Group Blog
 
All blogs
 

Retro Travel: ทุ่งรังสิต

หลายๆคน คงผ่านช่วงเวลาดีๆ ในสถานที่ที่ประทับใจกันมาไม่มากก็น้อย บางที่ยังคงอยู่และรอการกลับไปของเรา .....แต่บางที่ก็ถูกกาลเวลากลืนหายไป .....ต้นไทรต้นใหญ่ๆ ที่เราเคยปีนเล่น วันนี้อาจจะกลายเป็นเซเว่น อีเลฟเว่น, สนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้าน วันนี้อาจจะกลายเป็นโรงหนังมัลติเพล็กซ์ .....ผมเชื่อว่า สถานที่ที่เราประทับใจ มันไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่มันย้าย จากที่ที่มันเคยอยู่มาอยู่ในตัวของเรา มาอยู่ในความทรงจำของเรา และก็รอให้เราไปเยี่ยมเยียนมันอีกครั้งเมื่อเรามีเวลาที่จะนึกถึงมัน

การได้เขียนถึงสถานที่ที่เราประทับใจ ก็คือการได้กลับไปเยี่ยมมันอีกครั้ง การที่เรานึกถึงมัน และพยายามเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นตัวหนังสือ ก็คือการชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่ ทำให้น้ำในลำธารไหล ทำให้พื้นดินได้อบอุ่น ทำให้กลิ่นหอมๆ ของสถานที่เหล่านั้นกลับมาเตะจมูกของเราอีกครั้ง..... และในครั้งนี้ เราก็ยังได้แชร์บรรยากาศดีๆ ให้กับคนที่ไม่ได้ไปกับเราในวันก่อน ได้รับรู้ถึงความสุขนั้นในวันนี้อีกด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบซัก 10 ปีก่อน ผมเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ปี 1 ซึ่งมันก็ไกลเกินกว่าจะไปกลับทุกวันได้ (แปลกกับระบบผังเมืองไทยเข้าไปทุกที เพราะบ้านผมอยู่กลางเมือง แต่มหาวิทยาลัยดันอยู่ชานเมือง) ผมเลยได้มีโอกาสเช่าหออยู่เป็นครั้งแรก ตอนแรกก็จะเช่าหอของมหาวิทยาลัย หรือเรียกว่าหอใน แต่แน่นอนมันถูกสงวนให้กับคนที่อยู่ต่างจังหวัดก่อน.....ผมกับเพื่อนเก่าที่เอ็นติดตามกันมาเลยออกหาหอรอบนอกอยู่แทน ซึ่งเป็นของเอกชน แล้วก็ไปได้อยู่ที่หนึ่งในซอยฝั่งตรงข้ามทางเข้ามหาวิทยาลัย

ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่สิ่งแรกที่เห็นในแต่ละวันนั่นคือพระอาทิตย์ ปกติผมตื่นไปเรียน 6 โมงตั้งแต่ ม.ปลาย แต่ตื่นมาก็ยังมืดอยู่ และก็เห็นแต่ผนังตึกนอกหน้าต่าง.....แต่ที่หอนี้ ห้องผมอยู่ชั้น 5 และระเบียงหันไปทางทิศตะวันออก ผมเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ด้านล่างเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อน มองไปไกลสุดหูสุดตา.....เวลาน้ำค้างบนยอดหญ้ากระทบแสงอาทิตย์ จะเห็นเป็นประกายแวววาวไปเต็มทุ่งไปหมด นอกจากจะเป็นภาพที่สวยมากๆแล้ว ยังมีกลิ่นทุ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้จะอธิบายว่ากลิ่นทุ่งมันเป็นยังไง มันสดชื่น ปลอดโปร่ง ทำให้หายใจได้ลึกกว่าที่ผมอยู่ในเมืองมากมายนัก

แล้วมันจะมีเพลงหนึ่งที่ตอนนั้นเป็นเพลงที่ฮิตพอสมควร ของคุณวรรธนา วีรยวรรธนะ (ถ้าสะกดนามสกุลผิดต้องขออภัยครับ) ที่มีเนื้อร้องพูดถึงความสวยงามของยามเช้า..... กำลังจะบอกว่าเข้ากับบรรยากาศมากๆ..... ทุกๆ เช้าผมเลยรู้สึกสดชื่นและไปเรียนก่อนชาวบ้านเขาทุกที (เวลาชื่นชมธรรมชาติที่กล่าวมานี้ ผมก็ต้องเดินข้ามเพื่อนผมที่นอนเกะกะอยู่ตามพื้น ได้อารมณ์ไปอีกแบบ)

มาถึงเวลาไปเรียน สภาพมหาวิทยาลัยของผมยังเป็นทุ่งเสียส่วนใหญ่ ต้องเข้าไปจากถนนใหญ่ประมาณกิโลกว่าๆ .....เป็นบรรยากาศที่สดชื่นและน่าเรียนมากๆ ตึกเรียนแวดล้อมไปด้วยหญ้าเขียวๆ และแอ่งน้ำเล็กๆ รวมทั้งทางหินกรวด..... คุณจะไม่รู้สึกเลยว่าที่นี่คือกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล คุณจะคิดว่าคุณอยู่อุทยานแห่งชาติ หรือป่าโปร่งที่ไหนซักแห่งที่มันธรรมชาติเอามากๆ การที่ตึกเรียนไม่แออัดทำให้เราสัมผัสถึงกลิ่น แสง สี ของสิ่งที่ในเมืองไม่มี การเดินทางไปแต่ละตึก เราก็ต้องเดินไปตามทางเดินยาวๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยสร้างไว้ ซึ่งก็มีหลังหากันฝนได้ ข้างทางก็รายล้อมด้วย หญ้าคา กบ เขียด แมลงปอ กิ้งกือ นกเอี้ยง ฯลฯ .....มันก็ไม่ถึงกับลุยดงพงหญ้า แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติเอามากๆ

