Group Blog
 
All blogs
 

Journey in America: Chapter 1 BKK2LA

การนั่งเครื่องบินนานๆ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก และการเดินทางออกนอกประเทศนานๆ ครั้งแรก ผมก็คิดว่าควรจะสวมชุดที่มันสบายๆ ผมเลยใส่เสื้อบอลประเพณีซะเลย (ซึ่งเสื้อตัวนี้จนปัจจุบันผมก็ไม่ได้ใส่อีก เพราะมีความคิดว่าอยากจะใส่มันอีกครั้งในวันที่เรากลับประเทศไทยแบบถาวร) แต่มันก็ยังทำให้ผมอึดอัดกับ 18 ชั่วโมงบนเครื่องอย่างมาก ซึ่งผมคิดว่า ไม่น่าจะมีเสื้อผ้ายี่ห้อไหน ทำให้คุณหลับสบายในชั้นประหยัดของเครื่องบินได้

ด้วยความที่ไม่ค่อยจะได้นั่งเครื่องบ่อย สิ่งที่ผมอยากจะเห็นก็คือ วิว ซึ่งผมก็เลือกริมหน้าต่างเลย เพื่อที่จะได้เห็นเต็มๆ ... จะบอกไว้สำหรับคนที่คิดคล้ายผมว่า อย่าคิดจะดูอะไรเลยครับ คุณจะเห็นแต่ท้องฟ้าเท่านั้น วิวสวยๆ มันก็จะมีแค่ตอนเครื่องขึ้นหรือลงเท่านั้น ไม่คุ้มกับการที่จะต้องลุกขึ้นขอทางคนข้างๆ เพื่อไปห้องน้ำ หรือหยิบอาหารเครื่องดื่มข้ามหัวเขาไปมา ข้อดีสำหรับที่นั่งริมหน้าต่างบางที่นั่ง คือมันจะมีที่ว่างให้คุณอีกนิดหน่อยตรงระหว่างหน้าต่างกับตัวคุณ แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะครับ

หกชั่วโมงจากกรุงเทพถึงโอซาก้า ผมก็มีโอกาสยืดเส้นยืดสาย แต่ก็ต้องกลับไปนั่งขดต่ออีก 10-12 ชั่วโมงเพื่อถึงที่หมายนั่นคือ ลอส แองเจลิส

ภาพแรกเมื่อเครื่องมาถึงน่านฟ้าอเมริกา ก็คือวิวของบ้านเรือนครับ หากคุณมองจากบนฟ้า คุณจะเห็นบ้านเรือน เรียงเป็นตารางอย่างมีระเบียบ เห็นฟรีเวย์ยาวตัดกันเป็นสี่เหลี่ยม ดูยุ่งเหยิงตรงจุดตัดที่มีทางเชื่อมนิดหน่อย การผังเมืองของประเทศพัฒนาแล้วมันต่างกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราลิบโลก แต่ในความมีระเบียบนั้นผมว่ามันขาดไปอย่างหนึ่ง คือชีวิตชีวา บางครั้งความเป็นระเบียบ หรือความเหมือนๆกัน ซ้ำๆกันของอะไรก็ตาม มันทำให้ชีวิตดูน่าเบื่อ เพราะฉะนั้นบางคนจึงมองของที่รกรุงรัง หรือสีสันที่ฉูดฉาดคาดเดาที่มาที่ไปลำบาก เป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าได้ แต่สำหรับผังเมืองในแง่ประโยชน์ใช้สอยก็คงต้องมาก่อน โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ค่อยจะมีชั้นเชิงทางศิลปะเท่าไหร่

คิดไปเรื่อยเปื่อย เครื่องก็ลงจอดเรียบร้อย ที่สนามบินนานาชาติแห่งลอส แองเจลิส เป็นสนามบินที่วุ่นวายแห่งหนึ่ง เครื่องบินจากทั่วโลกดาหน้ากันลงจอด จนไม่มีที่จอดเชื่อมกับอาคารผู้โดยสาร ทำให้ต้องจอดรอ เราก็รอกันไป เกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากลงสู่พื้น ผมถึงได้สูดอากาศแรกของอเมริกา

