย่างสปาที่จัดเต็มกว่า ฝั่งคองคอร์ด C กับ E ครับ



สำหรับสิทธิ์การเข้าเล้าจน์การบินไทย ก็มักจะเป็นตั๋วในระดับธุรกิจขึ้นไป หรือสิทธิพิเศษกับบัตรเครดิตต่างๆ ซึ่งก็มักจะเป็นบัตรในระดับสูงๆ อย่างแพลทตินั่มขึ้นไป แต่ก็มีข้อจำกัดว่า ต้องบินกับการบินไทยด้วย (คือมี code TG ในตั๋วที่จะบินนั่นเอง) คราวนี้เลยเป็นโอกาสเหมาะ เพราะบินกับ Thai Smile (ที่จริงผมก็ว่ามันคือสายการบิน Low Cost นั่นแหละนะ แต่ใช้คำพุ่มเฟือยว่าเป็น Light Premium เท่านั้นเอง) และผมมีบัตรเครดิตแพลทตินั่นของกสิกรไทย ซึ่งให้สิทธิใช้ห้องรับรองได้ปีละ 2 ครั้ง โดยเราต้องแสดงตั๋วเครื่องบินและบัตรเครดิตก่อนจะเข้าใช้บริการ แล้วพนักงานจะนำบัตรเราไปรูด ดูสิทธิ์ (จะได้สลิปมาว่าใช้เข้าเล้าจน์ได้อีกหนึ่งครั้ง) ว่าแล้วก็เข้าไปตีพุงสบายๆได้เลยครับ

เนื่องจากเป็นเล้าจน์หรูหรา อาหารจึงจัดเต็ม ไล่ตั้งแต่สลัด อาหารรองท้อง โจ๊กไก่ (เหมือนกัน) ของหวาน ข้าวต้มมัด รวมไปถึงเครื่องดื่ม ชากาแฟ น้ำผลไม้ทั้งสด ทั้งกล่อง หรือใครต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีพนีกงานพร้อมบริการครับ (เสียดายที่บินไฟลท์เช้า เลยอดใช้บริการเครื่องดื่มในส่วนนี้)


เตรียมขึ้นเครื่องกันดีกว่าครับ 7โมงกว่าแล้ว



TG 750 Bkk-Macau 7.45-11.30 โดยสายการบิน Thai Smile Airways

ข้อดีของไทยสมายล์ ที่เห็นนะครับ คือ เราได้นั่งเครื่องใหม่ A320-200 ที่จัดวางที่นั่งค่อนข้างกว้างพอสมควร (สำหรับคนสูง 170 กว่าๆอย่างผม) ในราคาที่ไม่แพง over ไปอย่างสายการบินแม่อย่างการบินไทย (บินไปฮองกง หาต่ำกว่าหมื่นน่ะมีมั้ย) แอร์โฮสเตสยังสาว กระตือรือร้นบริการ (เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย) แถมสะสมไมล์ ROP ได้อีก (หรือเลือกไม่สะสมไมล์ก็ได้ ก็มีส้วนลดค่าตั๋วอีก)

ข้อเสีย ก็คงเป็นเรื่องการบริการอาหารบนเครื่องเท่านั้นเองครับ คือ เราจะได้รับถุงของว่างคนละ 1 ถุง ภายในประกอบไปด้วย อาหารว่าง ขนม น้ำเปล่า พร้อมซองช้อนส้อม น้ำตาล พริกไทย เกลือ แล้วแอร์ก็จะมาบริการน้ำดื่มอีกเพียง 1 รอบครับ แต่ผมว่าสำหรับการบินแค่ 2 ชม. กว่าๆ ได้ของว่างที่เกือบอิ่มประมาณนี้ก็ถือว่า ok นะครับ แลกกับราคาค่าตั๋วที่ลดลงตั้งเยอะ อันนี้เรียกว่าคุ้มค่าครับ



อย่างเช้าวันนี้ ผมได้อาหารว่าง มื้อเช้า เป็น ครัวซองค์แฮมไก่ ขนมฟักทอง น้ำเปล่า แล้วจะมีการเดินเคื่องดื่มอีก 1 รอบ สามารถเลือกได้ระหว่าง ชา กาแฟ หรือน้ำส้มครับ (มื้ออื่นจะมีน้ำอัดลมให้เลือกด้วย) อาหารมาจากครัวการบินไทย รสชาติให้ผ่านครับ เด็กๆชอบ บอกว่าอร่อยกัน ขนาดทานมาจากเล้าจน์แล้ว ยังมาเติมอิ่มบนเครื่องได้อีก 555





ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชม. ครึ่ง กัปตันก็พาเราบินมาสู่ท่าอากาศยานมาเก๊าครับ

จากที่คาดการณ์เรื่องอากาศเอาไว้ ว่าฮ่องกง-มาเก๊า จะมีอุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส แต่ทันทีที่แตะพื้นมาเก๊า อากาศแค่ 19 องศาครับ ที่สำคัญครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาก เป็นสัญญาณเตือนตั้งแต่แรกลงจากเครื่องบินเลย ว่าเที่ยว 5 วันจ่อจากนี้ เปียก แฉะ ฝนแน่ๆ >_<



เครื่องแตะพื้น 11.30 นิดหน่อย ผ่าน ตม. ที่ไม่ได้ซับซ้อนหรือคนเยอะเท่าไหร่ รอรับกระเป๋า ใช้เวลารวมประมาณครึ่ง ชม.ได้ครับ ก็พร้อมที่จะเดินทางต่อแล้ว ทางเลือกที่จะนั่งเรือข้ามฟากไปฮ่องกง ก็มี 2 choices ครับ ได้แก่

1) เดินจากสนามบิน ประมาณ 1 กม. (10 นาที) ไปยัง Taipa Temporary Ferry Terminal ซึ่งเป็นเรือของ Cotaijet ในเครือของเวเนเชียน (149 MOP) ที่จริงท่าเรืออยู่ติดสนามบินเลย แต่เราเดินตีดตรงไม่ได้ ต้องอ้อมโรงจอดเครื่องบิน และบริเวณถังน้ำมันสำรองเติมสำหรับเครื่อง หรือนั่งรถบัสฟรีของเวเนเชียน ไปเวเนเชียนก่อนแล้วนั่งรถบัสฟรีกลับมาท่าเรืออีกที (เสียเวลาน่าจะประมาณ 1 ชม.)



2) นั่งรถเมล์ สาย AP1 (4.2MOP) ไปยัง Macau Ferry Terminal (สนามบินอยู่เกาะไทปา ข้ามมาท่าเรือฝั่งมาเก๊า) ใช้เวลาประมาณครึ่ง ชม. ได้ครับ โดยจะมีเรือให้เลือกถึง 2 บริษัท คือ TurboJet และ FirstFerry ราคาค่าตั๋วจะถูกกว่าของ Cotai นิดหน่อย วันธรรมดาจะอยู่ที่ 139 MOP

สำหรับคนที่จะใช้บริการรถฟรีไปยังคาสิโนต่างๆ จะมีรถบัสจอดอยู่ด้านนอกสนามบินมากมายครับ โดยเมื่อผ่าน ตม. ออกมาแล้วให้มองด้านขวาออกมาตามประตูได้เลย ก็จะพบรถบัสฟรีครับ หรือถ้าจะเดินไปท่าเรือไทปา ก็เดินเลยรถบัสไปตามทางได้เช่นกันครับ






ตอนแรกก็กะจะเดินไปท่าเรือเหมือนกันครับ แต่ด้วยเสียงเตือนของคนในทริปว่าไกลไปมั้ยเก็บแรงไปเดินเที่ยวดีกว่า บวกกับมีฝนตกลงมาปรอยๆ คงเดินไปลำบากแน่ๆ เลยเปลี่ยนแผนนั่งรถเมบ์ไปท่าเรือแทนครับ

สำหรับคนที่จะใช้บริการรถเมล์ ให้เดินตรงออกมาจาก ตม. ได้เลย เมื่อออกจากประตูให้มองซ้าย จะเห็นป้ายรถเมล์ครับ



สำหรับเหรียญขึ้นรถเมล์ แลกตรงเคาเตอร์แลกเงินด้านในได้เลยครับ ค่ารถ 4.2 MOP ต่อคน รถเมล์ไม่มีการทอนนนะครับ หยอดตู้ที่ประตูหน้า(ด้านข้างคนขับ) ได้เลย ผมหยอดเหรียญ 5MOP คิดเป็นเงินไทยก็ไม่ถึง 20 บาท