การเดินทางเข้ามาในมหาวิทยาลัยมันก็มีหลายวิธี..... วิธีแรกคืออาศัยความเมตตาของคนขับรถ ปอ.ทั้งสองสายที่มันสุดสายในมหาวิทยาลัยของเรา คือทางเข้ามหาวิทยาลัยมันไม่มีป้าย เราก็ต้องโบกให้เขาจอด ซึ่งเขาจะไม่จอดก็ได้ ก็ลุ้นดีแต่ไม่เหมาะในวันที่มีสอบ เพราะอาจจะสายได้.....นอกจากวิธีนี้แล้วก็คือการขับจักรยานเข้าไป โดยตรงทางเข้าจะมีที่จอดจักรยาน ก็จอดกันเยอะอยู่ เราก็ไปล็อคจอดไว้แล้วเดินข้ามสะพานลอยกลับหอ รุ่งขึ้นอีกวันก็เดินไปไขกุญแจขับเข้าไปในมหาวทิยาลัย.....ปัญหาคือผมไม่ได้ซื้อจักรยาน ด้วยเหตุผมอะไรไม่ทราบผมไม่มีจักรยานเป็นของตัวเองหรอก.....บางวันผมเลยต้องอาศัยซ้อนเพื่อน หรือขับให้เพื่อน.....หรือวันไหนไม่มีใครจริงๆ มันก็จะมีจักรยานที่ไม่ได้ล็อคโซ่อยู่ ผมก็จะขอยืมโดยไม่ได้บอกเจ้าของ ขับเข้าไปเรียน และขับกลับมาคืนเวลากลับหอ.....555 ขโมยนั่นเอง แต่นั่นคือสิ่งที่เราเห็นอย่างชินตาในช่วงเวลานั้น .....และก็ยังมีการติดรถเพื่อนเข้าไปซึ่งก็นานๆ ที และวิธีเดินเข้าซึ่งแทบนับครั้งได้

ความสนุกในช่วงการเรียนปี 1 การตื่นเช้าสูดอากาศที่สดชื่น, เรียนหนังสือในห้องเรียนที่ไม่มีแอร์ แต่มีหน้าต่างที่มองออกไปเห็นทุ่งหญ้าและฝนพรำๆ, การได้เดินผ่านลมเย็นๆ ไปทานข้าวเหนียวไก่ย่างที่เพิงไม้ตรงท่ารถประจำทาง, หรือการได้ขี่จักรยานซ้อน 3 ไปเซเว่น อีเลฟเว่น ซื้อสตาร์ซอกเกอร์มาแบ่งกันอ่านบนโต๊ะคณะที่ทำด้วยไม้ชื้นๆ เป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าวในชีวิต แต่มันก็รู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึง

หลังจากปีที่ผมพูดถึงนี้มหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากทุ่งหญ้าเขียวๆ ก็กลายเป็นพื้นที่ก่อสร้างที่มีแต่ฝุ่นตลบอบอวล เพื่อรองรับมหาโปรเจคชองรัฐบาล ซึ่งแน่นอนว่าถึงการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ ภาพที่ผมเห็นในวันนั้นก็จะไม่กลับมาอีก

แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดจะทะลุเวลามาได้โดยไม่บอบช้ำจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งตัวผมในวัยเฟรชชี่ ทั้งต้นหญ้า ทั้งเม็ดฝน ทั้งเหตุการณ์ประทับใจ และบรรยากาศต่างๆ .....แต่ก็อย่างที่บอก .....สิ่งเหล่านั้นมันได้ย้ายไปในที่ที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรมันได้อีกต่อไป เป็นสถานที่ที่เราเป็นเจ้าของ และไม่มีอะไรในโลกจะเปลี่ยนแปลงความประทับใจของเราได้ตลอดกาล ซึ่งก็คือในความทรงจำของเรานั่นเอง

ยังมีอีกหลายที่ที่ผมพอจะนึกออกนะครับ วันไหนนึกถึงมันแล้วอยู่หน้าคอมจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ.....

..........................................................................


พิมพ์เยอะไปหน่อย คงอ่านจนเหนื่อย งั้นลองมาตอบคำถามผมดูแก้เมื่อยนะครับ 555 ไม่รู้แก้ยังไง ก็เกี่ยวกับสถานที่ที่ผมพูดถึง ถ้าคุณเคยอยู่ในสถานที่นั้นในเวลานั้น คงจะรู้สึกได้เหมือนกับผมไม่มากก็น้อย และน่าจะตอบคำถามพวกนี้ได้ครับ

1. ผมเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยอะไร และปี พ.ศ อะไร

2. เพลงที่ผมบอกว่ามันเข้ากับบรรยากาศตอนเช้าๆ นั่นชื่อเพลงอะไรครับ

3. รถประจำทาง 2 สายที่สุดสายที่มหาวิทยาลัยผมในขณะนั้นคือรถสายอะไรครับ

4. ถ้าเราเรียนที่เดียวกัน และอยู่ในรุ่นไล่ๆ กัน จะต้องทราบว่าเพิงไม้ที่ผมไปกินข้าวเหนียวไก่ย่างนั้น ชื่ออะไรครับ

5. โปรเจคของรัฐบาลที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่ผมจบปีหนึ่ง คือโปรเจคอะไรครับ

ถามเล่นๆ ไม่มีรางวัลนะครับ แต่อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เราที่ยังคิดถึงทุ่งรังสิตในมุมมองแบบนี้อยู่ครับ




 

Create Date : 29 กันยายน 2548    
Last Update : 29 ตุลาคม 2548 16:40:44 น.
Counter : 1107 Pageviews.  