สนามบินที่นี่จัดว่าทันสมัย แต่เก่า ถ้าคุณลองมาดูจะพบว่ามันเก่าจริงๆ คงเพราะวันๆ นึงมีคนผ่านมาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคน และแถมยังตลอด 24 ชั่วโมงอีกต่างหาก ผมก็เดินผ่านมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง น่าแปลกที่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่หน้าตาเหมือนชาวเอเชียบ้านเราซะมาก หลายคนยิ้มแย้มแจ่มใส หลายคนพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส หลายคนดุเหมือนโดนแฟนขัดใจมา ก็เข้าใจว่างานมันค่อนข้างเครียด ...ผมไม่ต้องสื่อสารอะไรมากนัก เพราะเอกสารผมก็ครบถ้วนดี ...สำหรับคนที่จะผ่านเข้าออกด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ไหนก็ตาม คุณจะต้องพบกับคำถามยอดฮิตซึ่งก็เหมือนกับเวลาเราเจอเพื่อนโดยบังเอิญ เราก็จะถามเขาว่า “ไปไหนมา” แต่ทีนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เขาก็จะถามคุณว่า “จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้คืออะไร” และ "จะอยู่นานแค่ไหน” สองคำถามนี้คุณต้องตอบแน่นอน นอกนั้นก็แล้วแต่ว่าเขาอยากทราบอะไร

ทีนี้พอจากทางออกผู้โดยสารขาเข้า (งงมั๊ยครับ ทางออก ผู้โดยสารขาเข้า) ผมก็ได้พบกับเจ้าของบ้านที่ผมจะไปพักอยู่ และตรงนี้เองก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตในต่างประเทศของผม...




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2548 15:47:01 น.
Counter : 325 Pageviews.  

Journey in America: Preface

American Journay เป็นเรื่องที่ผมจะเล่าถึงช่วงเวลาที่อยู่ในอเมริกาครับ ซึ่งถึงปัจจุบันที่เขียนนี่ ก็ยังอยู่ในอเมริกา วิธีที่จะเขียนก็คือจะเขียนไปเรื่อยๆ นะครับ จบเป็นบลอกๆ ไป แต่ก็คงจะได้หลายบลอกอยู่ เพราะมันมีหลายประเด็นมาก

Preface

ในตอนนี้จะเล่าถึงเหตุและผลในการไป เมื่อ 5 ปีก่อน ไม่ต้อง 5 ปีก่อนหรอก ในศตวรรษนี้ การเรียนจบปริญญาตรีในประเทศไทย มันไม่ได้สร้างโอกาสที่ดีเลยในอาชีพ การเรียนต่อปริญญาโทที่หลายสิบปีก่อนคือของโก้เก๋ที่ทำกันไม่ได้ง่ายๆ กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการไต่เต้าขึ้นสู่ระดับที่พอจะหายใจลึกๆได้ในโลกการงานอาชีพ ผมเองไม่เห้นด้วยที่ดีกรีการศึกษาจะเป็นประเด็นหลักของโครงสร้างเงินเดือนในสังคมไทย แต่มันก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่ว่ากันล่ะ(เพราะผมก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้เช่นกัน) ผมจบปริญญาตรีและไฟแรงอย่างมาก อยากจะหางานทำเพื่อทดลองเคล็ดวิชาต่างๆ ที่ร่ำเรียนมา แต่ที่บ้านได้แนะนำว่าควรไปเรียนต่อต่างประเทศ และควรไปเดี๋ยวนี้ในขณะที่ยังมีเงินสนับสนุนอยู่ 55 จึงเกิดเป็นคนสองกลุ่มกับ 2 ความคิด ผมกลุ่มหนึ่ง(อันที่จริงมีผมคนเดียว) อยากทำงาน ก็เที่ยวสมัครงานไปทั่ว จนได้ผ่านการสอบข้อเขียนและ สัมภาษณ์ของธนาคารไทยพานิชย์ อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่บ้าน(ก็คือกลุ่มคนที่เหลือในบ้านผม) ที่ติดต่อหาโรงเรียนภาษาอะไรต่างๆ นานา และจองตั๋วเครื่องบินกะว่ายังไงผมก็ต้องไป

