วันนี้ผมเดินทางโดยใช้ทางด่วน ข้ามสะพานพระราม9 แล้วไปลงที่ถนนพระราม2
ผ่านสมุทรสาคร มายังสมุทรสงครามได้อย่างสะดวกโยธินดีนักแล
ก่อนเลี้ยวขวาเข้าอัมพวา กองทัพของเราเลี้ยวซ้ายเพื่อแวะทานข้าวที่ดอนหอยหลอดกันก่อน
ขออำไพ รูปอาหารไม่ได้ถ่ายมาครับ มือเปื้อนกุ้ง เลยกลัวกุ้งจะเปื้อนกล้อง
หลังจากที่อิ่มจนจุก เราก็ข้ามฝั่งพระราม2 ไปยังสถานีรถไฟแม่กลอง
โดยจอดรถที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร พระท่านจัดลานไว้ไห้จอดรถฟรีครับ
วัดเป็นที่พึ่งของชาวบ้านเสมอ สาธุ...
พอลงจากรถ เจ้าถิ่นหัวสูงก็โผล่มาจากกำแพงวัดทันที ผมถูกรีดไถเอาสเต็กทูน่า
ด้วยสายตาอันแสนเว้าวอน เราต่อรองกันอยู่พักใหญ่ จนมาตกลงกันได้ที่
ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ
จากลานจอดรถวัดเพชรสมุทรฯ เดินมาอีกนิดเดียวก็จะถึงสถานีรถไฟแม่กลองเป้าหมายแรก
กะว่าจะใช้วิธี 1 ก้าว = 1 เมตร เพื่อวัดระยะทาง แต่อนิจจังสังขาร เกิดมาขาสั้น! ก้าวไม่ถึงเมตร
จึงทำให้ต้องรบกวนอาแม็พญาติอากู๋อีกครา ซึ่งอาแมพแกวัดออกมาได้ 160 เมตรพอดิบพอดีครับ
เพียงแค่ 160 เมตร มองจากกำแพงวัด เราจะเห็นที่กั้นรถไฟอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใช้เวลาเดินไม่ถึงนาที
แต่ถ้าจะช้าก็เพราะแวะชิมโน่นชิมนี่ เพราะระหว่างทางมีของขายมากมายครับ
เจ้าถิ่นกินปลาซาร์ดีนยังไม่ทันหมด เราก็เดินมาถึงสถานีรถไฟแม่กลองแล้วครับ
ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็คือตลาดริมทางรถไฟ หรือตลาดเสี่ยงตาย หรือตลาดหุบร่ม
หรือตลาดร่มหุบ แล้วแต่อัธยาศัย
เรามาถึงก่อนรอบรถไฟเกือบชั่วโมง จึงเดินช็อปเพลินๆในตลาดกันไปก่อน ที่นี่มีสินค้ามากมาย
ทั้งผลหมากรากไม้และเครื่องปรุงรส สินค้า5ดาวของที่คงหนีไม่พ้นปลาทูแม่กลอง
...............................................................................................
ผมถามป้าขายปลาทูว่า...
"ป้า!ปลาทูแม่กลองต้องหน้างอคอหัก แต่ปลาทูป้าตรงแน่วเป็นไม้บรรทัดเลย
ป้าเอาของปลอมมาขายได้ไง "
ป้าแกจึงตอบกลับมาเบาๆว่า...
"อยากได้ของแท้ ยื่นคอเอ็งมาซิ ป้าจะหักให้"
...............................................................................................