Journey in America: Chapter 10 University, Outside-In

ถ้าพูดถึง มหาวิทยาลัยในประเทศไทยปัจจุบัน ผมว่ามันแปลกไปเยอะกว่าแต่ก่อน ถึงแม้มหาวิทยาลัยยังคงเป็นศูนย์รวมความรู้อันมหาศาล และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของตัวอย่างที่ทุกคนต้องขนลุก เมื่อได้ยินในวันแรกพบ แต่หลายอย่างก็รุกล้ำเข้ามาในรั้วแห่งนี้ บางทีมันก็กลายเป็นเวทีแฟชั่น บางทีก็กลายเป็นตลาดนัด บางทีก็กลายเป็นสังคมที่มีชนชั้น มีคนหิ้วหลุยส์ มีคนหิ้วย่ามชาวเขา มีการแบ่งชนชั้นด้วยฐานะและที่มา ไม่ต่างจากสังคมนอกรั้วแต่อย่างใด

อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย ผมว่ามหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้นในสังคมซักเท่าไหร่ นอกเหนือจากองค์ความรู้ที่บรรจุในหลักสูตรวิชา นักศึกษาส่วนใหญ่ก็ยังตกเป็นทาสสิ่งของ ทาสวัตถุ คำว่าปัญญาชนถูกใช้เรียกเทิดทูนนักศึกษากันมานาน แต่ก่อนก็ใช่ล่ะ จบมหาวิทยาลัยนี่คุณก็เก่ง ถือว่าโคตรเท่ ยิ่งจบจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลนะ สุดยอดเลย .....แต่ปัจจุบันคนที่สามารถเรียกตัวเองว่าปัญญาชนได้นั้น มีจำนวนมหาศาล.....อะไรที่มันเยอะๆเนี่ย ความชัดเจน ความเป็นปัจเจกภาพมันก็จะลดลง.....ที่นี้หรือเราจะสรุปว่า เพราะมันเกร่อเกินไป หรือเพราะคนมันกลายเป็นบัณฑิตง่ายกันเกินไป คุณภาพของคนที่จบมหาวิทยาลัย หรือนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ถึงได้ลดลง กลายเป็นคนที่ถูกสื่อชักจูง ถูกหลอกถูกตีราคาจากคนบางกลุ่ม ว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด.....

ไม่ได้ว่าอะไรถ้านักศึกษาจะมีเงินซื้อของแบรนเนม โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะเสพย์สื่อแล้วก็มีมุมมองเหมือนคนทั่วๆ ไป ไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะไปกินอาหารแพง กินฟาสต์ฟู้ด หรือเที่ยวไปเต้นกันที่ผับที่บาร์ เพราะผมก็เป็นแบบนั้น ผมก็ทาสสังคมคนนึง..... แต่อยากให้คนที่ผ่านรั้วมหาวิทยาลัยในยุคหลังๆ มองว่าในทุกวันนี้ เราเองก็ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นกลางทั่วๆ ไป.....ไอคำว่าปัญญาชนมันไม่ได้เลิศเลอที่จะเอาไว้ไปยืดอกให้ใครต่อใครคารวะอีกแล้ว.....ตัวผมเองคิดว่ายากที่จะเห็นนักศึกษาที่มีความคิดต่อต้านการเมือง หรือต่อต้านสังคมอย่างในอดีต ทุกอย่างมันต้องมีการเปลี่ยนแปลง สถานศึกษาเหล่าก็เหมือนกัน.....แล้วความคิดของนายทุน หรือผู้ประกอบการที่มองเด็กจบใหม่ จะเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า หรืออย่างไร นั่นก็ยังเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ

เข้าเรื่องดีกว่า 555.....จริงๆ chapter นี้ก็จะพูดถึงมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนในอเมริกา ไม่รู้พูดอะไรมาเสียยืดยาว..... ผมไม่ทราบหรอกว่าปริญญาโทที่เมืองไทยเขาเรียนกันยังไง แต่ที่ที่ผมเรียนนี่มันก็ถือว่าไม่ยากเท่าไหร่ เปิดมาวันแรกคุณก็ได้ลิสต์หนังสือ 4 5 เล่ม และ course outline ที่เขาจะบอกว่าวันไหนคุณต้องอ่านอะไรมาล่วงหน้า และต้องส่งงานอะไร พอถึงเวลาในห้องก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก็จะเก็บงานทันที และถามดื้อๆเลยว่าคิดยังไงกับสิ่งที่เราอ่านมา..... ที่เมืองไทยเขาจะทำแบบนี้มั๊ยไม่รู้แต่ที่นี่ แย่งกันยกมือตอบน่าดู .....ผมรู้สึกว่าชั้นเรียนที่นักเรียนอยากจะมีส่วนร่วมแบบนี้มันมีชีวิตชีวาดีนะ ตอนเรียนที่เมืองไทยพอครูถามนี่ นั่งกันหงอยเลย 555..... แต่ก็ไม่ได้บอกว่าที่นี่ผมจะเปลี่ยนไปซักเท่าไหร่ มือก็ยังหนักเหมือนเดิมยกไม่ค่อยขึ้นหรอก