สุดท้ายกลุ่มหลังก็ชนะ เมื่อเงินเดือนสตาร์ทของผมน้อยจนน่าใจหาย จนผมเองก็สลดใจ กรูเรียนแทบตาย แล้วเมื่อไหร่จะลืมตาอ้าปากได้ คงขอไม่กล่าวนะครับว่าเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องขอเงินพ่อแม่ไปอีกพักใหญ่ล่ะ แต่จริงๆ ก็จะเอาอะไรมากกับเด็กปริญญาตรีเกรดลุ่มๆ ดอนๆ หลังวันรับปริญญาเพียง 1 วัน ผมก็ต้องขึ้นเครื่องไปอเมริกา ประเทศที่ผมเกิดมาไม่เคยไปมาก่อน (อันที่จริง ณ เวลานั้น นอกจากพม่า ผมก็ไม่เคยไปประเทศไหนเลย)

ทำไมต้องอเมริกา....เหตุผลก็คือผมมีญาติอยู่ ญาติของผมเป็นคนไทยและอยู่ในเมืองตากอากาศที่มีชื่อพอสมควรในเขต Los Angeles ชื่อ Big Bear Lake ความต้องการของแม่ คือให้ผมมาพักอยู่กับญาติ อย่างน้อยก็ไม่ต้องดิ้นรนมากนัก ลูกแม่จะได้สบายๆ (ถอดความได้ว่า อยู่นานเปลืองเงิน จะได้รีบกลับ) แต่ทว่าเมืองที่ว่านี้ ไม่มีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยอะไรให้ผมเรียนหรอก ความจริงก็คือผมถูกจะส่งมาอยู่กับคนที่ผมเหมือนจะรู้จัก เพราะเคยเห็นแว้บๆ ที่เมืองไทย เป็นคนไทยอยู่ในเมืองที่มีมหาวิทยาลัย แต่การมาอยู่ที่นี่ต้องเสียค่าเช่า เพราะอันที่จริงก็ไม่ใช่ญาติโยมอะไร แล้วน้ำไฟเขาก็ต้องเสีย จะมาอยู่กันง่ายๆ ก็ดูจะเบียดเบียนกันไปนิด ซึ่งคุณน้าเจ้าของบ้านคนนี้คือคนที่ช่วยผมให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้รวดเร็วขึ้น และช่วยอำนวยความสะดวกผมในช่วงแรกๆ อย่างมาก

หลังจากวันรับปริญญา วันที่ครอบครัวภาคภูมิใจ ยิ้มแย้มถ่ายรูปกัน (แต่ผมโคตรจะเหนื่อย) ผมก็ต้องแพคกระเป๋าทันที แม้แต่ครุยก็ไม่มีเวลาไปคืนเอง แต่ก็ยังมีเวลาไปล้างอัดรูปด่วน (ด่วนจริงๆ) และขนรูปถ่ายวันรับปริญญาทั้งหมดขึ้นไปดูบนเครื่องบิน (ประมาณ 15 อัลบั้ม) นั่งดูรูปที่เราถ่าย ณ ที่ที่เราหันหลังให้ในวันที่อยู่บนเครื่องบินช่วยให้ลดความตื่นเต้นกับการเจอสิ่งใหม่ๆ ได้พอสมควร และเช่นกันก็ทำให้เรานึกถึงความสนุกที่เราจากมา..anyway

