All Blog
รีวิวหนังสือ "แมงกะพรุนไม่เป็นน้ำแข็ง" โดย อิจิคาวะ ยูโตะ
รีวิว "แมงกะพรุนไม่เป็นน้ำแข็ง"

ขอเกริ่นหน่อย พอดีหนิงได้หนังสือเรื่องนี้มา วางอยู่บนชั้นนานพอสมควร รู้สึกว่าชื่อเรื่องไม่ค่อยดึง แต่ว่าเพราะคำโปรยที่ทะเยอขนาดนี้ “เป็นผลงานที่ได้ชื่อว่า “And Then There Were None” แห่งศตวรรษที่ 21” เชียวน้า โปรยซะขนาดนี้ก็ตั้งความหวังไว้สูงมากทีเดียว และ ก็คิดว่าคงต้องลองกันหน่อย เลยได้ลองอ่านดู 

และก็ชอบมากจริงๆ ด้วย

ขอเล่าเป็นเรื่องย่อก่อน แล้วค่อยรีวิว ทีนี้ถ้าจะรีวิว ก็ต้องสปอยหนักมาก เพราะงั้น ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ก็อ่านเฉพาะเรื่องย่อก็ได้ และหยุดตรงรีวิวไปก่อน และไปอ่านเถอะ แนะนำแบบไม่ต้องมีคำอธิบายยืดยาว ของเขาดีจริง
 

เรื่องย่อ (แบบเล่าเอง)

เหตุเกิดในช่วงปี 1983 มีเจลลี่ฟิช...เอิ่ม...คือมันคือเรือเหาะขนาดเล็กที่ใช้เป็นวิทยาการพิเศษ ทีนี้เรื่องมันก็เกิดขึ้นคือมีการบินทดสอบเรือเหาะนี้โดยทีมวิจัยจำนวน 6 คน ในระหว่างทาง เรือเหาะเกิดควบคุมไม่ได้และมุ่งไปยังภูเขาหิมะ ในเวลานั้น ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจลลี่ฟิช มารู้อีกทีก็คือได้รับแจ้งว่า มีเจลลี่ฟิชลุกไหม้ และพบศพคนตายจำนวน 6 คน (พูดง่ายๆ ตายยกลำ) ปัญหาก็คือ ทั้งหมด ถูกฆ่าตาย และไม่ได้มีใครที่ฆ่าตัวตาย เพราะงั้น ใครฆ่าทั้งหกคนนี้ 
เรื่องย่อแบบไม่ปอยก็เล่าได้แค่นี้ ต่อไปก็จะรีวิวกับปอยเด้อ

รีวิว

ก่อนจะรีวิว ขอเล่าเรื่องตัวเองก่อนว่าสำหรับเรื่องสืบสวนสอบสวนเนี่ย ถือว่าเป็นแฟนอกาธ่าตัวยงเลย เลิฟมาก แต่จะไม่ชอบเรื่องสืบสวนสไตล์เมกัน พวกแจ็คริชเชอร์ ที่แบบพระเอกหนีการตามล่า และสุดท้ายก็โดนเคาะหัว จับไปมัดกะเก้าอี้ โดยคนใกล้ตัว สุดท้ายก็รอดมาได้อะไรแบบนี้ ส่วนเรื่องสไตล์ญี่ปุ่น จะชอบเป็นบางเล่ม เพราะไม่ชอบสไตล์เรื่องที่ออกแนวถ่อมเนื้อถ่อมตัวของญี่ปุ่น ที่ทำให้เรามองอะไรก็ไม่ค่อยชัด จะรู้สึกตามตัวละครก็ไม่ค่อยฟิวได้ เพิ่งจะมาค่อยๆ โอเคกับมันเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านี้ เรื่อง "Goth" ทำให้รุ้งตื่นตะลึงกับนิยายญี่ปุ่นมาแล้ว สำหรับรุ้ง เรื่องนี้ทำให้รุ้งรู้แบบนั้นได้อีก เพราะงั้น highly recommend จริงๆ 