ชาวต่างชาติมักจะอะเมซิ่งกับสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อน..... เวลาผมอธิบายอะไร การที่ผมเอาเรื่องที่เมืองไทยไปผสมปนเปจะทำให้พวกเขาตั้งใจฟังมากขึ้น เวลาเราพูดอะไรแล้วมีคนฟัง (นึกภาพมีคนซัก 20 คนมองหน้าเราแล้วพยักหน้าหงึกๆ) มันจะทำให้เรามั่นใจพอตัวทีเดียว ส่วนเขาจะเข้าใจที่เราพูดมั๊ย ช่างเถอะ.....อีกช่วงที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ซึ่งผมก็คิดว่าฝรั่งเขาก็หนาวๆเหมือนกัน คือเวลาบรรยายหรือพรีเซนต์จบแล้วจะเป็นช่วงถามตอบ.....รักกันจริงต้องไม่ถามครับ อันนี้ฝรั่งหรือคนไทยเข้าใจเหมือนกัน..... หรือไม่ก็ถามอะไรที่มันง่ายๆ ครับ คือพยายามไม่ต้อนเราให้จนมุมนั่นแหละ .....ดีที่ทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นผมเขาก็ค่อนข้างเคารพในสิ่งที่เรานำเสนอพอสมควร คือเขาคิดว่าต้องขอบคุณที่เราที่เอาความรู้มาให้มากกว่าที่จะมาลองภูมิกัน.....และถึงแม้เราจะตอบไม่ได้ อาจารย์ก็บอกว่าอย่ากลัวที่จะพูดว่า i don't know ไม่รู้ดีกว่ามั่วอะไรที่ผิดๆ และหากมีโอกาสก็ไปหาคำตอบมาบอกเขาก็ได้ .....แต่ต้องดูด้วยล่ะครับ บางทีถามแบบน่าจะรู้แต่ไม่รู้ก็เกินไปหน่อย

การเรียนในต่างประเทศมันก็คล้ายๆ กับในไทยแหละครับ ต่างกันก็แค่ภาษา และเพื่อนร่วมชั้น แต่การเคารพซึ่งกันและกัน อย่างไม่มีวัยวุฒิ ทั้งจากอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นในต่างประเทศนี่ทำให้ผมผ่อนคลายไปได้เยอะ .....อย่างไงก็ตาม บรรยากาศมาคุที่รู้สึกได้มันก็มี อย่างบางคนในห้องไม่ค่อยจะถูกคอกัน แน่นอนที่ไหนมันก็มี .....สุดท้ายย ห้องเรียนของผมก็เป็นสังคมๆ หนึ่ง ที่ผมสนุก ตื่นเต้น(เวลาทำการบ้านไม่ทัน) มากในสองปีหลังที่ผ่านมาครับ




 

Create Date : 17 กันยายน 2548    
Last Update : 17 กันยายน 2548 15:52:30 น.
Counter : 581 Pageviews.  

Journey in America: Chapter 9 Entering University

การเข้ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศอันที่จริงมันก็ไม่ยาก เพียงแต่คุณก็ต้องมีข้อมูลครบถ้วน แต่ละมหาวิทยาลัยเขาก็มี requirements ต่างๆ กัน .....แต่ก็มีหลักๆ สำหรับการเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทก็คือ Transcript, ผลสอบ TOEFL ที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 213 ในการสอบแบบคอมพิวเตอร์, Recommendations จากอาจารย์ในระดับปริญญาตรี, และจดหมายที่เขียนเกี่ยวกับตัวเองและเหตุผลในการต้องการศึกษา หรือที่เรียกว่า Statement of purpose ซึ่งอันหลังนี่ตัวดีเลย เพราะ อ.จะรับเราเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น เขาก็จะดูสำนวนการใช้ภาษาอังกฤษของเราว่าดีพอหรือไม่.....ต้นปี ค.ศ. 2003 ผมก็ได้เอกสารครบทุกอย่าง บอกลาร้านหมอฟันที่ทำมา 1 ปี (เขาก็ดีนะ มีเค้ก มีงานเลี้ยงอำลาเล็กๆ ให้เรา ถึงจะอยู่กับเขาไม่นาน.....แต่ดูทุกคนแฮปปี้พิกล ตกลงเขาดีใจที่เราออกไปได้ซักทีรึเปล่าฟระ).....