ในสคริปการเดินทางระยะยาวของผมก็คือ

1.เรียนภาษา
2.เข้ามหาวิทยาลัย
3.เรียนจบ กลับ

ซึ่งกระบวนการง่ายๆ แบบนี้น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ปีน่าจะเสร็จ แต่ ณ วันที่ผมเขียนนี้ ผมอยู่ที่นี่มา 4 ปี 8 เดือนแล้ว ชีวิตบางทีมันก็ไม่ได้ใช้กันง่ายๆอย่างที่คิด บางครั้งอุปสรรคมันพุ่งมาหาเราเอง บางครั้งก็เพราะเรานั่นแหละที่ทำให้มันยุ่งยาก การตัดสินใจเมื่อเกือบ 5 ปีก่อน ทำให้ผมมีเรื่องมานั่งเขียนวันนี้ แล้วจะเขียนใหอ่านต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในบลอกต่อไปครับ สำหรับคนที่เข้ามาผมก็หวังว่าการอ่านเรื่องของชาวบ้านแบบนี้ คงจะช่วยฆ่าเวลาที่น่าเบื่อๆ ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2548 15:49:12 น.
Counter : 361 Pageviews.  

Equilibrium ในโลกปัจจุบัน

มีความเชื่ออย่างหนึ่ง ที่เชื่อมานานแล้ว คือการที่เราทำอะไรมากไปในด้านหนึ่ง มันจะต้องเกิดผลตรงกันข้ามอย่างเท่าๆ กัน เป็นกฏธรรมชาติที่พยายามจะรักษาระดับสมดุลย์ไว้ ความคิดนี้มีในรูปทฤษฎีเยอะแยะ เช่นทฤษฎีความโกลาหล ที่บอกว่าระบบเมื่อถูกรบกวนจะพยายามสร้างสมดุลย์ใหม่ทุกครั้ง ฯลฯ คงจะไม่พูดถึงทฤษฎี

ลองนึกอย่างง่ายๆ คือถ้ามีขาวก็จะมีดำ ถ้ามีสูงก็ต้องมีเตี้ย มีคนที่ผิวดำมากๆ อย่างชาวอาฟริกัน ก็ต้องมีคนขาวมากๆ อย่างชาวยูโรเปี้ยน หรือนางแบบญี่ปุ่น

ลองนึกถึงเรื่องแรง ถ้าเราดึงเชือกแรง เชือกก็จะไปตึงอีกด้าน ยิ่งดึงมากมันก็ตึงมาก และพอขาดมันก็เด้งกลับมาตามแรงที่เราใส่ลงไปตามกฎฟิสิกส์ หรือของที่มีน้ำหนักมาก เราก็ต้องออกแรงต้านมากขึ้นเพื่อยกมัน

ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย ถึงเรื่องความคิดหรือแนวคิดต่างๆ คือยกตัวอย่างถ้าเรามีคนดีมากๆ ประเสริฐมากๆ เป็นไปได้ไหมว่าในสังคมนั้นจะต้องมีฆาตรกรโหดโจคจิตอยู่มากเหมือนกัน เพื่อทำให้ระบบสมดุลย์ หรือถ้ามีคนรวยมากๆ อยู่ในสังคม ในสังคมนั้นก็จะต้องมีคนจนมากยิ่งขึ้นๆ ยิ่งคนรวยรวยโคตรแค่ไหน คนจนก็จะจนสุดโต่งอะไรทำนองนั้น ซึ่งหากความคิดผมเป็นจริง การทำลายช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ก็จำเป็นต้องสกัดกั้นความรวยของเศรษฐีต่างๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในระบอบประชาธิปไตย

เรื่องความรักก็เช่นกัน หากเรารักแฟนมาก เวลาเลิกรากันไปก็จะรู้สึกเสียใจมาก หรือเกลียดมาก หากเรารู้สึกเรื่อยๆ เชื่อยๆ กับความรัก พอเลิกรากันไป กลับรู้สึกสบายและยังอาจจะกลับมาเป็นเพื่อนได้อีก