โดนเหวี่ยงเพลินๆ เพราะถนนในมาเก๊ามันสัั้นๆ เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา แต่ยังสู้รถเมล์ไทยไม่ได้หรอกครับ ไม่ถึงครึ่ง ชม. ดี ก็จะขึ้นสะพานข้ามเกาะ ให้เราเตรียมตัวลงได้นะครับ เพราะท่าเรือจะอยู่ป้ายแรกเมื่อลงจากสะพานเลย





สำหรับเรือขาออกจะอยู่ที่ชั้น 2 ครับ ขึ้นไปหาซื้อตั๋วกันได้เลย



นอกจากจะดูเวลาเรือที่จะออกแล้ว ยังต้องดูว่าเรือที่เราไปจะจอดที่ท่าเรือไหนด้วยนะครับ เพราะที่ฮ่องกง ก็มีทั้งท่าเรือฝั่งเกาลูน และฝั่งฮ่องกง แต่ที่พักคราวนี้ ผมจองไว้แถวซิมซาจุ่ย ฝั่งเกาลูน ผมขึ้นมาซื้อตั๋วก็เป็นเวลา 13.00 กว่าๆแล้วนะครับ เลยเลือกเรือรอบ 14.00 เพราะกะจะหาอะไรทานก่อน (ที่ชั้น3 จะมีร้านอาหารให้เลือกทานได้) แต่หลานๆบอกยังไม่ค่อยหิว เราก็เลยผ่าน ตม. เข้าไปรอเรือเลย แต่ไปๆมาๆ วันธรรมดากลางวันอย่างนี้คนน้อย เราเลยได้ขึ้นเรือรอบ 13.30 แทนไปเลยครับ



จากมาเก๊า ไปยังฮ่องกง จะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ครับ



14.30 ก็ถึงฝั่งเกาลูน ฮ่องกงครับ

สิ่งที่เห็นทางฝั่งซ้าย ที่เป็นตึกสูงๆ ก็คือตึก ICC ปัจจุบันคือตึกที่สูงที่สุดในฮ่องกง และยังมี Sky100 เป็นจุดชมวิวบนชั้นที่ 100 ให้เราแวะมาได้ครับ ที่จริงบ่ายวันนี้ก็มีแผนว่าจะแวะไป แต่ด้วยสภาพอากาศที่เมฆครึ้ม แถมมีฝนตกปรอยๆเป็นช่วงๆ ทำให้ไม่ได้ไปเลย




สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการมาถึงฝั่งเกาลูนก็คงจะเป็นตึกสีทอง ของ China Hongkong City ที่เห็นเด่นสะดุดตานั่นเองครับ



ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ก็ใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณครึ่ง ชม. ที่สำคัญ ตม.ฮ่องกง ไม่มีการแสตมป์ตราประทับลงในหนังสือเดินทางแล้วนะครับ ได้เป็นสลิปคล้ายๆใบเสร็จของ 7-11 แม็กซ์ติดกับสมุดเดินทางไปเลย แถมบางคนก็ไม่ max ให้ซะอีกนะครับ ยังไงก็ระวังหายกันด้วยเผื่อขาออกจะมีปัญหา แต่ผมชอบแบบตราประทับมากกว่านะ ดูขลังและเท่ห์กว่ามากๆ (ขนาดสุวรรณภูมิ มีการใช้ E-Passport โดยการรูดหนังสือเดินทางออกแล้ว ผมยังชอบใช้บริการให้ผ่านด่านตรวจแล้วประทับตรามากกว่าเลย)

เมื่อหาทางเดินออกมาจาก China Hongkong City (กึ่งท่าเรือ ผสมห้างสรรพสินค้า ที่มีสินค้า outlet หลายแบรนด์เหมือนกัน) เราจะเจอถนนแคนตั้น (Canton road) อันเป็นถนนเส้นหลักที่คู่ขนานกับ Nathan road ซึ่งเราเลือกพักบนถนนนาธานนี้ สองถนนนี้จะมีสวนสาธารณะ Kowloon Park กั้นอยู่ครับ ด้วยเวลาร่วม 15.00 แล้ว มื้อเที่ยงก็ยังไม่ได้กินกันเลย เพราะเด็กๆตื่นเต้นกับการนั่งเครื่องบิน แถมลงเรืออีก ที่สำคัญมีคนเมาเรือ !! อาจจะเพราะอดนอนด้วย (นอนไม่หลับเพราะตื่นเต้น) ไหนจะออกเดินทางมาตั้งแต่้าอีก ร่วมกับมื้อเที่ยงที่ไม่ได้ทานอะไรเลย ทำให้ท้องว่าง จึงเกิดอาการเมาเรือไปซะ เราเลยต้องหาอะไรรองท้องกันซะหน่อย