กลับมาที่การสมัคร ผมก็ส่งเอกสารทุกอย่างไปที่ Admission ของมหาวิทยาลัยที่ผมสนใจ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ชื่อ University of La Verne ซึ่งได้ข่าวมาว่ามีคนไทยเรียนอยู่เยอะพอสมควรในสาขา MBA ซึ่งก็ไม่ใช่สาขาที่ผมสนใจ แต่เป็นสาขา Leadership and Management ที่มีวิชาเลือกที่ผมต้องการนั่นคือ Human Resource and Management

สาขาที่ผมอยากเรียนนี้ไม่ค่อยมีประสบการณ์เกี่ยวกับนักเรียนต่างชาติซักเท่าไหร่ ไม่เหมือน MBA ที่เขารู้ว่าจะทำอย่างไร เมื่อนักเรียนอินเตอร์มาสมัคร..... ดังนั้นผมจึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนนักเรียนท้องถิ่นที่สุด ทั้งการเขียนและการพูด.....ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยที่ Statement of Perpose ของผมจะโดน reject เพราะการเขียนของผมมันไม่น่าจะเอาตัวรอดได้ในคณะนี้.....แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมมีเวลาอีกไม่มากในการหาที่เรียนเพื่อรักษาสถานภาพในอเมริกา.....ผมเลยส่ง Statement ไปเป็นครั้งที่ 2 และไปด้วยตัวเอง.....บางทีตัวหนังสือมันก็บอกอะไรไม่ได้ทุกอย่าง เพราะพอผมได้คุยกับอาจารย์ซึ่งภายหลังก็คือ อ.ที่ปรึกษาของผม เขาก็บอกว่าผมพูดได้ดีกว่าในกระดาษที่ผมส่งมามากมาย ซึ่งเขาก็คิดว่าผมน่าจะเรียนได้.....ในที่สุด อ.ก็รับผมเข้าเรียนในเทอม Spring 2003 โดยมีเงื่อนไขว่าผมจะต้องลงวิชาการเขียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก 1 วิชา และต้องได้อย่างน้อย B ในเทอมแรก.....

สุดท้ายผมก็มีที่เรียนซักที ในเทอมแรกผมลงเรียนวิชาการเขียน ซึ่งก็มีเด็กนักเรียนต่างชาติเรียนอยู่กับผม 3 คน เป็นคนไทย 1 คน ไต้หวัน 1 คน และญี่ปุ่น 1 คน และก็มีแค่นี้แหละ 4 คน ผมเลยได้รับการติวเข้มข้น และสามารถมีปากเสียงกับอาจารย์ตัวต่อตัวได้อย่างเต็มที่ ในที่สุดผมก็จบด้วยเกรด B.....ได้เรียนปริญญาโทกับเขาเสียที


English Writing Class มีอยู่ 4 คนจริงๆ


วันแรกผมยังจำได้.....วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่เสาร์ที่เท่าไหร่จำไม่ได้ รู้แต่เป็นเดือนมีนาคม ผมมีเรียน 8 โมงเช้า.....ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะไม่ได้ตื่นเช้ามานานแล้ว เช้านั้นจึงไม่เหมือนเช้าอื่น.....ห้องเรียนแรกของผมมีนักเรียนอยู่ประมาณ 25 คน อายุเฉลี่ยนี่ผมให้ 37-38 ปีเลย และเป็นชาวอเมริกันล้วนๆ .....ผมยิ้มๆ เดินเข้าไปนั่งเบียดๆ กับเขา ความรู้สึกเหมือนลูกภารโรงนั่งรอแม่มารับ.....ยอมรับว่าเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องนั้นเลยในวันแรก พวกเขาพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้ อย่างเรื่องข่าวในท้องถิ่น เกี่ยวกับชื่อนักธุรกิจดังๆ เกี่ยวกับกฏหมาย ที่สำคัญพูดเร็วมากๆ.....อย่างที่บอกว่าการเรีบนการสอนของเขามีแบบแผนเฉพาะอยู่ ผมเข้าไปผมก็ต้องปรับตัวตาม เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องสะกดทีละคำให้คนต่างชาติที่หลงมาเรียนอย่างผมฟัง แรกผมนั่งกินข้าวกลางวันคนเดียวด้วยความมึน นี่หรือคือบรรยากาศที่เราจะเจอไปอีก 2 ปี

Leadership and Management เป็นสาขาที่สอนให้นักเรียนรู้จักตัวเองและเตรียมความพร้อมในการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้บริหารปกครองคน การสร้างบุคคลิกภาพ และความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจและภาวะผู้นำ วิธีการเรียนในสาขาที่ผมเรียน เน้นไปที่การทำกิจกรรมกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น case study, role play, presentation หรือการบ้านทั้งเดี่ยวทั้งกลุ่ม คะแนนทั้งหมดจะหนักไปทางการแสดงออกในชั้นและงานที่ส่งในแต่ละครั้ง ซึ่งวิชานึงก็ต้องเข้าเรียนประมาณ 10 ครั้ง ไม่มีการสอบ midterm หรือ final เหตุคงเป็นเพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ ที่ไม่มีเวลามานั่งอ่านหนังสือสอบ การทำกิจกรรมภายในชั้น และการบ้านจะดูง่ายต่อพวกเขามากกว่า.....โดยในวันแรกของการเรียน นักเรียนจะได้รับ course outline ที่จะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งถ้านักเรียนไม่พอใจก็โวยได้ และอาจารย์ประจำวิชาก็จะเปลี่ยนให้ตามสมควร