ความคิดเกี่ยวกับความสมดุลย์อันนี้ไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ยังไง แต่ในทางวิชาการ บางเรื่องก็พิสูจน์ได้ไม่ยาก เช่นการต้มน้ำ ระบบมีความร้อนเกิดขึ้น น้ำถูกรบกวน จึงต้องหาทางออกโดยการระเหยออกไปเป้นไอ โดยพาความร้อนออกไปด้วยเพื่อปรับระบบให้สมดุลย์ แบบนี้โอเคเข้าใจ แต่อย่างความรักอะไรแบบนั้นคงลำบากหน่อย

แต่มาสะดุดตรงที่ความคิดเรื่องการปรับตัวตามธรรมชาติ มันคล้ายๆ กับคำสอนของศาสนาพุทธเรื่องทางสายกลางพอดี การเดินสายกลางเป็นวิธีการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด การมีมากไป น้อยไป อิ่มไป หิวไป อะไรแบบนี้เป็นการสร้างความไม่สมดุลย์ทั้งนั้น เพราะงั้นผมว่า ระบบโลกทั้งระบบเองก็คงพยายามเดินสายกลางรักษาสมดุลย์ของมันเหมือนกัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คงเป็นปรับตัวของสังคมมนุษย์ ที่ผมเองก็ไม่รู้จะเอามาโยงกันได้ยังไง

แต่พอดีนึกขึ้นมาเลยอยากจะมาแปะไว้ให้อ่านครับ




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2548 14:55:16 น.
Counter : 411 Pageviews.  

เพลงใต้ดิน ทางเลือกที่ใกล้แค่เอื้อม

เมื่อพูดถึงเพลงใต้ดินหลายคนก็คิดไปถึงเพลงที่มีจังหวะรุนแรง มีถ้อยคำหยาบกระด้าง ป่าเถื่อน สามหาว หรือบางครั้งก็ไม่รู้ว่าแม่งร้องภาษาอะไร ซึ่งคนในสังคมส่วนใหญ่ มักจะคิดว่าเพลงพวกนี้เป็นเพลงที่บ่อนทำลาย ไม่จรรโลงโลก หรือไม่ควรที่จะเปิดให้บุตรหลานบังเกิดเกล้าฟัง ซึ่งมันก็จริงอยู่


แต่อันที่จริงเพลงใต้ดินมันก็มีหลายแบบ บางทีเพลงไหนไม่ได้สังกัดค่ายบนดิน ไม่ได้สังกัดแกรมมี่ อาร์เอส ก็จัดให้ลงไปอยู่ในดิน ซึ่งถ้าจะนิยามเพลงใต้ดินว่าเป็นเพลงที่รุนแรงชั่วร้าย เพลงหลายเพลงก็ไม่ได้จะกระหน่ำดนตรียัดรูหูของเราซะเมื่อไหร่ เพลงเมโลดี้สวยๆ เนื้อหากินใจก็มีเยอะแยะมากมาย


ตั้งแต่เด็กๆ เพลงใต้ดินหาฟังโคตรยาก ผมจำความได้เทปม้วนแรกที่ซื้อก็คือมาช่า สาบาน! มาช่าจริงๆ ในช่วงวัยที่วิสัยทัศน์ถูกจำกัด อิทธิพลของสื่อทำให้ผมรู้จักแต่ศิลปินจากค่ายดัง เช่น แกรมมี่ เอสพีศุภมิตร คีตา หรือนิธิทัศน์เป็นต้น ซึ่งองค์กรธุรกิจเหล่านี้ก็ทำดนตรีในรูปแบบ เพื่อมหาชน ละเพื่อปากท้องของตนเอง คือคนหมู่มากเขาฟังดนตรีแบบไหน ก็จะทำแบบนั้น เพลงต่างประเทศไหนดังๆ ก็จะขอหยิบยืมโน้ตมาเป็นแรงบันดาลใจสร้างเนื้อร้องภาษาไทยให้คนเสพกัน จะเรียกว่าทำนองเดียวสองภาษาก็ไม่ผิดนัก ผมจึงได้ยินเพลงที่เรียกว่าเพลงป็อปมาตั้งแต่เด็ก เพราะ... ไม่ใช่ไม่เพราะ แต่เพลงป็อปในส่วนตัวผม คือเพลงที่มันโผล่ขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็มุดหายไปในกาลเวลา (ถ้าจะพูดถึงเพลงเก่าๆ ที่เราฟังกี่ทีๆ ก็เพราะนั้น มันเนื่องมาจากเพลงๆ นั้นได้เข้ามาผูกพันกับชีวิตในวัยเด็กของเรา จึงทำให้เรานึกถึงความทรงจำที่ดี ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกเพลงจะเพราะด้วยตัวของมันเองเสมอไป) ตั้งแต่เกิดมาผมได้ฟังเพลงมาเป็นหมื่นเป็นแสนเพลง บางเพลงก็ลืมไปเลยจนพอบังเอิญได้ยินขึ้นมาก็ถึงจะจำได้ อะไรทำนองนั้น นั่นคือเพลงป็อป วิสัยทัศน์ทางดนตรีในช่วงเจริญวัยจึงค่อนข้างจำกัดอย่างที่ว่า