ออกจาก China Hongkong City ด้านหน้าคือถนนแคนตั้น ด้านขวามือติดกับท่าเรือไปเลยก็คือ ห้างสรรพสินค้าที่และยาวที่สุดในฮ่องกง ( เพราะยาวไปถึงท่าเรือ Star ferry เลย) Habour City นั่นเอง



พยายามมองซ้ายจะเห็นสวนสาธารณะเกาลูนปาร์ค สุดสวนจะมีถนน Haiphong ตัดผ่านระหว่างถนนแคนตั้นและถนนนาธานครับ ตอนแรกกะจะเดินเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมก่อน แต่ด้วยเวลาบ่ายสามกว่าแล้ว มีแต่คนหิวครับ เห็นป้าย Food Republic เลยลากกระเป๋าเดินตามลงไปเลยครับ สุดท้ายก็ได้อาหารกันตายมื้อแรกที่นี่ ผมเลยได้เฝอชามละ 40$ กว่า เพราะอยากทานอะไรร้อนๆที่คิวไม่ยาว (ร้านราเม็งหลายร้านคิวยาวมาก) แต่ชามใหญ่มาก ทานเส้นไม่หมด แต่ของหลานๆนี่ เข้าใจเลือกกันมาก ไหนจะนาสิเลอมัก ราเม็งชามโต ไหงมันน่าทานกว่าของเรานะเนี่ย



อิ่มท้องแล้ว ภารกิจถัดไปคือ หารองเท้าใหม่ครับ ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าผมใส่รองเท้าคู่เก่ามากกกก มาด้วย กะวัดดวงด้วยรองเท้าใหม่กันไปเลย เพราะจะได้ใส่คู่ใหม่กลับไปด้วยเลย ที่สำคัญ ร้านรองเท้าเป้าหมายก็อยู่บน Habour City นี่เอง ใช่แล้วครับ Onisuka Tiger นั่นเอง ก็แค่เดินย้อนกลับไปอีกนิด แล้วค่อยไปโรงแรม คนเราพออิ่มท้องแล้ว ก็กล่อมอะไรไม่ยากหรอกครับ 55

เนื่องจาก Habour City เป็นห้างที่ยาว และใหญ่มาก ควรหานิดนึงนะครับ ว่าร้านที่เราหมายตาอยู่ส่วนไหน เพราะเขาแบ่งย่อยเป็น 4 โซนตามตึกที่ตั้งอยู่ถ้าไล่จากส่วนที่ใกล้ท่าเรือเฟอร์รี่ที่เราลงมา ก็จะเจอโซน Gateway arcade (Onisuka Tiger สินค้าวัยรุ่นมักอยู่โซนนี้) โซน Ocean Center, โซนโรงแรม Marco Polo สองส่วนนี่มักจะเป็นสินค้าแบรนด์เนมระดับโลก และสุดท้ายโซน Ocean Terminal จะยื่นออกไปในอ่าว ส่วนนี้จะเป็นร้่นค้าของเด็กๆและของเล่นรวมทั้งร้าน Toy R Us ด้วย



ร้าน Onisuka Tiger ในฮ่องกงจะมี 4 ร้านครับ สาขา Habour City จะอยู่ที่โซน Gateway Arcade ชั้น 2 ห้อง 2506 ร้านไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ แบบมีให้เลทอกไม่เยอะ แต่คนไทยเยอะมากๆๆๆๆ แถมเปิดเพลง Bodyslam ในร้านซะอีกนะ