กลับมาที่การเรียนวิชาแรกของผม วันแรกผมเรียน 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ไม่รู้จักใครในชั้นเรียน ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ไม่มีเพื่อนที่จะถาม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคราวหน้านี่เขาจะเตรียมอะไรมาบ้าง แย่แน่ๆ.....ผมจึงขอ อ.ที่ปรึกษาหยุดตั้งสติในการเข้าเรียนครั้งที่ 2 ซึ่งหมายถึงผมขาดเรียน.....สติน่ะตั้งได้ แต่คะแนนเข้าห้องก็จะไม่มี งานก็จะไม่ได้ส่ง แล้ว อ.เขาก็จะคิดว่าผมจะเรียนไม่ได้และสุดท้ายผมก็จะไม่ได้เรียนต่อ..... มันจะต้องไม่เป็นแบบนั้น..... ในขณะที่เพื่อนผมคนอื่นกำลังจับกลุ่มทำงานกัน (คนไทยทั้งนั้น) ที่ตึก MBA ด้วยความสนุกสนาน มีการซื้อน้ำมากิน มีการไปทำงานต่ออพาร์ตเมนท์เพื่อนในกลุ่แลดูน่าสนุก ผมที่นั่งหัวดำอยู่คนเดียวก็เริ่มเป็นที่จดจำของพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ในชั้นเรียนของผม อาศัยการพูดมากๆ ตอบคำถามเยอะๆ ยกมือถามบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้หรอกว่าถามอะไรออกไป แต่เพราะการแสดงออกทำให้คนอื่นๆ รู้จักและเห็นว่าเราไม่ได้มานั่งใบ้ โดยไม่รู้อะไรเลย

ผมขาดเรียน 1 ครั้ง อ.ที่ปรึกษาเริ่มสงสัยในความสามารถในตัวผมว่าจะเรียนต่อได้ไหม เขาจึงให้งานชิ้นพิเศษผม 1 ชิ้น คือการพูดหน้าชั้นในหัวข้อ Multiculture in Organization ซึ่งผมจะต้องพูดเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในองค์การ ในฐานะที่เป็นคนต่างวัฒนธรรมในห้องเรียน อ.เขาเลยคิดว่าผมคงมีอะไรแปลกๆ มาแลกเปลี่ยนกับนักเรียนคนอื่นๆ แทนวันที่ขาดเรียน.....ไม่ได้ก็ต้องได้ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมต้องพูดนานเท่าไหร่ แต่หลังจากหาข้อมูลในห้องสมุดได้ซักพัก อ.ก็บอกว่า ผมต้องพูดเท่ากับการรายงานแบบกลุ่มของคนอื่นๆ ซึ่งก็ประมาณ 45 นาที - 1 ชั่วโมง.....ไม่น้อยเลยนะเนี่ย 45 นาที คนอื่นได้ทำเป็นกลุ่ม 5 คน แต่ผมพูดคนเดียว กรูจะรอดไหมเนี่ย.....

การที่ผมขาดเรียน ผมจึงต้องทำการบรรยายหน้าชั้นคนเดียวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แต่เพราะการบรรยายครั้งนี้นี่เองที่ได้พิสูจน์ตัวเองให้กับอาจารย์และทุกคนในชั้นเรียนเห็นว่า นักเรียนต่างชาติคนเดียวในชั้นเรียนคนนี้ได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากอาจารย์ และเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งพอรวมกับประสบการณ์อันน้อยนิดด้านธุรกิจจากประเทศบ้านเกิด และความที่เป็นคนพูดมาก ก็เลยเป็นการ presentation ที่สนุกสนานเอามากๆ ทุกคนสนใจและถามคำถามต่างๆ ผมมากมายเกี่ยวกับเมืองไทย และความรู้สึกเมื่อผมได้เข้ามาในที่ที่ต่างวัฒนธรรมอย่างอเมริกา.....เมื่อทุกคนโฟกัสมาที่ผม เมื่อทุกคนจำชื่อเราได้ ความกังวลใจมันก็หมดไป..... การยอมรับจากอาจารย์และพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ในชั้น ทำให้ผมคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกสาขานี้ ป้าคนนึงให้กำลังใจผมโดยบอกว่าผมก็เหมือนลูกหลานของเขา ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องกลัว พวกเขาคิดว่าผมเก่งด้วยซ้ำที่อายุเท่านี้แต่มาเรียนร่วมกับพวกเขาได้ แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับอีกต่างหาก 555

วิชาแรกในการเรียนปริญญาโทของผมก็จบลงพร้อมกับการบรรยายหน้าชั้นเรื่อง Multicultural in Organization ของผม ซึ่งบางคนในชั้นเรียนนั้นยังบอกกับผม ในวันรับปริญญาว่าเขายังจำสิ่งผมบรรยายวันนั้นได้อย่างดี และรู้สึกดีใจที่ได้ฟังเรื่องราวที่เขาไม่รู้มาก่อน.....(ฝรั่งนี่เวลาชมเขาชมกันเต็มที่จริงๆ ซึ่งบางทีผมก็รู้สึกว่ามันจะเว่อร์ไปรึเปล่า ผมเองก็ได้แต่ thank you ไม่รู้จะพูดอะไร)

และหัวข้อการบรรยายวันนั้นเองก็ได้เป็นที่มาของรายงานวิจัยที่ทำให้ผมได้ปริญญาโทในอีก 2 ปีต่อมา.... ครั้งต่อไปจะพูดถึง ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผมเจอในห้องเรียน และการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ครับ









 

Create Date : 22 สิงหาคม 2548    
Last Update : 22 สิงหาคม 2548 15:21:11 น.
Counter : 493 Pageviews.  