ถึงตรงนี้ผมพยายามจะแยกคำว่า เพลงที่เพราะ กับเพลงที่ชอบออกจากกัน


เพลงที่เพราะคือเพลงที่ฟังแล้วเพราะ อาจจะเป็นเพลงที่มีเนื้อหากินใจ อาจจะเป็นเพลงที่มีจังหวะทำนองสนุกสนาน แต่เมื่อเราฟังเพลงที่ชอบ มันอาจจะไม่ใช่เพลงที่เพราะ มันอาจจะเป็นเพลงที่ร้องไปสบถไป อาจจะมีเสียงโวยวายเกรี้ยวกราด ด่าทอ แต่เราชอบ นี่เป็นสิ่งที่ผมค้นพบเมื่อได้มีโอกาสเอาวิสัยทัศน์มุดลงดิน ในสมัยมัธยมผมได้ร่วมกลุ่มกิจกรรมกับชมรมสาระบันเทิง ซึ่งมีพี่ๆ ที่มีใจรักในดนตรีและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง ได้แนะนำดนตรีประเภทที่คนทั่วๆ ไปในประเทศนี้เขาไม่ฟังกัน ซึ่งแน่นอนก็ต้องเริ่มจากแนวดนตรีเฮฟวี่ ผลิตผลจากแรงบันดาลใจของคนนอกสังกัดค่ายยักษ์ ที่ได้สัมผัสดนตรีมันๆ ของต่างประเทศ อย่าง Pink Floyd, Led Zeppelin, Black Sabbath, Metallica, Iron Maiden, Megadeth และอื่นๆ ...ทำให้ผมคิดว่า เพลงไทยที่ฟังๆ อยู่นั้นมันเหมือนละอองอะไรซักอย่างในจักรวาลดนตรีจริงๆ ....ด้วยความเคารพ เพลงไทยค่ายดัง ไม่ใช่ไม่เพราะหรือไร้คุณภาพ ผมยอมรับการทำงานและการสร้างสรรค์ ผลงานของพวกเขา อัสนีย์ วสันต์, ธเนศ วรากูลนุเคราะห์, เรื่อยไปจนถึง คุณรณชัย ถมยาปริวัตร คือยอดฝีมือของวงการดนตรีบนดิน แต่ผมมักคิดว่าอะไรที่มันหาได้ยากมันมักจะน่าสนใจกว่าเท่านั้นเอง


โชคดีที่แผงเทปแถวบ้านนำเพลงอันเดอร์กราวมาวางกันบนแผงให้ได้ลองเลือกไปเสพกัน แล้วในที่สุดก็พบความแตกต่างที่ถูกนำเสนอผ่านจังหวะร้อนๆ โดยวงดนตรีที่ผมตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อ อย่าง เฮฟวี่มด ดีเซมเบอร์ ดอน ผีบิน ผมรู้สึกว่าวงการนี้มันน่าสนใจ ผมจึงติดตามเพลงอันเดอร์กราวควบคู่ไปกับ นันทิดา, ใหม่ เจริญปุระ, แร็พเตอร์ และเต๋า สมชาย