ขนาดแบบไม่เยอะ ก็จัดไปซะ 1 คู่ ได้ใช้ใส่ตลอดทริปเลยครับ เบา สบายสมราคาเขาอยู่



สมใจอย่างหนึ่งแล้ว ต่อไปก็ต้องเข้าโรงแรมกันครับ เพราะเวลาล่วงเลยมาตั้งบ่ายสี่โมงเย็นแล้ว ถ้าเดินตรงออกมาจากท่าเรือ (จุดกลมแดง) ก็เดินตัดเกาลูนปาร์คมาทางถนนนาธานได้เลยครับ



สำหรับที่พักคราวนี่เป็นเกสต์เฮ้าบนตึกชุงคิง ชื่อ Carlton Guest House ที่อยู่ก็คือ ชั้น 15 Block C Flat C1 เลขที่ 36-44 Nathan Road, Chung King Mansion, Tsim Sha Tsui แปลเป็นไทยก็คือ เราต้องหา ถนนนาธานก่อน แล้วมองหาอาคารชุงคิงแมนชั่น ที่ตั้งอยู่บนเลขที่ 36-44 แล้วเจ้าเกสต์เฮ้านี่จะอยู่ตึก C (มันจะมีทางเข้าตึกตั้งแต่ A, B และ C) ลิฟท์ขึ้นตึกจะแบ่งชั้นคู่และคี่ เกสต์เฮ้าส์ของเราอยู่ชั้น 15 ก็จะใช้ลิฟท์ทางขวาสำหรับขึ้นชั้นคู่ครับ



Chung King Mansion ทำเลดีมากอยู่นะครับ ถ้าเดินมาจากถนน Peking road จะเจอแมนชั่นนี่ตัดอยู่หน้าถนนเลยล่ะครับ แถมอยู่ระหว่างสถานีรถไฟ 2 สถานีคือ Tsim Sha Tsui และ East Tsim Sha Tsui แถมมีจุดลงสถานีซิมซาจุ่ยเลยโดยตรง ใกล้ 7-11 ถึงสองสาขา และอยู่ใจกลางซิมซาจุ่ย เดินไป Avenue of Star ก็ไม่ไกลครับ แต่ข้อเสียก็คงเป็น ด้านล้างตัวตึกจะมีร้านค้าและเป็นย่านแขกดำอยู่มาก อาจจะคอยตื้อเราให้ซื้อของ หรือจะขายห้องโรงแรมในตึก ก็อย่าไปสนใจครับ ทำเฉยๆเกี๋ยวเขาก็ไปเอง ที่สำคัญแขกก็ไม่ค่อยเร้าหรือเท่าไหร่ผ่านไปซักวันก็ชินครับ ช่วงเวลาเร่งด่วน (ก่อน 8.00 หรือ สี่ทุ่มที่คนจะกลับขึ้นตึก)อาจจะมีปัญหาต้องรอลิฟท์บ้าง หรือโดนแย่งขึ้นไปก่อน อันนี้จะมีลุงยามคนจีนคอยมาคุมหรือดูแลครับ ถ้ามีคนมากๆ เลยไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่



ขึ้นลิฟท์มาชั้น 15 มองทางขวาจะเจอ Guest House ครับ เข้าไปจะเจอ Lobby เล็กๆ มีป้าคนฮ่องกงคอยดูแล พร้อมกับแขกดำคนหนึ่งที่จะดูแลเวรกลางคืน (หลานๆบอกว่าแขกดำนี่ใจดี เพราะไม่พูดจากระโฮกกระฮาก ว่าแต่หนูเข้าใจที่เขาพูดเหรอเนี่ย) ตอนแรกที่เราเข้ามาเช็คอิน ก็มีปัญหาเตรียมห้องให้ไม่มันครับ เขาเลยให้เราลงไปนอนที่ชั้น 14 ก่อนหนึ่งคืน แต่จะได้ห้องใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย (ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ ok พอรับได้อยู่) แล้วเขาจัดการย้ายมาให้นอนในห้องในรูป บนชั้น 15 อีก 3 คืนที่เหลือครับ

ภายในห้องก็ค่อนข้างแคบ ตามสไตล์เกสต์เฮ้าฮ่องกงครับ มีเตียงสำหรับ 2 คนหนึ่งเตียงและเตียงเดี่ยวอีกหนึ่ง ห้องน้ำเล็กๆภายในตัว พร้อมฝักบัว น้ำอุ่น และครีมอาบน้ำให้กด แต่ไม่มีหัวฉีกชำระนะครับ (แต่ถ้าใครจะดัดแปลงฝักบัวมาใช่ก็พอไหวนะครับ เพราะสายยาวเอาการอยู่) พร้อมผ้าเช็ดตัวผืนบางๆตามจำนวนแขก และรองเท้าแตะ ส่วนกลางด้านนอกห้อง ยังมีตู้เย็น ตู้กดน้ำร้อน/เย็น และเครื่องซักผ้าให้ โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่อะไรครับ