การใช้คำว่า วันหลัง กับวันหน้า ในภาษาไทย

ผมไม่ใช่คนที่ใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามาอยู่ต่างประเทศแล้วจะทำเป็นวัวลืมตีน ทำเป็นพูดไทยคำอังกฤษคำ อย่างน้องคนนึงที่ผมเคยเจอ มันบอกมาเรียนภาษา 2 เดือนกลับไปมันเลยพูดไทยไม่ชัด....อยู่ใกล้ๆ จะเตะปากให้ซักที

วันก่อนผมพูดคำว่า "แล้วเจอกันวันหลัง" กับเพื่อน แล้วเพื่อนเขาก็แย้งว่าทำไมไม่พูดว่า "แล้วเจอกันวันหน้า"

ตามความคิดของผม คำว่า "วันหลัง" กับ "วันหน้า" สามารถใช้ได้อย่างถูกต้องทั้งคู่..... จำได้ว่ามีสำนวนไทยที่ว่า "วันหน้าวันหลัง" ที่เราๆ พูดกัน เช่น "วันหน้าวันหลังก็มาเที่ยวใหม่นะ" เป็นต้น

ในสำนวนนี้ วันหน้าและวันหลัง รวมกันมีความหมายว่า วันถัดๆไป ซึ่งถ้าผมเอาสำนวนมาพูดอย่างย่อๆ ก็อาจจะพูดว่า "วันหลังฯก็มาเที่ยวใหม่นะ" หรือ "วันหน้าฯก็มาเที่ยวใหม่นะ" ซึ่งทั้งสองคำก็จะแปลว่า "วันถัดๆไป" เหมือนกัน

ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะใช้ได้ทั้งสองคำ (รึเปล่า)

เพื่อนผมอีกคนมันบอกว่า คำว่า "วันหลัง" น่าจะเหมาะสมกว่า เหตุผลของมันคือ คำว่า "หลัง" เป็นคำที่สามารถบอกตำแหน่งเวลาได้ชัดเจนกว่าคำว่า "หน้า"

ตัวอย่างคือ คำว่า ก่อน กับ หลัง ที่เรามักจะใช้อ้างอิงในเรื่องของเวลา เช่น ก่อนกินข้าว หลังกินข้าว เป็นต้น

ส่วนคำว่า หน้า จะใช้คู่กับคำว่า หลัง ซึ่งคำว่า "หน้า" กับ "หลัง" เป็นคำที่เราจะอ้างอิงในเรื่องของตำแหน่ง เช่น หน้าบ้าน หลังบ้าน เป็นต้น

ดังนั้นหากจะพูดถึงเรื่องวันที่จะมาถึง ซึ่งเป็นเรื่องของเวลา "วันหลัง" น่าจะมีความหมายที่ชัดเจนกว่า อันนี้เพื่อนบอกมา

ผมเองไม่ได้ซีเรียสอะไร ก็คงไม่ไปค้นคว้าศึกษารากเหง้าของภาษาอะไรมาตอบตัวเองตรงนี้ .....คือผมคิดว่า ถ้าเรากับคู่สนทนาพูดแล้วเข้าใจ ไม่ว่ามันจะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์หรือไม่ หน้าของภาษามันก็สมบูรณ์แล้ว (นี่พูดถึงการสนทนาทั่วๆ ไปนะครับ)

แต่ก็อยากถามความเห็นคนอื่นๆ ครับว่า ปกติแล้วใช้คำไหนกันระหว่าง "วันหน้า" กับ "วันหลัง"





 

Create Date : 10 สิงหาคม 2548    
Last Update : 10 สิงหาคม 2548 2:07:42 น.
Counter : 2775 Pageviews.  

Journey in America: Chapter 8 Dentist Office

คนที่มาเรียนต่อต่างประเทศ ยังไงซะก็คงอดหาลู่ทางทำงานไม่ได้ โดยเฉพาะที่อเมริกา บางคนมาทำงานเป็นหลักทั้งที่ตัวเองถือวีซ่านักเรียนด้วยซ้ำก็มี..... อย่างน้อยก็มีเงินใช้จ่าย ไปเที่ยว หรือเก็บไว้ส่งเมืองไทยก็ว่ากันไป.....หลายคนก็ทำงานกันอย่างผิดกฎหมาย จะเรียกว่าเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ.....เวลาเรามองคนกะเหรี่ยงหรือคนพม่าที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย เหมือนกับเป็นบุคคลชั้นสองยังไง เจ้าของประเทศอเมริกาเขาก็มองเราอย่างนั้น.....ความรู้สึกของผมคิดว่า มันไม่มีหนทางที่เราจะทำงานที่ถูกต้องในฐานะคนไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิในบ้านเกิดของเราแล้วทำให้ชีวิตของเราสบายได้เลยเชียวหรือ ถึงต้องบากบั่นกันมาที่นี่ ต้องหลบซ่อน ต้องกลัวการตรวจค้น ต้องดิ้นรนแต่งงาน หรือทำเรื่องทางกฎหมาย เพื่อให้เป็นพลเมืองของประเทศอื่น (ซึ่งคำตอบก็คง ใช่).....เป็นคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยอย่างหนึ่งคือ เราไม่ค่อยจะคิดถึงส่วนรวม ไม่มีใครช่วยเหลือกันถึงแม้จะมาอยู่ไกลแสนไกล คนไทยด้วยกันก็ยังทะเลาะและไม่สามัคคีกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์และผลกำไร.....แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมด แต่ผลในรูปธรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างดี ใน Los Angeles มี Thaitown ซึ่งเมื่อเทียบกับ China Town, Korean Town, Japanese Village แล้ว เราสู้เขาไม่ได้แม้แต่น้อย.....ตรงนี้คงไม่ต้องพูดถึงว่าญี่ปุ่นเจริญกว่า จีนเจริญกว่า เพราะทุกๆ ชุมชนที่กล่าวมาก็อยู่ในสภาพเศรษฐกิจเดียวกัน อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ที่จะต่างก็คือวิถีทางปฏิบัติที่แตกต่างกันเท่านั้น.....