ตั้งแต่เริ่มยุคของดนตรีทางเลือก (อัลเตอร์) ในยุคกลางทศวรรษที่ 90 ที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวดนตรีที่แสบหูด้วยเสียงกีตาร์ที่เกรี้ยวกราดอย่าง Radiohead, Shed7, Manic Street Preachers, Oasis, Suede หรือพวกพังค์อย่าง Greenday, Smashing Pumpkins เรื่อยไปถึง ซีแอทเทิล ซาวน์อย่าง Nirvana, Soundgarden จนทำให้เกิดวงไทยสายพันธุ์นี้ออกมามากมาย ซึ่งดนตรีชนิดนี้ทำให้มาตรฐานดนตรีป็อปของไทยดูดุดันขึ้น เป็นเหตุให้ความเบาๆ ของดนตรีป็อปมาพบกันความหนักหน่วงของดนตรีอันเดอร์กราวได้สะดวก โดยนักศึกษาที่สานฝันตัวเองด้วยการหยิบยกสไตล์ดนตรีอัลเตอร์มาเป็นแนวทาง จนเกิดกลุ่มแนวดนตรีในบ้านเราที่เรียกว่า college sound อย่างพวก บาร์บี้, ซิกชายน์, เนอสเซอรี่ ซาวน์, พาราดอกซ์, สี่เต่าเธอ ฯลฯ ซึ่งในส่วนตัวผมผมคิดว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นเวลาที่ต้นไม้ดนตรีในบ้านเรามันได้ออกดอก ออกผลอย่างสมบูรณ์ มีเพลงชื่อประหลาดๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน เพลงตามวิทยุก็หลากหลายขึ้น คงเพราะเป็นเวลาเดียวกับที่ผมเรียนอยู่พอดี เลยมีอารมณ์ร่วม (ซึ่งนี่อาจจะทำให้คุณอ้างอิงที่ผมพูดช่วงต้นๆ แล้วเถียงว่าเพลงมันไม่ได้เพราะจริงหรอก 55) แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการมาบรรจบกันของอันเดอร์กราว กับออนเดอะกราวน์ เพลงของ ซีเปีย, โมเดิร์นด็อก, แบล็คเฮด, ซิลลี่ ฟูลส์ คือความสำเร็จของดนตรีกลายพันธ์ที่ทำให้ทุกวันนี้เราได้มีทางเลือกในการเสพดนตรีมากขึ้น วันนี้เราจึงได้เห็นวง Bikini, Clone, Growing Pain, Ebola, Mad Pack It หรืออัลบั้มรวมงานอย่าง Military ออกมาวางคู่กับเบิร์ด ธงชัย ได้อย่างไม่ขัดเขิน


ไม่ได้บอกให้คุณมาฟังเพลงใต้ดินหรืออินดี้ เพื่อยกระดับชีวิตของคุณ คนที่เสพดนตรีที่ตนชอบ และส่งเสริมงานดีๆ ของคนที่เขาตั้งใจทำงาน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีไทยเดิม ดนตรีตลาด หรือดนตรีใต้ดิน เหล่านั้นคือคนที่มีคุณค่าต่อโลกแห่งเสียงเพลงอย่างแท้จริง สำหรับเพลงใต้ดินในวัยเด็ก หรือเพลงอินดี้ในปัจจุบันก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่สนใจ และก็น่ายินดีที่ปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงได้ในทุกๆ ซอกของวงการดนตรีบ้านเรา

Love your Music, Respect others.




 

Create Date : 31 มีนาคม 2548    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2548 0:45:58 น.
Counter : 965 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

nsk
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีชาวโลก...

Bangkok


Los Angeles


-/ -
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


sniper/ หนึ่งในล้าน
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


เจย์ โชว/ Cloudess Day
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


Friends' blogs
[Add nsk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.