สิ่งที่อยากพูดถึงเป็นอันดับแรกก็คือ ปกหนังสือชวนงง ตอนแรกนึกว่าจะให้อ่านจากซ้ายไปขวาแบบญี่ปุ่นซะอีก จริงๆ ไม่ใช่ไม่ชอบนะ มันไม่ได้มีผลกับการอ่านหรอก แต่มันเป็นฟิลที่พอทุกครั้งที่เราปิดหนังสือ เราจะเห็นแต่ปกหลัง มันไม่ได้ฟิลนะ ลองคิดดูง่ายๆ เวลาเราแค่ปิดหนังสือ (เอานิ้วคั่นไว้) แล้วหันไปกินกาแฟ เวลาเราจะเปิดหนังสือมาอ่าน แทนที่เราจะได้เห็นภาพหน้าปกที่มีเจลลี่ฟิชลอยอยู่ ต้องมาเป็นปกหลังที่ตัวหนังสือพรืดๆ มันไม่ได้ส่งเสริมจินตนาการสักเท่าไหร่นักนะ แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร บางคนก็อาจจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป

ต่อมา สิ่งที่จะสังเกตได้ต่อก็คือ สารบัญ คนเขียนบอกใบ้มาซะขนาดนี้ แปลว่าลำดับเวลาสำคัญมาก สารบัญได้บอกวิธีการเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้เรา ซึ่งเรื่องปกติเขาไม่ทำกันขนาดนี้ แปลว่าเงื่อนเวลา มีผลกับเรื่องแน่นอน

ในสารบัญจะแบ่งบทออกเป็นคู่ๆ บทที่ 1 จะเล่าเหตุการณ์บนเจลลี่ฟิลในช่วงเวลาที่ทั้ง 6 คนมีชีวิตอยู่ และบทที่ 2 ก็จะเล่าเหตุการณ์การสืบคดีของคุณตำรวจซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาได้รับแจ้งการตายของทั้งหกคนแล้ว ระหว่างสองบทจะคั่นด้วย interlude ซึ่งจะเป็นการเล่าผ่านตัวฆาตกร มันทำให้เรารู้ว่า มีฆาตกรจริงๆ และที่สำคัญ ฆาตกรยังมีชีวิตอยู่ เพราะงั้น ทุกบทที่เป็นเลขคี่จะเล่าเหตุการณ์ของทั้งหกคน และบทเลขคู่จะเล่าการสืบสวนของตำรวจ

ทีนี้ สิ่งที่รุ้งชอบของนิยายสืบสวนทั้งหมด ก็มาโผล่ในเรื่องนี้หมดเลย รุ้งชอบบรรยากาศและการเล่าเรื่องของอกาธ่า เรื่องนี้มีกลิ่นอกาธ่าเยอะมาก รวมถึงเหตุการณ์และบรรยากาศในที่ที่เกิดการฆาตกรรม รุ้งไม่ชอบความแอ็คชั่นสืบคดีแบบเมกัน เรื่องนี้ก็เน้นไปทางเหตุการณ์ที่ตามสืบคดีมากกว่าที่พระเอกโดนตามล่า และรุ้งไม่ชอบความเก็บงำถ่อมเนื้อถ่อมตัวแบบญี่ปุ่น

แต่เรื่องนี้ open มาก เรามองเห็นทุกอย่างที่ตัวละครเห็น ตัวละครรู้สึก มันทำให้เราจินตนาการไปได้ไกลมาก มองเห็นภาพทุกอย่างชัด เขาปล่อย clue ออกมาตลอด และ บาง clue ก็ปล่อยใหญ่หน่อยให้เราสงสัยบ้าง แต่บางอันก็เก็บงำเชียว จนมาเซอร์ไพร์สทีหลัง งานดีมากจริงๆ และตัวละครฉลาด ที่พูดว่าฉลาดนี่คือของจริง บทสนทนา การตามสืบ ทุกตัวละครไม่โง่ และตอนที่เรากำลังด่าบางคนอยู่ว่า โง่เปล่าวะ และก็มีคำตอบจากสวรรค์ในตอนต่อๆ ไป ว่า เออ ... ไม่โง่ 555