รวมแล้วเราจองมา 2 ห้อง (นอนห้องละ 3 คน) รวม 4 คืน ราคา 19,000 บาทครับ



ตอนแรก หลานก็บ่นนะครับ ว่าทำไมห้องเล็กจัง ก็ต้องอธิบายเรื่องราคาของพื้นที่ต่อตารางเมตรในฮ่องกง ว่าแพงขนาดไหน แล้วที่สำคัญเราเน้นออกเที่ยวข้างนอก ไม่ได้ใช้ความสะดวกสบายของห้องเท่าไหร่ เน้นความสะดวกในการเดินทางมากกว่าเลยเลือกที่นี่ พอคืนที่สองเธอก็เข้าใจครับ เพราะพอถึงห้องปุ๊ปก็แทบสลบ น้ำไม่ได้อาบเลย เพลียเหนื่อยมาทุกวัน สลบอย่างนี้จนถึงวันกลับเลย


17.00 กว่า แล้วเพิ่งได้ลงมาจากเกสต์เฮ้าส์เองครับ แผนเที่ยวเลยเปลี่ยน ตอนแรกกะว่าจะไปตึก ICC เพื่อขึ้น Sky100 แต่อากาศก็ไม่ค่อยเป็นใจเลย เมฆครึ้มตลอด แถมมีฝนปรอยๆมาเป็นพักๆด้วยครับ เลยขอเดินเที่ยวใกล้ๆอย่าง Avenue of Star ก่อนก็แล้วกันครับ เพราะว่าใกล้จากตึกที่พักมาก เห็นอาคารทรงกลมๆของ พิพิธภัณฑ์อวกาศฮ่องกง ก็เดินตามไปเลยครับ




แล้วก็ข้ามถนนไปทางขวา จะเจอทางลอดใต้ดินออกไปทางฝั่งพิพิธภัณฑ์อวกาศครับ



พอขึ้นมาแล้วเดินตามป้ายไปได้เลยครับ



สำหรับคนที่พักที่อื่น การมา Avenue of Star เพื่อชม The Symphony of Lights นั้นก็ไม่ยากครับ เดี๋ยวนี้ลงสถานี East Tsim Sha Tsui ขึ้นมาก็เจอเลยครับ จากเมื่อก่อนที่มีเพียงสถานี Tsim Sha Tsui ซึ่งก็ลงสถานีได้ แต่เดินไกลกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง





Avenue of Stars หรือเส้นทางแห่งดวงดาว จะเป็นทางเดินเลียบอ่าววิคตอเรีย ที่มีรูปปั้นดารา และดวงดาวสลักชื่อดาราชื่อดังของฮ่องกงหลายๆคน และรูปจำลองการถ่ายทำภาพยนตร์อีกด้วยครับ ซึ่งยังเป็นอีกมุมหนึ่งที่ชม A Symphony of Lights ในช่วง 20.00 ได้อีกจุดหนึ่งครับ แถมตรงนี้ยังมีร้านขายตั๋วดีสนีย์แลนด์อีกด้วยครับ



ราคาตั๋วก็ปกติครับ ในละ 399$ สำหรับผู้ใหญ่ แต่ว่าถ้าซื้อทุก 2 ใบ จะได้ถุงผ้าพับได้อย่างนี้ครับ



แถมข้างในยังมีการจัดโซนให้ถ่ายรูปได้ด้วย



ว่าแล้วก็เดินเล่นครับ แต่ว่าเดินไปทางท่าเรือ Star Ferry นะครับ เพราะว่าเริ่มหิวกันแล้ว



ด้านขวาจะผ่านศูนย์วัฒธรรมของฮ่องกงครับ มักจะมีการจัดแสดงงานศิลปะ หรือคอนเสิร์ตอยู่บ่อยๆ ช่วงที่ผมมานี่ มีงานของ Andy Wang ที่ป้ายโปสเตอร์เป็นรูปมาริลีน มอนโรสีฉูดฉาดน่ะครับ