พูดเสียยาว จากครั้งก่อนที่ผมกลับเมืองไทยไปเพื่อจะไปเอาเอกสารเกี่ยวกับการสมัครเรียนกลับมา ผมก็มั่นใจว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด เพราะกลับไปเมืองไทยคราวนั้นรู้สึกสนุกมาก อยากจะรีบกลับมาเร็วๆ.....แต่เมื่อกลับมาถึงอเมริกา โอกาสในการหารายได้ เพื่อแบ่งเบาภาระที่เมืองไทยก็มา เมื่อพี่คนหนึ่งชวนไปทำงาน ซึ่งไม่ใช่ร้านอาหารอย่าง 90% ของคนไทยทำกัน แต่เป็นร้านหมอฟัน ซึ่งเป็นร้านของชาวจีนอเมริกันที่พี่คนไทยคนนี้เขาไปทำมาสองปีได้ แต่เนื่องจากมีเหตุที่ทำให้พี่เขาต้องออกจากงาน เขาจึงหาตัวแทนไปทำ.....งานที่ว่านี้เป็นงานออฟฟิศ ไม่ใช่งานในห้องผู้ป่วย คือทำเกี่ยวกับเอกสารและประวัติคนไข้ รวมทั้งทำบัญชีการเงินเพื่อส่งให้กับบริษัทประกันภัย.....เป็นงานที่เราสามารถนำไปเขียนอ้างอิงในเรซูเมได้แน่ๆ ต่างจากพนักงานเสริฟที่นักเรียนส่วนใหญ่ทำกัน.....

แต่ผมเป็นนักเรียน จะทำงานได้ยังไง.....ทางคุณหมอเขาก็ช่วยโดยการจ้างในจำนวนชั่วโมงที่นักเรียนต่างชาติสามารถทำได้อย่างถูกต้อง และเวลาทำงานที่เหลือเขาก็ถือว่าเป็นการจ้างนอกสัญญาที่ระบุตามเอกสารไป.....ทำงานซักพัก หาที่เรียนไปด้วยก็คงโอเค คิดได้แบบนั้นก็เลยตกลงไปทำ 5 วันต่อสัปดาห์ จนกว่าจะได้ที่เรียนก็ค่อยปรับเปลี่ยนเวลากันต่อไป

ที่นี่ผมก็ได้เรียนรู้หลายอย่างโดยเฉพาะทางด้านทันตกรรม รู้ว่าส่วนไหนในปากคืออะไร และอาการแบบไหนต้องรักษายังไง ราคาเท่าไหร่ รู้จักการเอ็กซเรย์และการอ่านฟิล์ม รู้จักศัพท์ต่างๆมากมาย และที่สำคัญได้ทำฟันลดราคา 55 ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ก็แน่นอนว่ามันก็ต้องมีผิดพลาดมีอะไรบ้างเพราะเราก็ไม่ได้เรียนมาทั้งทางทันตกรรมและทางบัญชี แต่ก็เป็นการเรียนรู้ระหว่างทำงานที่ไม่ได้สร้างปัญหาให้มากนัก

ไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ทำงานออฟฟิศที่อเมริกา และได้ทำ 5 วันต่อสัปดาห์ ช่วงนั้นผมแทบไม่ต้องใช้เงินจากเมืองไทยเลย รู้สึกโตขึ้นเพราะสามารถบรหารเงินของตัวเองได้ เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี จึงมารู้สึกตัวว่า แล้วทำไมยังไม่เรียนซักที 555.....นึกได้ ก็ลองติดต่อแต่ละมหาวิทยาลัยดู ซึ่งในที่สุดมหาวิทยาลัยที่ใกล้บ้านที่สุดก็เป็นตัวเลือกที่ง่ายและเร็วที่สุด (ใจจริงอยากเรียน มหาวิทยาลันหรูหราอย่าง USC หรือ UCLA แต่มันไกลบ้านเหลือเกิน แถมยังต้องการคะแนนโทเฟิลมากมายมหาศาล ซึ่งก็ไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่ในการไปสอบ) ถึงตรงนี้ผมคิดว่าคงจะเป็นการยากที่จะทำร้านหมอฟันต่อไป จริงๆก็ทำได้ แต่คงจะไม่เต็มที่เหมือนก่อน และหากทำต่อ คงจะเป็นการกั๊ก ไม่ให้คนที่พร้อมกว่าได้เข้ามาทำ.....1 ปีผ่านไปผมจึงออกจากร้านหมอฟัน แต่ก็ยังจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีและถือเป็นประสบการณ์แบบบังเอิญๆ ที่มีประโยชน์ ไม่มากก็น้อยครับ

อีก 2 วันจะครบ 5 ปีในการมาอยู่ที่ต่างประเทศ และที่กล่าวมาก็คือเหตุผลว่าทำไม มันถึง 5 ปี.....คราวหน้าจะพูดถึงมหาวิทยาลัยซักที ขอบคุณที่อ่านกันเรื่อยมาครับ





 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2548 14:47:22 น.
Counter : 376 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

nsk
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีชาวโลก...

Bangkok


Los Angeles


-/ -
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


sniper/ หนึ่งในล้าน
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


เจย์ โชว/ Cloudess Day
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


Friends' blogs
[Add nsk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.