ขอยกตัวอย่างของการปล่อย clue คร่าวๆ ละกัน สำหรับเรื่องประเภทนี้ อย่างแรก รุ้งไม่ได้ตั้งใจจะทายให้ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น รุ้งแค่อยากจะสนุกไปกับเรื่อง ได้ชื่นชมการวางแผนที่ดีของคนเขียน ชื่นชมในการเลือกวิธีการเล่าเรื่อง ดูว่า POV มันมีผลกับเรื่องมากแค่ไหน เพราะงั้น ก็ไม่ได้อยากจะทายถูกว่าฆาตกรฆ่าวิธีพิสดารแค่ไหนหรือใครกันแน่เป็นคนร้าย เพราะงั้นรุ้งจะอ่านเรื่องสืบสวนสอบสวนค่อนข้างระมัดระวัง ไม่ค่อยอ่านผ่านๆ และก็จะเก็บคำถามที่ผุดขึ้นมาในตอนอ่านไว้ในใจ เผื่อไปหาคำตอบเอาข้างหน้าและจะได้ enjoy กับ moment ที่เราไปเจอสิ่งละอันพันละน้อยที่คนเขียนตั้งใจใส่เข้าไป

ในบทที่ 1 เป็นเล่าตอนที่เจลลี่ฟิชลอยอยู่ปกติ และมีการให้ข้อมูลการบินว่าจากวันที่ 7-9 กพ (เพราะเริ่มเรื่องในวันที่ 7) และก็มีลิสต์ของคนที่อยู่บนเรือบิน 6 คน หน้าแรกก็บอกเราแล้วว่า ทุกคนต้องตายในระหว่าง 7-10 กพ (เพราะตำรวจได้รับแจ้งวันที่ 11 กพ และสิ่งที่ตงิดใจแรกก็คือ คนที่ 6 พนักงานชั่วคราว (mark ไว้ในใจก่อน) บทแรกเป็นวิธีเล่าเรื่องที่อกาธ่ามาก (อันนี้รู้สึกส่วนตัวนะ) คือจะเล่าผ่านตัวละคร (เกือบ) ทุกตัวว่ากำลังทำอะไรในตอนนั้น ถือว่าเป็นการให้แบ็กกราวตัวละคร ซึ่งในปัจจุบัน ไม่ค่อยเจอนะ หรือว่าอ่านน้อยก็ไม่รู้ คือเดี๋ยวนี้นิยายต้องเล่าเร็ว พอมาค่อยๆ โหมโรงแบบนี้ นอกจากรู้สึกถึงอกาธ่าแล้ว มีอีกสิ่งที่เป็นคำถามที่แรงมากคือ ตัวละครดูมีความตื่นกลัวมาก รวมถึงกระบวนการความคิดมันประหลาดมาก ในเรื่องบอกว่าเหมือนการสำรวจนี้มีบางอย่างที่แอบๆ ทำทำให้ตัวละครมีปฏิกิริยาหรือความคิดที่ประหลาดๆ แต่รุ้งว่ามันเกินไป (mark ไว้ในใจ) และในบทแรก ก็มีคนตายเลย

อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้นว่าถ้าเราอ่านแล้วรู้สึกอะไร ขอให้คิดว่า คนเขียนตั้งใจเด้อ เพราะว่าสิ่งที่ mark ไว้ในใจ ได้คำตอบเกือบหมดจ้า ถ้าหากว่าจะให้ลิสต์สิ่งที่ mark ไว้ในใจ ขอบอกว่ายาวเป็นหางว่าว 

อย่างที่บอกว่าสิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือตัวละคร แน่นอน ใน 6 คนที่ตาย เป็นทั้งหัวหน้าทีมวิจัย นักวิจัย เพราะงั้นไม่มีใครโง่หรอก แต่ว่าสถานการณ์ที่มีคนตายอาจจะทำให้บางอย่างบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่ก็ถือว่าฉลาดหมดแหละ แต่ที่ชอบมากกว่าคือพวกข้างล่าง พวกสืบสวนประกอบด้วย มาเรีย (จำตำแหน่งไม่ได้) และ เรน (เป็นลูกน้องมาเรีย) ฉลาดทั้งคู่ และการเล่าถึงทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำให้เรื่องเครียด ดูน่ารักดี บางมุกตลกมาก สิ่งที่เราถาม หรือสิ่งที่เราคิด ไม่ต้องห่วง พวกนี้ช่วยพูดให้เราหมด เช่น ตอนที่ทหารมาเก็บกู้เจลลี่ฟิช ตำรวจเพิ่งได้รับแจ้ง แต่ทหารมาเร็วมาก เร็วเกินไปซะด้วยซ้ำ เราสงสัยได้ (mark ไว้ในใจเหมือนเดิม) เจ๊มาเรีย แกเลยถามให้ซะเลย หรือว่าตอนนี้เมื่อหลายปีที่แล้วมีคนฆ่าตัวตาย เราก็คิดว่าตำรวจมันเอ๋อรึเปล่า ข้อสงสัยเยอะแยะ ปิดคดีไปได้ไง เจ๊ก็ไปถามเลย และตำรวจก็ส่งคำตอบมากระแทกหน้าเลยว่า ไม่โง่เฟ้ย มันมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมากกว่านั้น เพราะงั้น ใครกลัวว่าจะเครียดๆ พูดเลย บางช่วงตลกและสนุกมาก 