เลยไปอีกนิดก็จะเจอ หอนาฬิกาเก่าแก่ มีอายุตั้งแต่ปี 1915 ครับ ตั้งแต่สมัยเป็นสถานีรถไฟเกาลูนน่ะครับ ปัจจุบันก็เป็น landmark ที่สำคัญของย่านซิมซาจุ่ยเลย เพราะเห็นเด่นเป็นสง่า เมื่อนั่งเรือมาขึ้นทางฝั่งเกาลูนครับ



สุดท้ายก็จะเป็นท่าเรือ Star Ferry ครับ เป็นท่าเรือข้ามฟากไปยังฝั่งฮ่องกง (ถ้าจำไม่ผิดข้ามฟากไปประมาณ 3.2$ได้ครับ) นอกจากนี้ยังมีบริการล่องเรือเที่ยวบริเวณอ่าววิคตอเรียด้วยนะครับ ทั้งกลางวันและกลางคืน กลางวันก็ 85$ ส่วนกลางคืนก็ 150$





บริเวณ Star Ferry ยังมีสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของฮ่องกงด้วยนะครับ อย่างผมที่ไม่ได้มาฮ่องกงทางเครื่องบิน ก็หาพวกเอกสารท่องเที่ยว แผนที่(ฟรี) ยากหน่อย เลยได้แผนที่จากที่นี่น่ะแหละครับ แถมยังแนะนำการหาซื้อซิมโทรศัพท์สำหรับใช้ได้ด้วย โดยเขาแนะนำให้ไปหาซื้อที่ห้างด้านหน้า นั่นก็คือ ห้าง Star House ที่มีร้าน 7-11 สตาร์บัคอยู่ติดท่าเรือน่ะแหละครับ โชคดีที่เดินเข้าไปก็เจอร้านหนึ่ง ขายซิม 12free ซิมยอดนิยม ที่คนไทยมักแนะนำกันอยู่พอดี ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าซื้อซิมอะไรก็ได้ เดี๋ยวค่อยศึกษาวิธีใช้เองก็ได้ (เพราะใต้ตึกที่พักก็มีซิมหลายๆยี่ห้อขายอยู่ครับ แต่ไม่เห็นมีของ 12free เลยนะ)

แล้ว ซิม 12free นี้มันดียังไง ก็ต้องบอกว่า ค่าซิม 98$ (คิดเป็นเงินไทยก็ไม่ถึง 400 บาท) ก็ได้ยอดเงินเท่านี้เลย โดยเราสามารถสมัครโปร 3G unlimited 7 วันได้ในราคา 78$ แล้วยังเหลือเงินในซิมอีก 20$ เอาไว้โทรหากันได้ แถมค่าโทรก็แสนถูก เพียง 0.25$ ต่อนาที (ไม่ถึง 1 บาท) ว่าแล้วก็จัดมา 2 ซิมครับ สำหรับหลานอีกอันเผื่อหลงหรือแยกกันเดิน อยู่4-5 วันนี่สบายเลยครับ ทั้ง check in foursquare, อัพรูปขึ้น FB , IG หรือจะ Line กันนี่เหลือเฟือ แถมตอนกลางคืน ปล่อยไวไฟ ให้เครื่องคนอื่นในก๊วนด้วยก็ยังไม่หมดดาต้าเลยครับ แถมได้คุยกับทางเมืองไทยทางไลน์ happy กันทุกคน แต่ถ้าเปิด Data Roaming กับเบอร์โทรศัพท์ในเมืองไทยนี่ กลับไปขนหัวลุกแน่ครับ เอาแค่เหมาจ่าย Data roaming ของแต่ละค่ายในเมืองไทย (AIS,Dtac,True Move H) ก็ตกวันละ 350 ไปแล้ว ยังไม่รวมการรับสาย โทรออก (โทรในประเทศ 13บาท/โทรกลับไทย 69/ รับสาย 33) สรุปแล้ว ฟินกันไปทั้งก๊วน