อะล้อเล่นครับ จริงๆแล้วที่ว่าหน้างอคอหักต้องเป็นปลาทูนึ่งในเข่ง ต้องหักคอจึงจะฆ่ายัดเข่งได้
ส่วนที่เห็นกองอยู่ในภาพนั้น เป็นปลาทูสด สดไม่สดดูตาสิ ใสแจ๋วเลย
ที่นี่เป็นเขตเศรษฐกิจที่คึกครื้นดีจริงๆครับ ลูกค้าก็มีทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจากนานาชาติ
โดยส่วนใหญ่จะเป็นชาวเอเชีย ด้วยความร่วมมือที่เป็นหนึ่งเดียวของภาครัฐ วัด และชาวบ้าน
ทำให้ที่นี่ ทุกคนทำมาหากินด้วยลำแข้งของตัวเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีครับ
และความพิเศษรองลงมาจากรถไฟ ซึ่งผมไม่ได้คาดหวังไว้ก็คือ
ที่นี่ สาวเยอะมากกก ระรานตามากก
แต่เล็งบ่อยไม่ได้ครับ เพราะอีเจ๊จับตาดูอยู่!! จึงต้องทำเป็นเล็งมุมรอรถไฟต่อไปด้วยใจเศร้าหมอง
การรอรถไฟ ทำให้เราได้ใกล้กันมากขึ้น พูดคุยกันมากขึ้น.. มั้ง?
ปู้น..เสียงหวูดรถไฟส่งสัญญาณแว่วมาจากทางสถานี พลแม่นปืนทั้งหลายจึงพร้อมเล็ง
และช่วงเวลาต่อจากนี้ สำนักข่าว ABCDEF จะขอเกาะติดสถานการณ์แบบนาทีต่อนาที
เมื่อแว่วเสียงหวูด ด้านผู้ประกอบการต่างเก็บของกันอย่างชำนาญ ด้วยความนิ่งและมั่นคงดุจหินผา
สองมือจ้วงเก็บร่ม สายตาจับจ้องเฝ้าระวัง ประสบการณ์นานนับสิบปีเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดี?
ใครเก็บเสร็จก่อนก็แสนสบาย เดินเฉิดฉายอยู่บนแคทวอร์ค
ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เหล่ามือโปรก็เคลียร์ทางให้การรถไฟได้สำเร็จตลอดเส้นทาง
ว่างๆช่วยไปเคลียร์ม็อบให้ทีครับ รถติดม๊ากมากกก
เมื่อหัวจักรควบตะบึง เสียงชัตเตอร์ก็ลั่นสนั่นไปทั้งแม่กลอง
ประสานกับเสียงคำรามของสมิงเหมียวเจ้าถิ่น ที่มุ่งเผชิญหน้ากับเจ้าม้าเหล็กอย่างไม่เกรงกลัว
นับเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีโดยแท้จริง...
แต่ทว่า..ชาวบ้านทนเห็นเจ้าถิ่นแหลกคาตาไม่ไหว ศึกวันทรงชัยจึงจบลงอย่างกระทันหัน
เหล่าเซียนพนันต่างโห่ระงมด้วยความไม่พอใจ
ปู๊น...แช๊ะ! ปู๊น...แช๊ะ! นี่คือสำเนียงที่ไม่เหมือนใคร ของรถไฟไทย ณ ถิ่นแม่กลอง
เฟียววว...... ลมจากแรงขับเคลื่อนทีตีเข้าหน้าในระยะประชิด ได้อารมณ์อย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
ผมว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะพาลูกหลานตัวเล็กๆมาเที่ยว เพราะหากเผลอเพียงนิดเดียวอาจเกิดเรื่องเศร้าขึ้นได้ครับ
แล้วรถไฟก็วิ่งผ่านไป แม้เพียงไม่กี่วินาที ก็สามารถทำให้เราสนุกกับแหล่งท่องเที่ยวนี้ได้
โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูป
พ่อค้าแม่ขายต่างกางร่มและกันสาด เพื่อทำมาหากินกันต่อ
ส่วนนักท่องเที่ยว ก็ยังลั่นชัตเตอร์ตามรถไฟไปอย่างไม่ลดละ
แล้วชั่วแว็บเดียว ตลาดก็กลับคืนมาอีกครั้ง เป็นวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีซีรี่ย์ให้ตามรอย
แค่ไปที่แม่กลอง ก็มีให้ชมกันทุกวัน
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเสี่ยงตายจากตลาดร่มหุบ เราเดินทางต่อมายังตลาดน้ำอัมพวาซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
วันนี้ผมมีผู้ร่วมทริปทั้งหมดสี่คน แต่รู้สึกเหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เหตุเพราะทุกคนมีเพื่อนชื่อ
สตีฟ จ๊อบ มือถือทำให้คนที่อยู่ไกลได้พูดคุยกันมากขึ้น แล้วคนที่อยู่ใกล้ๆละ --.--"
ช่วงเย็นของตลาดน้ำอัมพวา ผู้คนคึกคักมีสีสัน
เวลาผมไปไหนมาไหน ก็ชักจะเริ่มชินซะแล้วครับ กับการถูกเหล่าบรรดาสาวๆแอบถ่าย หุหุหุ
อิอิ จริงๆแล้ว เค้าถ่ายเจ้านี่กันครับ บาบีก้อน โดนจับมัดอยู่บนสะพาน
ช่างสรรหาวิธีโฆษณากันจริงจริ๊ง
ที่อัมพวาของกินคึกครื้น เศรษฐกิจก็เลยคึกคัก
อยากกินอะไรก็มีให้เลือกไม่อั้น ไม่ว่าจะ หมู หมึก กุ้ง (แนะนำให้ลองพูดติดๆกัน3รอบ)
หมู หมึก กุ้ง หมู หมึก กุ้ง หมู หมุก กึ้ง..!!