ขอพูดถึง interlude หน่อยละกัน อันนี้จะออกแนวมองผ่านความคิดของฆาตกร ส่วนตัวชอบตอนที่ฆาตกรเล่าถึงตอนเอาหินทุบหัว ทุบๆๆๆ ก็แอบคิดว่า ไอ้คนที่ถูกทุบน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ตาย ใครหว่า จากทฤษฎีส่วนตัว ถ้ามีการตายเป็นซีรีส์ คนสุดท้ายที่ตาย เป็นคนที่จะสมควรโดนที่สุด และ interlude นี่เองทำให้พอเดาได้ว่า ฆาตกรนี่มันก็ psychopath ระดับหนึ่งเลย ไม่โรคจิตทำไม่ได้นะ

อีกอย่างที่ชอบคือการเล่าสลับเวลา สำหรับเรื่องสืบสวน เรื่องลำดับเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ว่าจะสปอยไปบ้างเล็กๆ น้อย แต่ก็ไม่อยากเล่ามากไปกว่านี้ เพราะงั้นส่วนเรื่องที่เป็นจุดสำคัญก็ยังอยากเก็บไว้อยู่ ถ้าอ่านไปปลายๆ เรื่องจริงๆ ก็รู้กันอยู่แล้วล่ะว่าใครเป็นฆาตกร แต่ว่าอย่างที่บอก ใครฆ่าไม่ได้สำคัญไปกว่าการเล่าเรื่องทั้งหมด เพราะงั้น ก็อยากให้ตามเรื่องให้สนุกละกันค่ะ 

 



Create Date : 03 ธันวาคม 2562
Last Update : 3 ธันวาคม 2562 21:58:51 น.
Counter : 5044 Pageviews.

2 comments
  
ไม่เคยอ่าน And Then There Were None ควรต้องไปอ่านก่อนเล่มนี้มั้ย
โดย: Froggie วันที่: 4 ธันวาคม 2562 เวลา:9:24:51 น.
  
@ พี่กบ -- ไม่ต้องอ่านก็ได้ค่ะ เขาแค่ refer ในเชิงสไตล์การเขียนมากกว่าเนื้อเรื่อง :)
โดย: peiNing วันที่: 4 ธันวาคม 2562 เวลา:23:51:08 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

peiNing
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]



เป็นเด็กกรุงเทพแท้ๆ แต่อยู่บ้านนอกของกรุงเทพน่ะนะ ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษนอกจากแกล้งสัตว์เลี้ยงที่บ้าน นั่นคือนกฮู้ผู้มีอายุ 10 ปีได้ (นกแก่มีหนวด) (แต่ตอนนี้ในที่สุดนกฮู้ก็จากไปอย่างสงบ ไม่รู้อายุรวมเท่าไรแต่มาอยู่ที่บ้านได้ 11 ปี ขอไว้อาลัยปู่ฮู้ ขอให้ไปสู่สุขคตินะ T^T)

ขอชี้แจงอีกอย่าง ชื่อ peiNing นี้ เป็นชื่อที่พี่กะน้องใช้ร่วมกันสองคน ดังนั้นอย่างงว่าเดี๋ยวก็แทนตัวว่ารุ้งบ้างหนิงบ้าง ก็มันคนละคนนิ (รุ้งน่ะคนพี่ หนิงน่ะคนน้อง)

FB สำหรับคนชอบงานเขียน peiNing ค่ะ

FB สำหรับคนชอบบทความสอนห้องเรียนนิยายค่ะ

  •  Bloggang.com