สำหรับมื้อเย็น ก็หาอะไรทานในซิมซาจุ่ยนั่นเอง เดินไปเดินมา บนถนน Peking road ก็ขึ้นไปทาน Spaghetti House ครับ จานหลักคนจะจาน อย่างของผมเป็น โฮมเมดลาซานย่า ประมาณ 98$ ของเด็กๆก็เป็นสปาเก็ตตี้ และสลัด จานละประมาณ 80$-90$ ได้ครับ ส่วนของผู้ใหญ่ก็เพิ่มไวน์อีกคนละแก้ว (ประมาณ 30$) ให้เลือดลมสูบฉีดซะหน่อย เฉลี่ยแล้วก็ตกหัวละประมาณ 150$ ได้ครับ



ทั้งๆที่ก็เห็นตึกห้องพักอยู่ข้างหน้า แต่ใกล้เวลา 20.00 แล้ว พวกเราเลยเดินกลับไปยังอ่าววิคตอเรียอีกทีครับ กลับไปยัง Avenue of Stars อีกครั้ง เพื่อรอชม A Symphony of Lights ซึ่งเด็กๆชอบมากนะครับ ที่ได้เห็นความร่วมมือกันของตึกเอกชนต่างๆ ถึง 44 ตึก ที่ทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยว ชมการเล่นไฟของตึกต่างๆสลับเสียงเพลง ที่เหมือนการต้อนรับการมาเยือนฮ่องกงของพวกเรา ไม่ว่าใครได้มาเห็นก็ชื่นชอบครับ ถึงจะเป็นการแสดงประมาณ 15 นาทีก็ตามแต่ก็ได้ใจคนมาเที่ยวฮ่องกงทึกครั้งที่เห็นนะครับ

ปัจจุบัน Guinness World Record ได้บันทึกว่า A Symphony of Lights เป็นการแสดงแสงและเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย







หมดวันแรกแล้ว ขอกลับไปนอนเอาแรงก่อนนะครับ เพราะออกเดินทางมาตั้งแต่ตีสอง นั่งรถ ขึ้นเครื่องบิน ต่อเรือ ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ครบเลย เพราะพรุ่งนี้ จะต้องทำภารกิจสำคัญคือ ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กคนหนึ่ง นั่นคือ การพาไปฮ่องกงดีสนีย์แลนด์นั่นเอง


Create Date : 29 เมษายน 2556
Last Update : 2 พฤษภาคม 2556 8:19:38 น. 5 comments
Counter : 8078 Pageviews.

 
ตามไปเที่ยวด้วยครับ


โดย: แมวเซาผู้น่าสงสาร วันที่: 1 พฤษภาคม 2556 เวลา:20:27:51 น.  

 
สวัสดีครับ

ผมขอสอบถามเรื่องที่พักครับ

Carlton Guest House ที่อยู่ก็คือ ชั้น 15 Block C Flat C1 เลขที่ 36-44 Nathan Road, Chung King Mansion, Tsim Sha Tsui

เราจะเสียค่าประกันห้องไหมครับ

และเข้าเช็คอินต้องตามเวลาหรือป่าวครับ

พอดีกำลังจะไปพักที่นี่ครับ

ขอบพระคุณครับ


โดย: บอล IP: 27.130.138.65 วันที่: 4 พฤษภาคม 2556 เวลา:17:04:54 น.  

 
ผมจองผ่านทาง agoda จ่ายเงินเรียบร้อยเสร็จสรรพ ก็ไม่มีการเรียกเก็บเงินประกันค่าห้องอะไรอีกนะครับ

ส่วนเรื่อง Check in ปกติก็บ่าย 2 ครับ ถ้าเช็คอินก่อนก็ได้ครับ ถ้าห้องเขาว่าง ก็เข้าได้เลย หรือจะ Late check in ก็มีคนเฝ้าตลอดครับ


โดย: prapasawat วันที่: 7 พฤษภาคม 2556 เวลา:13:02:43 น.  

 
เราได้รองเท้าที่ K11 ในราคา 855$ ราคาปกติที่ไทยรุ่นที่ซื้อตั้ง 4900 บาท ภูมิใจมากอ่ะ


โดย: Nong IP: 124.122.3.37 วันที่: 22 กรกฎาคม 2556 เวลา:20:17:14 น.  

 
ย่านซิมซาจุ่ย อยู่ฝั่งมาเก๊า หรือฮ่องกง คะ


โดย: โยลานาดา IP: 171.100.164.44 วันที่: 5 สิงหาคม 2556 เวลา:22:40:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.