เหล่าบรรดาสาวก ลัทธิบริโภคนิยม
และนี่..คือผลพวงจากการ นิยมบริโภค
สายตาเหลือบไปเห็นการผสมผสานระหว่างสองวัฒนธรรม โอ้ว..บระจ้าว!!! ฝรั่งกินเบียร์ผสมน้ำจิ้ม
อยากจะลองกินฝรั่ง เอ้ย!!อย่าจะลองกินเบียร์รสน้ำจิ้มดูบ้างครับ
เมื่ออิ่มแล้วก็เดินเล่นชิวๆ แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปสินค้ามา เพราะเค้าติดป้ายห้ามถ่ายกันเยอะครับ
ผมเคยทำงานด้านโปรโมชั่นมาก่อน สื่อฟรีคือขุมทองของธุรกิจ
ส่วนนักก็อปปี้ เค้าไม่ต้องถ่ายรูปกันหรอกครับ จำไปก็ก็อปได้แล้ว
ช่วงเวลาแดดร่มลมตก ที่อัมพวา สงบ ร่มเย็น วิถีแห่งความสุขที่กำลังเลือนหายไปเพราะสังคมที่วุ่นวาย
พลบค่ำ นักท่องเที่ยวต่างทยอยกันลงเรือ เพื่อไปชมความงามของหิ่งห้อยตัวเป็นๆ
อีกสักครู่ ท่านจะได้ชมภาพหิ่งห้อยที่สวยงามตระการตา
งามมั้ยครับ? ".............................."
ไม่ใช่ไม่มีหิ่งห้อยนะครับ มีให้เห็นตลอดทาง แต่มันถ่ายยากเพราะเรือแล่นตลอด
อีกทั้งหิ่งห้อยก็ไม่ได้จับกลุ่มกันเยอะพอที่จะถ่ายให้เห็นแบบระบบสุริยะจักรวาล
และถ้าหวังจะมาทำซึ้งแบบหนัง"รักจัง" คงไม่อลังการแบบนั้น
ใครที่อยากจะถ่ายรูปหิ่งห้อยแบบจริงๆจังๆคงต้องเหมาเรือมาเอง หรือไม่ก็ต้องทำใจกล้า
บอกให้คนขับเรือเค้าจอด แต่อย่าลืมว่าเค้าต้องทำรอบนะครับ มีเวลาเงินเวลาทองแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ดังนั้น กลับเข้าฝั่ง ไปดูแสงสียามค่ำคืนของอัมพวากันดีกว่า
ผมชอบอัมพวาช่วงกลางคืนมากกว่าครับ คนไม่แน่นจนเกินไป ไม่ร้อน และดูมีสีสันกว่า
ปิดท้ายด้วยบรรยากาศของอัมพวายามค่ำคืน
ว่างๆออกไปเที่ยวกันให้สนุกนะครับ อย่าทำงานจนเครียดมาก เพราะชีวิตนี้ มันสั้นนัก..
สุดท้ายนี้..ขอฝากเพจท่องเที่ยวน้อยๆ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ
คลิ๊ก จุดพักนักเที่ยว